Saturday, 20 April 2024
COLUMNIST

วิเคราะห์ ‘โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล’ แนวส่งน้ำยวม - อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล

ข้อสังเกตรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม บทที่ 9 การวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล

สรรสาระ ประชาธรรม คราวนี้มาด้วยเรื่องร้อน ๆ ของประเทศที่ว่าด้วยการมีโครงการระดับ 7 หมื่นล้านบาท และใช้เครื่องมือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นใบผ่านทาง ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์จึงเป็นหน้าที่ของผู้เขียนที่ต้องชี้ประเด็นว่า ในบทที่ 9 การวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมนั้น มีข้อสังเกตสำคัญอะไรบ้างที่ ผู้รับผิดชอบต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการตัดสินใจใช้งบประมาณกว่า 7 หมื่นล้านบาทนั้น แท้ที่จริงมีทางเลือกอื่น ๆ อีกหรือไม่อย่างไร

เรื่องมีอยู่ว่า กรมชลประทานว่าจ้างกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำรายงาน EIA โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล หลัก ๆ คือ ผันน้ำประมาณ 1.7 พันล้านลูกบาศก์เมตรมาเติมเขื่อนภูมิพลเพื่อนำน้ำดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากเขื่อนภูมิพลมีความจุเหลือในหน้าฝน 

แต่การผันน้ำนั้นต้องสร้างเขื่อนน้ำยวม สถานีสูบน้ำ อุโมงค์ส่งน้ำ และระบบสายส่งไฟฟ้า ราคาโครงการรวมทั้งหมด 70,675 ล้านบาท ประกอบด้วย ราคาเขื่อนและระบบส่งน้ำ 65,485 ล้านบาท และราคาระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 5,190 ล้านบาท ดังนั้น ต้นทุนของโครงการประมาณ 7 หมื่นล้านบาท 

ในด้านต้นทุนนี้มีข้อสังเกตสำคัญ 2 ประการ คือ ข้อแรก ราคาที่ใช้เป็นเกณฑ์ราคาปี 2555 จากกรมบัญชีกลาง และ ข้อสอง ราคาระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จะไม่ถูกนำมาคิดในต้นทุนโครงการเพราะที่ปรึกษากล่าวว่า เป็นหน้าที่ของ กฟผ. 

สำหรับประโยชน์ของโครงการนั้น ที่ปรึกษา แบ่งเป็นการทำการเกษตรรูปแบบปัจจุบัน และการปรับปรุงการปลูกพืชฤดูแล้งตามความเหมาะสมของดิน โดยมีรายละเอียดผลประโยชน์คือ 
1.) ปริมาณน้ำผันเฉลี่ยปีละ 1.79 พันล้าน ลบ.ม. 
2.) ปริมาณน้ำเพื่อการเกษตร 1.49 พันล้าน ลบ.ม.ต่อปี 
3.) ปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภคและอุตสาหกรรม 300 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี 
4.) พื้นที่เพาะปลูกฤดูแล้งเพิ่มขึ้น 1.61 ล้านไร่ต่อปี
และ 5.) เพิ่มการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล 417 ล้านหน่วยต่อปี ผลประโยชน์ของโครงการนั้น ที่ปรึกษาได้แจกแจงไว้ ดังนี้

ที่ปรึกษาได้แจกแจงไว้ในตารางที่ 1 ดังนี้
ตารางที่ 1 ผลประโยชน์ของโครงการ

ที่มา: บริษัทที่ปรึกษา

หมายเหตุ: 1.) กรณีที่ 1 การปลูกพืชฤดูแล้งในรูปแบบปัจจุบัน กรณีที่ 2 ปรับปรุงการปลูกพืชฤดูแล้งตามความเหมาะสมของดิน
2.) ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นในปีที่ 7 เป็นต้นไป

เมื่อที่ปรึกษาคำนวณโดยใช้ต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis) จะได้ว่าโครงการนี้จะคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เมื่ออัตราดอกเบี้ยประมาณร้อยละ 8 ในกรณีที่ 1 

สำหรับกรณีที่ 2 นั้นคุ้มค่าทุกระดับอัตราดอกเบี้ย เพราะมีค่าผลประโยชน์สุทธิเป็นบวก มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่าอัตราดอกเบี้ย มีอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุนมากกว่าหนึ่ง ตามตารางที่ 2

Hometown Cha-Cha-Cha เมื่อเกาหลีเบนเข็มกระชับคนเมือง - ชนบทให้ใกล้กัน พร้อมเชื่อมสัมพันธ์ความต่างระหว่างวัย

เป็นที่โด่งดังกับกระแสภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha ซึ่งเป็นเรื่องรักโรแมนติกระหว่างพระเอก-นางเอก พร้อมกับพล็อตเรื่องที่อยู่ในเมืองชนบทริมทะเลของประเทศเกาหลี ซึ่งเรียบง่ายแต่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์    

ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์กันว่านอกจากความรักโรแมนติกของคู่พระ-นาง เนื้อเรื่องเข้มข้น ที่มีทั้งสนุก ขำขัน เศร้า กดดัน และบทดี ๆ ที่ทำให้ได้อมยิ้มอยู่ตลอดทั้งเรื่องแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แฝง ‘ทัศนคติ’ และ ‘ค่านิยม’ อะไรให้กับผู้รับชมบ้าง

การเชื่อม ‘เมือง-ชนบท’ (Urban-Rural) และความเข้าอกเข้าใจบริบทในแต่ละท้องถิ่น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องโดยให้เห็นถึงความขัดแย้งกันระหว่าง นางเอกซึ่งเป็นหมอฟันจากเมืองหลวงอย่างโซล มีสังคมอยู่กับชนชั้นที่มีการศึกษาดี มีหน้ามีตาในสังคม มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี จากอาชีพที่ทำรายได้สูง ซึ่งแตกต่างและแปลกแยกจากคนอื่นในพล็อตของเรื่องที่เป็นคนในสังคมชนบทริมทะเล ซึ่งประกอบอาชีพทั่วไปและไม่ได้มีการศึกษาสูง หรือมีรสนิยมการใช้ชีวิตและเข้าสังคมแบบคนเมือง ทำให้เกิดความไม่ลงรอยและขัดแย้งกันหลายประการ โดยมีพระเอกของเรื่องที่คอยเป็นผู้สอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับนางเอก เพื่อให้นางเอกสามารถปรับตัวเข้ากับความเป็นสังคมชนบทของเมืองกงจินได้

ครั้งหนึ่งนางเอกซึ่งไปร่วมงานรื่นเริงของหมู่บ้าน ได้ไปแสดงท่าทางรังเกียจการทำอาหารของชาวบ้านในงานว่า ‘ไม่สะอาด ถูกสุขอนามัย’ เพราะทำในที่เปิดโล่ง หรือ การที่คุณยายกัมรีปั้นข้าวกับกิมจิให้นางเอกกินด้วยมือ ซึ่งนางเอกก็แกล้งรับไว้แต่ไม่กิน เพราะมองว่าผ่านกระบวนการที่ไม่สะอาด

รวมถึงการใช้คำพูดที่ขวานผ่าซาก รุนแรงกับคนในวงสนทนา ที่แม้จะเป็นความจริง แต่คำพูดของนางเอกนั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจในเรื่องมารยาทหรือปราศจากความถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมในชนบท

ภาพยนตร์ต้องการแสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงนางเอกไม่ได้เป็นคนจิตใจไม่ดี แต่เพราะมุมมองของคนที่โตมาในสังคมเมืองที่ทุกคนมีความเป็น ‘ปัจเจก’ สูง แต่เมื่อนางเอกเข้ามาอยู่ในเมืองชนบทซึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมแตกต่างจากสังคมเมือง ทำให้เธอปรับตัวไม่ได้ จนเกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ซึ่งกว่าที่พระเอกจะเข้ามาชักจูง (แกมบังคับ) ให้นางเอกไปขอโทษต่อชุมชน พร้อมทั้งซื้อขนม-น้ำดื่มติดไม้ติดมือไปเลี้ยงในที่ประชุมหมู่บ้าน จนถึงให้นางเอกลดละอัตตาส่วนตัวและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับคนในหมู่บ้าน สุดท้ายผู้คนเริ่มเปิดใจและยกโทษให้นางเอกได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนในชนบทจำนวนมาก ที่เป็นคนซื่อและจริงใจ ใครทำอะไรไม่ดี เขาก็ไม่ชอบ แต่หากคนนั้นสำนึกผิด พร้อมปรับตัวแก้ไข พวกเขาก็พร้อมจะให้อภัยและอยู่ร่วมกันได้

