Sunday, 12 May 2024
AYA IRRAWADEE

'ผู้นำเมียนมา' ธำรงหลากอารยะในวันที่ชาติพันธุ์ยังไม่สิ้นศรัทธา เดินหน้ากุมหัวใจชาวรัฐฉาน เพื่อคงไว้ซึ่งความสงบสุข

เมื่อก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้ไปเป็นประธานเปิด หอคำแสนหวี ที่เมืองแสนหวี เรื่องนี้นับเป็นก้าวแรกของคำสัญญาที่ นายพลมิน อ่อง หล่ายทำให้แก่ชาวไทใหญ่ ตามที่เขาได้หารือหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รัฐฉาน

สำหรับหอคำเมืองแสนหวีที่สร้างใหม่ จะมีความเหมือนกับหอคำเดิมที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของขุนส่างต้นฮุง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทย หลังถูกทำลายไปโดยกองทัพพม่าของนายพลเนวิน ตอนยกเลิกระบอบเจ้าฟ้าในรัฐฉาน

ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายพล มิน อ่อง หล่าย ก็ได้เป็นประธานในพิธีฝังอิฐเงิน อิฐคำ เปรียบได้กับพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างหอหลวงเชียงตุงหลังใหม่ บริเวณริมหนองตุง ฝั่งตะวันตก ตรงข้ามที่ตั้งหอหลวงหลังเดิมซึ่งถูกกองทัพพม่าระเบิดทิ้งไปเมื่อ 31 ปีก่อน โดยหอคำที่เชียงตุงนั้นสร้างขึ้นตามความต้องการของชาวเชียงตุงเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเชียงตุง โดยใช้ที่ดินซึ่งเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าฟ้าเชียงตุงเป็นสถานที่ก่อสร้างและยึดรูปแบบตามสถาปัตยกรรมของหอหลวงเชียงตุงหลังเดิมตามแบบของเจ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลงที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างหอหลวงหลังนี้ จากการเดินทางไปประชุมที่อินเดีย 

ย้อนไปในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2534 ในยุคที่นายพลตานฉ่วยเป็นผู้นำสหภาพพม่า ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวเชียงตุงที่ดังออกมาจากทั่วทุกหัวระแหง กองทัพพม่าได้ระเบิดหอหลวงเชียงตุงทิ้ง และมอบที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอหลวงให้บริษัทเอกชนเช่า สร้างเป็นโรงแรม ใช้ชื่อว่าโรงแรมนิวเชียงตุง และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมอะเมซซิง เชียงตุงในเวลาต่อมา แม้จะมีการขอคืนที่ดินดังกล่าวในสมัยรัฐบาล NLD โดยมีการประชุมระหว่างทายาทของเจ้าก้อนอินแถลงร่วมกับเหล่าผู้อาวุโสของเมืองในการทำหนังสือเรียกร้องขอคืนที่ดินดังกล่าวต่อประธานาธิบดีวิน หมิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม, รัฐมนตรีกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมถึง ดร.ลิน ทุต มุขมนตรีรัฐฉาน ซึ่งเป็นคนของพรรค NLD

'เปลวสีเงิน' เปิดสตูบ้านหลังใหม่ สัมภาษณ์ 'นายกฯ' พูดคุยสิ่งที่ 'ทำแล้ว-ทำอยู่-ทำต่อ' ในรายการ The Exclusive Talk

(11 เม.ย.66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้เกียรติร่วมเปิดสำนักงานใหม่ไทยโพสต์ ที่ซอยประชาชื่น 46 ถนนประชาชื่น แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ เมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร่วมสนทนากับ ‘เปลว สีเงิน’ ผู้ก่อตั้งไทยโพสต์ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ในรายการ The Exclusive Talk ทีวีไทยโพสต์ โดยในบทสนทนามีเนื้อหาบางส่วนดังนี้

เปลว สีเงิน - นายกฯ ไปหลายพื้นที่ที่คนต้องการให้ไปเยอะๆ แต่ภาคอีสานก็มีคนคิดถึงนะ

พล.อ.ประยุทธ์ : ก่อนหน้านี้ เราก็ไปในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีโครงการต่างๆก็ไปตรวจเยี่ยมทุกวันนี้ก็ต้องระวังนิดนึง ถ้าไปในฐานะนายกฯ คงไม่ได้แล้ว แต่ไปในนามของการเลือกตั้งไปได้  แต่ก็ต้องไปอย่างง่ายๆที่สุด

