Friday, 26 April 2024
NEWS FEED

‘บิ๊กต่าย’ เข้าทำเนียบ รายงาน ‘นายกฯ’ เซ็นสั่งให้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ออกจากราชการไว้ก่อน

(18 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รักษาการ ผบ.ตร.) ได้เข้าพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานว่า จะเซ็นคำสั่งให้ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ให้ออกจากราชการไว้ก่อน หลังถูกดำเนินคดี

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายกฯ เศรษฐา ได้หารือกับที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย ก่อนจะเห็นชอบให้ รักษาการ ผบ.ตร. เซ็นคำสั่ง ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ต่อมามีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 67 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มอบอำนาจให้ทีมทนายความไปเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ในคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ โดยขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 27 เมษายนนี้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้เข้าพบและหารือกับ นายเศรษฐา ที่อาคารรัฐสภา พร้อมระบุว่า มารายงานในเรื่องของขั้นตอนและกระบวนการที่จะพิจารณากรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 

ส่วนจำเป็นต้องให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะพิจารณา เราจะพิจารณาว่าเอาแบบนี้เลยไม่ได้ เพราะมีกฎหมายระเบียบและคำสั่งที่ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติ โดยแยกเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ก่อน

“ผมยังเป็นผู้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามกฎหมาย ดังนั้นการพิจารณาในเรื่องของวินัย เป็นหน้าที่ของผม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 105 ซึ่งในกระบวนการขั้นตอนจะต้องได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ฉบับ โดยขณะนี้ยังไม่มีการรายงานมา 

และฉบับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องรายงานตนว่าตนเองต้องคดี ซึ่งทั้ง 2 อย่าง 2 เส้นทางนี้ เป็นไปตามระเบียบตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ซึ่งมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน และเมื่อ 2 รายงานนี้มาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จะต้องรายงานมาที่กองคดีอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไม่ได้ส่งตรงมาที่ผม และเมื่อกองคดีอาญารวบรวมรายงานแล้ว จะรายงานมาที่ผมเพื่อพิจารณาเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด 

ขณะเดียวกันกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จะต้องรายงานผลเช่นกัน โดยเอารายงานทั้ง 2 ฉบับประกอบด้วย เหตุผล พฤติการณ์ ความรุนแรงแห่งคดี นำมาประกอบการพิจารณาในฐานะฝ่ายอำนวยการให้รักษาการ ผบ.ตร.ได้พิจารณา ซึ่งการพิจารณาเราจะดูว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการกระทำผิดวินัยเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นขั้นตอน 

และเมื่อกองวินัยได้ประมวลขึ้นมาว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำผิดวินัยก็เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา คือผมจะต้องพิจารณาตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏและให้โอกาสกับผู้ถูกสืบสวนข้อเท็จจริงได้ชี้แจง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่กำหนดไว้” รักษาการ ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในขั้นตอนกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงจะยังไม่มีการพิจารณาในเรื่องของการพักราชการ ออกจากราชการ หรือ สำรองราชการไว้ก่อน เพราะเป็นการปฏิบัติภายใต้กฎ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่กำหนดไว้ ซึ่งการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง จะต้องใช้ระดับไม่ต่ำกว่าที่มียศต่ำกว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งตรงนี้ตนต้องไปพิจารณาว่าจะมอบหมายให้ใคร ขณะนี้ยังไม่ถึงกระบวนการดังกล่าว 

แต่หากการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏเหตุออกมาว่า มีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้น ก็จะไปเข้าอีกบทบัญญัติหนึ่งของมาตรา 119 ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ว่าจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง ซึ่งในขั้นตอนนั้นก็จะมีการใช้การพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขในกฎ ก.ตร. หรือไม่ เข้าองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตำรวจปี 2565 ในมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งมีการกำหนดไว้อยู่แล้ว 

เมื่อถามว่ากรณีที่ศาลออกหมายจับจะต้องนำคำสั่งศาลที่อนุมัติหมายจับดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วยใช่หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทุกอย่างกองวินัยจะนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งจะมีกำหนดไว้เป็นข้อ ๆ อยู่แล้วว่าผู้ชี้แจงหรือผู้รายงานตนต้องคดีอาญาจะต้องรายงานอะไรเป็นข้อ ๆ