เสรีภาพที่มาพร้อมกับความเคารพต่อบริบทสังคม
อีกตัวอย่างคือกรณีที่นางเอก ใส่กางเกงเลคกิ้งรัดรูปและเสื้อเอวลอย วิ่งออกกำลังกายในหมู่บ้าน ซึ่งเมื่อมองผ่านสายตาของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ก็มองว่าเป็นชุดที่ ‘โป๊เกินไป’ ไม่เหมาะสมจะใส่มาวิ่งในที่สาธารณะ ซึ่งพระเอกพอทราบเรื่องก็ได้มาคุยกับนางเอกถึงความกังวลใจของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน

เรื่องนี้นางเอกได้เถียงกับพระเอกในทำนองว่าเป็น ‘สิทธิเสรีภาพของตน’ พระเอกจึงได้ตอบกลับมาว่า “ใช่…มันเป็นสิทธิ” แต่ขณะเดียวกันนางเอกอยู่ในหมู่บ้านที่มีบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่ต่างจากในเมืองใหญ่ และเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุอยู่เยอะ นางเอกจึงควรคิดถึงวัฒนธรรมและบริบทของสังคมที่ตนมาอาศัยอยู่ด้วย 

กรณีนี้ พระเอกไม่ได้ขอให้นางเอกเปลี่ยนแนวทางการแต่งตัวไปอีกแบบ หรือห้ามแต่งชุดออกกำลังกายมาวิ่ง แต่สิ่งที่พระเอกบอกคือ ขอให้คิดถึงความเหมาะสมและรักษา ‘สมดุล’ ระหว่างเสรีภาพของตนกับบริบททางสังคมที่ตนอยู่ ซึ่งภายหลังนางเอกก็ได้ใส่เสื้อที่ยาวปิดลงมา ไม่ได้เปิดเผยเนื้อหนังหรือสัดส่วนมากเช่นเดิม

ความเข้าใจผู้สูงอายุและคนต่างวัย
ตลอดทั้งเรื่องที่พยายามนำเสนอมุมมอง ทัศนคติ หรือค่านิยมของผู้สูงวัยที่โตมากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่คนรุ่นใหม่หรือคนที่ยังไม่ต้องดูแลพ่อแม่วัยเกษียณ จะไม่เข้าอกเข้าใจมุมมองเหล่านี้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดมุมมองเหล่านี้ออกมาได้ดีมาก    

ในภาพยนตร์มีตอนที่นางเอกจะกลับเข้าเมืองโซล ไปทำธุระ โดยพระเอกขอให้นางเอกพาคุณยายผู้สูงอายุทั้ง 3 คนซึ่งมีธุระหรือไปเยี่ยมลูกหลาน ติดไปกับรถนางเอกด้วย ซึ่งตลอดทางผู้สูงอายุที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ก็จะปวดฉี่บ่อย ทำให้ต้องมีการจอดแวะข้างทางเพื่อให้ผู้สูงอายุไปเข้าห้องน้ำตลอดทาง

หรือกรณีที่ จีซอง-ฮยอน รุ่นพี่ของนางเอกซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ชื่อดัง และประทับใจหมู่บ้านกงจิน จะมาขอบ้านคุณยายกัมรีถ่ายรายการ ซึ่งในตอนแรกคุณยายปฏิเสธเสียงแข็ง ยังไงก็ไม่ยอม แต่เมื่อเขามาพบปะคุณยายบ่อย ๆ มาทำความสนิทสนม มาดูแลคุณยาย ก็เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน จนยอมให้โปรดิวเซอร์ใช้บ้านคุณยายถ่ายทำรายการได้

เพราะผู้สูงอายุจำนวนมาก เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ และบางครั้งก็อาจมีดื้อรั้นหรือระแวงสิ่งต่าง ๆ บ้าง หากแต่อาศัยความเข้าใจ และค่อย ๆ พูดจาสื่อสารกันด้วยความจริงใจ ที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายเปิดใจและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ในเรื่องนี้จึงไม่ได้มีใครดีกว่าใคร ผู้สูงอายุในชนบทก็ปรับตัวเข้าหาคนหนุ่มสาวจากในเมืองได้ เช่นเดียวกับที่คนหนุ่มสาวในเมืองก็เข้าอกเข้าใจผู้สูงอายุในชนบทได้ อยู่ที่ทุกคนเปิดใจที่จะเรียนรู้และเข้าใจผู้อื่นในสิ่งที่เขาเป็น มิใช่ตั้งท่าปิดประตูและก่นด่ากันด้วยความคิดที่แตกต่างเพียงอย่างเดียว 

'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน...มรดกมีชีวิตที่ ‘Angela Merkel’ มอบให้

เหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือนำมาซึ่งผู้อพยพเข้าสู่ยุโรปจำนวนมหาศาล ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายทั้งรับและไม่รับผู้อพยพเหล่านั้น แต่สหพันธรัฐเยอรมันภายใต้ ‘Angela Merkel’ นายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายรับผู้อพยพด้วยการเปิดพรมแดนของเยอรมนีสำหรับผู้ลี้ภัย 1 ล้านคนในปี พ.ศ. 2558 จนทำให้เกิดความแตกแยกในยุโรป และทำให้เห็นถึงความไม่พอใจสำหรับฝ่ายต่อต้านการอพยพเข้าเมือง 

นอกจากนี้ยังเป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมของเมืองหลวงของเยอรมันในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่การเข้ามาของคนงานจากตุรกีในทศวรรษ 1960 จึงมีผู้อพยพจำนวนมากเข้ามาอาศัยพำนักในเยอรมัน และเป็นที่มาของ 'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน

'Arab Street' สิงคโปร์

'Arab Street' เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ และที่เป็นที่รู้จักมาก่อนคือ 'Arab Street' ในสิงคโปร์ ซึ่งเคยเป็นย่านที่พ่อค้าชาวอาหรับเคยทำมาค้าขายมาในอดีต ปัจจุบัน 'Arab Street' ของสิงคโปร์ยังคงวางขายสินค้าและข้าวของที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอาหรับและชาวมุสลิม ซึ่งถนนเส้นนี้จะมีบรรยากาศเป็นตึกแถว 2 ชั้นสไตล์ Colonial ทาสีสดใส ใกล้ ๆ กันมีแหล่งท่องเที่ยวที่อีกหลายอย่าง เช่น ตรอกฮาจิ (Haji Lane) อีกหนึ่งถนนแห่งการจับจ่ายของชาวสิงคโปร์ และมัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) อันเป็นมัสยิดสำคัญและสวยงามของชาวสิงคโปร์มุสลิม 

สำหรับบ้านเราแล้ว 'Arab Street' หมายถึงซอยที่ตั้งอยู่ทางเหนือของซอยนานา (ซอยสุขุมวิท 3) ระหว่างซอยสุขุมวิท 3 และ ซอยสุขุมวิท 5 หรือ ซอยสุขุมวิท 3/1 'Arab Street' ประกอบไปด้วย ร้านอาหาร - ร้านค้ามากมาย จึงเป็นถนนท่องเที่ยวที่ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

