Saturday, 18 January 2025
AYA IRRAWADEE

ปล่อยทำกันเป็นขบวนการแบบเกลื่อนโซเชียล 'นายหน้าขนแรงงาน-สายรายงาน-เจ้าหน้าที่'

เอย่า เคยรายงานเรื่อง VIP Pass ที่คนพม่าอยากมาไทยจ่ายแค่หลักพัน แล้วสามารถผ่าน ตม. มาได้แบบไม่ต้องมีหลักฐานการจองโรงแรม ไม่ต้องสำแดงเงิน แถมนายหน้าบางคนนี่ ยังช่วยนำรูปถ่ายของผู้ใช้บริการในเครือข่ายตน มาโพสต์บนสื่อโซเชียลตัวเอง ว่ามีรถกอล์ฟรับจากด้านในออกมาด้านนอกเลย VIP ... ระดับนี้ขนาด Elite card ยังทำไม่ได้!!

การกระทำเช่นนี้ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ หากไม่มีคนของการท่าอากาศยานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีคำตอบจากการท่าอากาศยานออกมาสักที

นอกจากนี้ เชื่อไหมว่าในสื่อโซเชียลของนายหน้าชาวเมียนมา ถึงขั้นมีการประกาศอย่างโจ๋งครึ่มด้วย ว่าสามารถรับขนคนจากย่างกุ้ง, เมียวดี, ท่าขี้เหล็ก มากรุงเทพฯ ได้อย่างปลอดภัย 

อยากถามหน่อยว่าเข้ามาได้อย่างไร? ตม. สามารถปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ? รึว่ามีผู้มีอิทธิพลหรือข้าราชการชายแดนใดได้ผลประโยชน์ร่วมกับนายหน้าเหล่านี้ จึงง่ายดายเสียขนาดนั้น

ที่เด็ดกว่า คือ มีโพสต์หนึ่งที่ถูกแขวนประกาศบนเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) ว่ามีคนไทยรายหนึ่งสามารถพิมพ์ภาษาพม่าได้ เป็นสายคอยแจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวในการออกพื้นที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยระบุวันไว้อย่างละเอียด พร้อมแจ้งให้คนพม่าที่เข้าเมืองอย่างไม่ถูกต้อง อย่าออกมาค้าขายให้เก็บตัวอยู่ในบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวเสียด้วย

ดังที่ทราบกันว่า ตอนนี้มีคนต่างด้าวที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายในไทยมากขึ้น ทั้งทางช่องทางธรรมชาติและผ่านการใช้วีซ่าแล้ว Overstay เมื่อวีซ่าขาด หลายคนมาแบบใช้วีซ่าท่องเที่ยวที่จะอยู่ไทยได้ 60 วัน และ Extend visa ต่อได้อีก 30 วัน เพื่อหางานและให้ได้ Work permit ในช่วงเวลาดังกล่าว 

ที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว และก็คงได้แต่คอยตั้งคำถามว่า ทางการไทยไม่ทำงานประสานกันเลยอย่างนั้นหรือ?

ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน คงไม่มีใครทำร้าย ทำลายชาติตนเองได้เท่ากับคนในชาติดังปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว 

เอย่า ไม่ได้จะกล่าวโทษว่าการมีคนต่างด้าวหรือต่างชาติเข้ามาทำงานพัฒนาประเทศเป็นสิ่งไม่ดี แต่การเข้ามาที่ไม่ถูกต้อง ... ย้ำทุกครั้งว่า 'ไม่ถูกต้อง' จะนำพาซึ่งปัญหามากมาย ทั้งอาชญากรรม รวมถึงแก๊งสเตอร์ ระดับที่ว่า มีชาวพม่าผู้ยิ่งใหญ่ในสมุทรสาคร สามารถปิดซอยจัดงานเลี้ยงวันเกิดลูกกันได้เลยทีเดียว...

ฉะนั้น ยาเสพติด ลักขโมย และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย คงไม่ต้องให้บรรยายแล้วเนาะ...

วิเคราะห์!! ชัยชนะ 'ฟอกขาวต่างด้าว' กระบวนการสมคบคิดของคนบางกลุ่ม ถ้าหากสำเร็จ!! หนี้บุญคุณจะถูกตอบแทนจากต่างด้าวอีกหลายรุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองบางกลุ่มร่วมมือกับ NGO และสื่อบางสื่ออย่างเป็นขบวนการ 'สมคบคิด' ที่จะผลักดันแผนฟอกขาวให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิ์ในประเทศไทยโดยแลกกับคะแนนเสียงที่จะได้ในอนาคต  

โดยไม่นานมานี้ มีกลุ่มเรียกร้องทางการเมืองบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวให้ต่างด้าวสามารถเลือกตั้งได้ ซึ่งหลังจากนั้นทาง กกต. ก็ได้ออกมาแถลงทันทีว่าต่างด้าวที่สามารถเลือกตั้งได้นั้น จะต้องผ่านการแปลงเป็นสัญชาติไทยหรือมีใบต่างด้าวเท่านั้น

ตรงนี้ถือเป็นการจุดประเด็นให้รู้ว่า หากเราต้องการให้ต่างชาติมาเลือกตั้งได้ ต้องมีข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ต่อมาคือ 'กระบวนการฟอกขาว' การที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค พยายามผลักดันให้เปิดศูนย์ CI เป็น 1 ในกระบวนการที่พยายามจะเอาคนต่างชาติบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยเข้ามาให้มากที่สุด โดยพยายามกดดันให้กระทรวงมหาดไทยรับรอง ด้วยการเปิดให้ต่างด้าวได้รับบัตรชมพูแบบไม่ได้สนใจว่า คนเหล่านั้นจะมีเอกสารถูกต้องหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลในเรื่องลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน 

แต่ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' เป็นความรับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงแรงงาน...

