Monday, 13 January 2025
AYA IRRAWADEE

10 เหตุผล ที่บางพรรคพยายามหนุน 'เมียนมา' ให้มาอยู่ไทย แต่ทำไมไม่สนับสนุน 'ลาว' หรือ 'กัมพูชา' สักเท่าไร

(18 ก.ย. 67) หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมกลุ่มพรรคการเมืองบางพรรครวมถึงกลุ่ม NGO บางกลุ่มในไทย พยายามผลักดันผู้อพยพชาวเมียนมาให้มาอยู่ในไทยได้ แต่ทำไมไม่สนับสนุนลาวหรือกัมพูชาบ้าง วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ให้ทราบกัน...

1. เครือข่ายเดียวกัน เราจะพบว่าผู้อพยพส่วนใหญ่คือ กลุ่มสามกีบพม่าที่เกลียดรัฐบาลทหาร ซึ่งคนพวกนี้จะสนับสนุนรัฐบาล NUG ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากตะวันตกเช่นเดียวกับ NGO และพรรคการเมืองบางพรรคที่น่าสงสัยว่ามีกลุ่มชาติตะวันตกให้การสนับสนุน

2. ถ้าเปรียบเทียบคนต่างด้าวที่มาอยู่ก่อนจะพบว่า คนพม่ามีประวัติดี มีจิตใจดี ขยัน ซื่อสัตย์อดทน ไม่เรียกร้องเหมือนลาวกับกัมพูชา

3. มีเครือข่ายสมาคม ชมรมในไทยที่เป็นคนชาติเดียวกันหรือชาติพันธุ์เดียวกัน พร้อมช่วยเหลือกันอย่างลับ ๆ พร้อมกับมีฝ่ายกฎหมายที่พร้อมจะโจมตีผู้เห็นต่าง

4. มีพวกพ้องไม่ใช่เฉพาะแรงงาน แต่รวมไปถึงเศรษฐีและผู้ประกอบการ

5. ประเทศไทยเป็นแหล่งพักเงินและจัดหาสิ่งต่าง ๆ สำหรับส่งให้ฝ่ายต่อต้านง่าย ทั้งเสบียงและอาวุธ

6. ในกลุ่มโซเชียลคนพม่าเองบอกว่า ข้าราชการไทยชอบเงิน ซื้อได้ทุกคน ขอแค่มีเงินจ่าย

7. ประเทศไทยเดินทางสะดวก ทั้งที่พม่าและประเทศอื่น หากกรณีจะออกไปต่อประเทศที่ 3

8. คนไทยอะไรก็ได้ คนไหนเคยผิดกฎหมายบ้านเมืองตัวเอง แต่หากทำดีกับคนไทยในชุมชนนั้น ๆ คนไทยก็พร้อมจะมองข้ามและปกป้องด้วยอีกต่างหาก

9. ประเทศไทยเปลี่ยนกฎหมายง่าย เมื่อเปลี่ยนผู้นำและมีนโยบายต่อคนต่างด้าวเป็นมิตร

10. คนไทยไม่สนใจอดีต แม้จะเคยเป็นต่างด้าวมาก่อน ก็สามารถรับราชการใหญ่โตในไทยได้ ทำให้คนที่แม้จะได้สัญชาติไทย แต่จิตใจยังเป็นชาติพันธุ์ จึงพยายามผลักดันให้กลุ่มชาติพันธุ์มีบทบาทมากกว่าคนไทย

'ต่างด้าว' ผุดศูนย์การเรียนรู้ในไทยเพียบ หวั่น!! สอนคนต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย

(9 ก.ย. 67) ล่าสุดไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับข้อมูลจากหลากหลายทางถึงการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในไทยอย่างโจ่งครึ่ม ทั้งที่ในประเทศไทยมีนโยบายให้เรียนฟรี แม้จะเป็นเด็กต่างชาติก็ตาม

แต่ทว่าก็ยังมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ โดยให้การศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการไทยกำหนด รวมถึงการฝึกงานฝึกอาชีพ เพื่อรองรับงานที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของแรงงานต่างด้าวให้เข้ามาฝึกอาชีพด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนอื่น เราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ศูนย์การเรียนรู้ในไทย ต่างจากโรงเรียนอย่างไร  

ศูนย์การเรียนรู้ หมายถึง การจัดพื้นที่การเรียนทางกายภาพ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล หรือผู้เรียนในกลุ่มเล็ก ตามงานที่โปรแกรมกำหนดให้ โดยจัดเป็นคูหาหรือโต๊ะ และมีสื่อการเรียนในรูปแบบสื่อประสม ช่วยในการเรียนรู้โดยมีครูผู้สอนคอยแนะนำ  

โดยตามกฎหมายแล้วระบุไว้ว่า "ศูนย์การเรียนรู้ คือ สถานที่เรียนที่องค์กรชุมชนหรือเอกชนจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่แสวงหากำไร แต่การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยสามารถจัดการเรียนการศึกษานอกระบบได้ตามอัธยาศัยตามที่ศูนย์การเรียนรู้นั้น ๆ พัฒนาขึ้น แต่จะต้องยึดหลักคือ มุ่งเรียนรู้จากสถานที่จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น"

แน่นอนว่าข้อกำหนดดังกล่าวนี้ เป็นการกำหนดกรอบกว้าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนที่มีเจตจำนงที่ดีในการที่จะมอบความรู้ได้อย่างอิสระ มามอบความรู้ให้แก่ผู้สนใจ โดยใช้บ้านหรือพื้นที่ตนเองเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนปราชญ์ชาวบ้าน นั่นเอง

แต่ในปัจจุบัน ด้วยช่องโหว่ของกฎกระทรวงและความเพิกเฉยของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือก็มิอาจทราบได้ ทำให้มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้บัตรประชาชนไทยมาเปิดสมาคม-มูลนิธิ เพื่อใช้เป็นแหล่งพักเงินและใช้เงินเหล่านี้ในการเปิดศูนย์การเรียนรู้ที่จะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนของคนต่างด้าวที่สอนด้วยระบบของประเทศนั้น ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน 

เอย่า ทราบมาว่า ตอนนี้มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในแม่สอด และอำเภอตามตะเข็บชายแดนนับร้อยศูนย์ โดยโรงเรียนเหล่านั้นไม่ได้สอนหนังสือตามแผนการศึกษาของไทยด้วยซ้ำ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า สำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาอนุมัติให้เปิดมาได้อย่างไร  

และเช่นกัน ก็มีรายงานอีกว่า ในมหาชัยเองและรวมถึงในหลายเขตในกรุงเทพมหานครนั้น ก็มีศูนย์การเรียนรู้แบบนี้มากมาย และสอนด้วยครูที่หลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูด้วย อีกทั้งไม่ได้สอนในหลักสูตรของไทยอีกต่างหาก  

ที่สำคัญ!! เขาสอนอะไร? เขาปลูกฝังอะไรให้คนของเขาในประเทศไทย? และไม่มีใคร-หน่วยงานไหนไปประเมินเลยหรือ? รึว่าต้องการรายงานปีละครั้งจากศูนย์การเรียนรู้ตามที่กฎกระทรวงระบุไว้ก็พอ

