Saturday, 11 May 2024
AYA IRRAWADEE

ธุรกิจการ์เมนต์เมียนมาสะเทือน เมื่อ 3 เจ้าใหญ่ต่างทยอยถอนตัว

นับจากการประกาศของ Mark & Spencer เมื่อปีที่แล้วที่จะถอนธุรกิจออกจากเมียนมาในเดือนมีนาคมนี้ ล่าสุดทางนิเกอิ ก็ได้รายงานว่า บริษัทฟาสต์ รีเทลลิงของญี่ปุ่น เจ้าของแบรนด์ 'ยูนิโคล่' (Uniqlo) ได้กลายเป็นอีกบริษัทที่ตัดสินใจถอนธุรกิจออกจากเมียนมาด้วยเช่นกัน 

โดย Uniqlo ได้ถอดรายชื่อกลุ่มพันธมิตรในเมียนมาออกจากรายชื่อโรงงานผลิตเสื้อผ้า ซึ่งที่ผ่านมาฟาสต์ รีเทลลิงรายนี้ ได้จ้างผลิตเสื้อแจ็กเก็ตและเสื้อเชิ้ตสำหรับแบรนด์ GU แต่ก็จะยุติการผลิตสินค้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปี 2566 ไปโดยปริยาย  

ไม่เพียงเท่านั้น ด้านบริษัทเรียวฮิน เคคะคุ เจ้าของแบรนด์ 'มูจิ' (Muji) จากญี่ปุ่น ก็มีแผนที่จะยุติการจ้างผลิตเสื้อแจ็กเก็ตและสินค้าชนิดอื่น ๆ จากเมียนมาภายในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย 

สำหรับการถอนตัวของแบรนด์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มาจากเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ บริษัทไม่สามารถละเลยต่อการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นในเมียนมาได้ 

กรณีศึกษา Nestle ถอนตัวออกจากเมียนมา   สะท้อน!! ไม่มีใครทำร้ายชาติเราได้เท่าคนในชาติตัวเอง

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวที่ดังไปทั่วเมียนมาเมื่อบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง Nestle ที่ตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 ถอนตัวออกจากเมียนมา โดยมีแถลงการออกมาจากทาง Nestle ว่าทางบริษัทจะยุติการดำเนินการทั้งสายโรงงานและการปฏิบัติงานในส่วนของออฟฟิศทั้งหมด  

ข่าวนี้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจของเมียนมาพอสมควร โดยทาง Nestle อ้างว่าการที่บริษัทตัดสินใจเช่นนี้เป็นเพราะบริษัทมีปัญหาในเรื่องการนำเข้าและปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน 

พออ่านมาถึงจุดนี้ คือต้องมาเอ๊ะ เดี๋ยวก่อน….เราควรมาดูข้อมูลรอบตัวของข่าวนี้ก่อนดีไหม? เริ่ม!!

ข้อแรก Nestle เป็นบริษัทของสวิตเซอร์แลนด์ แต่การดำเนินการของ Nestle เมียนมานั้นอยู่ภายใต้การดำเนินการของ Nestle สาขาประเทศไทย ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์เป็น 1 ในประเทศคู่ค้าของกลุ่ม EU ที่ทำการแซงชันเมียนมา โดยการแซงชันของ EU นั้น นอกจากเน้นไปที่ตัวบุคคลแล้วยังเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของเช่น อัญมณี เหมืองแร่ น้ำมันและก๊าซรวมถึงป่าไม้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าธุรกิจเหล่านั้นได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแซงชันดังกล่าว โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันและก๊าซในเมียนมาที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีคนนอกในการผลิตและแปรรูป  

จึงไม่แปลกที่ธุรกิจของประเทศในกลุ่มดังกล่าวจะโดนกดดันจากฝั่งเมียนมา ซึ่งบางธุรกิจเช่นธุรกิจผลิตวัตถุดิบบางอย่างของสัญชาติอเมริกันก็เลือกที่จะปิดตัวเองเลย ซึ่งแม้บริษัทเหล่านั้นอาจจะมีการทำ Political Insurance ไว้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเงินสินไหมจะทดแทนกับมูลค่าที่ลงทุนและโอกาสทางการตลาดที่เสียไปได้หรือไม่