"หากถามว่า ณ เวลานี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องถูกพักหรือไม่ ขอเรียนว่า ไม่ว่าจะเป็นชั้นยศใดจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบและคำสั่ง ซึ่งข้าราชการตำรวจทุกคนต้องปฏิบัติตามนั้น ซึ่งยังถือว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงต้องปฏิบัติราชการอยู่ตามปกติ นี่คือสิ่งที่เราต้องให้ความเสมอภาคและเป็นธรรมกับข้าราชการทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้มีการกำหนดระยะเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า มีกำหนดไว้ในกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อยู่แล้วภายใน 60 วันที่จะต้องดำเนินการ และสามารถขอขยายระยะเวลาได้ ถึงเวลานั้นคณะกรรมการเขารู้อยู่แล้ว 

เมื่อถามต่อว่าการตั้งคณะกรรมการจะเป็นการยื้อเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า อย่าใช้คำว่ายื้อ เรียนว่าทุกอย่างมีขั้นตอนกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่มียื้อ เราต้องให้ความเสมอภาคเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สื่อมวลชนก็ได้ยินท่านพูดว่าขณะนี้ท่านคือผู้บริสุทธิ์ ก็มีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองไป ส่วนตนเป็นผู้บังคับบัญชาก็เข้าสู่กระบวนการขั้นตอนกฎหมาย ระเบียบคำสั่ง

'สว.สมชาย' เดือด!! ‘เนชั่น’ ตีข่าวทริป สว.ออนทัวร์ทั่วโลก งบ 81 ล้าน วอน!! เช็กความถูกต้องก่อนลง เพราะตนก็เป็น ปธ.กมธ.เศรษฐกิจอยู่

(18 เม.ย. 67) ดร.สมชาย หาญหิรัญ สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Somchai Harinhirun' ระบุว่า... 

"ลงข่าวแบบนี้ได้ไงครับ เช็กความถูกต้องหน่อยครับพี่บากบั่น...มั่วไปนะครับ เสียชื่อ Nation หมดครับพี่ กมธ. เศรษฐกิจฯ ผมเป็นประธาน ครับ ถามได้เพ่"

ทั้งนี้ สำนักข่าวเนชั่น ได้นำเสนอภาพกราฟิกในหัวข้อ 'เปิดทริป สว.ออนทัวร์ทั่วโลก' กับงบ 67 จำนวน 81 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจต่อผู้รับชมข่าว ที่ออกมาบอกว่า สว. แทบไม่ได้ไปไหนเลย นอกจากไปช่วย รพ.บ้าง วัดบ้าง ถือเป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เป็นกลาง และเป็นสื่อการเมืองเลือกข้าง

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ มูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท๊อปนิวส์ และ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป มอบทุนการศึกษา หวังสร้างอนาคตที่ดีให้กับเยาวชนไทย

วันที่ 18 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  นางสาวนภสร ลำธารทอง รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารแบรนด์และสื่อสารองค์กร และ ทีมงานสื่อสารองค์กร กลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป มอบทุนการศึกษาให้กับกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดโอกาส และมีฐานะทางครอบครัวยากจน ผ่านโครงการ สานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา ณ สถานีข่าวท็อปนิวส์ โดยมี นายชยธร ธนวรเจต  ประธานมูลนิธิยังมีเราและคณะ เป็นผู้รับมอบ

นางเธียรรัตน์  เปิดเผยว่ามูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนละ 6,000 บาท จำนวน 50 ทุน รวมเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) เพื่อช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้กับกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดโอกาส และมีฐานะทางครอบครัวยากจน โดยนักเรียนจะต้องยังเรียนอยู่ในระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าและอุดมศึกษา ผ่านโครงการสานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อปนิวส์ การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา ผ่านโครงการสานฝันการศึกษา 2567 ในครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่ง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็กนักเรียนและเยาวชน ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ตร.สรุปผลการปฏิบัติและปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ภาพรวมอุบัติเหตุลดลง 7.22% พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และขอบคุณ ปชช.ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้อุบัติเหตุลดลง