หลังการรัฐประหารมีรายงานว่า กลุ่มผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และเหล่าสมาคม มูลนิธีที่เป็น NGO เหล่านี้ ก็ตีอกชกปีก ตั้งตัวรับคนเหล่านี้มาทำงาน ตรงนี้ถามว่าผิดกฎหมายไทยหรือไม่? เห็นแล้วก็ไม่ค่อยแปลกใจเลยว่า ทำไมองค์กรเหล่านี้ถึงพยายามจะให้สิทธิ์คนต่างด้าวลืมตาอ้าปากได้แทนที่จะผลักดันให้กลับประเทศ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประการสำคัญ ก็เป็นผลจากการที่เราไม่เคยเข้าไปตรวจสอบศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ และหากวันใดวันหนึ่งคนเหล่านี้จะลุกฮือขึ้นมายึดดินแดนไทยหรือเรียกร้องขอแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกการปกครอง ก็คงไม่แปลกนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในอดีตที่ไม่เคยมีใครกำกับดูแลก็มีให้เห็นมาแล้วว่า จนประเทศไทยต้องเสียชีวิต ทรัพยากรมากมายแค่ไหนกับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทุกวันนี้ประเทศไทยให้โอกาสการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กทุกชาติพันธุ์ให้ได้เรียนฟรีอยู่แล้ว ฉะนั้นคำถามคือ ณ วันนี้ เราควรต้องหันมาจัดการกำกับดูแลศูนย์การเรียนรู้พวกนี้ได้หรือยัง รวมถึงมองไปถึงกลุ่มมูลนิธิ สมาคม NGO ที่ให้การสนับสนุนว่ามีเส้นทางเงินมาจากไหน อีกทั้งกำกับดูแลการเรียนการสอนเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดมีคุณภาพและเพื่อคนไทยหรือคนที่ต้องการจะอยู่ในไทยจริง ๆ 

ไม่ใช่โรงเรียนต่างแดนของคนพลัดถิ่นหรือที่ซ่องสุมเพื่อใช้ฟอกขาวในการเป็นคนไทยในอนาคต

ชำแหละ!! ข้อเรียกร้องต่างด้าวในระดับเปลี่ยน Bangkok ให้เป็น New Yangon City ถาม? 'คนไทย-ชาติไทย' ได้ประโยชน์อะไร? แล้วต่างด้าวหรือไทยกลุ่มไหนเรียกร้อง?

เมื่อวานเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน ยื่นจดหมายเปิดผนึกแก่ 'นายกรัฐมนตรี' โดยมีเนื้อหาใจความว่า...

ด้วยเครือข่าย ซึ่งประกอบไปด้วยภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สื่อมวลชน ชุมชนผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในด้านการบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐาน ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายแก่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของชาติ ความต้องการด้านเศรษฐกิจและแนวโน้มด้านประชากรในอนาคตของไทย ตลอดจนการมุ่งสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน ทั้งหมดสามระยะ ดังนี้...

>> 1. ระยะเร่งด่วน ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการกลุ่มผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลี้ภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศเมียนมา ซึ่งเข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

1.1 ให้คณะรัฐมนตรีเร่งพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 กำหนดสถานะผู้อพยพลี้ภัยที่อยู่ในไทย ผู้อพยพลี้ภัยจากเมียนมา ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ และเร่งกำหนดสถานะให้แก่เด็กกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา สาธารณสุข และการทำงานได้ ตลอดจนพิจารณาปรับเกณฑ์และกลไกเพื่อการมีสัญชาติไทยของเด็กที่เกิดในไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการลดลงของประชากรไทยในสังคมผู้สูงอายุและความต้องการแรงงานของไทย

1.2 ขอให้รัฐบาลได้จัดตั้งกลไกเพื่อคุ้มครอง ส่งเสริม และติดตามการเข้าถึงสิทธิของเด็ก ผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง ตามที่ประเทศไทยได้ยื่นตราสารถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ข้อ 22 แล้ว เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567

1.3 ให้ยุติการกักขังโดยไม่มีกำหนดเวลาต่อผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม รวมทั้งกำหนดมาตรการทางเลือกแทนการกักขังให้แก่ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูรย์มากกว่า 40 คนซึ่งถูกกักตัวอยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวมาเป็นเวลานาน 10 ปี และชาวโรฮีนจาจากประเทศเมียนมา

1.4 ขอให้รัฐบาลมีแนวปฏิบัติของการประเมินความเสี่ยงภัยในการส่งกลับคนต่างชาติอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งยุติการส่งตัวผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

1.5 เร่งรัดการเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติที่ใบอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยเน้นการดำเนินการในประเทศไทย เพื่อป้องกันผลกระทบและอันตรายจากมาตรการการเกณฑ์ทหารของรัฐบาลเมียนมา รวมทั้งผลกระทบจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะมีแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาที่จะต้องดำเนินการมากถึงสองล้านคน อันจะเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการชาวไทย

1.6 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างและการมีส่วนร่วมภายในศูนย์สั่งการชายแดนในระดับชาติ จังหวัด และอำเภอ การพิจารณาอนุญาตเปิดจุดผ่อนปรนเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพบริเวณชายแดน

1.7 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้ดำเนินการตามแนวนโยบายและกฎหมาย โดยบูรณาการการบริหารจัดการผู้อพยพหนีภัยเข้ามาในประเทศไทยกลุ่มต่าง ๆ ดำเนินการคัดกรองและจัดทำทะเบียนประวัติผู้ลี้ภัย ทบทวนและปรับปรุงแนวทางปฏิบัติกรณีมีผู้อพยพหนีภัยเข้ามาในประเทศ ตลอดจนให้คำมั่นสัญญาในการไม่จับกุม กักขัง และดำเนินการปกป้องคุ้มครองเด็กผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและเด็กผู้ลี้ภัยที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และครอบครัว

>> 2. ระยะกลาง ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนเพื่อรองรับกับแนวโน้มของสถานการณ์ในอนาคต โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

2.1 พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชายแดนและผู้ที่หนีภัยความไม่สงบจากประเทศเมียนมาเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงลดผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย

2.2 กำหนดให้ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือระหว่างชุมชนชายแดน (Township Border Committee: TBC) บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างเสถียรภาพ สันติภาพ และการแก้ไขปัญหาข้ามชาติต่าง ๆ

2.3 ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการ (SOP) กรณีบุคคลชาวเมียนมาเดินทางเข้าไทยตามแนวชายแดน อันเนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา โดยยึดหลักการไม่ผลักดันส่งกลับไปสู่ภัยอันตรายต่อชีวิต (non-refoulement) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (GCR) ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (GCM) ตลอดจนคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยได้ให้ไว้

2.4 พิจารณาศึกษาการจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ลี้ภัยหรือบุคคลที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางอันเนื่องจากภัยประหัตประหาร แทนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562

2.5 พิจารณาจัดทำมาตรการเพื่อยุติการสร้างความเกลียดชังและทัศนคติในด้านลบของสังคมไทยต่อชุมชนผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย และให้มีมาตรการส่งเสริมทัศนคติที่ดีของสังคมไทยและส่งเสริมความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนของชุมชน ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย

>> 3️. ระยะยาว ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

3.1 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติสามารถเข้าถึงสถานะบุคคลและทะเบียนราษฎร และสถานะการอยู่อาศัย ตลอดจนการคุ้มครองได้

3.2 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดสิทธิและมาตรการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลำดับรองให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยยึดหลักการไม่ผลักดันส่งกลับไปสู่ภัยอันตรายต่อชีวิต (non-refoulement) การยุติการกักขังเพื่อรอการส่งกลับอย่างไม่มีกำหนด สิทธิในการอยู่ร่วมกันในครอบครัว (family reunification) และการปกป้องคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก ผู้ป่วย ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกละเมิดสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่น

3.3 พิจารณาศึกษาการจัดทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551

3.4 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2561 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และระเบียบเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม เพื่อปรับปรุงกระบวนการขออนุญาตทำงาน การรับรองสิทธิการทำงานของบุคคล และการคุ้มครองแรงงานของกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสำหรับผู้อพยพลี้ภัยจากเมียนมา

3.5 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้เอื้อต่อการทำประกอบอาชีพที่สุจริตสำหรับคนที่ไม่มีสัญชาติไทย

3.6 พิจารณาจัดตั้ง 'หน่วยงานระดับกรมกิจการคนเข้าเมือง' เพื่อให้การบริหารจัดการประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานและการจัดการคนเข้าเมืองเป็นระบบและมีเอกภาพ รวมถึงการให้ความคุ้มครองการทำทะเบียนราษฎร และการผสมผสานระหว่างกันในสังคมไทย

3.7 รัฐบาลควรมีบทบาทนำในการสร้างสันติภาพแก่ภูมิภาคผ่านกลไกของกลุ่มประเทศอาเซียน การมีบทบาทในการเจรจาหยุดยิงเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และพิจารณาทบทวนการสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาทั้งในด้านธุรกิจและด้านอื่น ๆ

ประเด็นที่เรียกร้องมาทั้งหมดนี้ ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงสิ่งที่ เอย่า จะกล่าวต่อไปนี้นะคะ...

1. การรับคนต่างชาติเหล่านี้เข้ามา ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง คนเหล่านี้ได้เสียภาษีเงินได้ให้แก่เราหรือไม่ รวมถึงคนไทยได้ประโยชน์อะไรจากคนเหล่านี้ที่เข้ามา

2. พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้เอื้อต่อการทำประกอบอาชีพที่สุจริตสำหรับคนที่ไม่มีสัญชาติไทย จะเป็นการเปิดช่องทางในการแย่งงานคนไทยหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ หลายอาชีพก็มีต่างด้าวเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยอยู่แล้ว หากท่านนายกลงพื้นที่ไปที่มหาชัยจะพบว่าคนไทยส่วนใหญ่เริ่มย้ายถิ่นฐานออกจากมหาชัยไปหมดแล้วเพราะเขาถูกแย่งงาน แย่งอาชีพ ทำให้ประกอบอาชีพในมหาชัยไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากคนต่างด้าวเข้ามาและทำงานที่คนไทยทำด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า

3. การสู้รบเป็นปัญหาในประเทศเมียนมามามากกว่า 70 ปีซึ่งไทยก็รับภาระตรงนี้มาตลอด แม้จะมีการตรวจตราอย่างเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ปัจจุบันลูกหลานคนเหล่านั้นออกมาตั้งมูลนิธิ สมาคมช่วยเหลือคนของตัวเองโดยใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ ถามว่าคนไทย และชาติไทยได้ประโยชน์อะไรจากจุดนี้

4. ปัจจุบันทางการไทยพยายามที่จะให้สัญชาติแก่กลุ่มชาติพันธุ์แต่ปรากฏข่าวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยตามชายแดนได้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ 2 สัญชาติเพื่อหาประโยชน์จากการเป็นประชาชนชาวไทยด้วยเช่นกัน และส่วนใหญ่คนเหล่านี้นำพาปัญหาเข้ามาสู่ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นการค้าอาวุธสงคราม แก๊งมิจฉาชีพ Call Center รวมถึงการค้ายาเสพติดและการค้าบริการทางเพศ  

5. หากดูประวัติศาสตร์จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถามว่าจะเป็นเช่นใดหาก 3-4 อำเภอชายแดนไทยถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดโดยไม่สื่อสารภาษาไทยอีกต่อไป สุดท้ายคนไทยในบริเวณดังกล่าวจะถูกกดดันจากสภาพแวดล้อมให้ออกจากพื้นที่เอง ถามว่าสุดท้ายจะถูกนำไปสู่ปัญหาการขอแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ในอนาคต

6. หนึ่งในกฎบัตรอาเซียนคือการไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของกันและกัน ถามว่าหากไทยยอมรับการเรียกร้องดังกล่าวนี้ ไทยยังปฏิบัติเป็นไปตามกฎบัตรอาเซียนอยู่หรือไม่

7. การที่พวกคุณพยายามผลักดันคนเหล่านี้ให้ถูกต้องเพื่อจะเป็นการฟอกขาวเพื่อให้คนเหล่านี้หรือลูกหลานได้มีสัญชาติไทยในอนาคตเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่สนับสนุนคุณอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่

บางที เอย่า ก็แปลกใจเหมือนกันว่า คนเหล่านี้เป็นคนไทยหรือเปล่าที่พยายามเข้ามาเรียกร้องให้ไทยเสียประโยชน์ โดยอ้างแค่คำว่ามนุษยธรรม   

เอย่า ว่าประเทศไทยเรานั้น เป็นประเทศที่เปิดกว้างมาก กว้างขนาดให้คนต่างด้าวมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาไทยขั้นต่ำตามระบบได้ ให้โอกาสให้บัตรของพวกเขาเหล่านี้ขอสัญชาติได้ด้วยเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แล้วถามกลับว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากคนกลุ่มนี้บ้าง เราได้รับภาษีแผ่นดินเพิ่มขึ้นไหม เราได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไหม เราได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นไหม  

คำถามเหล่านี้หากรัฐบาลไทยจะรับข้อเรียกร้อง ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้  

อยุธยาไม่มีวันพ่าย หากไม่ถูกคนไทยทรยศบ้านเมือง ฉันใดก็ฉันนั้น ประเทศไทยจากวันนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นกับผู้นำและคนไทย ณ วันนี้เช่นกัน

หวังว่าลูกหลานเราในวันข้างหน้า คงไม่ได้เรียก Bangkok ว่า New Yangon City นะ

'เมียนมาถูกกฎหมาย' เหลืออด!! ซัดแรงงานเถื่อน 'เรียกร้องสิทธิ์-ด่าคนไทย' เมล็ดพันธุ์จาก 'NGO-คนได้สัญชาติ' หนุนหลัง ทำพม่าดีๆ ในไทยลำบาก

กลายเป็นประเด็นทางสังคมในไทยไปแล้ว เมื่อชาวเมียนมา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือกลุ่ม White Collar เริ่มออกมาตอบโต้กลับกับกลุ่ม Blue Collar ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเถื่อนหรือเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องที่มีการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเสมือนประหนึ่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของเมียนมา หรือการที่มีคลิปออกมาด่าคนไทยที่เข้ามาคอมเมนต์ในคลิปที่กลุ่มพม่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองของไทย จนไม่รู้ว่าใครจะต้องกลัวใครกันแล้ว

ว่ากันว่ากลุ่มเหล่านี้มีเหล่า NGO และกลุ่มสมาคมช่วยเหลือแรงงานพม่าที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามา ซึ่งคนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าที่อยู่ไทยมาก่อนและได้สัญชาติไทยไปแล้ว พร้อมทั้งแนะนำชี้ทางให้เห็นว่าคนพวกนี้จะต้องทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตนเองพ้นผิด รวมถึงหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยในสังคมไทย เป็นต้น

อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ว่าคนไทยเป็นคนง่าย ๆ มีคนบอกบท ให้ยกมือไหว้ ขอโทษออกสื่อ ก็จบ แต่ความจริงนั้นสะท้อนอีกแบบ เพราะการที่เราให้อภัยกันอย่างง่าย ๆ นั้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่เห็นไม่กลัว และออกมาทำคลิปเลียนแบบกันเต็มโซเชียลเต็มไปหมด ดังที่เราเห็นได้จากคลิปหนุ่มบางบอนที่ถูกคนพม่าเอามาเลียนแบบเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้  

ในขณะที่ฝั่งชาวเมียนมา White Collar ต่างออกคลิปมาขอโทษขอโพยคนไทย พร้อมขอบคุณคนไทยที่ให้โอกาส ให้ที่อยู่ที่พักพิงให้เขาเหล่านั้น มีเงิน มีทอง สามารถจับจ่ายซื้อของ ทำบุญ ทำทาน ได้ตามที่เขาได้ตั้งใจ  

เอย่า คงบอกได้แค่ว่า คนไทยเข้าใจนะคะ เวลามีปลาเน่าสักตัว ก็มักจะส่งกลิ่นเหม็นกลบปลาดีไปหมด แต่การที่จะกำจัดปลาเน่านั้น หากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนไทยฝ่ายเดียวคงจะไม่ได้แล้ว  

ดังนั้นพวกชาวเมียนมาดี ๆ ที่อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนในอดีต คงต้องร่วมมือกับคนไทยในการสร้างสังคมที่น่าอยู่

เอย่า จำได้ว่าคนไทยเรามีความทรงจำที่ดีกับชาวเมียนมาประดุจเพื่อนบ้านที่แสนดีฉันใด ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่สามารถสร้างได้จากฝั่งคนไทยเพียงฝ่ายเดียวฉันนั้น

ชาวเมียนมาต้องให้ความร่วมมือในการสอดส่องดูแลจัดการให้คนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือรวมตัวกันเป็นแก๊งอั้งยี่ได้ และคนพม่าที่ดีในสังคมไทยก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ไทยในการจัดการกับกลุ่มนอกกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการใช้ประเทศไทยมาเป็นที่ซ่องสุมหรือกบดานด้วยเช่นกัน

อ้อ!! ที่กล่าวเช่นนี้ ก็ใช่ว่าคนไทยจะไม่มีความสามารถหาทางหรือจัดการได้เองนะคะ...

เพียงแต่ว่า ถ้าวันใดประเทศไทยไม่ต้องการคนชาติคุณขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นพวกคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบบ้านนี้เมืองนี้อีกเลย 

เรายื่นโอกาสให้คุณ เพื่อให้คุณแสดงออกว่าคุณมีความรักในประเทศนี้ เคารพกฎหมาย กติกาของบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ช่วยคนของคุณแบบผิด ๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราเห็น ๆ กันอยู่

เปิดวลีล่าสุดของฝ่ายฟอกขาวต่างด้าวพม่า เพื่อสร้างความชอบธรรมให้อยู่ต่อ ทั้งที่นานวันคนกลุ่มนี้ มีแต่ทวีการกระทำที่ผิดกฎหมาย กระทบเจ้าของประเทศ

- กองทัพพม่าจ้างอินฟลูไทยสร้างความเกลียดชังเพื่อส่งคนพม่ากลับไปเป็นทหาร?
- แรงงานพม่าสร้างชาติไทย?

เชื่อไหมคะว่าครั้งแรกที่ เอย่า ได้ยินประโยคและคำเหล่านี้ก็เฉย ๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มมีเสียงอื้ออึงกับคำ ๆ เดิมนี้ที่หนาหูมากขึ้น จนต้องขอใช้พื้นที่ในฐานะสื่อมาชี้แจงทำความเข้าใจกันสักหน่อย

ตอนนี้มี 2 ประโยคในหมู่พวกคนพม่าที่เป็นคนใช้แรงงานพูดกันแทบจะเรียกว่าออกมาจากบล็อกแม่พิมพ์เดียวกันเลยก็ได้

ประโยคแรกที่หนาหูตามโซเชียลคือ 'แรงงานพม่า - สร้างชาติไทย' คือ คนไทยเราต้องการแรงงานจริงไหม คำตอบคือ จริงค่ะ แต่เราไม่เคยระบุนะว่า เราต้องการแรงงานพม่า เราต้องการแรงงานประเทศไหนก็ได้ที่ ขยัน อดทน ไม่ขี้เกียจและไม่สร้างปัญหา ดังนั้นควรทำความเข้าใจก่อนนะ

ส่วนอีกประโยคหนึ่งที่มาไม่นานนี้แต่เริ่มหนาหูมากขึ้นคือ มีการกล่าวอ้างว่า 'กองทัพเมียนมาจ้างเพจไทยที่สนับสนุนกองทัพสร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนพม่าในไทย เพื่อหวังส่งคนพม่ากลับไปเป็นทหารในเมียนมา'  

ข้อนี้ เอย่า ขอเป็นคนอธิบายให้ทราบกันดีกว่านะคะ

1. ถ้าเพจหลายเพจถูกจัดตั้งหรือจัดจ้างมาจริง จะมี Key Word มาให้คะ เพื่อให้เพจที่รับงานมาพยายามโปรโมต Key Word นี้ จนเป็นคนที่เสพเอาไปพูดต่อ 

ไม่ต้องคำว่าอะไรเลย แค่คำว่า 'พม่าสร้างชาติ' เนี่ย เป็นตัวอย่างที่ดีเลย โดยการนี้เชื่อว่ามีกลุ่มบางกลุ่มหนุนหลัง เพราะลำพังแรงงานพม่าไม่มาคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ จากที่เราอยู่กับเขามาหลายสิบปี เรารู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไร

2. ตามที่เพจหลายเพจเริ่มออกมาส่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพม่าเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ดี พม่าทำอาชีพสงวนก็ดี พม่าออกไปชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้ขออนุญาตทางการก็ดี หรือล่าสุดเรื่องหนุ่มพม่าบางบอน แม้หลายเพจจะพยายามออกมาแก้ต่าง แต่ถามว่า ถ้าเขาไม่ผิดจะมามอบตัวกับตำรวจทำไมคะ ก็เหมือนกับคนพม่าที่ฆ่าชาวต่างชาติที่พัทยาแล้วหนีไปมอบตัวกับ ตม. ขอให้ส่งกลับนั่นแหละ ไม่ต่างกัน  

เอาเป็นว่าทั้งหมดทั้งมวล มาจากการทำผิดกฎหมายในประเทศไทยทั้งนั้น พอโดนเขาแฉ โดนส่งกลับ อินฟลูฯ สายคุณก็รีบงับสร้างความชอบว่าเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ เอาใหม่นะคะ!! คนที่ถูกกระทำคือ คนไทยและคนบริสุทธิ์ที่อยู่ในประเทศไทยค่ะ 

3. เรื่องเอาไปเป็นทหาร เรื่องนี้ เอย่า ไม่ทราบว่าจริงไหมนะ แต่เอย่ามีข้อมูลจากที่ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นทหารมา เขาบอกว่า คนเป็นทหารไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ นะ ถ้าไม่มีใจ ให้ปืน ให้อาวุธไป คนพวกนี้ก็เอาไปให้ศัตรูหมด 

จากจุดนี้ถามว่าระหว่างคนกับปืนในพม่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน? 

