Thursday, 12 December 2024
The States Times EconBiz Team

รายงานฉบับล่าสุดจากธนาคารโลกระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวสู่ภาวะปกติเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ควบคุมโรคระบาดอันมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนเชิงนโยบายที่แข็งแกร่ง และการส่งออกที่ยืดหยุ่นของจีน

จากรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะเติบโตร้อยละ 2 ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ในปี 2021

อย่างไรก็ตามสภาพการณ์ภายนอก (จีน) จะยังคงเป็นเรื่องท้าทายและไม่แน่นอนสูง โดยในรายงานระบุว่า พ้องกับความเห็นจากที่ประชุมทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อ 18 ธันวาคม ที่ชี้ว่าจีนยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากภายนอกท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่อยู่ในระดับมั่นคง

ยิ่งไปกว่านั้น ในรายงานยังได้แนะนำให้ประคับประคองความไม่แน่นอนในระยะใกล้ด้วยการปรับใช้กรอบนโยบายอันยืดหยุ่น เพื่อรักษาฝีก้าวการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของจีนและของโลกให้เหมาะสมกัน

โดยการออกนโยบายก่อนเวลาอันควรและการจำกัดควบคุมมากเกินไป อาจจะบั่นทอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รายงานระบุ นอกจากนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นและเน้นการสนับสนุนแล้ว จีนควรใช้พื้นที่การคลังเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง พร้อมรับรองความราบรื่นของการหมุนเวียนอุปสงค์จากภาครัฐสู่เอกชน

รายงานยังเรียกร้องจีนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการคลังจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมเป็นการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม


ที่มา: Xinhuathai

ปัจจุบันโลกกำลังก้าวสู่ยุคยานยนต์แห่งอนาคตที่มีพลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่เทคโนโลยี ‘เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์’ จากค่ายมิตซูบิชิ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมน่าจับตามอง ที่สร้างระบบนิเวศน์ใหม่เชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระว่างรถยนต์และบ้าน อย่างลงตัว

นายยอดชาย ซื่อวัฒนากุล ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักสื่อสารการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายค่ายได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ

นอกเหนือจากการเป็นรถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลก นั่นก็คือ การคิดค้นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ เป็นได้มากกว่ารถยนต์

โดยทางมิตซูบิชิ ได้พัฒนาเทคโนโลยี ที่เรียกว่า “เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์” (mitsubishi dendo drive house) แล้วใส่เข้าไปกับตัวรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำให้รถยนต์สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัยได้

เทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์ เป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานบ้านและรถยนต์ ช่วยในการผลิต เก็บ และแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นการผสานการทำงานร่วมกันของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี พร้อมกับเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่สำรองกระแสไฟฟ้าในที่พักอาศัย

เริ่มต้นการเก็บพลังงานด้วยการเปลี่ยนแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านแผงโซลาร์เซลล์ แล้วเก็บเข้าแบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน หรือในแบตเตอรี่ของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี

พลังงานเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ภายในบ้านอัตโนมัติด้วยเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์จะใช้เป็นพลังงานหลักสำหรับใช้ในบ้าน

ส่วนพลังงานที่เก็บสะสมระหว่างวันและภายในรถยนต์ จะสามารถนำไปใช้ในช่วงเวลากลางคืน และกรณีไฟดับ สามารถใช้แบตเตอรี่จากในบ้าน และสามารถดึงพลังงานเพิ่มเติมจากรถยนต์ออกมาใช้ในช่วงเวลากลางคืนได้

และหากพิจารณาขนาดของแบตเตอรี่ของรถยนต์รุ่นดังกล่าว ที่มีพลังงานเพียงพอจ่ายกระแสไฟฟ้าจำเป็นให้กับบ้านได้ใน 1 วัน โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า และด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง รถจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการใช้งานภายในบ้านได้นานถึง 10 วัน (คำนวณโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัวเลขสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามปริมาณการใช้ไฟที่ต่างกันไป ตามความเป็นจริง)

ชมรายละเอียดเทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์

.