ดังนั้นการอ้างเรื่องแรงงาน จึงไม่ใช่เหตุผลจริงในการทำบัตรชมพู แต่การทำบัตรชมพูคือ 'การยอมรับว่ามีคนที่ไม่ใช่เป็นคนสัญชาติไทยชื่อนี้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย' พูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นบัตรประชาชนของคนต่างชาติ 

หมายความว่า การได้มาของบัตรชมพู หากไม่ถูกต้องหรือปราศจากพาสปอร์ตที่ออกโดยฝั่งเมียนมาและการเก็บอัตลักษณ์เป็นลายนิ้วมือหรือม่านตาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างที่ เอย่า เคยกล่าวไปแล้วคือ...

- การเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างด้าวคนนั้น กล่าวคือ 1 คนแต่มีบัตรชมพูหลายใบ โดยใช้ตัวสะกดต่างกันแค่อักษรบางคำ เอย่าจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น นางอ่อนคำ มีบัตรชมพูใบที่ 1 ชื่อ Nang On Kham ในบัตรชมพูใบที่ 2 จะชื่อ Nann On Kham และบัตรชมพูใบที่ 3 จะชื่อ Nan Orn Kam เป็นต้น

- การเปลี่ยนสัญชาติ หลายคนกล่าวว่า การได้มาซึ่งสัญชาติไทยนั้นยากมาก แต่คนบางกลุ่มการได้มากลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะในการปฏิบัติกับทางกฎหมายที่ระบุมันต่างกัน เอย่าคิดว่าหากถามประเด็นนี้คงไม่ยาก ลองไปดูตามจังหวัดที่ติดชายแดนไทยจะทราบว่า หลายครอบครัวมีการได้มาซึ่งบัตรประชาชนอย่างไร อีกทั้งชาวเมียนมาบนโซเชียลหลายคนก็เคยพิมพ์บอกชาวเมียนมาด้วยกันว่า 'การได้สัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเงินแสนก็สามารถมีสัญชาติไทยได้'

ปัจจุบันการขอสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากกฎหมายและระเบียบการขอสัญชาติไทยปี 2566 ระบุไว้ว่า ผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต้องมีคุณสมบัติดังนี้...

• บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายประเทศไทย (อายุ 20 ปี) และกฎหมายที่ผู้สมัครมีสัญชาติ

• ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย โดยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร

• อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จากวันที่ระบุไว้ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือทะเบียนราษฎร

• มีอาชีพสุจริต โดยมีใบอนุญาตทำงาน/หนังสือรับรองการประกอบอาชีพที่ออกโดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยมีรายได้ขั้นต่ำดังนี้

• กรณีที่ผู้สมัครไม่มีความสัมพันธ์ใดกับประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/เดือน

• กรณีที่ผู้สมัครมีคามสัมพันธ์กับประเทศไทย เช่นแต่งงานกับชาวไทย หรือมีบุตรที่มีสัญชาติไทย หรือจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันศึกษาในประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/เดือน

• มีหลักฐานการจ่ายภาษีเงินได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

• มีความประพฤติดี โดยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

• มีความรู้ด้านภาษาไทย สามารถร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมีได้

ลองคิดดูว่า หากวันนี้เรามีการทำบัตรชมพูให้แรงงานเข้ามา แล้วแรงงานเหล่านั้น 'มีลูก' ภายใต้นโยบายของรัฐบาลล่าสุดที่ให้เรียนฟรี 15 ปี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ... เด็กทุกคนที่แค่อาศัยในประเทศไทยมีสิทธิและโอกาสศึกษาเข้าเรียนเสมอภาค ก็จะทำให้ลูกที่เกิดจากแรงงานเหล่านั้น สามารถเข้าเรียนในไทยได้และสามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งเลยทีเดียว ... สุดท้ายพอลูกของแรงงานอายุ 20 ปี พอดีกับมีองค์กรใด ๆ มาโอบอุ้มการขอสัญชาติไทย ก็คงจะไม่ยากเย็นเท่าไรนัก และหลังจากนั้นบุญคุณระยะยาวนี้ จะถูกตอบแทนกลับไปจากคนต่างด้าวเหล่านั้นอีกกี่รุ่น เอย่าคงไม่ขอบรรยายนะ...

อันที่จริง เอย่า ก็ไม่ได้ระบุว่า นี่จะเกิดเฉพาะแค่คนเมียนมาเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้หมดกับคนต่างด้าวที่อยากจะหนีความแร้นแค้นในประเทศตนเองมาหาโอกาสที่ดีกว่าในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่โอกาสนั้นควรเป็นคนต่างด้าวหรือต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

มิฉะนั้น จะมีกรณีที่เกิดขึ้น ดังที่เคยเป็นข่าวที่ว่า นายจ้างชาวอิหร่านและภรรยาหญิงไทยถูกลูกจ้างชาวเมียนมาฆ่าตาย เสร็จแล้วลูกจ้างก็หนีไปมอบตัวว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ ตม. ไทยผลักดันกลับเมียนมา และสุดท้ายก็หนีไปอย่างลอยนวล 