กลับมาที่ Nestle เมียนมา ก็ต้องขอปรบมือให้ทีมบริหารที่ใช้ความพยายามในการผลักดัน เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีในขณะที่หลายๆ บริษัท ทั้งบริษัทที่เป็นของชาวต่างชาติก็ดี หรือของคนเมียนมาเองก็ดี ต่างทยอยปิดตัวลงจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แทบจะเรียกได้ว่า Nestle เป็นบริษัทท้ายๆ ที่ใช้เหตุผลนี้มาปิดบริษัท เพราะตอนนี้ก็เหมือนเหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตต่างๆ เริ่มคลี่คลายลงแล้ว ซึ่งสังเกตได้จากหลายๆ บริษัทในเขตนิคมเองก็เปิดมากขึ้น  

อย่างไรก็ดีด้วยประเด็นของการที่ประเทศในกลุ่มอียูมีนโยบายแซงชันเมียนมา จึงเป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เนสเล่ ที่เจ้าของคือ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้เป็นคู่ค้ารายสำคัญของกลุ่มประเทศอียูจะโดนบีบให้ปฏิบัติตามด้วยก็ไม่แปลก เพราะหากเทียบความสูญเสียที่เกิดขึ้นในเมียนมากับมูลค่าที่จะสูญเสียในยุโรปนั้น Nestle บริษัทแม่เลือกไม่ยากเลยที่จะเลือกปิดโรงงาน ลอยแพคนงานเมียนมาและหันกลับมาใช้ระบบตัวแทนจำหน่ายที่เป็นบริษัทเมียนมาแทน  

เบื้องลึกกองกำลังประชาชนแห่งเมียนมา ไทย…'ผู้รับบุญ' หรือ 'แพะรับบาป'

ไทยเราได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ให้การดูแลชาวต่างชาติที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นมาช้านานแล้ว

แต่หากนับในยุคปัจจุบันในรัชสมัยของพ่อหลวงล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ก็มี 'เหตุการณ์ที่ท่าแขก' หรือ 'วันท่าแขกแตก' ซึ่งเป็นกลุ่มชาวเวียดนามที่ทางการไทยเรียกว่า 'ญวนอพยพ' การหนีข้ามแม่น้ำโขงจากฝั่งลาวมาฝั่งไทยครั้งนี้เป็นการหนีการปราบปรามของกองกำลังฝรั่งเศสจากเวียงจันทน์ สะหวันเขตและท่าแขก แขวงคำม่วน มายังหนองคาย มุกดาหาร 

จาก 'เหตุการณ์ที่ท่าแขก' ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 ครั้งนั้น นับเป็นการอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนามมายังไทย ทำให้ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ที่ท่าแขกได้หนีข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทยประมาณ 50,000 คน รวมทั้งชาวลาวอีก 4,000 คน โดยชาวเวียดนามเกือบทั้งหมดยังคงลี้ภัยและพำนักอาศัยอยู่ในภาคอีสานของไทยต่อมาจวบจนปัจจุบัน หรือจะเหตุการณ์ที่คอมมิสนิสต์มีชัยในดินแดนอินโดจีนในช่วงประมาณปี 2517 ก็มีชาวเวียดนาม ลาว เขมรจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาลี้ภัยในประเทศไทย และไทยก็เปิดศูนย์รับผู้ลี้ภัยเพื่อรอวันที่พวกเขาเหล่านั้นเดินทางกลับ  และอีกหลายคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตในไทย

>> สงครามกะเหรี่ยงกับภาระของไทย
สงครามระหว่างกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมามีมาตั้งแต่ปี 2492 โดยรัฐบาลไทยเคยใช้รัฐกะเหรี่ยงเป็นรัฐกันชนกับพม่า ซึ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยเกรงภัยจากคอมมิวนิสต์ที่ได้ตั้งพรรคทั้งในไทยและเมียนมาหรือพม่าในขณะนั้น ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ไทยและสหรัฐฯ ที่สนับสนุนกบฏกะเหรี่ยง และในช่วง พ.ศ. 2503 – 2533 สหรัฐฯ ยังให้การสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ด้วย 