สำหรับการชาร์จไฟแบตเตอรี่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำได้สะดวกและง่ายดาย เพียงเสียบชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟที่บ้าน ซึ่งการชาร์จรูปแบบปกติให้กำลังไฟ 100% ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หรือขับไปชาร์จ

ยังสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ให้บริการนอกสถานที่โดยการชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) ด้วยหัวชาร์จ CHAdeMO ให้กำลังไฟ 80% ในเวลาประมาณ 25 นาที หรือจะชาร์จโดยวิธีการกดปุ่ม Save/Charge ภายในรถ ก็สามารถชาร์จไฟได้ในเวลาประมาณ 40 - 45 นาที

สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์รุ่นใหม่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ก็น่าสนใจไม่น้อย ด้วยราคาเริ่มต้น 1,640,000 บาท

จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่ออารมณ์อยากท่องเที่ยวคนไทยหมดไปพอสมควร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดฉุดยอดเงินสะพัดเหลือแค่ 10,700 ล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี พ.ศ.2564 คาดว่าหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศที่มาจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาคร ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนักท่องเที่ยวเกิดความหวั่นวิตกกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ ททท.ประเมินว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวปีใหม่ พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 3 มกราคม พ.ศ.2564 คาดว่า จะมีคนไทยเดินทางภายในประเทศ 2.75 ล้านคน - ครั้ง และมีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่มากว่า 10,700 ล้านบาท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 37% ซึ่งลดลงจากปีก่อนมาก เพราะปีที่ผ่านมามีวันหยุดยาวถึง 5 วัน และมีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เพราะเป็นช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสร้างรายได้หมุนเวียนมากถึง 23,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเกิดล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร แต่ก็ยังไม่นำไปสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ดังนั้น บางพื้นที่จึงยังจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 64 ที่ ททท. เป็นผู้จัด หรือร่วมสนับสนุนการจัดงานใน 4 พื้นที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรองตามภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ราชบุรี และร้อยเอ็ด แต่การจัดงานได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ยกระดับความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมโรค คาดว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 4.71 แสนคน-ครั้ง และมีรายได้หมุนเวียน 1,800 ล้านบาท

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

ตอนนี้จีนกำลังมีส่วนร่วมในการสร้าง ‘ประชาคมการขนส่งระดับโลก’ สำหรับทุกฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จากรายงานข้อมูล ‘สมุดปกขาว’ หรือรายงานทางการว่าด้วย ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน’ (Sustainable Development of Transport in China) ระบุว่า ปัจจุบันจีนได้มีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมการขนส่งระดับโลกแก่ทุกๆ ฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยเข้ามาส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลกอย่างชัดเจน

โดยจีนจะดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างที่สุด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย จนทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันผ่านการดำเนินงานในสาขาที่หลากหลายในระดับที่สูงขึ้น

...ความร่วมมือที่ผนวกเข้ากับ ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’

ภายใต้หลักการของการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง การร่วมสร้างคุณูปการ และการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน จีนได้ร่วมมือกับหลากหลายประเทศในแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ เสริมสร้างการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการอำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศ

สมุดปกขาวระบุถึงความคืบหน้าต่อเนื่องในโครงการความร่วมมือต่างๆ ซึ่งร่วมถึงทางรถไฟข้ามพรมแดนจีนเนปาล ทางรถไฟจีน-ลาว และอีกหลายโครงการ เช่น ทางรถไฟมอมบาซา-ไนโรบี และทางด่วนคุนหมิง-กรุงเทพฯ ที่ล้วนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่จีนส่วนร่วมในการก่อสร้างและการบริหารจัดการท่าเรือในต่างประเทศหลายแห่ง

จีนยังส่งเสริมการประสานนโยบาย กฏ และมาตรฐานระหว่างนานาประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศด้วย

ทั้งนี้จีนได้ลงนามในข้อตกลง 22 ฉบับเกี่ยวกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 19 ประเทศ ทำข้อตกลงการขนส่งระดับทวิภาคีหรือภูมิภาค 70 ฉบับกับประเทศและภูมิภาค 66 แห่ง โดยมีบริการขนส่งสินค้าครอบคลุมทุกประเทศที่ติดทะเลในแผนริเริ่มฯ และเมื่อสิ้นปี 2019 ยังมีสายการบินจีนและต่างประเทศที่เปิดให้บริการเชื่อมต่อจีนกับนานาประเทศถึง 54 แห่ง โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 6,846 เที่ยวต่อสัปดาห์

...การส่งเสริมมาตรฐานกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จีนได้เข้าร่วมเป็นภาคในข้อตกลงพหุภาคีเกี่ยวกับการขนส่งเกือบ 120 ฉบับ โดยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กรการขนส่งระหว่างประเทศหลายแห่งและเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการประชุมการขนส่งโลก (World Transport Convention)

จีนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมดภายใต้กรอบของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจีนมีเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สมุดปกขาวระบุว่าจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยจีนได้ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศที่สอดคล้องต่อขั้นตอนการพัฒนาและเงื่อนไขของจีน ทั้งยังบังคับใช้ยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศในเชิงรุก

...เสริมแกร่งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

จีนเสริมสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งในงานการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ร่วมกับนานาประเทศและผลักดันให้มีประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคน

จีนได้แบ่งปันแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดสำหรับเรือ สนามบิน สายการบินและกะบริการไปรษณีย์ ทั้งยังสร้างช่องทางด่วนภายในประเทศสำหรับการขนส่งวัสดุป้องกันการแพร่ระบาด

องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) ได้แนะนำและส่งต่อมาตรการจำนวนมากจากจีนไปยังประเทศสมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวน 174 แห่ง

สมุดปกขาวระบุว่า จนถึงตอนนี้จีนได้ส่งเสบียง 294 ชุดไปยังประเทศ 150 แห่งและองค์การระหว่างประเทศ 7 แห่ง ทั้งยังมีการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 35 ทีมรวม 262 คน ไปช่วยเหลือประเทศ 33 แห่ง


ที่มา: Xinhuathai

สมุดปกขาวหรือรายงานทางการว่าด้วย “การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน” (“Sustainable Development of Transport in China”) ระบุว่าจีนกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องจากการเป็นผู้ตามไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีการขนส่ง โดยจีนได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญขึ้นมากมาย

ทั้งยังสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญหลายครั้งในแวดวงโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ดังจะเห็นได้จากอภิมหาโครงการและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกบางส่วนที่ระบุไว้ด้านล่างนี้

จีนเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีการสร้างทางรถไฟในพื้นที่สูงและพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก เช่น เดียวกับการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงและทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนัก

จีนได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ท้าทายที่สุดในการก่อสร้างทางหลวงในสภาพทางธรณีวิทยาที่ยากลำบาก เช่น ที่ราบสูงชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Plateau Permafrost) พื้นที่ดินบวมตัว (Expansive Soil) และทะเลทราย นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแกนหลักในการสร้างท่าเรือน้ำลึกนอกชายฝั่งการปรับปรุงปากแม้น้ำขนาดใหญ่และทางน้ำยาว และการสร้างสนามบินขนาดใหญ่

ภายในสิ้นปี 2019 ความยาวรวมของทางรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศจีนทะลุ 35,000 กิโล ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของทางรถไฟความเร็วสูงทั้งหมดของโลก

จีนได้สร้างทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-กวางโจว ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่ทางรถไฟความเร็วสูงฮาร์บิน-ต้าเหลียน ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของโลกที่วิ่งในพื้นที่อุณหภูมิต่ำในฤดูหนาว ก็ได้เปิดให้บริการแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนักต้าทง-ฉินหวงเต่า ยังติดอันดับทางรถไฟชั้นนำของโลกในด้านปริมาณการขนส่งต่อปีด้วย

จีนเป็นผู้นำของโลกทั้งในด้านจำนวนและความยาวรวมของสะพานและอุโมงค์ทางหลวงทั้งที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ผลงานของจีนครองอันดับต้นๆ ของโลกมากมาย เช่น สะพานขึงที่ยาวที่สุด 7 ใน 10 แห่ง และสะพานแขวนที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 แห่ง สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 และสะพานที่สุดที่สุด 8 ใน 10 แห่งทั่วโลก