'Arab Street' กรุงเทพฯ

ส่วน 'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน อยู่ที่ถนน Sonnenallee (“Sun Avenue”) ซึ่งเชื่อมระหว่างเขต Neukölln และ Treptow-Köpenick ยาว 5 กิโลเมตร ข้ามถนน Baumschulen ที่ปลายด้านตะวันออกเฉียงใต้ และสิ้นสุดที่ จัตุรัส Hermann ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ถนนสายนี้ถูกสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งบริเวณรอบ ๆ ถนน Sonnenallee ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางระหว่างชนบทกับเมืองในสมัยนั้น ถนนสายนี้ตัดผ่านจัตุรัสกลางเมืองหลายแห่ง เช่น จัตุรัส Hermann, จัตุรัส Hertzberg และ จัตุรัส Venus เดิมทีตลอดถนนมีต้นไม้สองข้างทาง จนถึงปี พ.ศ. 2508 ได้มีการวางรางรถรางไว้ ต่อมาในทศวรรษ 1980 ต้นไม้สองข้างทางถูกรื้อออกเพื่อให้เป็นช่องจราจรเพิ่มเติม หรือที่จอดรถ 

'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน

ปัจจุบันถนน Sonnenallee กลายเป็นถนน 6 เลน และเป็นเส้นทางสายสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเบอร์ลิน แต่เดิมถนน Sonnenallee เป็นที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เริ่มต้นด้วย Straße 84 (ถนนหมายเลข 84) ในปี พ.ศ. 2436 ห้าปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของ ‘Kaiser Friedrich Wilhelm’ ถนนสายนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศ และในปี พ.ศ. 2563 ถนนถูกขยายไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งชื่อว่า Sonnenallee ในยุคสงครามเย็นเยอรมนียังไม่ได้รวมชาติ ถนนสายนี้ถูกกำแพงเบอร์ลินตัดผ่านเพื่อปิดกั้นทางข้ามพรมแดน

“Luxury Train” ยกระดับการเดินทางของผู้มีเงินและความสุนทรี...ด้วยรถไฟขบวนหรู

หลายท่านอาจจะนึกถึงภาพการเดินทางด้วยรถไฟที่ช้า ไม่ตรงต่อเวลา และรถที่มีสภาพเก่า แต่ยังมีรถไฟบางขบวนที่ให้บริการเหมือนกับโรงแรมห้าดาวที่สามารถเคลื่อนที่ได้ มีห้องพักที่หรูหราและสะดวกสบาย ให้บริการอาหารที่ปรุงด้วยเชฟฝีมือเยี่ยม และมีการแวะเที่ยวสถานที่สำคัญที่อยู่สองข้างทาง ทำให้การเดินทางด้วยขบวนรถไฟเหล่านี้ไม่ได้เน้นไปให้ถึงจุดหมายการเดินทาง แต่เน้นการท่องเที่ยวและพักผ่อนระหว่างการเดินทาง แถมด้วยขบวนรถแบบนี้ยังมีให้บริการในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งรถไฟแบบนี้เรียกกันว่า “Luxury Train”

ในอดีตการเดินทางด้วยรถไฟในเส้นทางที่ยาวไกลไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร เนื่องจากผู้โดยสารต้องนั่งหลับบนที่นั่งของตนเอง และที่นั่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถปรับเอนได้ ต่อมา ‘George M. Pullman’ จึงเห็นโอกาสทางธุรกิจและเปิดให้บริการขบวนรถ “Pioneer” ที่มีห้องโดยสารสามารถปรับเป็นที่นอนได้ขบวนแรกในปี 1865 โดยเริ่มต้นการให้บริการระหว่างเมืองชิคาโกและสปริงฟิลด์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และในสองปีถัดมา Pullman ได้เปิดให้บริการ Hotel train ที่นอกจากเป็นรถไฟตู้นอนแล้ว ยังมีบริการห้องอาหาร ที่แต่เดิมนั้นผู้โดยสารต้องลงไปซื้ออาหารตามสถานี 

เมื่อขบวนรถไฟแบบนี้เริ่มได้รับความนิยมจึงมีผู้ให้บริการหลายรายออกแบบและเพิ่มเติมความหรูหรารวมถึงความสะดวกสบายต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกและความหรูหราเหล่านั้น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรถไฟของตน และสามารถเก็บค่าโดยสารได้สูงขึ้นจึงเป็นจุดกำเนิดของ “Luxury Train”

ภาพจาก: https://www.historyhit.com/what-was-it-like-to-ride-a-victorian-luxury-train/

ถึงแม้ในปัจจุบัน จะมีทางเลือกการเดินทางได้หลายแบบที่ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า และค่าโดยสารถูกกว่า แต่การให้บริการรถไฟหรูก็ยังคงมีอยู่ในหลายเส้นทาง เพราะการใช้บริการรถไฟแบบนี้เน้นการได้รับประสบการณ์ระหว่างการเดินทางพร้อมกับสิ่งอำนวยครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว ที่บางห้องติดตั้งอ่างอาบน้ำด้วย ห้องอาหารที่ให้บริการแบบ fine dinning จากเชฟมากฝีมือ ห้องนั่งพักผ่อนสำหรับจิบชายามบ่าย นอกจากนั้นบางขบวนยังมีรถชมวิวที่เปิดโล่งเพื่อให้สัมผัสได้ถึงอากาศภายนอก หรือห้องสปาสำหรับผ่อนคลายจากการเดินทาง ในวันนี้จึงขอแนะนำตัวอย่างขบวนรถไฟหรูที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

มาเริ่มต้นกันด้วยรถที่ให้บริการในทวีปยุโรป นั้นคือขบวน “Venice Simplon-Orient-Express” ที่ให้บริการระหว่างลอนดอนและเวนิส ซึ่งรถไฟสายนี้ยังเป็นฉากดำเนินเรื่องในนวนิยาย Murder on the Orient Express ของ ‘อกาธา คริสตี้’ นักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนชื่อดัง ผ่านวิวที่สวยงามของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะช่วงระหว่าง Brenner และ Innsbruck ในประเทศออสเตรีย ส่วนของห้องพักที่ให้บริการมีทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องคู่ นอกจากนั้นยังมีห้องสูทที่มีการตกแต่งเป็นรูปแบบเฉพาะอีก 6 ห้อง และตั้งชื่อตามเมืองต่าง ๆ ที่รถไฟขวบวนนี้เคยวิ่งผ่าน โดยการเดินทางใช้ระยะเวลา 2 วัน มีค่าโดยสารเริ่มต้นที่คนละ 110,000 บาท

ภาพจาก: www.belmond.com

ข้ามฝั่งไปที่ประเทศแคนาดา ก็มีรถไฟหรูที่มีชื่อเสียงอย่างขบวน “Royal Canadian Pacific” ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และเคยให้การต้อนรับราชวงศ์และผู้นำประเทศหลายครั้ง ในส่วนของโปรแกรมการเดินทางก็มีให้เลือกได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเลาะริมเทือกเขาร็อกกี้ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทาง 5 วัน หรือโปรแกรม 4 วัน ที่ให้เลือกว่าจะไปเส้นทางริมมหาสมุทรแปซิฟิกหรือผ่านทุ่งหญ้าแพร์รี่ โดยมีค่าโดยสารเริ่มต้นคนละ 300,000 บาท

ภาพจาก: www.royalcanadianpacific.com

ลงใต้ไปที่ประเทศเปรูก็มีรถไฟหรูอย่างขบวน “Belmond Andean Explorer” ที่เพิ่งเริ่มเปิดให้บริการในปี 2017 และเป็นรถไฟ Luxury Train ขบวนแรกที่ให้บริการในอเมริกาใต้ ให้บริการบนเส้นทางที่ราบสูงเปรูที่มีระดับความสูงไม่น้อยกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ดังนั้นในห้องพักทุกห้องจึงต้องมีจุดจ่ายออกซิเจนเพราะอากาศในที่สูงจะเบาบางกว่าปกติ และอาจมีอาการแพ้ความสูง (Altitude sickness) ได้ นอกจากนั้นยังมีสปาบนรถเพื่อการผ่อนคลายระหว่างการท่องเที่ยว ในส่วนโปรแกรมการท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ทั้งแบบ 2 วัน เพื่อชมวิวของเทืองเขาแอนดิส หรือ 3 วันเพื่อไปท่องเที่ยวอารยธรรมอินดาและทะเลสาบติติกากา โดยมีค่าโดยสารเริ่มต้นคนละ 36,000 บาท