โบเมียะกล่าวว่า รัฐกะเหรี่ยงเป็นรัฐกันชนที่ไม่ให้คอมมิวนิสต์ในไทยและเมียนมารวมตัวกัน นโยบายของรัฐไทยเปลี่ยนไปในช่วง พ.ศ. 2533 เมื่อเมียนมาได้เป็นสมาชิกอาเซียนใน พ.ศ. 2540 ไทยจึงได้ยุติการให้ความช่วยเหลือกองกำลังกะเหรี่ยง ในแง่ของผู้อพยพจากสงครามพบว่ามีชาวกะเหรี่ยงเริ่มอพยพเข้าสู่ไทยใน พ.ศ. 2527 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงได้ประโยชน์จากค่ายผู้อพยพในไทยในฐานะเป็นที่หลบภัยและเป็นแหล่งสนับสนุนอาหารและวัสดุอื่นๆ ผ่านสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย มีชาวกะเหรี่ยงราว 2 แสนคนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมามีชาวกะเหรี่ยง 73,775 คน  และเมื่อหลังจากการปฎิวัติชาวกะเหรี่ยงและเมียนมาอีกจำนวนไม่น้อยที่อพยพมาตามชายแดน ซึ่งนี่ไม่รวมถึงผู้ที่ข้ามแดนมาอย่างผิดกฎหมาย

ในวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 อ.แม่สอด, กองกำลังนเรศวร, เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.ตาก และฝ่ายปกครอง อ.แม่สอด พร้อมหน่วยข่าวด้านความมั่นคงนำกำลังเข้าควบคุม อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เกือบ 40 คูหา ย่านชุมชนหนาแน่น ถนนตาลเดี่ยว ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก

หลังจากสืบทราบว่ามีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา กลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะ PDF ซึ่งหนีข้ามมาจากฝังเมียนมาเข้ามาเช่าบ้านหลบอาศัยอยู่ในพื้นที่แม่สอดกันอย่างอิสระจำนวนมาก เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมีรายงานว่ามีชาวต่างชาติ และองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเมื่อตรวจค้นภายในอาคารพบสัมภาระทางทหาร อุปกรณ์ทางทหาร เครื่องแบบทหาร โลโก้หน่วยทหารกลุ่มต่อต้านต่างๆ รวมทั้งโดรนขนาดต่างๆ อุปกรณ์ควบคุม อุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่สำคัญพบกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง 

เบื้องลึกกองกำลังประชาชนแห่งเมียนมา เมื่อแรงชักจูง ปั่นหัวให้อยากเป็นฮีโร่

เมื่อย้อนกลับไปมองถึงการปฏิวัติของนายพล มิน อ่อง หล่าย ก็เหมือนกับการย้อนดูหนังฮอลลีวู้ดสักเรื่อง นั่นก็เพราะหลังจากที่มีการประท้วงโดยการนำของเหล่าผู้แทนของพรรค NLD รวมถึงมีการเคลื่อนไหวการจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรือ National Unity Government (NUG) (หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาล NUG ก็มีการประกาศอะไรต่าง ๆ มากมาย จนแรก ๆ ผู้คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยคล้อยตามไปกับทางนั้น) ได้มีประกาศที่สำคัญอันหนึ่งคือ การประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติในวันที่ 16 เมษายน 2564 ว่า...