เฉกเช่นเดียวกันกับคดีฆาตกรรมอดีตทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน ที่คนร้ายก็เป็นชาวเมียนมา และเมื่อสังหารแล้วก็หลบหนีข้ามฝั่งไปยังเมียนมาอย่างลอยนวลยังจับไม่ได้จนทุกวันนี้

ไทยปิดศูนย์ CI ปิดช่องพม่าฟอกขาว-ชุบตัวเป็นแรงงานในไทย ส่วนท่าที NGO ไม่ผิดคาด 'อุ้มต่างด้าว-ด่ารัฐไม่เอื้อความสะดวก'

กรมจัดหางานมีคำสั่งให้ปิดศูนย์บริหารจัดการ การทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ หรือที่เรียกชื่อเล่นว่า 'ศูนย์ CI' จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย ปทุมธานี, นครสวรรค์, สมุทรปราการ, ชลบุรี, สุราษฎร์ธานี และสงขลา ให้เปิดทำการแค่ศูนย์เดียวในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีผลตั้งแต่ 7 ก.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

จากคำสั่งดังกล่าวทำกลุ่ม NGO กังวลว่า การเปิดศูนย์ CI เพียงจังหวัดเดียว กำลังจะสร้างภาระให้กับแรงงานพม่ามากขึ้น เพราะว่าชาวพม่าที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, หนองบัวลำพู, อุดรธานี และอื่น ๆ ต้องเดินทางมาที่ สมุทรสาคร แห่งเดียว โดยอ้างว่า เป็นการสร้างภาระให้แก่แรงงานเหล่านั้น

ในอดีตการเปิดศูนย์ CI ก็เพื่อขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่แอบทำงานในไทยอย่างผิดกฎหมายให้เข้ามาในระบบอย่างถูกต้อง แต่ ณ ปัจจุบันพบว่ามีคนอาศัยช่องว่างในการเดินทางเข้ามาแบบผิดกฎหมายในไทย แล้วหาช่องทางทำให้ถูกต้องด้วยการรอขึ้นทะเบียน CI เพื่อจะสามารถเป็นแรงงานในไทยได้ 

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ จะเป็นไปได้ และคงจะไม่เกิดขึ้น หากไม่มีเหตุการณ์ที่ชาวพม่าทะลักเข้าไทยอย่างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นคือ การที่พวกเขาเห็นช่องทางในการฟอกขาวให้พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตใหม่

NGO ในไทย ก็ควรมีสามัญสำนึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเข้าข้างกล่าวหาว่ารัฐทำให้คนเหล่านั้นลำบาก NGO ควรเข้าใจด้วยว่าคนเหล่านั้นคือผู้กระทำผิดในการเข้าเมืองผิดกฎหมาย 

'อหิวาตกโรค' ภัยร้ายที่ยังคงมีในเมียนมา หากต้องแวะมา อย่าลืมรับวัคซีนแต่เนิ่นๆ

ไม่นานมานี้สาธารณสุขเมียนมาประกาศว่ามีอหิวาตกโรคระบาดในย่างกุ้ง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วหลายสิบราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็ก

ต้องยอมรับว่าอหิวาตกโรค หรือ โรคห่า เป็นโรคประจำถิ่นที่เกิดจากการดื่มกินน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้ออหิวาห์เข้าไปทำให้เกิดโรคขึ้น 

โรคอหิวาตกโรคไม่ได้เพิ่งมาระบาดในเมียนมา แต่ในปี 2015 ก็มีรายงานการระบาดของอหิวาต์มาแล้วในหมู่บ้านก๊อกกาเร็กใกล้เมืองเมียวดี

ทางสถานทูตไทยในย่างกุ้งได้แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ให้คนไทยที่อาศัยในเมียนมาให้ดื่มน้ำสะอาด งดรับประทานน้ำแข็งและทานอาหารปรุงสุก รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารค้างมื้อ อาหารทะเล อาหารดิบและอาหารที่มีแมลงวันตอม รวมถึงการใช้มือรับประทานอาหาร

สำหรับนักท่องเที่ยวในไทย เรามีวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์เช่นกัน มีทั้งแบบเชื้อเป็นและเชื้อตาย

วัคซีนแบบเชื้อตายเป็นวัคซีนรับประทาน ต้องทาน 2 ครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 1-6 สัปดาห์ ในขณะที่วัคซีนแบบเชื้อเป็น จะเป็นแบบรับประทานครั้งเดียวก่อนเข้าไปยังพื้นที่ที่มีการติดเชื้ออหิวาตกโรค โดยต้องรับประทานก่อนเดินทางเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน

ดังนั้นหากใครต้องการเดินทางไปยังเมียนมาในช่วงนี้ขอให้เตรียมตัวในการรับวัคซีนด้วย

แฉ!! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว 'ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน'

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 'ประชาไท' ในแพลตฟอร์ม X ได้ลงข่าวว่ามีแรงงานพม่าเรียกร้อง UN ESCAP ให้รับรองแรงงานข้ามชาติให้ได้บัตรชมพู โดยอ้างว่าเพื่อลดความซับซ้อนสำหรับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและไม่มีพาสปอร์ตว่าเป็นพลเมืองชาวเมียนมา

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ให้รู้กันว่า ทำไมคนพวกนี้ถวิลหาขนาดนั้น แต่ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักก่อนว่า UN ESCAP คือหน่วยงานใด

UN ESCAP หรือชื่อภาษาไทยว่าคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติแห่งเอเชียและแปซิฟิก เป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมการส่วนภูมิภาคของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ

ESCAP เป็นองค์กรบริหาร (Executing Agency) ที่เน้นดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคและประเด็นเกิดใหม่ที่สำคัญต่อภูมิภาค เช่น การขจัดความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน การจัดการกับภัยพิบัติ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ความเท่าเทียมกันทางเพศและการส่งเสริมบทบาทของสตรี ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ต่อมาเรามารู้จัก 'บัตรชมพู' กันดีกว่า

บัตรชมพู คือ บัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย เป็นเอกสารทะเบียนราษฎร์ที่นายทะเบียนออกมหาดไทยให้กับต่างชาติทุกคนที่มีถิ่นพำนักที่ชัดเจนในประเทศไทย

ในกรณีการเรียกร้องขอบัตรชมพู โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายทะเบียน ว่าจะได้รับคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยมาอย่างไร ซึ่งในอดีตเนื่องจากในประเทศไทยมีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายจำนวนมากที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย ทำให้ในยุคของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีการอนุโลมคนต่างด้าวที่มีนายจ้างเป็นคนรับรองว่าเป็นลูกจ้างแต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาทำการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวให้ได้บัตรชมพูและทำระบบ MOU เพื่อจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเหล่านี้

แต่ด้วยความหละหลวมของระบบมหาดไทยของไทย ทำให้คนต่างด้าวหลายคนเมื่อบัตรหมดอายุแล้ว กลับไม่ไปต่อ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อเป็นคนใหม่ไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้ได้บัตรอีกรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่นายทะเบียนและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัญชาติไม่มีข้อมูลหรืออะไรก็ไม่ทราบ ทำให้การออกบัตรชมพูทำได้ง่าย และส่งผลให้ 1 ชีวิตของชาวเมียนมามีตัวตนมากกว่า 1

และนั่นทำให้ปัจจุบัน มีคนต่างด้าวรอบ ๆ ข้างไทยหนีเข้าเมืองกันมามากขึ้นทั้ง คนลาว, พม่า และกัมพูชา

การเรียกร้องเช่นนี้ย่อมเป็นการเปิดช่องให้คนกลุ่มที่เข้าเมืองแบบไม่ถูกต้องเข้ามาใช้ช่องทางบัตรชมพู แล้วก็ฟอกตัวเองให้มีงานทำ จากนั้นเมื่อมีลูกก็จะสามารถส่งลูกเรียนในไทยได้ จนเมื่อครบ 20 ปีบริบูรณ์ คนกลุ่มนี้ก็จะมีสิทธิ์ขอสัญชาติไทยได้ตามกฎหมายและสามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านหรือที่ดินได้อย่างสมบูรณ์

แน่นอนแผนการนี้คนระดับแรงงานย่อมคิดไม่ได้ หากไม่มีตัวการที่คอยส่งเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ให้แรงงานกลุ่มนี้ไปเป็นหุ่นเชิดเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ไม่ควรที่จะได้

ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมากของกลุ่มคนไทยขายชาติที่ใช้กลุ่มคนเหล่านี้มาเป็นฐานเสียงในระยะยาว 

ก็ลองคิดดูละกันว่า เมื่อลูกหลานพวกเขามีสิทธิ์เลือกตั้ง จะเกิดอะไรขึ้น?

อย่างไม่นานมานี้ ในแพลตฟอร์ม X ก็เริ่มมีการแชร์ภาพเรียกร้องให้คนต่างด้าวมีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งหากคิดเล่น ๆ เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องขำขัน แต่ในประเทศที่เจริญทางประชาธิปไตยอย่างในยุโรปหรืออเมริกา เขาไม่ขำและก็ไม่ได้ให้สิทธิ์คนต่างด้าวในประเทศเลือกตั้ง

ฉะนั้น หากคิดให้ดี นี่คือมะเร็งร้ายที่พยายามชี้นำบ่อนทำลายให้คนไทยมีความคิดที่บิดเบี้ยวโดยอาศัยสิ่งที่คนไทยเป็นมาตลอดคือ "คนไทยเป็นคนง่ายๆ... อะไรก็ได้ เราอะลุ่มอล่วย" 

เปิดใจ!! แอดมินเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) ในวันที่ถูกมองว่าเป็นไอโอของกองทัพเมียนมา

วันนี้มีบทสัมภาษณ์ที่เอ็กคลูซีฟส่งตรงจากย่างกุ้งมาถึง เอย่า เมื่อทางทีมงานของเราได้บทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟของทีมแอดมินเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) มาให้อ่านกัน...

Q : เพจนี้มีจุดเริ่มต้นยังไง?
A : เพจนี้เริ่มจากพี่คนหนึ่งที่แกมาทำงานในพม่ายุคแรก ๆ สมัยที่เทคโนโลยียังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แกบอกว่าในสมัยที่แกมาอยู่ 3G ในพม่าช้ากว่า Edge ในไทยเสียอีก จากนั้นพี่เขาจึงเปิดเพจมาเพื่อบันทึกเรื่องราวสิ่งที่พี่เขาไปพบเจอตลอดการที่ทำงานที่พม่า

Q : แล้วทีมงานที่ทำอยู่ปัจจุบันมาจากไหน?
A : หลังจากพี่เขาปิดเพจไปหลังจากรัฐประหาร ทางทีมงานเราที่เป็นคนทำงานอยู่ที่นี่หลายคนและกระจายอยู่ในหลายเมืองก็ได้คุยกันเรื่องนี้ จากที่เคยเป็นแฟนเพจของพี่เขา เราเลยขอมาทำเพจแทนพี่เขาเสียเลย