ภาพจาก: www.belmond.com

ก้าวสู่สังคมไร้เงินสด!! ด้วย “CBDC” สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง

จากกระแสในโลกคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอย่างแพร่หลาย และในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบ โดย Disrupt ให้เกิดการปรับตัวอย่างรุนแรงทั้งภาคการเงิน การธนาคาร และการลงทุน โดยสกุลเงินดิจิทัลในปัจจุบันที่มีมากกว่า 1,500 ชนิด พบว่า 5 สกุลเงินที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงสุด ประกอบด้วย Bitcoin , Ethereum , Ripple , Bitcoin Cash และ Litecoin 

แต่อย่างไรก็ตามในหลายประเทศทั่วโลกและในประเทศไทยสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวยังถูกจัดประเภทเป็นเพียงสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านหน่วยงานที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความอ่อนไหวสูง และราคามีความผันผวนสูงมาก 

ดังนั้น ธนาคารกลางทั่วโลกและในประเทศไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จึงทำการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่จัดประเภทเทียบเท่ากับเงินสด มีคุณสมบัติในการเป็นสื่อกลางเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการได้ตามกฎหมาย สามารถรักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ เพื่อยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ

Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ หรือบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่จะเป็นตัวแทนของเงินได้จริง ๆ มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 
(1.) ป้องกันการผูกขาดและลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงินจากภาคเอกชนภายใต้แนวโน้มของสังคมไร้เงินสดที่เพิ่มมากขึ้น 
(2.) ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพระบบการชำระเงิน 
(3.) เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับภาคประชาชน ที่ธนาคารกลางสามารถกำหนดรูปแบบของ CBDC ได้อย่างเหมาะสม  

กระเป๋ามหาประลัย ที่กุมชะตาชีวิตของชาวโลก!! “Football & Cheget”

ประชากรกว่าเจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้ว่า ชะตากรรมของโลกขึ้นอยู่กับกระเป๋าเพียงสองใบ ใบแรกคือ “Football” อีกใบคือ “Cheget” ครั้งนี้จึงขอเล่าเรื่องราวของกระเป๋ามหาประลัยที่กุมชะตาชีวิตของชาวโลกทั้งสองใบนี้!!

“Football” (Nuclear Football) เป็นชื่อเรียก กระเป๋าฉุกเฉินติดตั้งปุ่มสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นกระเป๋าเอกสารซึ่งจะใช้โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่ออนุญาตให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ในขณะที่อยู่ห่างจากศูนย์บัญชาการคงที่ เช่น ทำเนียบขาว ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่ในระบบการป้องกันทางยุทธศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำพาและรักษาโดยนายทหารคนสนิทประจำตัวประธานาธิบดีฯ

จากข้อมูลของเว็บไซต์ businessinsider.com ได้อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ Bill Gulley เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่เคยผ่านงานอารักขาและการรักษาความปลอดภัยในทำเนียบขาว ซึ่งเปิดเผยว่า กระเป๋าสีดำที่ทั่วโลกเฝ้าสงสัยใบนี้คือสิ่งสำคัญที่ส่งมอบให้ประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่าเพื่อใช้มันในภาวะฉุกเฉินและประกอบด้วยของสำคัญ 4 อย่างคือ

1.) หนังสือปกสีดำจำนวน 75 หน้า ซึ่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนิวเคลียร์ และเงื่อนไขสำหรับการตอบโต้ในกรณีฉุกเฉิน โดยรายละเอียดจะถูกพิมพ์ด้วยหมึกสีดำและแดง
2.) หนังสือสีดำอีกหนึ่งเล่มที่รวบรวมรายชื่อสถานที่หลบภัยที่มีการป้องกันระดับสูงสุดซึ่งเข้าได้เฉพาะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เท่านั้น
3. เอกสารจำนวน 10 หน้า ที่อธิบายเกี่ยวกับการวางตัวของประธานาธิบดีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งสิ่งที่ควรสื่อสารเมื่อทำการถ่ายทอดสดแบบฉุกเฉินด้วยตัวเอง
4. การ์ดสำหรับเข้าถึงข้อมูลรหัสระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง (‘Biscuit’ การ์ดพลาสติกขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ซึ่งมีรหัสลับเพื่อยืนยันตัวตนประธานาธิบดี)

นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าอีกแบบหนึ่งที่มีเสาอากาศยื่นออกมา ซึ่งมีคำกล่าวอ้างว่า กระเป๋าใบนั้นมีอุปกรณ์สื่อสารระดับสูงติดอยู่ และภายในมีคำสั่งยิงนิวเคลียร์ติดอยู่ด้วย และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด กระเป๋าใบนี้จึงไม่ได้ถูกถืออยู่ในมือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรง แต่จะมีนายทหารติดตามรับหน้าที่ดูแลกระเป๋าใบนั้นแทน และคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ได้ ก็ต้องผ่านฝึกงานด้านอารักขามาโดยเฉพาะ และต้องมีทักษะพิเศษที่สามารถดำเนินการยิงนิวเคลียร์ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

Football มาจากรหัสปฏิบัติการสงครามนิวเคลียร์ ‘Operation Dropkick’ เพราะการ Dropkick ต้องใช้ Football เป็นอาวุธ กระเป๋าหนังใบนี้จะอยู่กับทหารองครักษ์ของประธานาธิบดี ซึ่งต้องเดินเป็นเงาตามตัวตลอดเวลาเมื่อออกนอกสถานที่ ทั้งในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One, เฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Marine One และการเดินทางด้วยพาหนะอื่น ๆ โดยนายทหารติดตามนี้จะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกำหนดครบถ้วน

Nuclear Football เริ่มมีใช้ตั้งแต่สมัย ประธานาธิบดี John F. Kennedy ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา Football รุ่นปัจจุบันเป็นกระเป๋าโลหะ Zero-Halliburton หนัก 20 กิโลกรัม หุ้มด้วยหนังสีดำ กระเป๋านี้เปลี่ยนมาหลายใบแล้ว Nuclear Football ที่ปลดระวางแล้วจะนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Smithsonian’s National Museum of American History ในวอชิงตัน เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงอำนาจและความรับผิดชอบของประธานาธิบดี 

ประธานาธิบดี George W. Bush และ Donald H. Rumsfeld รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในขณะนั้นเดินออกศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2546

มีข้อมูลระบุอีกว่า จริง ๆ แล้ว Nuclear Football มีทั้งหมดสามใบ หนึ่งอยู่ที่ประธานาธิบดี ใบที่สองอยู่กับรองประธานาธิบดี และสามอยู่ที่ทำเนียบขาว เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดจะออกคำสั่งและส่งรหัสบนการ์ด Biscuit ไปยังศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (อาคาร Pentagon) โดยมีหน้าที่เฝ้าระวังภัยคุกคามนิวเคลียร์จากทั่วโลก

จากนั้นรหัสนี้จะส่งไปยังกระทรวงกลาโหม (สามารถทำการตัดสินใจแทนได้ในกรณีที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร) ตามด้วยศูนย์บัญชาการฐานทัพอากาศในมลรัฐ Nebraska และตามกฎ Two-man rule ของสหรัฐฯ ผู้ดำเนินการยิงขีปนาวุธต้องยืนยันรหัสว่า รหัสที่ประธานาธิบดีส่งมาตรงกับรหัสที่เก็บรักษาไว้ โดยการยิงขีปนาวุธนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถสั่งให้ยิงไปยังเป้าหมายศัตรูทั้งหมด หรือเลือกยิงเป็นบางเมืองได้ เช่น กรุงเปียงยาง กรุงปักกิ่ง และกรุงมอสโคว์