“ทาง NUG จะจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธที่จะร่วมมือกับองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ เริ่มการปฏิวัติด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร” ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแรกของการตอบโต้ โดยตอนนั้นก็เหมือนจะมีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มเห็นพ้องที่จะเอาด้วย  

ต่อมาในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 NUG ได้ประกาศการจัดตั้งกองกำลังชุดแรกว่าเป็น “ผู้บุกเบิกกองกำลังของรัฐบาลกลาง” นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า กองกำลังนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้กับกองทัพรัฐบาลทหารของเมียนมาด้วยความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศ

จากนั้นในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 NUG ได้เผยแพร่วิดีโอพิธีสำเร็จการศึกษาของการฝึกกองกำลังนี้ โดยประกาศว่ากลุ่มติดอาวุธพร้อมที่จะท้าทายกองกำลังของรัฐบาลทหารแล้ว  

และเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2564 NUG ได้ประกาศเปิดตัว “สงครามป้องกันประชาชน” เพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร และเรียกร้องให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาลทหารในทุกมุมของประเทศ โดยในประกาศได้อ้างว่า ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองและครอบครัวจากรัฐบาลทหาร ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกลุ่ม People Defense Force หรือ PDF อย่างเป็นทางการ

เปิดเหตุผลที่ ‘เมียนมา’ แห่ทะลักมาทำงานในไทย แม้ต้องเข้ามาแบบผิดกฎหมาย...ก็ยอม!!

ช่วงนี้เอย่าได้อ่านข่าวเรื่องการตรวจจับคนเมียนมาข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายแทบจะเรียกได้ว่าทุกวัน

เหตุเพราะตอนนี้ คนเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนหรือไม่ใช่ปัญญาชน ต่างก็มุ่งจะออกไปทำงานต่างประเทศ โดยไม่ได้สนใจว่าจะใช้วิธีที่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย 

ซึ่งปลายทางในการเดินทางผิดกฎหมายที่พบในข่าวฝั่งเมียนมามากที่สุดคือ ไทย รองลงมาคือ มาเลเซีย  

คำถาม คือ แล้วทำไมเป็นประเทศไทย ที่แรงงานเมียนมาอยากมามากที่สุด

วันนี้เอย่าจะนำข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มแรงงานที่เดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมายในไทยมาให้ทราบกัน...

>> ประการแรกคือ ประเทศไทยนั้นมีเอเยนต์ที่คอยการข้ามแดนของพวกเขา เมื่อชาวเมียนมาเข้ามาแล้ว ก็จะไปวิ่งเต้นในการทำบัตรแรงงานต่างด้าวหรือที่เรียกกันว่าบัตรชมพูให้ด้วย 

ซึ่งนั่นจะทำให้แรงงานเมียนมาที่ข้ามมาได้แล้ว (ได้บัตรชมพู) ทุกอย่างก็จบพวกเขาสามารถทำงานได้เลยเพราะบริษัทหรือห้างร้านในไทยไม่ได้ตรวจสอบการเดินทางเข้ามาเพียงแต่ตรวจสอบเรื่องการมีบัตรชมพูหรือไม่เท่านั้นเอง

>> ประการต่อมา ในประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเข้าเมืองมาแบบใด ไม่ว่าจะมาแบบมีวีซ่าทำงาน หรือ ท่องเที่ยว หรือ แรงงานก็ตาม หากไปทำเรื่องที่สถานทูตเมียนมาก็สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้กับธนาคารที่มีการดีลกับสถานทูตไว้ ซึ่งนี่เป็นอภิสิทธิ์อีกอย่างหนึ่งให้แก่คนเมียนมา

กลับกันหากเป็นในประเทศอื่น การเดินทางเข้าเมืองแบบไม่ถูกต้อง หรือมาแบบท่องเที่ยว การจะเปิดบัญชีธนาคารนั้นจะยากมาก เนื่องจากตามกฎหมายในหลาย ๆ ประเทศไม่อนุญาตให้กระทำ

'ตันบูซายัต' ปลายทางสถานีรถไฟสายมรณะ เสน่ห์ของเมืองเล็กๆ ที่รอวันนักท่องเที่ยวไปเยือน

เมื่อพูดถึงความเลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW 2) ใครๆ หลายคนรวมถึงชาวต่างชาติคงคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันเชลยที่จังหวัดกาญจนบุรี จุดที่ฝั่งกองทัพญี่ปุ่นปักธงให้สร้างทางรถไฟเชื่อมจากประเทศไทยไปยังพม่า 