Q : ทำไมอยู่ดี ๆ เพจนี้กลายเป็นเพจการเมือง?
A : ความจริงเราไม่ได้ต้องการให้มันเป็นเพจการเมืองนะ เพียงแต่ทีมงานเราอยู่กันมาก่อนเกิดรัฐประหารมาหลายปี พอมาเกิดรัฐประหาร เราก็อยู่ในเหตุการณ์ หลังรัฐประหารมันก็มีข่าวเรื่องการเมืองพม่าส่วนมาก แต่ในความจริง เรายังคงเหมือนเดิมคือ นำเรื่องราวในพม่ามาสู่สายตาคนไทย

Q : แล้วที่ใคร ๆ บอกว่าเพจนี้เป็น 'ไอโอพม่า' ในฝั่งแอดมินมีความเห็นว่าไง?
A : ฮาๆๆๆๆๆ (ขำกันใหญ่) ถามว่าถ้าเป็นไอโอจริงป่านนี้พวกเรากลุ่มแอดมินคงมีชีวิตสบายกว่านี้แล้ว แต่เปล่าเลย เราก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนพม่านี่แหละ ใช้ชีวิตเหมือนเขา เจอความทุกข์เหมือนเขาเช่นกัน

Q : อ้าวแล้วทำไมทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลทหารละ? 
A : ความจริงเราไม่ได้เป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายไหนนะ อย่างเรื่องธรรมกายในพม่าก็เป็นกลุ่มพระวีระธูที่กองทัพสนับสนุน เราก็ด่า!! เพราะมันกัดกินบ่อนทำลายศาสนาเขา ในขณะเดียวกันความฉิบหายในบ้านเมืองนี้จะโทษฝั่งทหารฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ ต้องโทษทุกฝ่ายนั่นแหละ เพราะนี่คือตัวอย่างของบ้านเมืองที่คนในชาติแตกความสามัคคี ทำให้ต่างชาติที่อ้างว่าหวังดีจะเข้ามาชักใยได้ ดังที่เห็นจากสื่อของพม่าทั้งภาษาอังกฤษและพม่า รวมถึงแปลไปยังสื่อต่างประเทศที่เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย 

ในขณะที่ฝ่ายต่อต้าน เวลาทำไม่ดีอะไร แทบไม่มีคนนอกรับรู้เลย มีแค่สื่อภาษาพม่าเท่านั้นที่ออกข่าว พอเราเห็นแบบนั้น เราเลยคิดว่า เราคนไทยหวังอย่างเดียวคือ ให้พม่าอยู่รอดได้ ถ้าพม่ามีชีวิตที่ดีขึ้นไม่รบกัน คนหันมาปรองดองทำมาหากินคนก็จะมีเงิน เราจึงให้คนนอกพม่าได้รู้ว่า คนที่ทำพม่าพังไม่ได้มีแค่ฝ่ายทหารฝ่ายเดียว มันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละเราก็แค่นำเสนอข่าวอีกฝั่งให้เห็นก็เท่านั้น

Q : แต่มีหลายคนบอกเพจนี้อวยทหารพม่านะ?
A : เราเอาข่าวส่วนใหญ่มาจากเว็บข่าวต่าง ๆ และข้อมูลตามเพจที่ลงไว้ถามว่าคนที่เขากล่าวหาเรานั่น เพราะเขาเสียประโยชน์ใช่ไหมจะดีกว่า

Q : คำถามสุดท้ายแล้ว อะไรที่ทำให้ทีมงานยังยืนหยัดทำเพจทั้งที่คนส่วนใหญ่มองว่า โปรเผด็จการ เป็นไอโอ ไม่รักชาติไทยบ้างก็มี?
A : ถ้าใครตามเพจจริงจะทราบว่าเพจเรารักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แค่ไหน เราแค่ต้องการให้พม่าดีขึ้น คนพม่ามีความเป็นอยู่ดีขึ้น เพจเราคงทำให้คนพม่ากลับมารักกันไม่ได้ แต่ทำให้คนไทยได้ทราบปัญหาที่แท้จริงของพม่าได้ว่ามันเกิดมาจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

"สุดท้ายปัญหาของพม่าก็ต้องให้คนพม่าเป็นคนแก้ เราแค่เป็นคนนอกที่มีหน้าที่บอกคนนอกด้วยกันให้ทราบว่าปัญหาเขา เขาต้องแก้เองและเรียนรู้ถึงปัญหาในบ้านเขาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดียวกันในบ้านของเรา" นี่คือคำกล่าวทิ้งท้ายของแอดมินเพจมองพม่า เพจที่ใคร ๆ เขาก็ว่า คือ ไอโอทหารพม่า

10 เหตุผล 'คนเมียนมา' แห่หากินในไทยง่ายๆ เพราะเมืองไทยอะไรก็ได้ ใต้คอร์รัปชันไทย เอื้อต่างชาติด้อยคุณภาพ ถือครองทรัพย์สินแผ่นดิน

บ่อยครั้งกับหลายเรื่องในรัฐบาลก่อนที่ เอย่า เคยนำเสนออะไรไป สุดท้ายแล้วในยุครัฐบาลที่ใครเขาก็ว่าเป็นยุคเผด็จการ เขาก็รับฟังและพยายามนำไปปรับแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดคำครหา หากทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ของคนไทย