ข้อนี้ เอย่า ขอยกคำกล่าวพี่ทหารกะเหรี่ยงคนหนึ่งให้ฟังว่า ในกะเหรี่ยงนี่ ชีวิตคนมีค่าถูกกว่ากระสุนปืน ดังนั้นจึงมีคลิปหลุดออกมาอย่างเช่น PDF ที่หนีออกจากค่ายถูกฆ่าปาดคอ เพราะกระสุนปืนมันแพงกว่าชีวิตของ PDF พวกนี้ไงละคะ  

ฉะนั้น เอย่า คิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครเอาคนที่ไม่มีใจจะไปรบ ไปเป็นทหารหรอกค่ะ ไหนจะเปลืองค่าฝึก ค่าข้าว และสุดท้ายอาวุธที่เอาให้ไปรบก็จะไปอยู่ในมือศัตรูได้อย่างง่ายดายด้วยเช่นกัน 

4. สภาพการณ์ในเมียนมาปัจจุบันนี้ ไม่ได้มีเงินถุงเงินไทย ถ้าใครเสพข่าวฝั่งเมียนมาจะรู้ว่าสภาพการณ์ในเมียนมา ณ วันนี้เริ่มเหมือน Failure State คือ ขาดแคลนเงินคงคลังภาครัฐ 

ถามว่าถ้าผู้นำอย่าง มินอ่องหล่าย จะจ่ายค่า IO ให้อินฟลูฯ ไทยจริง ต้องจ่ายกันเท่าไร เอาเป็นว่าเท่าที่แอดรู้คือ IO ของอดีตพรรคการเมืองที่เพิ่งถูกยุบพรรคไป มีเงินเข้ามานับล้านบาทต่อเดือน คิดว่ารัฐบาลเมียนมามีปัญญาจ่ายไหม ถ้าเขาจะทำเรื่องนี้จริง เขาทำไปตั้งแต่เขายึดอำนาจแล้ว ไม่รอมาทำจนมีวลีว่าจ้างอินฟลูฯ ไทยให้ฝั่งไทยจับพวกพม่าที่หลบหนีเข้าเมืองส่งกลับพม่าหรอก

5. สุดท้ายการเข้าเมืองผิดกฎหมาย มันเป็นความผิดระหว่างประเทศอยู่แล้ว การที่ทางการไทยจับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผลักดันกลับประเทศนั้นไม่ได้ทำแค่ฝั่งพม่าอย่างเดียว ลาว, กัมพูชา รวมถึงประเทศอื่น ๆ ก็ทำ มันคือหน้าที่ของตำรวจไทย รวมถึงการที่ต่างด้าวทำผิดกฎหมายไทย และคำว่าต่างด้าวก็ไม่ใช่แค่ พม่า, ลาว หรือ กัมพูชา แต่รวมถึงทุกชาติที่ไม่ใช่คนไทย

การที่อินฟลูฯ สายต่อต้านกองทัพเมียนมาที่อยู่ดี ๆ ก็ออกมาสร้างวาทกรรมนี้ ถามว่าพวกคุณนับสิบเพจคิดออกพร้อม ๆ กันได้เลยเหรอ ขนาดอินฟลูฯ สายสนับสนุน เขายังไม่ได้ออกมาโจมตีประเด็นเดียวพร้อม ๆ กันเลย 

เอาที่ เอย่า ดูเหมือนแต่ละเพจ แต่ละคน ก็จะมีประเด็นแตกต่างกันไป ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายต่อต้านที่ออกมารับลูกประเด็นเดียวกัน แบบนี้ใครควรถูกเรียกว่า IO ดีคะ

สุดท้ายก็คงต้องฝากทางการไทยในการสอดส่องดูแลนะคะ ว่าสุดท้ายรัฐบาลจะแคร์อะไรระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเปราะบาง หรือคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่จะได้รับผลกระทบจากคนเหล่านี้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

อย่าถูกชะตา 'แรงงานข้ามชาติ' จากค่าจ้างแสนถูก เพราะ 'โปรไฟล์ขั้นเทพในราคาย่อมเยา' ไม่มีอยู่จริง

เมื่อก่อนหน้าไม่นานมานี้นัก มีข่าวครึกโครมเรื่องที่แรงงานพม่า โปรไฟล์สวยหรู เรียนจบปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ขอเรียกเงินเดือนแค่ 12,000 บาท ทั้ง ๆ ที่เคยทำงานโปรเจกต์สร้างตึก Yoma Central ตึกขนาดใหญ่ย่านใจกลางกรุงย่างกุ้งมาแล้ว  

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ และบอกกล่าวอีกด้านหนึ่งให้ทราบกัน รวมถึงสิ่งที่ต้องรู้ต้องเตรียมตัว หากจะรับพนักงานต่างชาติมาให้ทราบโดยทั่วกัน

การจ้างลูกจ้างต่างชาติที่ไม่ใช่แรงงานในไทย มีข้อปฏิบัติที่บริษัทในไทยต้องคำนึงอยู่ไม่น้อย โดยจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกิจการเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย...

1. บริษัทที่จดทะเบียนเป็น BOI หรือ ส่งเสริมการลงทุน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีข้อกำหนดในการที่จะรับคนต่างชาติเข้าทำงานชัดเจนคือ...

• บริษัทที่จะรับคนต่างชาติต้องเป็นกิจการที่อยู่ในขั้นตอนขอรับการส่งเสริมฯ หรือได้รับบัตรส่งเสริมฯ แล้ว 
• คนต่างชาติที่จะรับต้องเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการ 
• มีเหตุผลและความจำเป็นต้องจ้างทำงานในกิจการ BOI

• คนต่างชาติที่จะทำงานต้องได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว คือ Non-B ประเภทธุรกิจ หรือ Non-IB ประเภทการลงทุนภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมลงทุน โดยชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานกับบริษัทใน BOI ต้องมีอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้...

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 2 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาตรงกับตำแหน่งงานในระดับทั่วไป และมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 5 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาไม่ตรงกับตำแหน่งงาน หรือในกรณีที่มีตำแหน่งในระดับผู้จัดการ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 27 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

2. บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนกับ BOI จะมีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับหน่วยงานที่สามารถรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานได้ ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และมีพนักงานคนไทย 4 คน ต่อพนักงานต่างชาติ 1 คน รวมถึงบริษัทจะต้องเป็นผู้ขออนุญาตทำ Work Permit ให้แก่พนักงานดังกล่าว รวมถึง Visa ที่จะต้องเปลี่ยนจาก Tourist Visa เป็น Non-B visa ที่สามารถพักอาศัยในไทยได้เป็นเวลา 1 ปี

กลับมาที่ประเด็นจั่วหัวเริ่มต้น ถามว่าทำไมคนเมียนมาโปรไฟล์ดี ๆ ถึงมาเรียกเงินเดือนไม่สูงในประเทศไทย?

เอย่า ขอหยิบยกสิ่งที่เป็นคำกล่าวจากชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในเมียนมาและสิ่งที่เป็นพื้นฐานการศึกษาของประเทศเมียนมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจกัน ดังนี้...