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าปลายทางของสถานีรถไฟสายมรณะแห่งนี้สิ้นสุดที่สถานี 'ตันบูซายัต' ในเมืองตันบูซายัต รัฐมอญ ประเทศเมียนมาในปัจจุบัน 

วันนี้เอย่าขอพาไปเที่ยวเมืองตันบูซายัต ปลายทางของทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักทางรถไฟสายมรณะสายนี้กันก่อนดีกว่า เส้นทางนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ ไปยังปลายทางที่เมืองตันบูซายัต ประเทศเมียนมา

ทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ มีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีตันบูซายัตรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตประเทศเมียนมา 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 53 สถานีแต่ได้ยุบสถานีไป 23 สถานี ปัจจุบันเหลือสถานีที่เปิดให้บริการ 30 สถานี

HIGHWAY TO HELL วิเคราะห์ 'ถนนสายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' เหตุใด 587 กม.นี้ จึงมีแต่ 'อุบัติเหตุ' และ 'ความตาย'

เกิดอุบัติเหตุใหญ่เมื่อเช้าของวันที่ 4 มีนาคม เมื่อมีรถโดยสารระหว่างเมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์นี้นับ 10 รายและมีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิตคืออดีตแชมป์มวยคาดเชือกของเมียนมานาม Shwe Du Wun  

วันนี้จึงมีเหตุให้เรามาทำความรู้จักกับถนนเส้นนี้กัน..

เส้นทางไฮเวย์ 'สายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' ได้ชื่อว่าเป็นถนนแห่งความตาย เพราะตั้งแต่ถนนเส้นนี้เปิดใช้มีคนต้องสังเวยชีวิตให้กับถนนเส้นนี้แล้วนับหลายร้อยศพและเกิดอุบัติเหตุบนถนนเส้นนี้นับร้อยๆ ครั้งต่อปี 

เส้นทางไฮเวย์ 'สายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' เส้นนี้ มีระยะทาง 587 กิโลเมตรนับจากหัวถนนที่นอกเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเปิดใช้เมื่อธันวาคม 2010 โดยถนนเส้นนี้ทำการลดระยะเวลาการเดินทางไปยังมัณฑะเลย์จากเดิมที่ต้องใช้เวลาในการเดินทาง 13-15 ชั่วโมงให้เหลือเพียง 7-8 ชั่วโมงเท่านั้น  

ว่ากันว่าถนนเส้นทางนี้วางแผนการสร้างกันมาตั้งแต่ปี 1954 โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ Naypyitaw ของรัฐบาล U Nu ต่อมาในปี 1959 ทางสหรัฐอเมริกาเข้ามาเสนอความช่วยเหลือด้านการสำรวจและวิศวกรรมทางหลวงเป็นจำนวนเงิน 750,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งการสำรวจได้เสร็จสิ้นในปี 1960 แต่เนื่องจากต้นทุนการสร้างที่สูง จึงทำให้รัฐบาลในตอนนั้นชะลอแผนการสร้างออกไปจนเมื่อเกิดการปฎิวัติในปี 1962 สหรัฐอเมริกาก็เริ่มจะถอยห่างออก 

จากนั้นแม้จะมีการสร้างมาเป็นระยะๆ แต่โครงการก็ขับเคลื่อนไปอย่าช้าๆ และหยุดชะงักเป็นช่วงๆ จนกระทั่งในปี 2005 จึงเริ่มมีการก่อสร้างอีกครั้งอย่างจริงจังจนสำเร็จและเปิดใช้ในช่วงสิ้นปี 2010 และเส้นนี้ยังมีการทำต่อเพิ่มเติมในเมืองย่อยๆ ของมัณฑะเลย์อีกในช่วง Saga-In ไป Tagundaing ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2011

ทว่า จากการสร้างถนนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย ทำให้ถนนที่สร้างขึ้นมานี้ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ถนนไม่รับโค้ง ทำให้รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วส่วนใหญ่เกิดอุบัติเหตุหลุดโค้ง รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น ไม่มีรั้วกั้นระหว่างทางหลวงกับชุมชนข้างเคียง ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันที่เกี่ยวข้องกับคนและสัตว์เลี้ยงของชุมชนที่อยู่ข้างเคียงเรียงรายตามเส้นทางไฮเวย์ดังกล่าว  