แต่กลับกันกับรัฐบาลปัจจุบัน แม้ เอย่า จะเคยแจ้งแถลงไขออกสื่ออะไรไป อย่างเช่นเรื่อง VIP Pass ที่จ่ายเพียงหลักพัน ไม่ต้องสำแดงเงิน-ตั๋วขากลับและโรงแรมที่พัก แถมบางเอเย่นต์บอกว่าถึงไทยมีรถมารับหน้า Gate ด้วย อะไรจะ Privilege ปานนั้น ก็ไม่เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ ทางสังคม

ล่าสุดในกลุ่มโซเชียลชาวเมียนมา เริ่มโพสต์บอกกันแล้วว่า ‘ย้ายมาอยู่ไทยกันเถอะ’ พร้อมยกข้อดีในการย้ายมาอยู่ไทยที่อ่านดูแล้วคนไทยจะรู้สึกภูมิใจหรือไม่ ก็สุดแท้...โดย เอย่า ได้รวบรวมมุมมองเมืองไทยในมุมของพวกเขามาไว้ให้ทราบกัน ดังนี้...

1. ไทยเดินทางไปกลับเมียนมาสะดวก ทั้งทางบกและทางอากาศ มีหลายช่องทางให้เลือก

2. ค่าครองชีพต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศรอบข้าง

3. สาธารณูปโภคดีทั้งน้ำ-ไฟ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกที่ในราคาไม่แพง

4. รักษาพยาบาลรัฐได้ฟรี ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรไม่แพง สามารถซื้อประกันสุขภาพได้หากมีบัตรแรงงาน

5. เข้ามาเป็นแรงงาน ไม่มีการตรวจสอบ ทำประวัติไม่ดี มีคดีติดตัวหรือหลบหนีเข้าเมือง ก็ทำบัตรแรงงานได้ เพราะทางราชการไทยเปิดให้ทำเรื่อยๆ

7. อาหารการกินหาง่าย สะอาด ราคาเป็นมิตรและถูกปากชาวเมียนมา

8. งานหาได้ไม่ยาก ถ้ายิ่งพูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง ภาคเอกชนของไทยไม่ได้เช็กภูมิหลังว่าเดินทางมาด้วยสาเหตุอะไร

9. หากคลอดลูกในไทย โรงพยาบาลของไทยออกสูติบัตรได้ ทำให้ลูกต่างด้าวมีสิทธิ์เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย เมื่อเรียนจบปริญญาตรีและอายุ 20 ปี บริบูรณ์สามารถโอนสัญชาติเป็นไทยได้ อันจะทำให้ต่างชาติที่ซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นใดที่เคยถือครองด้วยนอมินีคนไทยสามารถโอนเป็นชื่อของลูกหลานตนได้

10. ด้วยนิสัยคนไทยที่เป็นมิตรกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ทำไมคนต่างชาติอยู่ในไทยแล้วรู้สึกถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ อีกทั้งไทยยังเปิดกว้างด้านเพศที่ทำให้ไม่ว่ารสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนอยู่ในไทยก็ไม่รู้สึกแปลกแยก

นี่อาจจะเป็นเสียงสะท้อนแค่ฝั่งคนพม่า แต่ เอย่า มองว่านี่คือ สิ่งที่คนต่างชาติหลายคนรู้สึกถึงสาเหตุว่า ทำไมประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ในอีกมุมหนึ่งความหละหลวมและคอร์รัปชันของไทยที่ส่งผลให้ต่างชาติที่ไม่ได้มีคุณภาพตามเกณฑ์ของไทยมาถือครองทรัพย์สิน หากินบนแผ่นดินไทยและสร้างความเดือดร้อนให้กับแผ่นดินไทยเช่นกัน

สุดท้าย เอย่า คงต้องฝากบอกว่า 'ไทย' จะเป็นประเทศไม่ได้ หากคนไทยไม่ร่วมช่วยกันสร้างให้เจริญ แต่กลับขายมันให้กับคนต่างชาติ 

จะเอาแบบไหน? นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราต้องเลือกเอง!!

วิเคราะห์ 'เมียนมา' ปิดด่านพญาโตงซู กระทบส่งออกไทยนับร้อยล้าน อาจเพราะ 'โทนี่' ออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านฯ-อาวุธหลุดข้ามชายแดนถี่

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในเมียนมา ว่ามีการปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา ทำให้สินค้าจากไทยไม่สามารถขนผ่านด่านนี้ได้ และเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก 

อนึ่งจากเหตุการณ์ที่ KTLA บุกยึดเมียวดี และทางกองทัพเมียนมาเลือกใช้วิธีปิดด่านชายแดน ส่งผลให้นักธุรกิจชายแดน ต้องมุ่งเป้าหาเส้นทางใหม่ ๆ ในการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่เมียนมาและเส้นทางที่นิยมกันรองจากเมียวดีคือ เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี

หลังจากการปิดด่านเมียวดี เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ก็เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าด้วยเหตุที่ว่า หากเทียบในการขนสินค้าจากเมียวดีไปเมืองเมาละแหม่ง ใช้เวลา ประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 75 ไมล์ ในขณะที่เส้นด่านเจดีย์ 3 องค์ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น กินระยะทาง 111 ไมล์จากด่านพญาโตงซูในฝั่งเมียนมา

การปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา โดยไม่อนุญาตให้รถขนส่งจากไทยข้ามไปฝั่งเมียนมา มีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงเหตุการณ์นี้ว่า ทำไมฝ่ายเมียนมาจึงตัดสินใจแบบนี้?