1. ในแง่ของการศึกษาในเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ได้มีการฝึกงานจากสถานประกอบการก่อนเรียนจบ จะมีแค่เพียงการไปดูงานเท่านั้น ดังนั้นคุณภาพคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในเมียนมาส่วนใหญ่จะเก่งแต่วิชาการ แต่ไม่ใช่การปฏิบัติงานจริง หลายครั้งจากปากของผู้ประกอบการในเมียนมาเองกล่าวว่า คนเมียนมาเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ดี แต่ไม่สามารถ Generate job หรือ Problem solving ได้ในกรณีที่เกิดปัญหา ฉะนั้นในหลายบริษัทใหญ่ ๆ ในเมียนมา จึงมีการจ้างชาวต่างชาติเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้

2. คนเมียนมามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษดีกว่าคนไทย เพราะตามประสบการณ์แล้ว คนเมียนมาส่วนใหญ่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, อเมริกา, อินเดีย, จีน หรือไทยเองก็ตาม และภาษาอังกฤษก็ถือว่าเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสาร ยกเว้นในบางบริษัทที่ลงทุนจ้างล่ามมาเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างระดับปฏิบัติการกับผู้บริหารระดับกลางที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

3. โปรเจกต์ใหญ่ ๆ ในเมียนมานั้น คนเมียนมาส่วนใหญ่คือ ระดับปฏิบัติการหรือตรวจหน้างานเท่านั้น ส่วนคนที่อนุมัติแบบ ตัดสินใจโปรเจกต์และลงนามตรวจรับงาน ถ้าไม่ใช่คนเมียนมาที่มีดีกรีจบจากต่างประเทศมาก็จะเป็นชาวต่างชาติไปเลย

ในปัจจุบันชาวเมียนมาที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี จะหนีเข้ามาในประเทศไทยทางเครื่องบิน โดยถือวีซ่าท่องเที่ยว หรือ วีซ่าเพื่อการศึกษา เข้ามาในประเทศไทย หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็พยายามที่จะเข้าหางานในไทย เพื่อปรับสถานะวีซ่าของตนจากวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าการศึกษามาเป็น 'วีซ่าทำงาน' เพื่อให้อยู่ในไทยได้อย่างปกติสุข 

นี่ไม่รวมถึงสวัสดิการอื่นที่จะได้จากบริษัท ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนะ!!

เอาจริง ๆ เอย่า คงไม่สามารถปิดกั้นบริษัทใด ๆ ไม่ให้รับคนกลุ่มนี้มาทำงาน แต่อย่าลืมว่าการที่บริษัทใด ๆ บริษัทหนึ่งที่คิดจะลงทุนจ้างชาวต่างชาติเข้ามาทำงานให้ ก็มักจะมีหลายความคาดหวังที่บริษัทต้องการ โดยเฉพาะเรื่องของความคาดหวังในผลงานจากพนักงานคนนั้น ๆ

เอย่า ก็แค่อยากบอกให้คิดและตรึกตรองให้ดี ยิ่งกับเรื่องวีซ่าที่คนเหล่านี้ถือก่อนรับเข้ามาทำงาน หากเป็นกลุ่มที่มีครอบครัวอยู่ในไทย บริษัทจ้างคนกลุ่มนี้ไว้ก็คงไม่เดือดร้อนแน่นอน เพราะพวกที่มีครอบครัวในประเทศไทยเขาไม่ได้เดือดร้อนในการไม่มีที่อยู่ที่อาศัย แต่ถ้าเป็นวีซ่าอื่น ๆ หากเขาอยู่เกินข้อกำหนดของวีซ่าเขาก็ต้องกลับและเดินทางกลับมาใหม่หรือไม่ก็หนีเป็นผีน้อยในไทยในที่สุด

สุดท้ายอย่าลืมว่าหลายอาชีพเป็นอาชีพต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำ ไม่ว่าจะเป็นงานเสมียนหรือเลขานุการ, งานมัคคุเทศก์, งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้นงานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการและงานให้ความช่วยเหลือหรือทำการแทนในการดำเนินกระบวนพิจารณา ชั้นอนุญาโตตุลาการ ในกรณีที่กฎหมาย ซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมิใช่กฎหมายไทย

ส่วนงานที่ให้คนต่างด้าวทำ โดยมีเงื่อนไขที่ให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย คือ งานให้บริการทางบัญชี, งานวิชาชีพในสาขาวิศวกรรม และงานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งทั้ง 3 งานนี้คนต่างด้าวหรือต่างชาติที่จะทำ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ หรือยกเว้นเป็นผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวตามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน หรือ ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement (MRAs) ซึ่งมีหลักเกณฑ์แยกย่อยไปอีก (หากใครอยากทราบลองไปหาข้อมูลกันดูนะคะ)

อยากเลือกต่างชาติมาทำงาน ก็เลือกคนที่ทำถูกกฎหมาย จงมองความซื่อสัตย์ของพนักงาน ไม่ใช่มองแค่ค่าจ้างที่ถูกแสนถูกเพียงอย่างเดียว

เพราะในโลกนี้ไม่มีของดีราคาถูกหรอกค่ะ

จับตา!! โซเชียลพม่าในไทย 'ปลุกระดม-เชียร์ให้ยึดมัณฑะเลย์' แลกกับพระมัยมุนี ส่วนเมืองไทย พม่าหัวใจก้าวไกล พร้อมใจเคียงแนวรบส้ม เมื่อสัญญาณจุด

เสียงอึกทึกครึกโครมของการยุบพรรคก้าวไกล ไม่ได้มีเพียงแค่คนไทยเจ้าของ 14 ล้านเสียงที่ออกมาโหยหวนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่าแรงงาน และ NGO พม่า (ที่ฝ่ายนั้นเคยให้การสนับสนุน) ก็ต่างออกมาก่นด่าศาลไทยด้วยเช่นกัน  

บางรายเริ่มมีการปลุกระดม หากมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อส้ม โดยพวกเขาเหล่านี้ ก็เริ่มจะหาฐานกำลังไปร่วมชุมนุมด้วยกันเลยทีเดียว

เอย่า ก็หวังว่าฝ่ายไทยคงจะจับตากันให้ดี เพราะจากที่ผ่านมาก็ดูจะปล่อยปละละเลย จนคนเหล่านี้ย่ามใจถึงขั้นไม่เห็นหัวคนไทย ยิ่งเคยมีภาพหลุดของตัวแทนพรรคไปทำกิจกรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์ก็ดี กลุ่มแรงงานก็ดี ย่อมทำให้เห็นว่า เครือข่ายคนกลุ่มนี้ พยายามเกาะคนต่างด้าวทั้งหลายมาเป็นฐานเสียงอย่างชัดเจน 

ทำไมต้องเกาะ? เพราะคนกลุ่มพวกนี้ หากสักวันได้สัญชาติไทย ก็คือ รากหญ้ารุ่นใหม่ที่หลอกง่าย แค่ได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย เหมือนที่คนไทยเคยได้รับมากับพรรคการเมืองบางพรรคในอดีตมาแล้ว

ในอีกทางหนึ่ง เสียงเชียร์กลุ่มกองกำลังที่ชนะทหารเมียนมาได้อย่างหมดจด ก็มุ่งหวังให้กองกำลังเหล่านั้นเข้ามายึดมัณฑะเลย์ จนถึงขั้นบอกว่า ถ้ากองกำลังอย่างกองทัพอาระกันยึดมัณฑะเลย์ได้ ให้เอาพระมหามัยมุนีกลับไปที่ยะไข่ได้เลย ซึ่งนั่นทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนแตกเป็น 2 ฝ่าย 

โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกล่าวว่า พระมหามัยมุนีเป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมืองมัณฑะเลย์ และศูนย์รวมใจชาวพุทธในเมียนมา 

ในขณะอีกฝ่ายผู้สนับสนุนโต้แย้งว่า อดีตกษัตริย์เอาองค์พระท่านมาจากยะไข่ในอดีตหลังชนะศึก ก็ไม่แปลกที่หากกลุ่มกองทัพอาระกันชนะศึกจะเชิญกลับไปที่ยะไข่

หากความคิดคนพม่ารุ่นใหม่เป็นเช่นนี้ อีกไม่นานคงได้เห็นสงครามชาติพันธุ์เต็มรูปแบบแน่นอน และรอยร้าวคงยากจะประสานให้กลับเป็นดังเดิม

ต้องถามว่ากองทัพชาติพันธุ์ที่คนพม่าผู้เกลียดทหารเมียนมาเขาต้องการอะไร?