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เปิดตำนานพระประธานแห่งเมือง Zalun  สะพรึงสะเทือนราชวงศ์อังกฤษในยุคล่าอาณานิคม

อย่างที่ทราบกันว่า เมื่ออังกฤษเข้ามายึดพม่าในตั้งแต่ปี 1824 นั้น นอกจากอังกฤษจะเข้ามาวางระบบผังเมืองในย่างกุ้งแล้ว อีกมุมหนึ่งอังกฤษก็ขนเอาทรัพยากรอันมีค่าของพม่าในยุคนั้น อาทิ ไม้สัก งาช้าง อัญมณี รวมถึงทองคำและทองเหลือง กลับมายังเกาะอังกฤษหรืออินเดียที่ถือเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอังกฤษในเวลานั้น และองค์พระแห่งเมือง Zalun ที่เจดีย์ Mar Aung Myin องค์นี้ ก็เป็น 1 สิ่งที่ถูกขนออกจากพม่าไปในกาลนั้นด้วยเช่นกัน

ในตำนานกล่าวไว้ว่า องค์พระท่านถูกขนออกไปจากเมือง Zalun ในรัฐอิรวดีไปยังเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย ซึ่งตอนนั้นในเมืองบอมเบย์เป็นที่ตั้งของโรงเก็บของอังกฤษที่นำมาจากสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นเครื่องทองเหลืองที่ยึดมาได้จากเมืองอาณานิคมจะถูกนำมาหลอมใหม่ เพื่อทำเป็นเหรียญกษาปณ์ ลูกปืน

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น หลังจากที่องค์พระถูกย้ายมาที่นี่ โดยมีการระบุว่าหลังจากที่องค์พระเดินทางมาถึงโรงเก็บของในเมืองบอมเบย์ ก็เกิดฝนตกหนัก และลมกรรโชกแรง และเมื่อนำองค์พระไปหลอมก็ปรากฎว่า องค์พระไม่ถูกหลอมเหลวเหมือนทองเหลืองทั่วไป จนต้องเชิญท่านกลับมาในโรงเก็บเหมือนเดิม หลังจากนั้นคนงานชาวอินเดีย 64 คนที่ทำงานในการหลอมองค์พระก็กระอักเลือดตายอย่างเป็นปริศนา  

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ครองราชย์ราชวงศ์อังกฤษ ก็ได้เกิดพระอาการประชวรปวดศีรษะอย่างรุนแรง ซึ่งหมอหลวงในบักกิงแฮมก็ไม่สามารถวินิจฉัยและเยียวยารักษาอาการประชวรนี้ได้ จนต่อมาพระนางได้นิมิตฝันเห็นร่างดำทะมึน โดยในความฝันได้บอกกับพระนางว่าให้นำองค์พระที่อยู่ในโรงเก็บของในเมืองบอมเบย์กลับไปประดิษฐานยังที่เดิมในเมือง Zalun มิฉะนั้นพระนางจะสิ้นใจ 

ชำแหละโลกมืดใน ‘เมียนมา’ แด่สายหวังรวยลัด เมื่อในความเป็นจริง อาจไม่ได้สวยงามดังหวัง

มีข่าวมานานแล้วเรื่องการประกาศหาคนไทยมาทำงานในเมียนมา โดยงานที่บอกนี่ไม่ใช่งานอย่างที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจกันนะ เพราะหากเป็นงานที่สุจริต จะต้องผ่านกระบวนการคัดสรรและจ้างงานอย่างเป็นระบบภายใต้กฎหมายไทยหรือเมียนมา ซึ่งตัวบริษัทก็จะมีชื่อและสามารถตรวจสอบธุรกิจ ธุรกรรมได้ 

แต่หลายๆ งานในเมียนมาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หลายงานต้องการจ้างคนไทยเพื่อไปทำงานบริการ หรืองานดูแลระบบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งงานเหล่านี้จะไม่มีการออก Work Permit หรือแม้กระทั่งออก Business Visa ให้ (หลายคนที่มาทำงานเหล่านี้อาจจะรู้และยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ได้)

