Friday, 10 May 2024
ECONBIZ

คลัง ชี้! เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีสัญญาณดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกที่ไม่รวมทองคำกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน จากยอดขายสินค้าเกษตรและอาหาร การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทั้ง โทรศัพท์และอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน  อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนมา จากมาตรการของรัฐ โดยอยู่ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 47.8 ในเดือนก่อน มีสาเหตุมาจากไวรัสโควิด -19  ระลอกใหม่ เริ่มคลี่คลายลง และการฉีดวัคซีนโควิดภายในประเทศเริ่มกระจายหลายพื้นที่มากขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร มีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัว 18.6% ต่อปี เช่นเดียวกับภาคการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น โดยยอดขายปูนซีเมนต์ขยายตัว 0.9% ต่อปี เพราะความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ กลับมาขยายตัว 2.9% ต่อปี

ส่วนยังมีสินค้าที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก โดยการส่งออกทองคำและสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันยังคงลดลง นอกจากนี้ในด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนก.พ.มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจจำนวน 5,741 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน

ด่วน! เรือ Ever Given เริ่มขยับแล้ว หลังเจ้าหน้าที่ระดมช่วยให้หลุดเกยตื้นในคลองสุเอซตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบขณะนี้มีเรือสินค้ากว่า 450 ลำ รอสัญจร

บริษัทอินช์เคป (Inchcape) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางทะเล ได้ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เรือ Ever Given ซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่เกยตื้นจนกีดขวางเส้นทางสัญจรในคลองสุเอซ ขณะนี้กลับมาลอยได้อีกครั้งแล้ว และกำลังได้รับการช่วยกู้เพิ่มเติมโดยทีมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

อินช์เคปเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ว่า “เรือ Ever Given ได้รับการกู้จนกลับมาลอยอีกครั้งได้สำเร็จ ณ เวลา 04.30 น.ของวันที่ 29 มี.ค. 2564 ขณะนี้กำลังมีการช่วยกู้อย่างต่อเนื่อง และจะประกาศข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องแผนดำเนินการขั้นต่อไปเมื่อทราบแน่นอนแล้ว”

อินช์เคป ระบุว่า ทีมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภารกิจกู้เรือครั้งนี้ได้สำเร็จโดยใช้เวลาเกือบ 1 สัปดาห์หลังจากเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ดังกล่าวประสบเหตุเกยตื้นจนกีดขวางเส้นทางสัญจรในคลองสุเอซ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการค้าที่สำคัญที่สุดในโลก

โดยความสำเร็จในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังทีมปฏิบัติการขุดลอกคลองได้ขุดทรายออกมาแล้ว 2.7 หมื่นลูกบาศก์เมตรจากการขุดสองฝั่งของคลองสุเอซเข้าไปเป็นระยะทางลึก

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เรือ Ever Given จะกลับมาลอยได้อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าคลองสุเอซจะสามารถเปิดเส้นทางให้สัญจรได้อีกครั้งเมื่อใด หรือจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการจัดการลำเลียงเรือจำนวนกว่า 450 ลำที่ยังคงติดค้าง รอสัญจร หรืออยู่ระหว่างการเดินทางมายังคลองสุเอซในขณะนี้

.

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/73997


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สศอ. ชูโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model หลังรัฐประกาศวาระแห่งชาติ สร้างเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว พร้อมชูแนวคิดดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อน

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เร่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model หลังรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ชูแนวคิดดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกัน มุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เพื่อเพิ่มมูลค่าเน้นพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดอยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล พร้อมทั้งพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลได้ประกาศให้ BCG Model เป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียวเพื่อกำหนดแนวทางและบูรณาการจัดทำแผนงานโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงฯ มุ่งเน้นไปที่ 4 เป้าหมายหลัก คือ...

1.) สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เน้นเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มสร้างโมเดลธุรกิจและผู้ประกอบการใหม่

2.) สร้างความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ลดของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อม

3.) สร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรมตามนโยบายตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย

และ 4.) ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ในองค์กรและเกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนให้ความสำคัญ พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า สศอ. ได้เล็งเห็นความสำคัญของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาทั้งในระดับสากลและวาระแห่งชาติเรื่อง BCG Economy Model จึงได้จัดทำแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

โดยการบูรณาการทำงานของทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ มุ่งสร้างมูลค่าสูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่กับการลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ (Zero Waste) เน้นการปรับโครงสร้างการผลิตสู่รูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การบริโภค การจัดการของเสีย จนถึงการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดของเสีย และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ

ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ปรับกระบวนการผลิตและการออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยนำของเสีย/วัสดุเหลือใช้มาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจสู่โมเดลธุรกิจหมุนเวียน และการสร้าง Circular Startup

นายทองชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้างต้นแล้ว สศอ. ยังได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนา (Cross-cutting Measures) ครอบคลุมทั้งในเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ สิทธิประโยชน์ และการพัฒนาระบบนิเวศน์ (Eco-system) ต่าง ๆ เช่น การพัฒนาระบบการมาตรฐานสำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียน การปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำขยะ/ของเสียไปใช้เป็นทรัพยากรในการผลิต มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพและอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น