วันนี้ (18 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมและแถลงปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวได้มีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน 

โดยการอำนวยความสะดวกและจัดการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกำลังตำรวจกว่า 30,000 นาย ดูแลการจราจรตลอด 7 วัน มีปริมาณรถเข้า-ออกจากกรุงเทพมหานคร บนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ จำนวน 6,882,802 คัน (ออกจาก กทม. จำนวน 3,469,720 คัน และเข้า กทม. จำนวน 3,413,082 คัน) วันที่ประชาชนเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร มากที่สุดคือ วันที่ 12 เมษายน 2567 วันที่ประชาชนเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครมากที่สุดคือ วันที่ 17 เมษายน 2567

มีการเปิดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) จำนวน 108 ครั้ง (ระบายรถขาออก 63 ครั้ง / ขาเข้า 45 ครั้ง) ,รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ที่ขออนุญาตเดินรถในช่วงเวลาห้าม ผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 36,423 คัน อนุญาตให้เดินรถได้ 35,632 คัน รถที่ได้รับอนุญาตมากที่สุดคือ รถบรรทุกน้ำมันหรือแก๊ส รองลงมาคือรถบรรทุกอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค มีรถที่ไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 791 คัน และพบผู้ฝ่าฝืนเดินรถในเวลาห้าม จำนวน 785 ราย เนื่องจากเป็นสาเหตุให้การจราจรติดขัด

สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก มีการตั้งจุดตรวจทุกวันเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนทั่วประเทศ แบ่งเป็น จุดกวดขันวินัยจราจร 11,883 จุด, จุดตรวจแอลกอฮอล์ 7,953 จุด พบผู้ที่ฝ่าฝืนทั้งสิ้น 281,602 ราย ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา 21,670 ราย ข้อหาไม่สวมหมวกนิรภัย 31,234 ราย และข้อหาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 119,816 ราย โดย 10 ข้อหาหลักนี้ จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่น จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

ส่วนการป้องกันและลดอุบัติเหตุ รัฐบาลกำหนดค่าเป้าหมายให้จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (สงกรานต์ 2564-2566) โดยการเกิดอุบัติเหตุ 7 วันของเทศกาลสงกรานต์ 2567 เกิดจำนวน 2,044 ครั้ง ลดลงจำนวน 159 ครั้ง (ลดลง 7.22%) จำนวนผู้เสียชีวิต มีจำนวน 287 ราย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 23 ราย (เพิ่มขึ้น 8.71%) จำนวนผู้บาดเจ็บ มีจำนวน 2,060 คน ลดลง 148 คน (ลดลง 6.7%) และการดำเนินคดีข้อหาเมาขับซ้ำสอง มีจำนวน 96 ราย

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า การอำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เทศกาลสงกรานต์ 2567 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้ตำรวจอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ลดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยจากสถิติพบว่าปีนี้การเกิดอุบัติเหตุลดลงมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยลดลงถึง 7.22% แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในการดูแลตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีวินัยจราจร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อุบัติเหตุทางถนนลดลง นอกจากนี้ ขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลผู้ใช้ทางอย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการสรุปข้อมูล วิเคราะห์สภาพปัญหาและถอดบทเรียน ปัญหาการปฏิบัติทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงเทศกาลสำคัญต่อไป

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! แผน 'หลัก-รอง' ขนย้ายกากแคดเมียมไป จ.ตาก พร้อม!! ชี้!! มีความรัดกุมทุกขั้นตอน 'ถุงบรรจุ-รถขน-เส้นทาง-หน้าบ่อกลบ'

(18 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการขนย้ายกากแคดเมียมไปยัง จ.ตาก ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการตรวจสอบการขนย้ายกากแคดเมียม ตลอดจนการสืบหาข้อเท็จจริงและข้อบกพร่องในแต่ละขั้นตอนร่วมกับ 6 กระทรวง โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการนั้น 

ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาอีก 1 ชุด คือคณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน โดยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ได้ประชุมทุกวัน และได้เรียกบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มาหารือถึงขั้นตอนในการเตรียมการขนย้าย ซึ่งตนได้ย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เป็นไปตามกระบวนการ EIA และถูกต้องตามกฎหมาย จนได้ข้อสรุปวันขนย้าย รวมถึงวิธีการขนส่ง ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ลงไปดูพื้นที่หน้างานแล้ว โดยเฉพาะบ่อที่รับกากแคดเมียม มีความแข็งแรงทนทาน เพื่อทำการฝังกลบหรือไม่ ซึ่งในวันนี้จะมีการรายงานมายังตนเอง

ส่วนคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการดำเนินการจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมและการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ดูหน้างาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการเป็นคนของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ส่วนตัวอยากให้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย จึงขอเพิ่มคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานภายนอกด้วย 

นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุด และให้ นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน

“คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ปปง., บก.ปทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้หายคลางแคลงใจ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะขนย้ายให้เร็วที่สุด โดยวางไว้เบื้องต้นในวันที่ 7 พฤษภาคมและจะพยายามทำให้ได้รวดเร็ว แต่ขั้นตอนการเตรียมการมีค่อนข้างเยอะ เช่น ถุงที่บรรจุแคดเมียมต้องแข็งแรง รถขนส่งก็ต้องเป็นรถเฉพาะที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย เส้นทาง และจำนวนรถ ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามระบบความปลอดภัยของ EIA โดยความตั้งใจจริงอยากทำให้รวดเร็ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้สามารถทำได้เร็วขึ้นคือการเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น แต่หน้าบ่อที่จังหวัดตาก ก็ต้องมีความพร้อมเช่นกัน ยืนยันว่า มีแผนหลัก และแผนสำรองในการขนย้าย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘ยูทูบเบอร์ไทย’ ถ่ายรูปติด ‘ผี’ ที่ฮ่องกง เกาะไหล่ชวนหลอน ด้านชาวเน็ตถกจนเป็นไวรัล สงสัย!! สรุปเป็นผีหรือคน

(18 เม.ย.67) จากกรณี ‘แอนตี้’ ยูทูบเบอร์หญิง อัปโหลดคลิปวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวฮ่องกง โดยมีชื่อคลิปว่า ฮ่องกง ‘หลอน’ กว่าที่คิด เมื่อชั้นถ่ายติด… ผ่านช่อง ANNDAY เที่ยวไปวันวัน ซึ่งเธอเล่าว่า ขณะที่เธอกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่ Hollywood Road และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์และแกลอรี่จัดแสดงงานศิลปะแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสถานีตำรวจและคุกเก่า ระหว่างทางได้เดินผ่านกำแพงของผับแห่งหนึ่งซึ่งเป็นรูปแมวติด ๆ กัน เธอและแฟนเห็นว่าสวยดีจึงอยากเซลฟี่ผ่านกระจกด้วยมือถือ ซึ่งเมื่อกลับมาดูรูปอีกครั้งพบว่ารูปสุดท้ายที่ถ่ายกับแฟนกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงผมยาว ใบหน้าเศร้าหมอง ทำให้เธอตกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร

โดยแอนตี้กล่าวต่อว่า ด้านแฟนก็ถามว่ามีคนมาถ่ายรูปด้วยแล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่า? แต่เธอก็ยืนยันว่าตนเป็นคนเซนส์ดี หากมีคนมาใกล้อย่างไรก็ต้องรู้แน่นอน นอกจากนี้เธอยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รูปสุดท้ายซึ่งเป็นรูปถ่ายปกติ และรูปที่มีผี ระยะเวลาห่างกันเพียง 1 นาทีเท่านั้น และเธอยืนยันว่าตนไม่ล้อเล่นแน่นอน เพราะเมื่อนำเรื่องนี้ไปถามคนที่มีเซนส์ ก็ต่างบอกว่าาก็บอกว่า “ใช่ น่าจะผีจริง ๆ” อีกทั้งบางคนที่ได้เห็นรูปนี้ถึงกับร้องไห้ออกมา

ซึ่งเมื่อคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง จนเกิดเป็น #ผีฮ่องกง ติดเทรนด์อยู่บนแพลตฟอร์ม X ณ ขณะนี้ ทั้งมองว่าเป็นสิ่งลี้ลับ บ้างก็ว่าเป็นการจัดฉาก อาจจะเป็นคนมาทำโฟโต้บอมบ์แกล้งเข้ามาในกล้องก็ได้