แน่นอนว่างานเหล่านี้ มักจะมีรายได้ดี แต่ความจริงหลังม่านไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด…

มีรายงานจากสถานทูตไทยในเมียนมาอยู่หลายครั้ง รวมถึงช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กของคนไทยในเมียนมาต่างๆ ที่มีการขอความช่วยเหลือญาติพี่น้องรวมถึงคนรักที่เข้ามาทำงานในเมียนมา ซึ่งงานส่วนใหญ่จะเป็นงานขายบริการรวมถึงงานดูแลระบบคาสิโนเป็นต้น  

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า แม้ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์บ้านเมืองในเมียนมาปกติ รัฐบาลกลางเมียนมาก็ไม่มีอำนาจกระทำการใดๆ ในเขตปกครองพิเศษหรือเขตปกครองตนเอง เช่น ในเมืองมูเซ เล้าก์ก่าย เมืองลา หรือ เมืองป๊อก ที่เป็นเขตอิทธิพลของว้ากับโกกั้ง หรือในเขตอิทธิพลของจีนในแถบเมียวดี หรือแม้กระทั่งทำงานในคาสิโนแถวท่าขี้เหล็กก็ตาม

สายมูต้องลอง ตามรอย ‘รัฐพะโค’ ในเมียนมา ขอพรตามคิด ลิขิตดังใจ

เชื่อได้ว่าใครที่ได้มีโอกาสบินมาเที่ยวเมียนมา มักจะไม่พลาดที่จะแวะเวียนมายัง ‘ย่างกุ้ง’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เอย่า อยากบอกว่ามีอีกหมุดหมายหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาด นั่นก็คือ ‘เมืองพะโค’ หรือ ‘เมืองหงสาวดี’ นั่นเอง 

นั่นก็เพราะในหงสาวดีมีจุดหมายหลักๆ 3 ที่ ซึ่งใครมาก็ต้องไป ได้แก่...พระราชวังบุเรงนอง / เจดีย์พระธาตุมุเตา และวัดพระนอนตาหวานชเวตาเลียว แต่ไม่หมดเท่านี้ในรัฐพะโค ยังอุดมไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจมากมายทั้งในเมืองพะโคเองและนอกเมืองพะโค ซึ่งวันนี้เอย่าขอปรับอารมณ์พาผู้อ่านมาทัวร์ชมหมุดหมายที่น่าสนใจ เผื่อใครสนใจจะตามรอย ก็มิว่ากัน…

เริ่มที่ ‘ศาลโบโบจี’ (Shwe Nyaung Bin) ตั้งอยู่บริเวณไฮเวย์มุ่งสู่เมืองพะโค เลยสุสานทหารสงครามโลกมาไม่ไกลนัก โดยศาลนี้ผู้คนชาวพม่ามีความเชื่อว่า ถ้าหากออกรถใหม่ต้องขับรถมาไหว้ขอพรที่นี่เพื่อเป็นสิริมงคลและความปลอดภัยในการขับขี่

ต่อมากับ ‘วัดกองมูดอว์’ (Kaung Mhu Daw Pagoda) ในเมืองตองอู วัดนี้เป็นวัดที่พระเจ้าบุเรงนอง ทรงสร้างขึ้นด้วยความเชื่อว่าถ้าสักการะแล้วจะได้ชัยชนะทุกครั้ง ในวัดมีรูปปั้นบุเรงนองสักการะพระธาตุอยู่ รอบฐานจะมีลานทรายเล็กๆ อยู่ โดยเชื่อว่าถ้าอธิษฐาน แล้วเดินวนในทราย3รอบ คำอธิษฐานจะเป็นผลสำเร็จ (เหล่านักธุรกิจชาวพม่าที่มาสักการะที่นี่จะนิยมเก็บทรายไว้ติดตัวเพื่อความเป็นมงคลในด้านชัยชนะ หากใครทำธุรกิจระหว่างประเทศแนะให้มาสักการะจะเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top