โดย สศอ.ได้ผลักดันข้อเสนอมาตรการเหล่านี้ผ่านกลไกขับเคลื่อน BCG Model ในระดับประเทศ ควบคู่กับการผลักดันการดำเนินงานผ่านกลไกความร่วมมือเชิงบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมา สศอ. มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยให้การรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแก่ผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่การพัฒนาในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนนำร่องในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมทั้งกำหนดรูปแบบความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานและโมเดลต้นแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่มีศักยภาพ ที่พร้อมนำไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) คว้าแชมป์อันดับ 1 ผู้นำการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการครบวงจร จากผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจปี 2563 สาขาสาธารณูปการ ด้วยคะแนน 4.4221

ลั่นเดินหน้าพัฒนาองค์กรและสร้างบุคลากรทุกระดับ เน้นสร้างมิติใหม่ให้กับงานบริการที่เป็นเลิศผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย!

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปี 2563 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ได้พัฒนาต่อยอดระบบประเมินผลสำหรับใช้ประเมินในทุกรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประกอบด้วย

1.) การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

และ 2) ผลการดำเนินงานที่สำคัญ (Key Result) และงานตามภารกิจหลัก (Core Business Enablers) ทั้ง 8 ด้าน ได้แก่

- การกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร

- การวางแผนเชิงกลยุทธ์

- การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน

- การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและลูกค้า

- การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล

- การบริหารทุนมนุษย์

- การจัดการความรู้และนวัตกรรม

- และการตรวจสอบภายใน

โดย กนอ.อยู่ในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจ สาขาสาธารณูปการ จากทั้งหมด 9 สาขา ประกอบด้วย สาขาขนส่ง / สาขาอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม / สาขาสาธารณูปการ / สาขาสังคมและเทคโนโลยี / สาขาสถาบันการเงิน / สาขาเกษตร / สาขาทรัพยากรธรรมชาติ สาขาสื่อสาร และสาขาพลังงาน ซึ่งคะแนนประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ปี 2563 (ณ วันที่ 24 ก.พ.2564) ปรากฏว่า กนอ. ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในสาขาสาธารณูปการ โดยได้คะแนน 4.4221 หากเทียบกับรัฐวิสาหกิจอื่น โดยพิจารณาจากคะแนนรวม กนอ. จัดอยู่ในอันดับที่ 3

“การดำเนินงานของ กนอ.มุ่งมั่นพัฒนาและให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานตามภารกิจและความต้องการของผู้ใช้บริการในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล

รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ภายใต้การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กนอ.บรรลุเป้าหมายของการเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำของประเทศ” นางสาวสมจิณณ์ พิลึก กล่าว

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล ถือเป็นโอกาสและความท้าทายของ กนอ.ในการพัฒนาองค์กรและสร้างบุคลากรทุกระดับ เน้นสร้างมิติใหม่ให้กับงานบริการที่เป็นเลิศผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยเป้าหมายหลักของ กนอ.คือการก้าวสู่องค์กรและนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบดิจิทัล (Digital) เต็มรูปแบบ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า คู่ค้า รวมทั้งยกระดับมาตรฐานการให้บริการสู่สากลทั้งการให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทุกกลุ่ม

“การนำระบบดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของ กนอ.ทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีไปยังทุกภาคส่วน และนอกจากเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันแล้ว ยังสร้างความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม และสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ด้วย” ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวปิดท้าย


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ตั้งเป้า 2 ปี ดันประเทศไทยติด 1 ใน 10 “ดูอิ้ง บิสเนส”

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับทุกส่วนราชการเพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (ดูอิ้ง บิสเนส) โดยได้ตั้งเป้าหมายการทำงานภายในปี 65 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องติด 1 ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่ได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการจัดตั้งธุรกิจตามการจัดอันดับของธนาคารโลกให้ได้ จากปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 21 จากการจัดอันดับประเทศสมาชิกของธนาคารโลก ทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก  

“ได้สั่งการในเรื่องของการเชื่อมโยงระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ ในส่วนที่เป็นเนชั่นแนล ซิงเกิล วินโดว์ ที่ได้วางระบบไว้แล้วของทุกส่วนให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้จริงภายในเดือน กันยายนนี้ เพื่อให้ขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง มีความรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เช่นระบบศุลกากร ที่จะต้องขับเคลื่อน โดยจากการรับทราบข้อมูลก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง จึงได้มีการเร่งรัดงานทุกด้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ด้วย”

สำหรับการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เป็นการปฏิรูปการทำงานในเรื่องของการทำธุรกิจในประเทศไทย แบ่งเป็น 11 ด้าน คือ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการขอใช้ไฟฟ้ายกเลิกการเรียกเก็บหลักประกันการใช้ไฟฟ้าจากผู้ขอใช้ไฟฟ้ารายใหม่ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงโดยเพิ่มช่องทางการเข้าซื้อทรัพย์ของกรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย และด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หรือ KMITL ผนึกต่างชาติ เปิดตัว ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันโปรแกรมเมอร์แห่งแรกของไทย และแห่งที่ 3 ของเอเชีย ใต้แนวคิดเก๋ ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันนโยบาย ‘ส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์’ (Coding) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยนวัตกรรม (Digital Disruption) ที่มุ่งปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานยุคดิจิทัลได้เต็มศักยภาพ สู่การมีทักษะสำคัญอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล คิดเชิงคณิตศาสตร์ และการแก้ไขปัญหาอย่างมีหลักการ 
.
โดย สจล. ถือเป็นต้นสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตของไทย ที่มีหัวคิดทันสมัยและปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ภายใต้ความร่วมมือของ ‘เอกอล 42’ (Ecole42) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับโลก เพื่อพัฒนาคนคุณภาพด้านโปรแกรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล อันสอดรับกับนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 
.
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของการมี ‘ซุปเปอร์โปรแกรมเมอร์’ เนื่องจากอาชีพดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์อาชีพที่เป็นที่ต้องการจากทุกองค์กรทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล 
.
ดังนั้น การจัดตั้ง ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับหัวกะทิ แห่งแรกอาเซียน และที่ 3 ของเอเชีย ถือเป็นสนามปั้นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ ระดับซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) ภายใต้มาตรฐานการสอนเดียวกับสถาบันต้นกำเนิดจากกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ฉีกทุกกฎการเรียนรู้แบบไร้ข้อจำกัด ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’ นับเป็นจุดเปลี่ยนแรกของการศึกษาไทย ที่เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดโลกการทำงานระดับสากล ภายใต้เครือข่ายเอกอล 42 ทั่วโลก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรูปแบบการสอนเดิมเท่านั้น แต่สามารถก้าวสู่โลกการทำงานสายดิจิทัลได้อย่างมืออาชีพ ตอกย้ำการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง (Change Maker) ของ สจล. อย่างแท้จริง
.
ด้าน ผศ.ดร.ชัยยันต์ เจตนาเสน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ Executive Director of 42 Bangkok กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘42 บางกอก’ มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Project Based Learning ที่เน้นการเรียนรู้จริงปฏิบัติเป็น และแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ผ่านการฝึกคิดแก้โจทย์จริงจากภาคธุรกิจชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์-เทคโนโลยี แบบเป็นขั้นตอน ซึ่งจะไต่ระดับจากง่ายไปยากใน 21 ระดับ โดยการเรียนในระยะแรก ผู้เรียนจะต้องเรียนการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และเมื่อเลื่อนขั้นแล้ว ผู้เรียนจะสามารถเลือกทำโปรเจกตามความสนใจ ซึ่งในบางระดับต้องไปฝึกงานเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในสนามจริง
.
ทั้งนี้ เมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จในแต่ละระดับ จะมีคะแนนสะสมเพื่อขอเลื่อนขั้นในระดับต่อไปได้ จนกระทั่งจบการศึกษาภายในระยะเวลา 2-4 ปี เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริง โดยจะปูพื้นฐานด้วยภาษา C และ C++ พร้อมเพิ่มพูนทักษะด้วย Python Javascript เพื่อสร้างเว็บไซต์ หรือกระทั่งทำงานออกแบบเว็บไซต์ (Design) ให้มีฟังก์ชันที่รองรับการงานรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
“เพราะการเรียนที่ 42 บางกอก เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีอาจารย์สอน ไม่กำหนดเวลาเรียน ดังนั้น กระบวนการคัดเลือกผู้เรียนจึงมีการทดสอบแบบเข้มข้นใน 3 ด่านสำคัญ คือ ทดสอบออนไลน์ (Online Test) เพื่อวัดว่ามีตรรกะด้านการเขียนโปรแกรม ยืนยันสิทธิ์ (Check In) และ ด่านสุดท้าย ทำค่ายโปรเจก เวิร์คชอป (Piscine) การทำงานร่วมกันเป็นทีมแบบ 24/ 7 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่าการเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี ในคณะสายคอมพิวเตอร์ สำหรับในรอบนี้จะคัดเลือกในแต่ละกลุ่มเพียง 150 คน เพื่อเป็นนักศึกษาตัวจริงที่จะได้เรียนใน 42 บางกอก” ผศ.ดร.ชัยยันต์ กล่าว
.
สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเป็นบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ มีอายุอย่างน้อย 18 ปี ไม่ต้องมีวุฒิการศึกษาหรือเคยเรียนเขียนโปรแกรมมาก่อน ขณะเดียวกัน คนที่กำลังศึกษาด้านอื่นหรือทำงานอยู่ก็สามารถเรียนควบคู่ไปได้ และเมื่อเข้ามาเรียนได้ก็สามารถกำหนดรูปแบบการเรียนด้วยตนเองได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน 42 บางกอก อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนเข้าศึกษาต่อในเทอมแรก ซึ่งมีผู้สมัครจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 1,600 คน ครอบคลุม 81 ประเทศ โดยจะเริ่มเรียนในเดือน กรกฎาคม 2564 
.
ใครสนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ www.42bangkok.com หรือติดต่อ สำนักงานกิจการต่างประเทศ สจล. โทรศัพท์ 02-329-8140 เว็บไซต์ https://oia.kmitl.ac.th, www.kmitl.ac.th หรือ https://m.facebook.com/42Bangkok/
.
ที่มา: https://techsauce.co/news/kmitl-open-42-bangkok-thailand-first-programmer-institute?fbclid=IwAR0Iig2VvOpjYrLGfj5OKuolswfdisBuBGnkcU2apg_CFDDqdC-hLcnfSr0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ใบไม้แลกเงิน เชียงใหม่ผุดไอเดียขายใบไม้โลละ 2 บาท นำร่อง 34 หมู่บ้าน หวังช่วงลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น ทางศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปันหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ได้หาทางจัดการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการชิงเผา การบริหารจัดการเชื้อเพลิง การเฝ้าระวังและจัดเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟป่า แต่ในปีนี้ มีไฮไลท์สำคัญ เพราะนอกเหนือจากการเฝ้าระวังไฟป่าแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินได้จริ

ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้ดำเนินการนำร่องไปแล้วทั้งหมด 34 หมู่บ้าน ในอำเภอต่าง ๆ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใบไม้ที่นำมานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นใบไม้ที่มาจากพื้นที่ป่า แต่เป็นใบไม้ที่ถูกจัดเก็บมาจากพื้นที่การเกษตรก็ได้ เช่น สวนลำไย นาข้าวและอื่น ๆ เมื่อได้ใบไม้มาเป็นจำนวนมากตามที่ต้องการ ก็เข้าสู่กระบวนการอัดให้เป็นก้อน ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นก็นำไปจำหน่ายที่จุดรับซื้อ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บัญชาการฯ หมายเลขโทรศัพท์ 053-112808

สำหรับใบไม้ที่นำมาจำหน่ายจะมีมูลค่ากิโลกรัมละ 2 บาท โดยเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 - 24 มีนาคม 2564 ขณะนี้ได้ใบไม้อัดแท่งแล้วจำนวน 16.69 ตัน และมีความต้องการของบริษัทฯ ผู้รับซื้อสูงถึงจำนวน 50 ตัน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ที่หาได้ ซึ่งการรับซื้อใบไม้ดังกล่าว ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงนี้ และยังเป็นการลดเชื้อเพลิงที่จะถูกเผาในพื้นที่ป่า ลดเชื้อเพลิงจากพื้นที่การเกษตร และจากการเผาของชาวบ้านในแหล่งชุมชน ที่จะส่งผลทำให้เกิดมลพิษในอากาศ เมื่อสะสมจำนวนมากก็จะทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานด้วย

ทั้งนี้หากในอำเภออื่น ๆ นอกเหนือจาก 34 หมู่บ้าน ต้องการดำเนินการรับซื้อขายใบไม้ก็สามารถทำได้ โดยสามารถอัดให้เป็นก้อนและนำมาจำหน่ายได้เช่นกัน หรือหากใครไม่มีเครื่องอัดใบไม้ ก็ให้นำใบไม้ใส่ไว้ในกระสอบ ใส่ถุง หรือบรรทุกด้านหลังรถยนต์กระบะ แล้วเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ โดยปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ มีเครื่องอัดใบไม้ให้บริการจำนวน 2 เครื่อง และจะหมุนเวียนไปตามแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการกับพี่น้องประชาชน เมื่อบีบอัดใบไม้และมีการชั่งน้ำหนักที่จุดดังกล่าวแล้ว ก็จะได้รับเงินตามจำนวนใบไม้ที่นำมา

.

ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/local/462015?fbclid=IwAR2DDbOkrwDZev4V4lPkZfGRyYzC33AMRiLfU2EiKmJsr_UfvtZRFZyUveQ


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ศบศ. ไฟเขียวเปิดประเทศเร็วขึ้น นำร่องภูเก็ต จังหวัดแรก ให้เปิดรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 1 เม.ย.นี้ ระบุ ไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดช่วง 7 วันแรก คาดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยราว 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบศ.ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว และมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ

โดยจะเริ่มนำร่องตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ ที่จังหวัดภูเก็ตก่อน โดยไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดไว้ 7 วัน จากนั้นจึงเดินทางออกไปเที่ยวได้ทั่วประเทศ เบื้องต้นประเมินว่า จะทำมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยได้ประมาณ 1 แสนคน

ทั้งนี้ที่ประชุม ศบศ. ได้มอบหมายให้ ททท.ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจน เช่นเดียวกับแผนการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความแน่ใจให้กับประชาชนและบุคลากรในพื้นที่

รวมไปถึงการยกระดับภูเก็ตเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ จากนั้นจึงนำเสนอ ศบค. ชุดใหญ่เห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน ภายใน 1 เดือน จากนั้นจึงเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า "ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจากได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดมานานกว่า 1 ปี ซึ่งการเปิดประเทศได้เร็ว จะทำให้อย่างน้อยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ สทท. จะไปหารือกับสมาชิก เพื่อหาทางขับเคลื่อนการทำงานต่อไป"


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

โอกาสของแบรนด์เสื้อผ้าไทย เมื่อชาวจีนพร้อมใจคว่ำบาตร เสื้อผ้าจาก สหรัฐอเมริกา และ ชาติพันธมิตร

Special Scoop

-----------------

เป็นที่ฮือฮากับปรากฎการณ์ที่ประชาชนชาวจีนได้ออกมาแสดงพลังของผู้บริโภค ในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก

ด้วยการที่ศิลปินดาราจีนกว่า 30 ราย ได้ออกมายกเลิกสัญญากับแบรนด์เครื่องแต่งกายของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร อย่าง H&M, Nike, Adidas, Puma, Burberry, Uniqlo, Lacoste, CK, Tommy Hilfiger, Converse, New Balance

----------------------

ตอบโต้ข้อกล่าวหาของชาติตะวันตก

----------------------

ปรากฎการณ์ที่ศิลปินดารา รวมถึงโซเชียลมีเดียของชาวจีน ออกมา Call Out ในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการตอบโต้ข้อกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ

โดยองค์กรเหล่านั้นได้ออกมากล่าวหาว่า “จีนบังคับใช้แรงงานทาสชาวซินเจียงอย่างโหดร้ายทารุณ” จนแบรนด์ดังของฝั่งตะวันตกและญี่ปุ่น ได้ออกมาขานรับแคมเปญ "ไม่รับซื้อผ้าฝ้ายจากซินเจียง"

ในขณะที่ชาวจีนต่างมองว่านี่เป็นเกมการเมืองของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่ใส่ร้ายป้ายสีและต้องการบีบประชาชนชาวจีน

โดยเอากรณีที่รัฐบาลจีนจับกุมกลุ่มก่อการหัวรุนแรงในซินเจียง เพื่อนำไปเข้าค่ายฝึกอาชีพ และ ปรับทัศนคติ ไปเหมารวมว่าชาวจีน "มีการกดขี่ข่มเหงชาวอุยกูร์เพื่อใช้แรงงานทาส"

----------------------

ปฏิบัติการ Call Out และ Social Sanction

----------------------

แบรนด์แรกที่โดนคว่ำบาตรจากชาวจีนคือ H&M ซึ่งได้ออกมาแถลงการณ์ออกมาขานรับกับองค์กรสิทธิมนุษยชนจากฝั่งตะวันตก ในสัปดาห์ที่แล้ว

จนเกิดเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง Weibo เรียกร้องให้มีการ Call Out เพื่อตอบโต้ต่อการกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรด้วยการคว่ำบาตร H&M จากตลาดจีน

การคว่ำบาตร เริ่มจากการที่เว็บซื้อขายออนไลน์ของจีนอย่าง Tmall, Pinduoduo, JD.com ได้นำการค้นหาแบรนด์ดังกล่าวออกจากเว็บ

และการเริ่มทยอยนำชั้นจำหน่ายสินค้าแบรนด์ดังกล่าวออกจากห้างสรรพสินค้าในประเทศจีน รวถมึงปลดป้ายโฆษณาของแบรนด์เหล่านี้ลงพืน้ที่โฆษณา

จนมาถึงการประกาศยกเลิกสัญญาของศิลปินดารากว่า 30 รายกับแบรนด์ชั้นนำที่ออกมาขานรับข้อกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร

ที่น่าสนใจคือ ดาราสาวชาวอุยกูร์ ตี่ลี่เลอปา ที่เกิดใน อุรุมชี มณฑลซินเจียงเอง ก็เป็นหนึ่งในดาราดังที่ออกมา Call Out และประกาศยกเลิกสัญญากับทาง Adidas ด้วย

ในโซเชียลมีเดียของจีนมีการวิพากษ์ถึงพฤติกรรมของแบรนด์ดังหลายยี่ห้อว่า “ในขณะที่พวกคุณต้องการหารายได้จากในประเทศจีน แต่กลับเผยแพร่ข่าวลือเท็จ และเรียกร้องให้คว่ำบาตรผ้าฝ้ายจากซินเจียงหรือ?”

หมายเหตุ : ด้าน Muji แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น ได้ไล่ลบโพสต์ที่เขียนสนับสนุนการคว่ำบาตรไม่ซื้อผ้าฝ้ายจากซินเจียงออกจากเว็บและเพจต่างๆ ในโซเชียลมีเดียจนหมด ซ้ำยังขึ้นป้ายผ้าทุกชิ้นที่ขาย ว่ามาจากซินเจียงด้วย จนทำให้ชาวจีนบอกว่า “Muji อยู่เป็น”

----------------------

โอกาสมูลค่านับแสนล้านของแบรนด์เสื้อผ้าไทย

----------------------

ในขณะที่จีนเริ่มตอบโต้ต่อสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ด้วยการคว่ำบาตรแบรนด์ดังเหล่านั้น

อีกด้านผู้ขายสินค้าและห้างสรรพสินค้าในจีน เริ่มมองหาแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำจากประเทศอื่นที่ไม่นำเรื่องการเมืองมาเป็นเครื่องมือทางการค้า

โดยไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีความสัมพันธ์อันดีกับชาวจีนมาอย่างยาวนาน รวมถึงกระแสภาพยนตร์หลายเรื่องจากไทย ผลไม้ไทย การท่องเที่ยวของไทย และอัธยาศัยที่เป็นมิตรของชาวไทย อยู่ในความนิยมของชาวจีนไม่น้อย

ปัจจุบันผู้ประกอบการและห้างร้านของจีน เริ่มมีการติดต่อผู้ค้าชาวไทย เพื่อหาแบรนด์เสื้อผ้าจากไทยไปลงในตลาดจีน