เมื่อวันที่ 17 เมษายน ล่าสุดมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ หรือ X รายหนึ่งได้ทวิตถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านดังกล่าว ซึ่งทางร้านรับรู้เรื่องแล้ว ซึ่งทางร้านแจ้งว่าตั้งแต่เปิดให้บริการมายังไม่เคยพบเรื่องผีมาก่อน เดี๋ยวจะทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดไขข้องสงสัย แล้วโพสต์ผ่านพลตฟอร์มอินสตาแกรมของร้านเร็ว ๆ นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามจากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ ยอดผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มอินสตาแกรมของร้านดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีผู้เข้าไปกดติดตามแล้วกว่า 6,000 คน

สมุทรปราการ- 'วัดมหาวงษ์' จัดพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ เนื่องในวันสงกรานต์ครอบครัวพาณิชย์พิศาลร่วมงานบุญ

ภายในวัดมหาวงษ์ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ จัดพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารปรุงสุก เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ 

ภายในพิธีประกอบไปด้วย การถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ การสรงน้ำพระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล การขนทรายคืนวัดโดยมีคณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ร่วมประกอบพิธี

โดยในช่วงเช้าทางวัดมหาวงษ์ นำโดย พระครูปลัดจริยวัฒน์ หลวงพี่ตุ๋ย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ นำคณะสงฆ์ จำนวน 9 รูป ร่วมประกอบพิธีสวดมาติกา-บังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอดีตเจ้าอาวาสทุกรูปที่ทำคุณประโยชน์ให้กับทางวัดมหาวงษ์ อาทิ พระครูสุนทรธรรมวงศ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ 

มีคณะศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนผู้ใจบุญจำนวนมากร่วมในพิธี นำโดย นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล และครอบครัวพาณิชย์พิศาลเศรษฐีผู้ใจบุญที่ให้การสนับสนุนและพัฒนาวัดมหาวงษ์ให้เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย 

จากนั้น ครอบครัวพาณิชย์พิศาล นำคณะศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนผู้ใจบุญร่วมถวายภัตตาหารเพลแด่คณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ จากนั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เดินทางมาร่วมในงานครั้งนี้ 

อีกทั้ง ภายในงานทางคณะศิษย์ยานุศิษย์วัดมหาวงษ์ร่วมรดน้ำขอพร นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์พาณิชย์พิศาล เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทางวัดมหาวงษ์ได้จัดขึ้น โดยทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลได้มอบเงินขวัญถุงแก่คณะศิษย์ยานุศิษย์และสื่อมวลชนที่เดินทางมาร่วมงานคนละ 500 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจเป็นเงินขวัญถุงให้กับผู้ที่มาร่วมงานครั้งนี้อีกด้วย

เชียงใหม่-สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”

สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับสมาชิกสมาคม ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง  เพื่อสะท้อนมุมมองความท้าทายและโอกาส ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด และปาฐกถาพิเศษ ถึงมาตราการและแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 ณ โรงแรม ยู นิมมาน"

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลนั้นได้ตระหนักถึงปัญหาและไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีนโยบายที่จะผลักดัน และประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะลดปัญหาต่างๆ และเพิ่มความสามารถของผู้บริโภคให้มีโอกาสเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว

มาตราการด้านภาษีสำหรับผู้บริโภค สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) เฉพาะที่มีราคาซื้อขาย และราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา ในการจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2 % เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย การลดค่าธรรมเนียมการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งมาตราการนี้กำลังมีการพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์จากไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา เป็น 7 ล้านบาท ให้เป็นไปตามภาวะการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน

การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และรัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อตอบสนองให้ผู้บริโภคได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการจัดทำโครงการสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐหรือโครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งเน้นไปที่ราคาที่อยู่อาศัยราคาต่ำเพื่อผู้มีรายได้น้อย  ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อเพิ่มวงเงินกู้ต่อรายให้สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับราคาที่อยู่อาศัยที่สูง โครงการ Happy Life เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารเพื่อต่อเติม ขยายหรือซ่อมแซมอาคาร ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น

ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในภาวะอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันและทางรัฐบาลจะช่วยผลักดันให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจออกมาตราการส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย และบรรเทาภาระในการชำระสินเชื่อ

ในส่วนนโยบายของรัฐบาลต่อจังหวัดเชียงใหม่นั้น รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเช่น การจัดงานมหาสงกรานต์ ที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ถูกคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 จังหวัดเมืองหลัก การชุบชีวิตแหล่งท่องเที่ยว 7 แห่ง น้ำตกห้วยแก้ว สวนสัตว์เชียงใหม่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อุทยานหลวงราชพฤกษ์ โบราณสถานเวียงกุมกาม วัดพระธาตุดอยคำ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม  ปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 121 (วงแหวนรอบ 3 ) ทางหลวงหมายเลข 1004 (ถนนไปดอยสุเทพ) ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 เพื่อเป็นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้และกำลังซื้อให้กับประชาชน

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวในการบรรยายพิเศษ ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ปัญหาหลักของธุรกิจอสังหาฯในตอนนี้ คือ ตลาดหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยอดขายในไตรมาส 1/2567 ลดลง 29% สินค้ารอการขายมีสูงสุดในรอบ 29ปี สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในระดับราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท

นภาพร/เชียงใหม่

สตม.จับกุมผู้ประสานงานขบวนการขนชาวบังกลาเทศ/เมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (เครือข่ายชาลิสา)

ตม.จว.ชุมพร, ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม., สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร จับกุม นายยุธพงษ์ฯ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.86/2567 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักแห่งหนึ่งใน ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจยานพาหนะ บ้านพละ อ.ปะทิว จว.ชุมพร จับกุมนายกรวิทย์ (นามสมมติ) ขณะขับรถยนต์ส่วนบุคคล (รถเก๋ง) บรรทุกคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สัญชาติบังกลาเทศ 4 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าชาวบังกลาเทศทั้งหมดได้ลักลอบเข้ามาทางชายแดนไทย-กัมพูชา พบพยานหลักฐานเป็นการติดต่อสั่งการว่าจ้างขนคนผ่านทางไลน์กับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก (นามสมมติ) และพบหลักฐานการโอนเงินเป็นค่าน้ำมัน และค่าจ้างขนคนต่างด้าวฯ โดยก่อนเกิดเหตุกลุ่มของผู้ต้องหารับคนต่างด้าวฯ จากพื้นที่ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา เพื่อไปส่งที่ อ.บางกล่ำ จว.สงขลา ตกลงค่าจ้างคนละ 2,500 บาท ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะโอนค่าจ้างบางส่วนซึ่งเป็นค่าน้ำมันมาให้ก่อนออกเดินทาง และจะได้ค่าจ้างทั้งหมดเมื่อถึงปลายทาง จากการขยายผลพบว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มผู้ต้องหาขนชาวบังกลาเทศมาทั้งสิ้น ๑๒ คน โดยใช้ขบวนรถเก๋ง ๓ คัน คันละ ๔ คน มีการเคลื่อนที่จาก จว.ฉะเชิงเทรา มายังถนนพระราม ๒ และเข้าถนเพชรเกษม โดยมีนายปรีชา (นามสมมติ) ขับรถนำทาง และนายยุธพงษ์ฯ ขับรถขนคนต่างด้าวฯ อีกคัน ซึ่งทั้งหมดมีการติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชัน Zello ในระหว่างขนคนต่างด้าวฯ เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ในเส้นทาง ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ และต่อมาศาลจังหวัดชุมพรได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ที่ร่วมกระทำความผิดในฐานความผิดช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม ดังนี้ (1) น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง (2) นายปรีชาฯ ทำหน้าที่ขับรถนำ (3) นายยุธพงษ์ หรือต๋อย ทำหน้าที่ขับรถขน คนต่างด้าว และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในเวลาต่อมา