เหล่าบรรดานายทหารที่ทำหน้าที่ถือกระเป๋า ล้วนแต่ถูกฝึกมาให้สามารถเปิดคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ได้ภายในระยะเวลา 2-3 นาทีเท่านั้น!!! Robert Patterson อดีตนายทหารระดับสูงที่เคยถือกระเป๋าฟุตบอลให้กับประธานาธิบดี Bill Clinton ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Associated Press ว่า “คุณจะเหมือนว่ามีความกังวลอยู่ตลอด บางครั้งผมก็เปิดมันขึ้นมาเพื่อดูว่ามันมีอะไรอยู่ภายใน เพื่อความแน่ใจ และเป็นการ Refresh ตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญราวกับเป็นการเตรียมตัวและฝึกซ้อม เมื่อถึงสถานการณ์ฉุกเฉินที่ท่านประธานาธิบดีต้องตัดสินใจบางเรื่องสำคัญ คุณสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” เพราะฉะนั้นกระเป๋าฟุตบอลนี้จะอยู่ติดตัวกับท่านประธานาธิบดีตลอด บนเครื่องบินลำเดียวกัน รถคันเดียวกัน และพออยู่ในทำเนียบขาว ก็จะอยู่ในตู้ลับปลอดภัยที่เก็บล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา!!! ตามคำบอกเล่าของ Patterson เขาเคยต้องถือกระเป๋านี้วิ่งไปรอบ ๆ ทำเนียบขาว เพราะประธานาธิบดี Clinton มักจะวิ่งออกกำลังกายรอบ ๆ ทำเนียบขาว เป็นภาพที่ทุลักทุเลพอสมควรเลยทีเดียว

ด้วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำเป็นและต้องการอำนาจการสั่งยิงหัวรบอย่างรวดเร็ว และได้ยกเรื่องนี้ขึ้นในที่ประชุมของประเทศ กระเป๋าใบนี้ จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงแสนยานุภาพทางการทหาร และหัวรบนิวเคลียร์ ที่ติดตามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากรุ่นสู่รุ่นไปในทุก ๆ ที่ คนทั่วไปก็คงจะนึกว่าเป็นกระเป๋าเอกสาร หรือของใช้อะไรพวกนั้น ไม่คิดเลยว่า กระเป๋าใบนี้จะสำคัญขนาดนี้ ประมาทสิ่งของเล็ก ๆ ไม่ได้จริง ๆ ถึงจะเป็นของประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะติดตามตัวไปในทุกที่ เพราะอย่างน้อยเมื่อเดินทางกลับบ้าน กระเป๋าใบนี้จะยังคงถูกเก็บไว้ในทำเนียบขาว และถูกคุ้มกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ ไม่เคยมีใครเปิดเผยว่า กระเป๋าใบนี้ถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน?

Cheget (ชีเกท) หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซีย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ. 2538 เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่ Olenegorsk กับงานอันน่าเบื่อในการนั่งจ้องมองกับจอเรดาร์ทั้งวันทั้งคืน แต่ทว่าวันนี้แตกต่างจากวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา เพราะสัญญาณเตือนบางอย่างแสดงขึ้นมาให้เห็นบนจอเรดาร์ว่า มีการตรวจพบวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วสูงในทะเล Barents และมันกำลังมุ่งหน้าตรงดิ่งเข้ามาทางภาคเหนือของรัสเซีย

เมื่อพบสัญญาแจ้งการมาของวัตถุบางอย่างบนจอเรดาร์ เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่เข้าเวรอยู่ในเวลานั้น ทำการวิเคราะห์ถึงลักษณะของวัตถุและที่มาของมัน ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็ทราบว่า วัตถุลึกลับนั้นมันคือ Missile ไม่ทราบประเภทและขนาดของมัน ข้อสันนิษฐานแรกในวินาทีนั้นของรัสเซีย พวกเขาเชื่อว่า เจ้า Missile นี้มันน่าจะถูกยิงมาจากเรือดำน้ำของกองทัพเรืออเมริกัน ที่มักจะเข้ามาลาดตระเวนในบริเวณนั้นเป็นประจำ เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองเรือรบรัสเซีย และจากระยะทางที่มันถูกยิงออกมา มันจะเข้าถึงแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียได้ภายในเวลา 10 นาที

ประธานาธิบดี Boris Yeltsin กับ ประธานาธิบดี Putin

ข่าวการตรวจพบ Missile นี้ ถูกแจ้งไปยังกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในกรุงมอสโกทันทีว่า รัสเซียกำลังถูกโจมตีจาก Missile ที่ถูกยิงออกมาจากเรือดำน้ำของอเมริกัน ข้อมูลทั้งหมดถูกรีบแจ้งไปยังประธานาธิบดี Boris Yeltsin (ประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น) ว่า พวกเขามีเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ที่ต้องรีบในการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิกฤตินี้ 5 นาทีผ่านไป มีคำสั่งไปยังกองทัพเรือรัสเซีย ให้เรือดำน้ำรัสเซียทุกลำ รวมทั้งเรือดำน้ำที่ติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ ที่ลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้ ๆ กับแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ให้เริ่มดำเนินการเตรียมยิงขีปนาวุธ และรอคำสั่งยิง เพื่อทำการโต้ตอบต่อแผ่นดินสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเน้นย้ำไปยังเรือทุกลำว่า “นี่ไม่ใช่การซ้อมรบ” 4 นาทีผ่านไป ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซีย ทุกเหล่าทัพรอฟังคำสั่งยิงจากประธานาธิบดี Yeltsin โดยมีการนำ Cheget หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซียมาเตรียมไว้ให้

ขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำของรัสเซีย

เรือดำน้ำบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ดำเนินขั้นตอนการยิงจรวดพร้อมแล้ว เหลือแค่รอคำสั่งยิงเท่านั้น ความตึงเครียดก่อตัวไปทั่วห้องบัญชาการที่มอสโก นายทหารและเจ้าหน้าที่ทุกคน จับจ้องมาที่ตัวของประธานาธิบดี Yeltsin เพราะเขาคือผู้เดียวเท่านั้นในรัสเซียที่จะออกคำสั่งยิงได้ แต่ประธานาธิบดี Yeltsin เลือกที่จะยังไม่ออกคำสั่งใด ๆ เขากลับรอเวลาเพื่อดูท่าทีอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงเร่งเร้าและเตือนของบรรดานายทหาร แต่หลังจาก 9 นาทีผ่านไป Missile ลึกลับนั้นก็ได้หายไปจากจอเรดาร์ สัญญาณสุดท้ายที่ตรวจพบ Missile ลูกนี้ คือบริเวณเหนือท้องทะเล

กองทัพรัสเซียรีบทำการตรวจสอบเมืองทุกเมืองในรัสเซีย หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านที่ห่างไกลในทุก ๆ มุมของรัสเซีย ตั้งแต่ไครเมีย จนถึง ไซบีเรีย ว่ามีสถานที่แห่งใดในรัสเซียบ้างที่เสียหายจากการโจมตี หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีรายงานกลับมาว่า “ไม่มีเมือง หรือ พื้นที่ใด ๆ ในรัสเซีย เสียหายจากการโจมตีแต่อย่างใด” Missile ลูกนั้นมันมาไม่ถึงแผ่นดินรัสเซีย ทุกคนในห้องต่างโล่งอก เมื่อแน่ชัดว่า Missile นั้นหายไปแล้วประธานาธิบดี Yeltsin จึงออกคำสั่งไปยังกองทัพรัสเซีย ให้ยกเลิกคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ และกองกำลังที่เตรียมพร้อมอยู่นั้น ให้ลดระดับการเตรียมพร้อมรบลงมาในระดับปกติ

Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศ

หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงต่อมา ทางการรัสเซียจึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แท้จริงแล้ว Missile ลึกลับนั้นคือ Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศของทีมนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์และอเมริกัน เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ การเกิดแสงออโรร่า (Aurora) ในชั้นบรรยากาศโลก เหตุการณ์ที่เกือบนำพาโลกเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์นี้ ได้ทำให้ประธานาธิบดีของอเมริกาและรัสเซีย ต้องหันมาวางมาตรการการป้องกันการเกิดเรื่องเข้าใจผิด ที่เกือบจะเลยเถิดจนกลายเป็นสงครามในครั้งนี้

“นโยบายควบคุมสินสอด” เมื่อราคาแต่งงานสูงระฟ้า!! สะท้อนอะไรในสังคมจีน?