รถไฟฟ้าฟู่ซิงของจีนที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของโลกที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้บริการในหลายเส้นทาง อาทิ ทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ทางรถไฟระหว่างเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน และทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-จางเจียโข่ว

จีนกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จีนได้สร้างเทคโนโลยีการผลิตเรือเครื่องจักรวิศวกรรมทางทะเลแบบพิเศษ และชุดอุปกรณ์ครบวงจรระดับแนวหน้าของโลก สำหรับจัดการตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่และจำเพาะด้วยระบบอัตโนมัติ


ที่มา: Xinhuathai

หลังเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ล่าสุดทางเซ็นทรัลพัฒนา ประกาศงดงานเคาท์ดาวน์ทุกแห่งทั่วประเทศ ลดความเสี่ยง เล็งถ่ายทอดผ่าน Live สด แทน

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัล ภูเก็ต และเซ็นทรัลวิลเลจ จับมือพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด, มาสเตอร์การ์ด, บมจ. แพลน บี มีเดีย (PLANB), บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท วันสามสิบเอ็ด จำกัด (ช่อง ONE 31) ประกาศสนับสนุนภาครัฐ ด้วยการงดจัดคอนเสิร์ตใหญ่ทุกแห่งทั่วประเทศ

.

พร้อมปรับรูปแบบการจัดงาน “centralwOrld bangkOk cOuntdOwn 2021-A Symbol of Hope” เคาท์ดาวน์รูปแบบ New Normal ผ่าน Live Broadcast ช่อง ONE 31, LINE TV และ centralwOrld Facebook ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2563 เริ่มพร้อมกัน 23:40 – 00:10 น.

.

ส่วนสาขาอื่นๆ อีก 10 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา, เซ็นทรัลพลาซา มหาชัย, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่, เซ็นทรัลพลาซา พิษณุโลก, เซ็นทรัล โคราช, เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, เซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช, เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัลพลาซา ระยอง จะงดกิจกรรมเคาท์ดาวน์ในรูปแบบคอนเสิร์ตใหญ่ทั้งหมด

.

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด CPN เผยว่า เราได้ติดตามสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และมีความห่วงใยในความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกค้าทุกคน และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการคุมเข้มมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ลดความแออัด เน้นวินัย รักษาระยะห่างแบบ New Normal ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่แลนด์มาร์กเคาท์ดาวน์ทั่วโลกจะพร้อมกันปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเคาท์ดาวน์ เพราะทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ COVID-19 ที่คนทั่วโลกต้องรับมือ

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจ 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2564 ระบุธุรกิจบริการทางการแพทย์- อีคอมเมิร์ซ มาแรง ขณะที่ ธุรกิจเช่าหนังสือ - สื่อสิ่งพิมพ์ น่าเป็นห่วง

ได้แก่

1.) ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน

2.) ธุรกิจแพลตฟอร์ม (ธุรกิจตัวกลางหรือตลาดกลางทางด้านอิเล็กทรอนิกส์) และธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจยูทูบเบอร์และการรีวิวสินค้า

3.) ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต

4.) ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ธุรกิจการขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์

5.) ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีวิเคราะห์และจัดการข้อมูล

6.) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจอาหารเสริม และสุขภาพ

7.) ธุรกิจสตรีทฟู้ด และฟู้ดทรัค

8.) ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ และเดลิเวอรี่ ธุรกิจด้านฟินเทค และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี

9.) ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น ร้านสะดวกซัก เครื่องเติมเงิน เครื่องเติมน้ำ เป็นต้น

10.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านกฎหมาย บัญชี ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์แพกเกจจิ้ง

“ผลจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการก็หันมาทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะทำได้ง่าย เปิดร้านได้ 24 ชั่วโมง มีระบบขนส่งที่สนับสนุน จ่ายเงินได้ง่าย ซื้อได้ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ทำให้เป็นธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดี และขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 จากปีที่แล้วอยู่อันดับ 2 ส่วนบริการทางการแพทย์และความงาม ที่ครองที่หนึ่งร่วม เพราะคนยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม อัตราค่าบริการของไทยถูก ได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ

แต่ที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจยูทูบเบอร์และการรีวิวสินค้า ที่พุ่งแรงติดอันดับ 2 จากที่ไม่เคยติดอันดับมาก่อน เพราะคนให้ความสำคัญกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การทำธุรกิจมีต้นทุนต่ำ แต่มีรายได้ต่อเนื่อง โดยเติบโตดีพร้อมกับธุรกิจแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายออนไลน์”

ส่วนธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต เติบโตจากการที่คนกังวลโควิด-19 และซื้อเพื่อการออมและใช้ลดหย่อนภาษี ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ยา เติบโตตามการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล เติบโตตามความต้องการนำข้อมูลไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เติบโตตามความต้องการที่สูงขึ้น และยังซื้อได้ง่ายผ่านแอปฯ อินเทอร์เน็ต และมีบริการส่งถึงที่

รวมถึงอาหารเสริมที่เติบโตตามการดูแลสุขภาพ ธุรกิจสตรีทฟู้ด และฟู้ดทรัค ได้รับแรงหนุนจากคนละครึ่ง นักท่องเที่ยวนิยม และปัจจุบันมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้นผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ เติบโตรองรับการขยายตัวของ

การค้าออนไลน์ การบริการรับส่งอาหาร ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ธุรกิจรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เติบโตตามไปด้วย ธุรกิจพลังงาน ยังเติบโตตามความต้องการใช้พลังงานของประเทศ ส่วนธุรกิจตู้หยอดเหรียญ จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และธุรกิจที่ปรึกษาด้านกฎหมายและบัญชี จะเติบโตเพราะคนให้ความสำคัญกับการรักษาสิทธิ และภาวะเศรษฐกิจ ที่จะทำให้มีการผิดนัด ผิดสัญญา และธุรกิจแพจเกจจิ้ง ที่มีแนวโน้มเติบโตตามการขยายตัวของการทำธุรกิจและการค้าออนไลน์

สำหรับธุรกิจที่ประเมินว่าจะเป็นธุรกิจดาวร่วงในปี 2564 มีจำนวน 10 ธุรกิจ ได้แก่

1.) ธุรกิจเช่าหนังสือ

2.) ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ความจำ Storage media ก็คือ CDs, DVDs, Blu-Ray Discs, External Hard Drives, Memory Cards

3.) ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และวารสาร

4.) ธุรกิจร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต ธุรกิจคนกลาง

5.) ธุรกิจดังเดิมไม่มีดีไซด์ และใช้แรงงานเยอะ (เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น)

6.) ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใช้แรงงานจำนวนมากและขายในประเทศ ธุรกิจหัตถกรรม และเฟอร์นิเจอร์ไม้ (ดังเดิมที่ไม่ได้มีการปรับตัว)

7.) ธุรกิจการซ่อมรองเท้า

8.) ธุรกิจการค้าแบบดังเดิม ธุรกิจเครื่องปันดินเผา และเซรามิก

9.) ธุรกิจผลิตผักและผลไม้อบแห้ง

10.) ธุรกิจร้านถ่ายรูป

ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้มีการประเมิน 10 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 10 ธุรกิจ ได้แก่ 1.สายการบิน 2.ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ 3.โรงแรม 4.ธุรกิจของที่ระลึก 5.ธุรกิจจัดประชุมและแสดงสินค้า 6.ผับ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน 7.ธุรกิจสปา 8.อสังหาริมทรัพย์แนวดิ่ง 9.ธุรกิจโรงภาพยนตร์ 10.ร้านอาหารและภัตตาคาร

รู้ไหม Apple จะไม่ได้มีขายแค่สมาร์ทโฟนอีกต่อไป นั่นก็เพราะภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Titan ซึ่งถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 ได้วางแผนที่จะสร้าง Apple Car อย่างจริงจัง

โดยรายงานจาก Reuters ได้เผยว่า Apple กำลังกลับมาจริงจังกับโครงการนี้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ Apple Car ให้ได้ภายในปี 2024 

สำหรับเป้าหมายของการผลิตรถยนต์ Apple Car คือ มุ่งสู่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ตลาดขนส่งมวลชน หรือสาธารณะ เหมือนกับคู่แข่ง เช่น บริษัท Waymo ของ Alphabet (Google) ซึ่งต้องการสร้างแท็กซี่ ที่ให้บริการแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือไร้คนขับ