ประชาธิปไตยหรือ? หรือก็แค่เปลี่ยนหัวเผด็จการจากอีกฝ่ายเป็นอีกฝ่าย?

'มินอ่องหล่าย' ประกาศเอง 'ไทย' เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทัพเมียนมาพ่าย กลายสภาพเป็นหนึ่งในโจทก์ ใต้จังหวะ 'การเมือง-กองทัพ' ที่ยังเพิกเฉย

เป็นเรื่องจนได้ หลังจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ โดยระบุว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพเมียนมาในรัฐฉานเหนือเป็นผลมาจากอาวุธ และ เสบียง ที่ถูกส่งมาจากพรมแดนไทยและจีน ให้แก่กองทัพชนกลุ่มน้อย  

พร้อมกันนี้ ยังระบุอีกว่า โดรนและจรวดที่ใช้โดยกองกำลังโกก้าง หรือ MNDAA ซึ่งยึดครองพื้นที่โกก้างและเมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉานเหนือขณะนี้ เป็นอาวุธที่ได้รับการอัปเกรดด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ซึ่งต้องใช้ทั้งทรัพยากรมนุษย์และเงินทุนมหาศาลในการพัฒนาอาวุธเหล่านี้  

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงองค์กร Free Burma Ranger ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทยด้วยว่า ไม่ใช่องค์กรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือองค์กรทางศาสนา แต่เป็น 'ทหารรับจ้างต่างชาติ' ที่เข้ามาฝึกกองกำลัง จัดหาอาวุธและเสบียงให้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามชายแดนไทยเพื่อให้ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา 

เอย่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่า ที่ผ่านมาทางการไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทย 'ไม่ทราบ' หรือ 'ไม่สนใจ' กับคำกล่าวของทางฝั่งเมียนมา ทั้ง ๆ ที่แหล่งข่าวระดับสูงในเมียนมาอ้างว่า มีการประชุมนอกรอบกับฝั่งไทยหลายครั้งถึงการให้ฝั่งไทยจัดการกับ 'นายเดวิด อูแบงก์' ผู้นำกลุ่ม Free Burma Ranger แต่ทางการไทย รวมถึงกองทัพไทย ก็ไม่เคยสนใจกับคำขอร้องนี้ของทางฝั่งกองทัพเมียนมา เพียงเพราะว่า นายเดวิด อูแบงก์ คนนี้เดินเข้าออกสถานทูตประเทศหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เป็นว่าเล่น

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทางเมียนมาออกมาระบุชัดเจนว่า มีการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนมาจากทางชายแดนไทยและจีน จนเป็นผลให้การต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ ไม่นับคลิปที่ว่อนตามโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีนักรบรับจ้างชาติตะวันตกที่หลายสื่อที่เป็นของชนกลุ่มน้อยออกมาระบุว่า นักรบรับจ้างเหล่านั้นเข้ามารบให้แบบไม่รับค่าจ้าง แต่เพราะว่าทนเห็นสภาพบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่ไม่ไหว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทองที่ขุดมาจากเหมืองของชนกลุ่มน้อยต่างหาก

ตอนนี้ ประเทศไทย เลยกลายเป็น 1 ในโจทก์ของเมียนมาไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เพราะความเพิกเฉยของทั้งฝ่ายการเมืองก็ดี ฝ่ายกองทัพไทยก็ดี ทำให้เรากลายเป็นแหล่งซ่องสุมและกระจายยุทโธปกรณ์และเงินทุนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของเขา

สุดท้ายคนที่ต้องรับแรงกระเพื่อมจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนไทย ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม โดยนำคำว่ามนุษยธรรมมาอ้าง, การมาแย่งอาชีพคนไทยทำโดยสมบูรณ์ รวมถึงเรื่องของอาชญากรรม ทั้งลักขโมย จนไปถึงการปล้น ทะเลาะ วิวาท ระหว่างคนไทยกับคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเรื่องยาเสพติดที่มีมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร เพราะชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ใช้ยาเสพติดในการระดมเงินทุนจัดหาอาวุธและเสบียงอีกทางหนึ่ง

ปัญหาล้นขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องขึ้นกับทางกองทัพไทยแล้วว่า คำว่า 'วางตัวเป็นกลาง' คือ ทำตัวไม่รับรู้ถึงไฟไหม้บ้านข้างๆ แล้วให้คนที่มาใช้บ้านเราเติมเชื้อไฟเข้าไป สุดท้ายพอบ้านเขามอดไหม้หมด ก็คงไม่พ้นบ้านเราที่จะต้องไหม้เองต่อจากนั้น หรือจะเลือกช่วยบ้านข้างๆ ดับไฟเพราะอย่าลืมว่าบ้านข้าง ๆ มีพรมแดนติดกับบ้านเราถึงกว่า 2,400 กิโลเมตร  

"สุดท้ายแล้วกองทัพไทย พวกท่านได้ทำอย่างที่ได้เคยให้สัจจะไหมว่า จักรักษามรดกของบูรพกษัตริย์หรือในที่สุด แค่รักษาประโยชน์ส่วนตัว"

'แรงงานนอกระบบ' เสี่ยงเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในไทย บนความสบายใจของคนไทยที่รักสบายจนเคยตัว

อย่างที่เราทราบกันว่าตอนนี้มีแรงงานผิดกฎหมายเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่ม NGO ทั้งหลายก็พยายามผลักดันและกดดันให้ไทยรับแรงงานเหล่านี้เข้าระบบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของไทยเลย  

จากการเรียกร้องของกลุ่ม NGO โดยเฉพาะฝั่งพม่าที่พยายามผลักดันมากเสียจนดูน่าสงสัยไปหมด เมื่อไปตามดูสายสัมพันธ์ของคนเหล่านี้จะพบว่าคนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในไทยทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับนโยบายถึงขั้นพยายามผลักดันนโยบายอะไรบางอย่างในไทยได้ 

เพราะล่าสุดเห็นระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในไทย ระบบใหม่มีภาษาต่างชาติทั้งอังกฤษ, พม่า, ลาว, เวียดนาม และภาษาเขมร โดยเหมือนตั้งใจที่จะให้แรงงานสามารถแจ้งเองได้เลย ซึ่งจะต่างจากในอดีตที่จะให้นายจ้างไทยเป็นคนแจ้งออก

ถามว่าการทำแบบนี้ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ นายจ้างชาวไทย? หรือ แรงงานข้ามชาติ? 

บางที เอย่า ก็สงสัยจุดประสงค์ของกรมแรงงาน ว่าต้องการให้ไทยพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ถูกต้องหรือต้องการแค่ใครก็ได้ที่มาทำแล้วผลักงานให้พ้นตัวไป?

มาอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับรายงานมาว่า สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งมีสาขาที่จังหวัดท่องเที่ยวในประเทศไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย ประกาศรับแคดดี้ชาวพม่าเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-25 ปี โดยต้องมีทักษะพูดภาษาต่างประเทศได้ เช่น จีน, เกาหลี โดยจะได้รับเงินเดือน 12,000 บาท พร้อมสวัสดิการชุดพนักงาน ที่พักและอาหารฟรี

นอกจากนี้ ผู้สมัครจะต้องผ่านการทดสอบทักษะทางภาษาก่อน หากได้งานต้องทำงานไปก่อน 6 เดือน หลังพ้นระยะทดลองงาน 6 เดือนถึงจะทำบัตรชมพูให้ และในช่วงดังกล่าวพนักงานต้องห้ามเดินทางออกนอกสถานที่เด็ดขาด โดยการทำงานนี้มีสัญญาจ้าง 2 ปี ถ้าลาออกก่อนหรือทำงานไม่ครบสัญญาจะถูกปรับเป็นเงิน 300,000 บาท

หากมองว่าเป็นงานถูกกฎหมาย ก็น่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่การรับสมัครงานแบบนี้ไม่ถูกต้องไปตามการจ้างแรงงานต่างด้าว และบริษัทน่าจะรู้ดีว่าการจ้างต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารเป็นความผิด เพราะนายจ้างจะต้องไปขึ้นทะเบียนจ้างคนต่างด้าวก่อน จึงจะสามารถรับคนงานได้ 

ในส่วนของลูกจ้างที่ควรจะคำนึงคือ การที่ต้องไปทำงานในที่ใดที่หนึ่งไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลยไม่ต่างอะไรกับการถูกหลอกไปทำงานในเขตจีนเทา เขาจะทำอะไรกับคุณก็ได้ เพราะคุณอยู่ในอาณาเขตของเขา อีกอย่างหากถูกลวนลามจากนักกอล์ฟจะสามารถหาทางเอาตัวรอดได้หรือไม่ อย่างไรกัน เพราะไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลย แม้ทางรีสอร์ตจะเสนอว่าหากทำครบ 1 ปีแล้วสามารถขอลาได้ 15 วัน และมีรถรับส่งไปยังชายแดนหรือสนามบินก็ตาม

ปัจจุบันนี้แรงงานที่หนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายคงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงกระนั้นขบวนการฟอกขาวที่นำโดยกลุ่มที่มาก่อนถึง แม้บางคนจะได้สัญชาติไทยไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะทำให้คนเหล่านั้นเข้ามาในระบบอย่างไม่ถูกต้อง โดยพยายามเรียกร้องว่า ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์สัญชาติหรือประวัติอาชญากรรม 

ประเด็นคือ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานพวกนี้จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วคือ เรารักสบายจนเคยตัว และใช้เงินแก้ปัญหาจนเคยชิน โดยที่ไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่เราก่อขึ้นจะส่งผลอะไรกลับมาบ้างในประเทศของเรา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  

หากทุกท่านยังไม่เข้าใจ อาจจะต้องลองไปถามคนไทยในแม่สอดดูว่า เขารู้สึกอย่างไรที่พม่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้น

ระวัง!! 'เมียนมาอพยพ' หวังฮุบ 'มหาชัย' เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ท่ามกลางความมั่นใจ 'ข้าราชการไทยซื้อได้-NGO คุ้มกะลาหัว'

ประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมาในไทย ยังมีไม่จบไม่สิ้น จากที่ เอย่า กล่าวไปแล้วในบทความก่อน ก็มีโซเชียลมีเดียกลุ่มแรงงานเมียนมาบางกลุ่มมาโวยวายว่า 'คนไทยควรสำนึกบุญคุณที่แรงงานเขาสร้างไทยให้พัฒนา' และที่สำคัญคือ เขาได้จ่ายภาษีให้แก่ไทยด้วย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน MOU

มาถึงจุดนี้ เอย่า ถึงกับตกใจว่า คนเหล่านี้ไปเอาคำกล่าวนี้มาจากไหน?

เอาเป็นว่าวันนี้ เอย่า มาอธิบายเรื่อง ภาษีรายได้ของคนต่างชาติที่มาทำงานกันให้ทราบดีกว่า...

เมื่อปีที่แล้วทางรัฐบาลทหารเมียนมามีการประกาศเกี่ยวกับการเก็บภาษีบุคคลที่ทำงานในต่างประเทศโดยมีรายละเอียดที่ปรากฎเมียนมาระบุว่า...

1. แรงงาน MOU และ กลุ่ม Blue Collarจะถูกหัก 2% ของรายได้ โดยทางการรัฐบาลเมียนมาจะ Fix ว่าคนกลุ่มนี้มีรายได้ที่ 7,500 บาท ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะเสียภาษี 150 บาท/เดือน หรือ 1,800 บาท/ปี โดยทางสถานทูตจะกำหนดให้จ่ายทุก 6 เดือน หรือ 9 เดือน

2. สำหรับงาน White collar หรือกลุ่ม Expat จะเสียภาษี 2% เช่นกัน แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีการจ่ายภาษีให้ไทย จึงสามารถนำภาษีไทยมาหักภาษีได้ เช่น รายได้ 15,000 บาท จะต้องเสียภาษี 5% ให้ไทย แปลว่าภาษีส่วนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางเมียนมา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการจ่ายภาษีซ้ำซ้อนหรือ doubble tax เช่นกัน หากจ่ายภาษีที่ไทยต่ำกว่า 2% ก็ให้นำหลักฐานการเสียภาษีในไทยมาหักกับภาษีที่ต้องจ่ายแล้วจ่ายส่วนต่างแทน

ฉะนั้นกลุ่มแรงงานและ Blue Collar ควรเข้าใจได้แล้วนะว่า พวกคุณไม่เคยเสียภาษีรายได้ในไทย แต่คุณเสียภาษีให้แก่รัฐบาลของคุณ (เมียนมา) ตามกฎหมายนั่นเอง

เอย่า ขอกล่าวว่า แรงงานไม่ว่าชาติใด ก็มีส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่เมียนนมา แต่การขับเคลื่อนนั้น แลกมาด้วยค่าแรงที่นายจ้างจ่ายนะ ไม่ใช่พวกคุณมาทำให้ฟรีๆ ดังนั้นจึงถือเป็นบุญคุณคงไม่ได้ และถ้าพวกคุณจะไม่พอใจ ก็กลับไปได้เลย เพราะเชื่อว่ายังมีแรงงานชาติอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นแรงงานแทนพวกคุณ  

พวกคุณควรจะขอบคุณนายจ้างที่ยังจ้างพวกคุณทำงานมากกว่า!!

ส่วนเรื่อง 'มหาชัย' คุณจะตั้งเมียนมาทาวน์ เหมือนเยาวราชที่เป็นไชน่าทาวน์ หรือ พาหุรัดที่เป็นลิตเติลอินเดียก็ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตนตามกฎหมายไทย คุณก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนอกประเทศของเมียนมา จำเอาไว้ด้วย

สุดท้าย เอย่า ขอเตือนข้าราชการไทยไว้ว่า ในโซเชียลของชาวพม่า ต่างดูถูกดูแคลนพวกข้าราชการไทย บ้างก็ว่าข้าราชการไทยเอาเงินจ่ายก็จบ บ้างก็ว่าข้าราชการไทยทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขามี NGO คุ้มกะลาหัวอยู่ 

เป็นข้าของแผ่นดินไทยนะคะ ถ้าจะไม่อายคนที่มีชีวิตอยู่ ก็ควรอายผีบรรพบุรุษบ้าง!!

เอย่า ขอฝากไว้ให้คิดแค่นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top