ระบบสินสอดควรถูกยกเลิก ? หรือยังควรมีต่อไป ? ควรมีมาตรการหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการให้สินสอดหรือไม่ ? มีใครรู้จัก “นโยบายควบคุมสินสอด” ของประเทศจีนหรือเปล่า ?

ปัจจุบัน ความเท่าเทียมทางเพศกลายเป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดยมีทั้งกลุ่มเฟมินิสต์ (faminist) และกลุ่ม LGBTQ+ เป็นหัวใจสำคัญในการเรียกร้องความยุติธรรม และต่อสู้กับวัฒนธรรมการกดขี่ทางเพศที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมโลก

การเรียกร้องในรูปแบบดังกล่าวทำให้ประเด็นสิทธิสตรี เสรีภาพในการแต่งตัว การสมรสเท่าเทียม ตลอดจนเรื่องการทำแท้งถูกกฎหมาย ทั้งนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนนำมาเป็นหัวในการถกเถียงคือเรื่องของการ “ยกเลิกสินสอด” หลังจากที่ดาราสาว ก้อย - อรัชพร โภคินภากร ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าควรยกเลิกระบบสินสอด และแนวคิดการวัดค่าผู้หญิงด้วยเงิน

สำหรับความคิดเห็นของคนในสังคมก็มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บ้างก็มองว่าเป็นเรื่องการตัดสินใจของคู่บ่าวสาว บ้างก็ยังเห็นว่าการให้สินสอดคือการแสดงความพร้อมและความตั้งใจของฝ่ายชายในการจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับฝ่ายหญิง

หากพูดถึงระบบสินสอดนั้น การจ่ายเงินค่าสินสอดมิเพียงแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความไม่เท่าเทียมทางเพศ หากแต่ยังสะท้อนความแตกต่างทางฐานะ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งเห็นได้จากหลายครั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้รับความสนใจจากหญิงสาว

หากพูดถึงระบบสินสอดนั้น สินสอดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมายาวนานหลายศตวรรษในประเทศฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ปัจจุบันนี้ ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ และพลวัตทางสังคม ทำให้ตอนนี้ ประเด็นสินสอดกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของฝ่ายเจ้าบ่าว เพราะเงินค่าสินสอดพุ่งสูงต่อเนื่อง จนอาจนำไปสู่ปัญหาชายจีนไร้คู่ครอง ปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศจีนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบังคับใช้ “นโยบายควบคุมสินสอด” พร้อมแนะนำไม่ให้จัดงานแต่งงานที่ใช้เงินทองสิ้นเปลืองจนเกินไป เพื่อช่วยสนับสนุนให้ประชาชนตัดสินใจแต่งงานกันง่ายขึ้น

ย้อนกลับไปในสมัยที่ประเทศจีนยังมีการบังคับใช้ "นโยบายลูกคนเดียว" ครอบครัวชาวจีนต่างพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้โอกาสในการมีลูกครั้งเดียวในชีวิตเป็นโอกาสที่คุ้มค่าที่สุด คือได้ลูกชายเพื่อมาสืบทอดเชื้อสายแซ่สกุล มีการทำแท้งเพื่อเลือกเพศบุตร มีการนำลูกสาวไปขายหรือทิ้ง ทั้งยังมีการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ลูกชาย ใช้มนตราอาคมเพื่อให้มีลูกชายอย่างสมหวัง ก่อนที่รัฐบาลจีนจะผ่อนปรนนโยบายลูกคนเดียวเมื่อปี 2016

“พายุหมุนเขตร้อน” ฝันร้ายครบรอบ 10 ปี อุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทย!!

ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ ท่านก็น่าจะรู้สึกกังวลใจกับสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ว่าจะซ้ำรอยกับน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 รวมทั้งผู้เขียนเองด้วยที่มีบ้านพักอยู่แถวอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงนั้น ก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย จำได้ว่าช่วงนั้นต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่ต่างจังหวัดเป็นเวลาถึง 2 เดือน ประกอบกับในเดือนตุลาคมปี 2564 นี้ ก็จะครบรอบ 10 ปี ในการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่ต้องมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยพอดี 

โดยในครั้งนั้นมีพื้นที่ประสบภัยกระจายตัวในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่เกิดน้ำท่วมหนักเป็นระยะเวลานาน อุทกภัยครั้งนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 นั้น เกิดจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ปรากฏการณ์ลานีญา” คือปรากฏการณ์เกิดกระแสลมพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกมายังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยที่กระแสลมมีความรุนแรงมากกว่าปกติ ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้มีฝนตกมากขึ้นโดยมีปริมาณฝนในปี 2554 นั้น มากกว่าเกณฑ์ปกติเกือบทุกเดือนโดยรวมทั้งปีเกินเกณฑ์ปกติมากกว่าร้อยละ 29 เลยทีเดียว 

นอกจากนี้ในปีนั้น ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมด จำนวน 5 ลูก ได้แก่ พายุไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก ทั้งนี้พายุแต่ละลูกก็จะมีความรุนแรงแตกต่างกันไปตามความเร็วลมที่หมุนรอบศูนย์กลาง พอมาปี 2564 นี้ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็เริ่มมีพายุผ่านเข้ามาในประเทศไทย และเริ่มมีน้ำท่วมหลายพื้นที่ทำให้เกิดความกังวลใจกัน และกลัวจะซ้ำรอยกับการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ขึ้นมาอีก 

สำหรับในวันนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พายุหมุนที่มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศในประเทศไทย หรือที่เรียกว่าพายุหมุนเขตร้อนกันครับ 

"พายุหมุน" หมายถึง ลมที่เคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง โดยจุดที่เป็นศูนย์กลางที่พายุหมุนรอบเรียกว่าตาพายุ ซึ่งในบริเวณใจกลางหรือตาของพายุจะเป็นบริเวณที่เงียบสงบคือไม่มีทั้งลมและฝน โดยทั่วไปพายุหมุนเขตร้อนจะมีรัศมีของพายุค่อนข้างจะมาก ทำให้ส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบ ๆ ที่เป็นรัศมีพายุพาดผ่านกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง โดยในขณะที่พายุหมุนรอบตัวเองก็จะมีการเคลื่อนที่ไปด้วย ทั้งนี้การเกิดพายุหมุนเขตร้อนโดยทั่วไปจะเกิดในมหาสมุทร ก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้ามายังชายฝั่ง และส่วนใหญ่จะสลายตัว หรือลดความรุนแรงลงเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งเนื่องจากไม่มีไอน้ำมาหล่อเลี้ยง 

ทั้งนี้สาเหตุของพายุหมุนนั้น เกิดจากความกดอากาศต่ำหรืออากาศมีอุณหภูมิสูงในบริเวณมหาสมุทร ที่มีกระแสน้ำอุ่น โดยลักษณะทั่วไปของอากาศเมื่อร้อนมาก ๆ จะมีความเบาและลอยขึ้นสู่ด้านบน และเมื่ออากาศร้อนลอยขึ้นสู่ด้านบนก็จะมีอากาศเย็นวิ่งเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดลักษณะการหมุนวนของลม ประกอบกับในบริเวณมหาสมุทรมีกระแสน้ำอุ่นที่ทำให้เกิดการระเหยของไอน้ำ เมื่อมารวมกับการเคลื่อนที่ของลมทำให้เกิดการควบแน่นเกิดเป็นลักษณะความแปรปรวนของอากาศที่มีทั้งลม และฝน เกิดขึ้นพร้อมกัน 

“หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน” เกาะสวรรค์ของธุรกิจสีเทา (The British Virgin Islands : BVI)

หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หรือ หมู่เกาะเวอร์จินของอังกฤษ (BVI) เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะ ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน ทางตะวันออกของประเทศจาเมกา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของแองกวิลลา หมู่เกาะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเวอร์จิน และตั้งอยู่ในหมู่เกาะลีวาร์ดของเลสเซอร์แอนทิลลิส และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอินเดียตะวันตก

BVI ประกอบด้วยเกาะหลัก ๆ คือ Tortola, Virgin Gorda, Anegada และ Jost Van Dyke พร้อมด้วยเกาะที่มีสันดอนเล็ก ๆ อีกกว่า 50 เกาะ มีเกาะที่มีผู้อาศัยอยู่ประมาณ 16 เกาะ เมืองหลวงคือ กรุง Road Town ตั้งอยู่บนเกาะ Tortola ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีความยาวประมาณ 20 กม. (12 ไมล์) และกว้าง 5 กม. (3 ไมล์) หมู่เกาะมีประชากร 28,054 คน ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2010 โดย 23,491 คนอาศัยอยู่บน Tortola ประมาณการเมื่อกรกฎาคม 2018 จำนวนประชากรอยู่ที่ 35,802 คน ชาวเกาะบริติชเวอร์จินเป็นพลเมืองของดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 จึงกลายเป็นพลเมืองอังกฤษด้วย

BVI เป็นเกาะที่รับจดทะเบียนของบริษัทกว่า 600,000 แห่ง ที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ (49.5ล้านล้านบาท) และต้องการมาตรการในการ เคลื่อนไหว ปรับปรุง แก้ไขต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เมื่อเดินผ่านใจกลางกรุง Road Town เมืองหลวงของหมู่เกาะแคริบเบียนแห่งนี้ มีไก่นานาชนิดขันแข่งขันกันเต็มไปหมดกับรถยนต์บนถนนแคบ ๆ สายเดียว ซึ่งเป็นถนนสายหลัก มีบริษัทกฎหมายที่ตั้งและให้บริการบริษัทนอกอาณาเขตหลายพันแห่ง มีอาคารขนาดเล็กติดกับบ้านไม้สีสดใส ซึ่งมีร้านเสริมสวยราคาถูก และร้านเสื้อผ้าชื่อดังอย่าง “GoodFellas”

นอกจากป้ายถนนสีเขียวบางจุดบนถนนสายหลักแล้ว ยังมีถนนอีกหลายสายที่ทำเครื่องหมายไว้ BVI ไม่มีการจัดส่งทางไปรษณีย์ ธุรกิจ และผู้อยู่อาศัยกว่า 35,000 คน ใช้ตู้ไปรษณีย์เป็นที่อยู่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ที่ทำการไปรษณีย์ที่มีตู้จดหมายหนึ่งแห่งในกรุง Road Town สามารถเป็นที่อยู่ของ บริษัทหลายพันแห่งจากทั่วโลก ทนายความ นักบัญชี และตัวแทนบริษัทหลายร้อยคน ทำงานจากอาคารที่กระจายอยู่รอบเกาะ Tortola จากประเทศที่รูปแบบให้บริการคล้ายกันอย่าง ลักเซมเบิร์ก โมนาโก หรือแม้แต่บางส่วนของหมู่เกาะเคย์แมน เงินลงสู่ทุกซอกทุกมุมใน BVI ความมั่งคั่งของบริษัทสีเทาผ่านไปชนิดที่แทบจะไร้ร่องรอยให้ตรวจสอบ

กฎหมาย Business Ownership Secure Search System หรือ BOSS ซึ่ง BVI เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อตอบสนองความต้องการของหน่วยงานระหว่างประเทศที่ต้องการติดตามเจ้าของบริษัท แต่จะมีเพียงเจ้าหน้าที่นิรนามสองคนของสำนักงานสืบสวนทางการเงินของ BVI เท่านั้นที่สามารถสืบค้นหาทั้งระบบได้ ซึ่งในระบบมีรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจกว่า 600,000 รายที่มีบริษัทที่ควบคุมโดยตรงหรือโดยอ้อมใน BVI คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของบริษัทนอกอาณาเขตทั้งหมดทั่วโลกที่มาจดทะเบียนใน BVI

BOSS ใช้การเข้ารหัสที่ไม่เคยถูกแฮ็กและไม่สามารถแฮ็กได้ ถ้ามีใครพยายามเข้าถึง BOSS จากที่ไหนสักแห่งที่ผิดปกติ เช่น เกาหลีเหนือ ระบบจะถูกปิดทันที ข้อมูลถูกเก็บไว้ในสถานที่ลับในประเทศ G-7 แต่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นกับ BVI เมื่อรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรได้ลงมติให้บังคับใช้มาตรการความโปร่งใสใน BVI และดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษอีก 13 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มอดีตอาณานิคมที่สมเด็จพระราชินีทรงแต่งตั้งผู้ว่าการ เพื่อควบคุมดูแลงานด้านการต่างประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนระบบตุลาการให้เป็นไปตามกฎหมายทั่วไปของอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขอฉันทมติข้ามพรรคในหมู่สมาชิกรัฐสภาอังกฤษได้ยาก ด้วยอยู่ในภาวะติดขัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จากมาตรการ Brexit เพื่อออกจากสหภาพยุโรป ส่วนสำคัญของกฎหมายเพื่อความโปร่งใส คือ ข้อกำหนดที่แต่ละดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรต้องจัดทำมาตรการที่โปร่งใสบางอย่างเช่น BOSS และเผยแพร่สู่สาธารณะ

ข้อตกลง “AUKUS” ความมั่นคงไตรภาคี ระหว่างสหรัฐฯ - อังกฤษ - ออสเตรเลีย ที่ต้านแสนยานุภาพจีน!!

AUKUS เป็นข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 ภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร จะช่วยออสเตรเลียในการพัฒนา และปรับปรุงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และเพิ่มการประจำการของกองกำลังด้านตะวันตกของภูมิภาคแปซิฟิก แม้ว่าการแถลงการณ์ร่วมของ “Scott Morrison” นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย “Boris Johnson” นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ “Joe Biden” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อประเทศอื่นใดเลยก็ตาม แหล่งข่าวของทำเนียบขาวที่ไม่ระบุนามได้กล่าวว่า AUKUS ถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างไรก็ตาม Boris Johnson กล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษในเวลาต่อมาว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับจีนแต่อย่างใด

ข้อตกลงนี้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ เทคโนโลยีใต้น้ำ และความสามารถในการโจมตีระยะไกล นอกจากนี้ยังรวมถึงส่วนประกอบนิวเคลียร์ ซึ่งอาจจำกัดอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันนิวเคลียร์ ข้อตกลงดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถทางทหาร โดยแยกออกจากกลุ่มพันธมิตรแบ่งปันข่าวกรอง (Five Eyes : ชุมชนข่าวกรองที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก 5 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธมิตรของสามประเทศได้เรียกเอกอัครรัฐทูตกลับจากออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา Jean-Yves Le Drian รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็นการ "แทงข้างหลัง" เพราะเป็นการขัดขวางแผนยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงเรือดำน้ำฝรั่งเศส-ออสเตรเลียมูลค่า 56 พันล้านยูโร (90 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย) ของออสเตรเลียเพียงฝ่ายเดียว

ในปี พ.ศ. 2552 สองปีหลังจากการเริ่มต้นของโครงการที่ขับเคลื่อนตามอัตภาพเพื่อหาเรือดำน้ำแทนที่เรือดำน้ำ Collins class ของกองทัพเรือออสเตรเลีย Australian Defense White Paper กล่าวว่า "รัฐบาลได้ตัดขาดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์สำหรับเรือดำน้ำเหล่านี้" ดังนั้นจึงถอดเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ Suffren class ของฝรั่งเศส ขับเคลื่อน ออกจากความขัดแย้ง