จุดเด่นหลัก ๆ ของ Apple Car คือเรื่องของ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ได้ถูกออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด และจะทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ให้ได้
 
นั่นจึงทำให้ Apple พยายามตรวจสอบหาแนวทางในการใช้ แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (LFP) ที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยกว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประเภทอื่นๆ

ทั้งนี้ Apple กำลังพิจารณาเลือกพันธมิตรภายนอก เพื่อมาร่วมสร้างและผลิต Apple Car เช่น ผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ที่ช่วยให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทำงานได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจจับภาพแบบ 3 มิติ ได้รอบคัน

แน่นอนว่าพอมีข่าวนี้ออกมา ราคาหุ้นของผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Velodyne Lidar ก็เลยพุ่งขึ้นเกือบ 23% และ Luminar พุ่งขึ้นกว่า 27% หลังจากมีข่าวว่า Apple กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ทางด้านนี้

ทั้งนี้ หนึ่งในความท้าทายที่สุดของ Project Titan คือ การผลิตตัวรถยนต์เป็นจำนวนมาก เพราะทาง Apple ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน และตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ใครจะเป็นพันธมิตรของ Apple ในการทำหน้าที่ประกอบรถยนต์ Apple Car

ก็ต้องนับถอยหลังกันดูว่าในอีกราวไม่เกิน 4 ปี (2024) Apple จะสามารถผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ออกสู่ตลาดได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ละกัน

 

Nikon ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปชั้นนำระดับโลกเผย ประกาศเตรียมย้ายฐานการผลิตกล้องมาไทยเพิ่มเติม ขณะที่ สายพานการผลิตในประเทศญี่ปุ่นจะสิ้นสุดลงในปี 2564

Nikon ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูป แบรนด ชั้นนำระดับโลก ประกาศเตรียมยุติสายพานการผลิตกล้องถ่ายภาพในโรงงานที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2564 และย้ายไลน์ผลิตทั้งหมดมาที่ประเทศไทยเพื่อควบคุมต้นทุน เพราะตลาดกล้องถ่ายรูปยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง

การประกาศเลิกผลิตกล้องในญี่ปุ่นของ Nikon ในครั้งนี้ เป็นการปิดฉาก 70 ปีที่ Nikon ทำการผลิตกล้องถ่ายรูปโดยมีฐานการผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น

แต่ด้วยอัตราต้นทุนที่สูงทำให้ทาง Nikon ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ กล้องแบบ Mirrorless ตระกูล Z6 และ Z7 นั้น ถูกย้ายฐานการผลิตจนแล้วเสร็จในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ขณะที่ การเตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยจะถูกดำเนินการในเดือนตุลาคม โดยการผลิต D6 Digital SLR จะถูกย้ายมายังประเทศไทยไม่เกินปลายปี 2564 ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Nikon จะย้ายไลน์ผลิตกล้องถ่ายรูปทั้งหมดมาที่โรงงานประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ Nikon มีการนำกล้องแบบ Mirrorless ระดับสูงเช่น Z6 และ Z7 เข้ามาผลิตในประเทศไทย ส่วนรุ่นถัดไปที่จะถูกย้ายมาผลิตที่ประเทศไทยคือกล้องระดับมืออาชีพรุ่น D6 โดยรุ่นดังกล่าวจะถูกย้ายมาภายในปี 2021

ปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยถือเป็นโรงงานหลักของ Nikon ผ่านการผลิตกล้องถ่ายรูปรุ่นต่าง ๆ รวมถึงเลนส์หลากหลายแบบ ในทางกลับกันโรงงานที่ญี่ปุ่นหลังจากนี้จะถูกใช้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับกล้องวีดีโอแทน รวมถึงเป็นสถานที่พัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อสนับสนุน Nikon ในอนาคต

สำหรับประวัติความเป็นมาโรงงาน Sendai ของนิคอน เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1971 มีกล้องตัวแรกที่ผลิตคือ Nikon EM เรียกได้ว่าปิดตำนาน 41 ปี ที่โรงงานแห่งนี้ได้เปิดทำการมา และเป็นอันยุติฐานการผลิตกล้องนิคอนทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top