ซึ่งนี่เป็นโอกาสสำคัญที่แบรนด์เสื้อผ้าไทยจะได้ไปทำตลาดในประเทศที่มีประชากรถึง 1.4 พันล้านคน

และเมื่อเราลองพิจารณาดูจากรายได้ของ H&M ในตลาดจีนที่สูงถึง 1.05 หมื่นล้านบาทใน 1 ปี จะพบว่าหากแบรนด์สินค้าจากไทย สามารถเข้าไปแทนที่รายได้ดังกล่าวของ H&M และแบรนด์อื่นๆ ซึ่งมีมูลค่านับแสนล้าน

ต้องถือว่าปรากฎการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญครั้งใหญ่ สำหรับการบุกเบิกตลาดแบรนด์เสื้อผ้าไทย ซึ่งจะนำรายได้กลับมาสู่ผู้ประกอบการชาวไทยอย่างมหาศาล

โอกาสมาถึงแล้วครับ!!!

----------------------

เรื่อง: อ.ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์

อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (KMITL) เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีและประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมทางศาสนา ระบบสัญลักษณ์ในศิลปะสถาปัตยกรรมและตำนานวิทยา เคยสอนพิเศษด้านปรัชญาการเมืองและทฤษฎีสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีความสนใจด้านพัฒนาการของมนุษย์ผ่านหน้าประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง การสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมร่วมสมัย

----------------------

อ้างอิง

----------------------

- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-24/h-m-blasted-on-chinese-social-media-for-pulling-xinjiang-cotton?sref=CVqPBMVg

- https://www.globaltimes.cn/page/202103/1219474.shtml

- https://www.businessoffashion.com/articles/china/nike-loses-china-brand-ambassadors-over-xinjiang-other-brands-under-fire

----------------------

เครดิตภาพ 

https://entertain.teenee.com/chinese_star/216440.html


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

คลังขยายเวลาเราชนะกลุ่มพิเศษถึง 9 เมษายน 64

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (เพิ่มเติม) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง) ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 9 เมษายน 2564 เพื่อให้ครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกคน

ส่วนความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2564 พบว่า มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะแล้ว รวมทั้งสิ้น จำนวน 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 160,716 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอพพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ

ธุรกิจไทยไปเมียนมาอ่วม วอนรัฐช่วย

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจในเมียนมา เพื่อหารือถึงผลกระทบและมาตรการช่วยเหลือต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงในเมียนมา โดยมีการประเมินว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะชะลอตัวลง และหากการชุมนุมยืดเยื้อก็ยิ่งชะลอตัวมากกว่าเดิมอีก 

อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์จะรวบรวมผลการหารือ และข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนครั้งนี้ เสนอให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือต่อไป เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นต้น

“การลงทุนของผู้ประกอบการรายย่อยของไทยในเมียนมา ได้รับผลกระทบมากพอสมควร เพราะยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้ โดยบริษัทส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจปิดกิจการชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงและกำลังอยู่ในช่วงของการขาดสภาพคล่อง”
 

กระทรวงแรงงาน จับมือ ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ เสิร์ฟตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา เพื่อคนหางานใน “BANGKOK JOB FAIR 2021”

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร พบปะ 40 สถานประกอบการชั้นนำ และคนหางาน

นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำริให้จัดงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ในวันนี้โดยมีเป้าหมายในการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และลดปัญหาการว่างงาน โดยส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และคนไทยทุกคนที่ประสงค์จะหางานทำ ด้วยการจัดกิจกรรมเพิ่มโอกาสสมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากโดยตรงในคราวเดียว รวมทั้งเพิ่มโอกาสคัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ

“กระทรวงแรงงาน นำนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นแนวทางสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถเลือกทำงานได้ตามความรู้และความถนัดของตน ยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน “เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครงาน ผู้กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพเสริม และประชาชนผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมงานได้ในวันศุกร์ที่ 26 และวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้จัดกิจกรรมนัดพบแรงงาน โดยมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำเข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 แห่ง อาทิ บริษัท ซีพี แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น 

ซึ่งกิจการที่เปิดรับสมัครมีทั้งประเภทกิจการธุรกิจค้าปลีก กิจการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ กิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม กิจการให้บริการด้านการเงิน และกิจการบริการขนส่งสินค้าและขนส่งสาธารณะ มีตำแหน่งงานว่างซึ่งต้องการแรงงานในทุกระดับการศึกษา จำนวนกว่า 5,000 อัตรา ตำแหน่งงานที่น่าสนใจ ได้แก่ วิศวกรโยธา สถาปนิก เขียนแบบ ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน พนักงานบัญชี เจ้าหน้าที่ธุรการ พนักงานบริการ และพนักงานทั่วไป (ฝ่ายผลิต) เป็นต้น โดยแยกเป็นวุฒิปริญญาตรี 2,106 อัตรา วุฒิปวส. 461 อัตรา วุฒิปวช. 179 อัตรา วุฒิม.6 และต่ำกว่า 2,842 อัตรา รวมทั้งมีการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ วันละ 10 อาชีพต่อวัน รวมทั้งสิ้น 20 อาชีพ  และการแสดงการประกอบ อาชีพอิสระในรูปแบบ Food Truck จำนวน 4 คัน