จากข้อมูลของ บก.สส.สตม. ยังพบว่า นายกรวิทย์ฯ (นามสมติ)/ผู้ต้องหา เป็นหัวหน้าทีมขนคนในพื้นที่ ภาคกลางโดยจะติดต่อรับงานมาจาก น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายสมชายฯ (นามสมมติ) ซึ่งทั้งสองจะทำหน้าที่ประสานงานและจัดหารถเพื่อจัดส่งคนไปยังพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่า น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ยังมีความเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบขนคนต่างด้าวฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ซึ่งจับกุมนายสำฤทธิ์ (นามสมมติ) และ นายยุธพงษ์ฯ พร้อมชาวบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 10 ราย ซึ่งนายยุธพงษ์ฯ ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายกรวิทย์ฯ และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ให้ขนชาวบังกลาเทศจาก จว.ฉะเชิงเทรา ไปยัง จว.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งพนักงานสอบสวนเพื่อยื่นต่อศาลออกหมายจับ จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายบุญเชิด (นามสมมติ) ทำหน้าที่รถนำ, นายกรวิทย์ฯ ผู้ว่าจ้าง และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 รายอยู่ระหว่างรอออกหมายจับ นอกจากนี้ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ยังมีความเชื่อมโยงในคดีช่วยเหลือ ซ่อนเร้นฯ อีก 3 คดี ดังนี้

1. คดีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 สภ.พะวอ จว.ตาก จับกุม นายสุริยงค์ฯ และ น.ส.ฐิติกานต์กมล (นามสมมติ) ขณะลักลอบขนชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 2 ราย จากการสืบสวนขยายผล พบว่าผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับทีมรถขนคนของนายกรวิทย์ฯ
2. คดีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์ จับกุมนายนิรันดร์ฯ (นามสมมติ) พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 25 ราย โดยจากการสืบสวนขยายผลของ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกับ บก.สส.ภ.6สามารถออกหมายจับ 1.นายกรวิทย์ฯ (นามสมมติ) 2.นายสุริยงค์ (นามสมมติ) 3.นายอนุภัทรฯ (นามสมมติ) 4.นายวิโรจน์ฯ (นามสมมติ) ซึ่งนายกรวิทย์ฯ /ผู้ต้องหาตามหมายจับ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ถูกจับกุมได้ทั้งหมด
3. คดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.เมืองชุมพร จับกุมนายณัฐวัฒน์ฯ (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดฐาน ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ จำนวน 2 คดีในพื้นที่ สภ.เสวียด จว.สุราษฎร์ธานี และ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว พร้อมคนต่างด้าวชาวไต้หวันหลบหนีเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสมชายฯ (นามสมมติ) ต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 ได้จับกุมนายสมชายฯ ในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง จว.นนทบุรี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายสมชายฯ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องรับส่งคนต่างด้าวกับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในเครือข่าย น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก นั้น น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะทำหน้าที่   เป็นนายหน้าประสานงานและจัดหารถขนคนเช่นเดียวกับนายสมชายฯ โดยมีนายกรวิทย์ฯ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมรถขนคนต่างด้าว คอยจัดหาขบวนรถประกอบไปด้วย รถนำทางและรถขนคน โดยจะมีการจัดหารถขนคนทั้งจากพื้นที่ภาคกลาง ไปยังพื้นที่ภาคใต้ เมื่อคนต่างด้าวถึงพื้นที่ จว.สงขลา จะมีนายหน้าจังหวัดชายแดนใต้ จัดหารถขนคนมารับที่จุดพักคอย ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กหรือพื้นที่รกร้างที่อยู่ริมถนนหลวง เพื่อนำไปยัง จว.นราธิวาส และลักลอบเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะได้รับค่าจ้างขนคนต่างด้าวมาจากนายหน้าตามแนวชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้บัญชีร้านแลกเงินที่อยู่ตามแนวชายแดน เป็นจำนวน 4,000 บาท/คน ก่อนจะหักไว้ 500 บาท/คน และติดต่อว่าจ้างนายกรวิทย์ฯ ในราคา 3,500 บาท/คน ก่อนที่นายกรวิทย์ฯ จะจัดหารถขนคน และหักส่วนต่างไว้ 500 บาท/คน โดยในเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-สงขลา รถขนคนจะได้รับค่าจ้าง 2,500 - 3,000 บาท/คน เมื่องานสำเร็จขบวนรถขนคนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินโอนจากบัญชีของนายกรวิทย์ฯ ซึ่งนายกรวิทย์ฯ จะได้รับค่าจ้างมาจากบัญชีของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก

สรุปผลการปฏิบัติการจับกุมมีความเชื่อมโยง 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 8 หมายจับ ผู้ต้องหา 8 ราย / จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 42 ราย / ตรวจยึดยานพาหนะ 6 รายการ (กระบะ 1 ตู้ทึบ 1 รั้วคอก 1 รถเก๋ง 3)

สตม.จับกุมผู้บงการ เครือข่ายขนคนต่างด้าว (เครือข่ายเฮียไก่ อรัญฯ) ส่งปลายทางประเทศที่สาม พบความเชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (18 เม.ย.67) เวลา 10.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข  ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.ตม.จว.กระบี่, พ.ต.ท.พิระวัตร์ วงศ์ศิริเมธีกุล สวญ.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

1. สตม.จับกุมผู้บงการ เครือข่ายขนคนต่างด้าว (เครือข่ายเฮียไก่ อรัญฯ) ส่งปลายทางประเทศที่สาม พบความเชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี 

กก.สส.บก.ตม.3 ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้ว, กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว จับกุม นายไก่ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี สัญชาติไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวของ บก.ตม.3 และ บก.ตม.6 ตามหมายจับ  ศาลจังหวัดสระแก้ว ที่ 28/2567 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าว (ชาวบังกลาเทศ) ที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จว.สระแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านคลองสาระพา ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จว.สระแก้ว 

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 เวลาประมาณ 05.00 น. เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สระแก้ว และชุดจับกุม ได้ร่วมกันจับกุมชาวบังกลาเทศที่หลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย จำนวน 11 ราย ซึ่งโดยสาร มากับรถยนต์กระบะ โตโยต้า รุ่น รีโว่ สีดำ ทะเบียน XXX กรุงเทพมหานคร โดยขณะเกิดเหตุนายทวีศักดิ์ (นามสมมุติ) ผู้ขับขี่ได้หลบหนีไป และเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลัง จากการสืบสวนขยายผลพบว่ามี นายไก่ เป็นผู้สั่งการ และจ้างวานให้นายทวีศักดิ์ขนคนต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จว.สระแก้ว จนนำไปสู่การออกหมายจับนายไก่ และจับกุมได้ในเวลาต่อมา 

จากการสืบสวนร่วมกันระหว่าง บก.ตม.3 บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. พบว่า นายไก่เป็นผู้สั่งการรายสำคัญในเครือข่ายลักลอบขนชาวกัมพูชาและบังกลาเทศ โดยทำหน้าที่ประสานงานบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในการลักลอบนำพาชาวบังกลาเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ ในพื้นที่ จว.สระแก้ว ผ่านภาคตะวันออก ภาคกลาง ไปยังภาคใต้ โดยมีจุดหมายที่ประเทศมาเลเซีย โดยนายไก่ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.111/2567 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ในข้อหา “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม” และยังปรากฏหลักฐานความเชื่อมโยงนายไก่กับการก่อเหตุขนชาวบังกลาเทศในภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ หลายพื้นที่ โดยให้การรับสารภาพว่าได้ติดต่อประสานงานกับนายใหญ่ นายหน้าชาวกัมพูชา ให้ลักลอบนำพาชาวบังกลาเทศเข้ามาจากประเทศกัมพูชามายังประเทศไทย เพื่อเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยกระทำในลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้ ชุดสืบสวนของ สตม. จะได้ร่วมกันสืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมาดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการรายอื่นต่อไป 

สรุปผลการจับกุมเครือข่ายเฮียไก่อรัญ จับกุมจำนวน 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 14 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 5 หมายจับ ผู้ต้องหา 3 ราย จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 56 ราย ตรวจยึดยานพาหนะ 11 คัน (รถเก๋ง 5 กระบะ 3 ตู้ทึบ 3)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top