ข่าวลือแรก ในพื้นที่ออกมา ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ด่านนี้มีการรับส่วย จึงถูกจับเปลี่ยนยกชุด เพราะเรื่องรู้ไปถึงส่วนกลางที่เนปิดอว์ ... ซึ่งข่าวนี้ไม่นับว่ามีน้ำหนักสักเท่าไร เพราะหากมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เพราะทุจริตจริง ทางการเมียนมาต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนแล้ว

ข่าวต่อมา ระบุว่า ปิดเพราะมีการจับการขนส่งอาวุธได้เป็นประจำที่จุดนี้ ... เรื่องนี้พอมีเค้ามูลอยู่บ้างโดยเฉพาะช่วงหลังการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงกับ PDF พุ่งเป้ามาบริเวณนี้มากขึ้น

สุดท้าย คือ เรื่องที่มีข่าวว่ากลุ่มต่อต้านเข้าหารือกับทางการไทย โดยเฉพาะที่เป็นข่าวออกมาว่านายทักษิณ ชินวัตร จะออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านมาเจรจากับกองทัพเมียนมา ซึ่งนั่นน่าจะสร้างความไม่พอใจกับทางการเมียนมาอยู่มิใช่น้อย รวมถึงการที่ฝั่งกองทัพเมียนมารู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของไทยในการจัดการปัญหาชายแดนระหว่างกันให้เด็ดขาด รวมถึงปล่อยปละละเลยให้ทางเมียนมาตรวจจับอาวุธที่ส่งมาจากไทยได้บ่อยครั้ง ทั้งหมดน่าจะเป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการปิดด่านครั้งนี้

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตอนนี้ ด่านเมียวดียังปกติ มีการส่งออกจากไทยอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาทต่อเดือน พอเข้าเดือนเมษายนที่มีเหตุการณ์ยึดเมียวดี ยอดส่งออกตกลงมาเหลือ 4.5 พันล้านบาท 

แน่นอนว่าด่านเจดีย์ 3 องค์ เป็นด่านหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการปิดด่านเมียวดีในครั้งนั้นจนถึงวันนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายพาณิชย์แก้ไขเพียงฝ่ายเดียว ต้องดูถึงปัจจัยแวดล้อมว่าอะไรคือต้นเหตุที่นำพามาให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ไม่ว่าเหตุผลของการปิดด่านคืออะไร ก็หวังว่าทางการไทยจะรับรู้และช่วยกันผลักดันให้ด่านเปิดเป็นปกติอีกครั้ง

สื่อพม่า 'บิดเบือน-ปลุกระดม' ปม จนท.ไทยทำร้ายชาวเมียนมาในแม่สอด ความจริง!! นี่คือคนของกลุ่มต่อต้านฯ แฝงตัวใช้ไทยเป็นฐานก่อการร้าย

เมื่อวานนี้มีคลิปออกมาจากสำนักข่าว Khit Thit โดยในคลิปข่าวมีภาพเจ้าหน้าที่คนไทยทำร้ายชาวเมียนมาในแม่สอด วันนี้ เอย่า จึงจะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงให้ได้ทราบกัน

ทุกอย่างเริ่มต้นจากทางการไทยสืบทราบว่าชาวเมียนมาในแม่สอดคนหนึ่งชื่อว่า นายอ่องทุน ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในแม่สอด มีชาวเมียนมาเข้าออกที่บ้านที่เขาและภรรยาเช่าอยู่บ่อยจนผิดสังเกต

ดังนั้นกำนันบ้านผาลาด ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จึงเข้าตรวจสอบห้องเช่านี้พบว่า มีลักษณะเป็นจุดรวมพลของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา จึงได้ประสานให้ฝ่ายปกครองและกองกำลังตำรวจและทหารเข้าตรวจสอบ พบว่าภายในห้องมีภาพ นายพลอองซาน, นางซูจี และนายอูวินมิน พร้อมกับธงของกลุ่มต่อต้าน PDF และธงปฏิวัติของ NUG จำนวนหนึ่ง

ทางกำนันที่สามารถสื่อสารภาษาเมียนมาได้สั่งให้ นายอ่องทุน ปลดธงออก แต่ทางนายอ่องทุน ไม่ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าตนไม่ได้ทำผิด พร้อมกับใช้คำพูดก้าวร้าว ท้าทายและด่ากำนันจนกำนันบันดาลโทสะเตะนายอ่องทุนไป 1 ครั้ง ซึ่งในคลิปข่าวมีการตัดเหตุการณ์ต้นเรื่องออก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้รับชม ว่าเจ้าหน้าที่ไทยรังแกคนเมียนมา

จากนั้นสำนักข่าว Khit Thit ได้รายงานข่าวเท็จอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของไทยรังแกชาวเมียนมาและปลุกระดมให้ชาวเมียนมาแสดงความสามัคคีโดยการออกมาตอบโต้ทางการไทย

พร้อมกับกล่าวหาว่าทางการไทย ทำตามคำบัญชาของนายพล มินอ่องหล่าย

ทั้งหมดนี้ เอย่า อยากจะขออ้างกฎหมายไทยให้ทุกท่านทราบก่อน

ในมาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้...

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ 
(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ...

- ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

- การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

>> มาตรา 135/2 ผู้ใด...