“กรมการจัดหางาน ร่วมมือกับศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ จัด “BANGKOK  JOB  FAIR 2021” โดยมุ่งหวังให้คนหางานได้รับความสะดวกสบายและประโยชน์สูงสุด สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถสมัครงานง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน คือ 1. เลือกบริษัทที่ต้องการ 2. แสกนคิวอาร์โค้ด 3. เลือกตำแหน่งงานและกรอกข้อมูลส่วนบุคคลแล้วกดส่ง นายจ้าง/สถานประกอบการจะได้รับข้อมูล และผู้สมัครงานเข้ารับการสัมภาษณ์กับนายจ้าง/สถานประกอบการได้ทันที ในส่วนของการเดินทางได้เลือกจัดงานใจกลางเมืองที่มีความสะดวกในการเดินทาง โดยศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพระราม 9 ติดกับโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน และเทสโก้ โลตัส สามารถเดินทางทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว  ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1  หรือรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถเมล์ หรือรถตู้ปรับอากาศ มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือลงสถานีอโศก ต่อรถไฟใต้ดินลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1 หรือเดินทางด้วยรถตู้ปรับอากาศ สะพานใหม่-อสมท., งามวงศ์วาน-อสมท., มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางสาย 172, 98 ,171 ,36 ,73 ,73ก ,137 ,168 ,204 ,206 ,514 ,517 ,528 และ 529” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

รัฐบาลปลื้ม 3 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชวนใช้สิทธิ์ “คนละครึ่ง” ก่อนสิ้นสุดโครงการ 31 มี.ค. นี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่โครงการคนละครึ่งจะหมดเขตในวันที่ 31 มีนาคมนี้ อยากเชิญชวนให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ เร่งใช้จ่าย เพื่อจะได้ใช้วงเงินสิทธิ์ครบเต็มจำนวน ขณะนี้ มีผู้ใช้สิทธิ์ครบ 3,500 บาท แล้ว 6.38 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ 14.79 ล้านราย โดยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นรวม ณ 20 มี.ค. จำนวน 100,042 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายจากภาคประชาชน 51,214 ล้านบาท รัฐช่วยจ่าย 48,828 ล้านบาท สำหรับโครงการฯ ในเฟส 3 ทางกระทรวงการคลังแจ้งว่าอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งจะออกมาได้หลังจากที่โครงการเราชนะ และ ม.33เรารักกัน สิ้นสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564

ในส่วนของจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการเราชนะ ขณะนี้มี 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1.53 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการม33เรารักกัน มีผู้ได้รับสิทธิ์แล้ว 7.4 ล้านคน เริ่มโอนเงินงวดแรก 1 พันบาท แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ เมื่อ 22 มีนาคมมียอดการใช้จ่ายประมาณ 750 ล้านบาท และจะเปิดให้ยื่นทบทวนสิทธิ์ ถึงวันที่ 28 มีนาคมนี้ ทาง www.ม33เรารักกัน.com โดยประกาศผล วันที่ 5-11 เมษายน 64 ทางเว็บไซต์เช่นเดียวกัน 

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ทั้ง 3 โครงการของรัฐบาล สามารถแบ่งเบาภาระประชาชนจากผลกระทบโควิด-19 ได้มาก รวมถึงเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบคาดว่าไม่ต่ำ 2.5 แสนล้านบาท ตัวเลข ณ วันที่ 25 มีนาคม ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯทั้งสิ้นมากกว่า 1.5 ล้านกิจการ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากก็ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างมากด้วย

ทางหลวงชนบท สรุปการประชุมการศึกษาความเหมาะสม EIA เชื่อมเกาะลันตา ต.เกาะกลาง - ต.เกาะลันตาน้อย จ.กระบี่ เลือกเป็นแบบสะพานคานขึง เน้นความทนทานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) สรุปผลการประชุมและปัจฉิมนิเทศ โครงการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในขั้นรายละเอียด (EIA) สะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อนําไปประกอบแผนการดําเนินงานก่อสร้างในอนาคตให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากที่สุด

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช.ได้เล็งเห็นความจําเป็นของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างบ้านหัวหิน ตําบลเกาะกลาง กับเกาะลันตาน้อย ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญ สู่ชุมชน อํานวยความสะดวกด้านพาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนบนเกาะลันตา ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงแก้ไขปัญหาความยากลําบากในการเดินทางของประชาชน

เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางไปเกาะลันตาจะต้องผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 สู่บ้านหัวหิน ซึ่งเป็นจุดลงแพขนานยนต์ ท่าเรือบ้านหัวหินไปยัง ท่าเรือบ้านคลองหมาก ซึ่งท่าเรือดังกล่าวเชื่อมระหว่างเกาะกลางไปยังเกาะลันตาน้อย หลังจากนั้นจะมีสะพานสิริลันตาเชื่อมเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่ จึงจะถึงตัวเมือง ย่านชุมชน/การค้า และตรงต่อไปยังหาดต่าง ๆ จนไปสุดถนนที่ท้ายเกาะบริเวณที่ทําการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซึ่งการใช้แพขนานยนต์ แม้จะเป็นระยะทางสั้นเพียง 1.53 กิโลเมตร แต่เนื่องจากแพขนานยนต์บรรทุกรถได้น้อย มีจํานวนจํากัดและให้บริการในช่วงเวลา 06.00 - 22.00 น. เท่านั้น ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้าในช่วงเวลาเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทช.จึงได้จัดประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยได้เชิญกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น โดยแบ่งเป็น การประชุมปฐมนิเทศโครงการ, การประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 (2 กลุ่ม) และการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 (รวมทั้งหมด 3 ครั้ง) เพื่อสรุปแนวทางเลือกที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันคัดเลือกเส้นทางพื้นที่ศึกษาจุดเริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 ไปบรรจบกับจุดสิ้นสุดทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ความยาวสะพานรวมเชิงลาดประมาณ 2,240 เมตร

รูปแบบโครงการ สรุปได้ว่าเป็นแบบสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) ซึ่งเป็นรูปแบบสะพานที่มีความยาวช่วงสะพานมากกว่าสะพานทั่วไปทําให้เกิดความสะดวกสบายในการสัญจรทางน้ำ มีขั้นตอนในการก่อสร้างซึ่งรบกวนระบบนิเวศน้อยที่สุด

ต่อมา ทช.ได้จัดการประชุมหารือมาตรการและประชุมปัจฉิมนิเทศ เพื่อนําเสนอแนวสายทาง รูปแบบโครงการ พร้อมผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม มาตรการป้องกันแก้ไขลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงสรุปผลการศึกษาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยในส่วนของโครงสร้างที่อยู่ในทะเลนั้น จะมีมาตรการป้องกัน การสั่นไหวเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ป้องกันการกัดเซาะ ป้องกันการเกิดสนิม ซึ่งสายเคเบิลสะพานที่เป็นเหล็กได้ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันการเกิดสนิม โดยลักษณะการป้องกันสนิมที่สายเคเบิ้ล ประกอบด้วย

การป้องกันด้วยท่อพลาสติกหุ้มอยู่ภายนอก ป้องกันไอน้ำทะเล และแสง UV, ภายในท่อพลาสติกดังกล่าว มีการอัดน้ำปูน-ทราย หุ้มสายเคเบิ้ลไว้อีกชั้นหนึ่ง ทําให้ไม่มีช่องว่างให้อากาศชื้นที่มีความเค็มของไอทะเลเข้าไปอยู่ภายในท่อพลาสติกได้, การป้องกันสนิมที่ตัวสายเคเบิ้ล โดยมีสารเคลือบป้องกันสนิมโดยตรงตามมาตรฐานสากล ตลอดจนมีระบบตรวจสอบสภาพการเกิดสนิมและใช้ระบบไฟฟ้าสถิตเหนี่ยวการเกิดสนิม ไม่ให้เกิดที่สายเคเบิ้ล แต่ให้มาเกิดที่บ่อดักสนิมด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตแทน การป้องกันสนิมด้วยวิธีนี้เรียกว่า ระบบแคโทดิก เป็นการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแหล่งกําเนิดภายนอกเพื่อยับยั้งการเกิดสนิมของโลหะ

สําหรับขั้นตอนกระบวนการหลังจากการประชุมปัจฉิมนิเทศนั้น ทช.จะส่งรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ไปยัง สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 7 เดือน จากนั้นจะเข้าสู่คณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ ขั้นตอนสุดท้ายจะเข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบและเสนอของบประมาณในปี 2565 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,600 ล้านบาท


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ช่วยเกษตรกรข้าวโพด! จุรินทร์ นำเคาะ "รับประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564 ให้เกษตรกร"

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ) ครั้งที่ 2/5264 ที่ประชุมได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 วงเงินงบประมาณ 311,418,600 บาท 

สำหรับ พื้นที่ประกันภัย 2.86 ล้านไร่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของรัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า วงเงินคุ้มครอง 1,500 บาทต่อไร่ ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด วงเงินคุ้มครอง จำนวน 750 บาทต่อไร่ 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า โดยกรณีเป็นที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ของ ธ.ก.ส. รัฐบาลจะรับจ่ายค่าเบี้ยประกันให้ 96 บาท/ต่อไร่ ธ.ก.ส. รับชดเชย 64 บาท/ต่อไร่ รวมเป็น 160 บาท/ต่อไร่ กรณีเกษตรกรทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะแบ่งการรับประกันเป็น 3 พื้นที่ คือ พื้นที่เสี่ยงต่ำ 150 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 350 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 550 บาทต่อไร่

นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากที่ได้เอาประกันภัยข้างต้นแล้ว โดยเกษตรกร จะเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยเองตามระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่  คือ พื้นที่เสี่ยงต่ำ 90 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่ วงเงินคุ้มครอง 240 บาท/ต่อไร่ เมื่อประสบภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย และ 120 บาท/ต่อไร่ เมื่อประสบภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด

"ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป โดยมีระยะเวลาขายประกันภัย แบ่งเป็น 2 รอบ คือ รอบที่ 1 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และรอบที่ 2 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 15 มกราคม 2565 " รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top