พ.ศ. 2559 นายกรัฐมนตรี Malcolm Turnbull ของออสเตรเลียได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (31 พันล้านยูโร) กับบริษัท Naval Group ของฝรั่งเศส (รู้จักกันในชื่อ DCNS จนถึงปี พ.ศ. 2560) เพื่อออกแบบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Attack class ภายใต้โครงการเรือดำน้ำ "อนาคต" โดยกำหนดให้แทนที่เรือดำน้ำ Collins class ของกองทัพเรือออสเตรเลียในปัจจุบัน เรือดำน้ำจำนวน 12 ลำ จะถูกสร้างขึ้นทั้งในออสเตรเลียและฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามโครงการถูกรุมเร้าด้วยความล่าช้าและต้นทุนที่สูงมาก นำไปสู่ความไม่แน่นอนและความตึงเครียด เบื้องหลังค่าใช้จ่ายที่ต้องแก้ไข รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อตลอดระยะเวลาของโครงการ มูลค่าจึงเพิ่มเป็นที่ 90 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (56 พันล้านยูโร)

เนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นเรื่องต้องห้ามในออสเตรเลีย จึงได้มีการตัดสินใจเปลี่ยนการออกแบบเรือดำน้ำจู่โจมโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ล่าสุดของฝรั่งเศส Barracuda class เป็นแบบขับเคลื่อนด้วยดีเซล-ไฟฟ้า ข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ออสเตรเลียเลือกที่จะติดตั้งระบบอาวุธของ Lockheed Martin โดยทั่วไปแล้วออสเตรเลียกำหนดให้มีการสร้างเรือบางส่วนในประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้คิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าสัญญา โดยฝรั่งเศสจะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 แผนการออกแบบเบื้องต้นถูกปฏิเสธเนื่องจากมีราคาแพงเกินไป และกองทัพเรือออสเตรเลียได้รับมอบหมายให้ปรับปรุงข้อเสนอจนถึงเดือนกันยายน ในการไต่สวนของวุฒิสภาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 โดยมีความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง Greg Moriarty รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ภายใต้คำถามที่ว่า เขาได้พิจารณาจัดทำแผนฉุกเฉินหากโครงการของฝรั่งเศสล้มเหลว โดยยอมรับว่ามีปัญหาต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว สองสัปดาห์ต่อมา Scott Morrison นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียได้พบกับประธานาธิบดี Emmanuel Macron ในกรุงปารีส และแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการที่ดำเนินไปอย่างล่าช้า ซึ่งประธานาธิบดี Macron ตอบว่า ฝรั่งเศสให้คำมั่น "อย่างเต็มที่และสมบูรณ์" และจะดำเนินการ "ต่อไปและเร็วขึ้นเท่าที่เป็นไปได้" 

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 Hervé Grandjean โฆษกกระทรวงกลาโหมของฝรั่งเศสระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลวงกลาโหมของฝรั่งเศสและออสเตรเลียได้ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันโครงการดังกล่าว โดยระบุว่า "รัฐมนตรีฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการเรือดำน้ำในอนาคต"

ออสเตรเลียตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ Naval Group สำหรับเรือดำน้ำ Attack class แม้ว่าจะใช้เงินไปแล้วประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการของฝรั่งเศส คาดว่า ออสเตรเลียจะต้องจ่ายเงินอีกหลายร้อยล้านยูโรเป็นค่าปรับสำหรับการยกเลิกสัญญา

มีการเปิดเผยว่าในวันที่โครงการถูกยกเลิก ออสเตรเลียได้เขียนจดหมายถึงฝรั่งเศสโดยระบุว่า "พวกเขาพอใจกับประสิทธิภาพที่ทำได้ของเรือดำน้ำและความคืบหน้าของโครงการ"

พลเรือโท Michael Noonan ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรเลีย ได้พบกับพลเรือเอก Tony Radakin ผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งสหราชอาณาจักร

การเจรจาระหว่างออสเตรเลีย-สหราชอาณาจักร-สหรัฐฯ The Telegraph รายงานว่า ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 พลเรือโท Michael Noonan ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรเลีย ได้พบกับพลเรือเอก Tony Radakin ผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งสหราชอาณาจักรที่กรุงลอนดอน และขอความช่วยเหลือจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสำหรับการจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ The Telegraph รายงานอีกด้วยว่า Dominic Raab รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร "ทำหน้าที่เป็นตัวแทนตามข้อตกลง"

The New York Times ระบุว่า Boris Johnson นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Joe Biden ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้หารือกันในการประชุมสุดยอด G7 เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2564 ในเมืองคอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร The Guardian รายงานว่า มีการเจรจาไตรภาคีระหว่าง Johnson กับ Biden และ Morrison ในการประชุมสุดยอด G7 การเจรจาเกิดขึ้นโดยไม่มีประธานาธิบดี Macron ร่วมด้วย ซึ่งแนวทางนี้เป็นไปได้เนื่องจากสหราชอาณาจักรจะไม่เข้าสู่นโยบายต่างประเทศอย่างเป็นทางการและสนธิสัญญาความมั่นคงในข้อตกลงหลัง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) เป็นผลให้สหราชอาณาจักรมีอิสระที่จะแสวงหาความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นกับพันธมิตรอื่น ๆ The Guardian ยังรายงานว่า ออสเตรเลียกำลังพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อตกลงเรือดำน้ำ Attack class ต่อไปอีก 18 เดือน

ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ และออสเตรเลียได้ประกาศการพัฒนาขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงร่วมกัน ทั้งออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ต่างเป็นสมาชิกของโครงการ Joint Strike Fighter (F-35)

ข้อตกลง AUKUS จะรวมถึงข้อกำหนดที่ทำให้ออสเตรเลียสามารถจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ได้ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์มีความเร็วมากกว่า สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานขึ้น และสามารถบรรทุกอาวุธได้มากกว่าเรือดำน้ำทั่วไป ปัจจุบันมีเพียง 6 ประเทศเท่านั้นที่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ได้แก่ สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) และอินเดีย สหรัฐฯ จะจัดหายูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง (HEU) ให้กับออสเตรเลียเพื่อเป็นพลังงานให้กับเรือดำน้ำ ออสเตรเลียตกลงที่จะไม่ผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงเอง

หมายเหตุ เครื่องปฏิกรณ์ทางเรือของสหรัฐอเมริกาล้วนแต่เป็นเครื่องปฏิกรณ์แรงดันน้ำ (PWR) ทั้งหมด Rolls-Royce PWR3 ของสหราชอาณาจักรเป็นระบบใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากการออกแบบของสหรัฐฯ แต่ใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์ของสหราชอาณาจักร

ออสเตรเลีย Lloyd Austin รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ

การปรับใช้เครื่องปฏิกรณ์ของสหรัฐอเมริกาสำหรับออสเตรเลีย ในการเจรจาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างสหรัฐฯ กับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศของออสเตรเลีย Peter Dutton รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของออสเตรเลียกล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ จะ "ส่งเสริมความร่วมมือด้านท่าทีของกองกำลังของเราอย่างมีนัยสำคัญ" ซึ่งรวมถึง "ความร่วมมือทางอากาศที่มากขึ้นผ่านการส่งเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ ทุกประเภท ไปประจำการในออสเตรเลีย" Dutton ยังระบุด้วยว่า อาจมีการเพิ่มในการหมุนเวียนจำนวนของกำลังทหารสหรัฐที่ถูกส่งไปประจำการที่นครดาร์วิน และการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคอื่น ๆ และฐานทัพและที่เก็บอุปกรณ์เพิ่มเติมในออสเตรเลีย

Lloyd Austin รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ จะมองหาโอกาสที่มากขึ้นในการปฏิบัติการรบร่วมกัน โดยระบุว่า จะมีกำลังทหารและเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ในออสเตรเลียมากขึ้น Austin ยังไม่การคาดว่า สหรัฐฯ จะคาดหวังให้ออสเตรเลียให้ผลประโยชน์เพื่อแลกกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เช่น ขีปนาวุธพิสัยกลาง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top