(1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ
(2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้

- ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

>> มาตรา 135/3  ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 135/1 หรือมาตรา 135/2 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ

ทั้งนี้ ตามความผิดของ นายทุนอ่อง นั้น น่าจะเป็นข้อ 135/3 ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนการทำให้รัฐบาลเมียนมาเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ถือเป็นการก่อการร้าย รวมถึงข้อ 135/2 กล่าวคือ นายทุนอ่อง มีการสมคบกันเพื่อก่อการร้ายและสนับสนุนการก่อการร้าย

ดังนั้นจากการกระทำและหลักฐานในบ้านที่พบในห้องเช่านายทุนอ่อง จึงผิดกฎหมายไทยเต็มๆ 

ส่วนสำนักข่าว Khit Thit รายงานบิดเบือนในสื่อออนไลน์เข้าข่ายความผิดในมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดข้อ 135/2 ในกฎหมายก่อการร้าย เพราะถือว่าปลุกระดมให้คนเมียนมาในไทยลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลไทย

ทั้งนี้เราคงต้องมาดูว่าฝ่ายปกครองและรัฐบาลไทยจะจัดการกับกลุ่มคนหัวรุนแรงเหล่านี้อย่างไร เพราะนี่คือ 1 ในหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่อการร้ายในประเทศเพื่อนบ้าน

'ไทยแลนด์เกตเวย์' เมื่อเมียนมาสงสัยไทย เป็นช่องทางผ่านของทหารต่างชาติในเมียนมา

ไม่นานมานี้สำนักข่าว Aljazzera ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ามีทหารต่างชาติในกองทัพชาติพันธุ์ โดยในเนื้อหาระบุว่ามีกองทัพตะวันตกจำนวนหนึ่งเดินทางไปทั่วทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของเมียนมาโดยอ้างว่าเข้าช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อปลดแอกจากกองทัพเมียนมา

เรื่องนี้เป็นคำถามทันทีว่าทหารเหล่านี้เข้ามาในเมียนมาทางไหนทั้งๆที่เมื่อเริ่มปฏิวัติก็ไม่เคยมีรายงานถึงกองกำลังเหล่านี้ยกเว้นแต่กลุ่ม Free Burma Ranger ของนายเดวิด อูแบงก์ที่ข้ามแดนไปมาระหว่างไทย-เมียนมาคอยสนับสนุนการฝึกและส่งอาวุธให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง

หากพิจารณาพรมแดนของเมียนมาพบว่าฝั่งตะวันตกที่ติดกับอินเดียบริเวณมิโซรัมนั้นอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่เดินทางเข้ามาได้ แต่ก็ไม่ได้ง่าย เพราะทางอินเดียยอมลงทุนถึง 3.7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำรั้วกั้นชายแดนระหว่างเมียนมาและอินเดียที่ยาวถึง 1,610 กิโลเมตร ทำให้ไทยจึงเป็นหมุดหมายของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่นายอูแบงก์ใช้เดินทางเข้าออกจากไทยไปที่กองกำลังกะเหรี่ยงที่เขาพำนักอยู่

ดังนั้นเมียนมาจึงค่อนข้างที่จะใส่ใจกับชายแดนฝั่งไทยมาก แม้ในสมัยของพลเอกประยุทธ์ฝ่ายกองทัพของทั้งสองประเทศจะแน่นแฟ้น แต่เมื่อเปลี่ยนมาในยุคนายกเศษฐาจะเห็นว่ากองกำลังสหรัฐยกพลมาที่ไทยบ่อยครั้งรวมถึงล่าสุดที่ผู้บัญชาการรบภูมิภาคแปซิฟิคเข้าพบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยก็เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะดึงไทยให้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ

ไทยมีท่าทีเป็นกลางและไม่เป็นคู่ขัดแย้งของมหาอำนาจใดๆ มาตลอด รวมถึงพยายามเป็นเพื่อนบ้านที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ของทุกประเทศให้สมดุล

แต่สหรัฐฯ ก็พยายามอย่างมากในการมุ่งมั่นจะสร้างขุมกำลังในอาเซียนแห่งนี้ เมื่อหลังจากผิดหวังการที่จะได้ตั้งกองทัพบนเกาะโคโค่ก็เหมือนเป็นชนวนที่ให้ทางสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาทำลายเสถียรภาพของกองทัพเมียนมาผ่าน NGO ต่างๆ ที่แทรกซึมทั่วในเมียนมาจนทำให้ทางการเมียนมาต้องขับไล่ NGO นอกรีตเหล่านี้ออกนอกประเทศ

ทางการเมียนมาค่อนข้างแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจกับท่าทีของกองทัพไทยหลังเหล่าผู้บังคับบัญชาอันดับสูงมีท่าทีไปซบอกฝ่ายสหรัฐฯ มากขึ้น

แต่ต้องห้ามลืมว่าความสามัคคีในภูมิภาคจะเป็นตัวผลักดันให้รอดพ้นสงครามตัวแทนครั้งนี้และจุดหมายของสงครามตัวแทนระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นอาจจะเป็นแผ่นดินเมียนมานั่นเอง

สงครามที่กำลังจะมาถึงอาจดึงไทยเข้าสู่สงคราม แล้วถามว่า ประเทศไทยพร้อมจะอยู่ในสงครามนี้หรือยัง สงครามที่เราไม่ได้ก่อ บรรดาผู้นำเหล่าทัพจะตอบกับประชาชนและบรรพชนไทยอย่างไร หากพาประเทศเข้าสู่สงครามของคนอื่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top