เปลว สีเงิน : เห็นส่ง คุณพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค เป็นแนวหน้าออกรายการดีเบต

พล.อ.ประยุทธ์ : ตอนนี้ก็มีคนออกมาพูดกันเยอะ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจได้ โดยไม่มีความขัดแย้ง ไม่ใช่ เกลียดชังกัน สิ่งที่พูดอาจจะคิดดี หลักการอาจจะคิดว่าทำได้ แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้ และเป็นปัญหากับคนอื่นด้วย นี่คือประเด็นสำคัญก็ต้องระมัดระวังและคิดให้ถี่ถ้วน 

วันนี้รัฐบาลก็พยายามที่จะทำให้เรามีรายได้มากขึ้นในภาพของประเทศ เพื่อเอาเงินและรายได้เหล่านี้มาพัฒนาประเทศ และประชาชนให้ครบถ้วนมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าให้อันใดอันหนึ่งที่มากเกินไป จะส่งผลกระทบใหญ่ต่องบประมาณ อีกทั้งระบบเราเสียหายหมด ต่างประเทศดูเราอยู่ ซึ่งวันนี้เขาก็ชื่นชมประเทศไทย สามารถจัดระบบการเงินการคลัง เป็นที่น่าเชื่อถือเชื่อมั่นให้ความไว้วางใจ ค่าเงินบาทยังมีราคาเงินเฟ้อก็ลดลง ของเรายังอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยแล้ว เป็นตัวอย่างในการประชุมระหว่างประเทศ ก็ต้องช่วยกันรักษาสิ่งเหล่านี้ต่อไป

เปลว สีเงิน : เดี๋ยวนี้ก็มีการแจกโน่นแจกนี่ซึ่งเกินความเป็นจริง แต่บางทีก็ขาดเรื่องการชี้แจง
.
พล.อ.ประยุทธ์ : สิ่งที่ผมพยายามจะพูดออกไปและสื่อสารออกไปเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหัวหน้ารัฐบาลเพื่อให้บ้านเมืองปลอดภัย คือหน่วยงาน กระทรวง ครม. เขาต้องเอาสิ่งที่ผมพูดไปช่วยกันพูด แต่ปรากฏว่าก็น้อยไปหน่อยไม่ค่อยพูดกัน ข้าราชการบางทีก็ไม่กล้าพูด

ส่วนของผมหน้าที่นายกรัฐมนตรีก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งในเชิงบริหาร การที่ผมเยี่ยมเยียนประชาชน หรือมาเยี่ยมก็ตามส่วนหนึ่งผมอาจไปเยี่ยม ส่วนหนึ่งอาจจะยังไม่ได้ไป ส่วนหนึ่งอาจไปแล้วหลายครั้ง

แต่สิ่งที่ผมไปที่เยี่ยมเยียนนั้น ก็ด้วยผลงานของผม ถนนหนทาง น้ำ การจัดที่ทำกินต่างๆ ผมไปหมดแล้วทุกพื้นที่ บางอันอาจจะอยู่ในระดับเริ่มต้น จะตกจากตรงกลางบ้าง บางอันอยู่ในระดับสำเร็จแล้วแต่ทั้งหมดผมไปเยี่ยมเขาด้วยแผนงานโครงการของผมไม่เคยแยกแยะ ไม่เคยว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร จังหวัดของใคร สีอะไร ไม่ได้สนใจ ผมสนใจแต่เพียงว่าประชาชนของประเทศเรามีทุกภาคทุกจังหวัด 

ไปดูได้เลยว่างบประมาณแต่ละปีทุกจังหวัดทุกกลุ่มจังหวัดได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ทุกภาคมากขึ้นไหม ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้มีผู้แทนอยู่ตรงนั้นนี่คือผมมองประชาชน ตรงนี้อยากฝากความเข้าใจด้วยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาได้เพราะบ้านเมืองสงบ ถ้าบ้านเมืองไม่สงบยังเป็นแบบเดิม จะทำอะไรไม่ได้ และวันนี้จะจับต้องอะไรไม่ได้เลย แต่นี่ตั้งเยอะที่จับต้องได้ หลายคนก็บิดเบือนว่าทำเหมือนมองไม่เห็น แล้วเอาที่ยังไม่เสร็จมาโจมตี ผมก็อธิบายต่อไปก็ต้องช่วยกัน ก็ไม่บ่น บ่นไม่ได้อยู่แล้ว ที่พูด ไม่ได้บ่น แต่เป็นการอธิบาย คือคนบางทีก็ไม่ชอบฟังแต่ชอบว่า

การจะให้อะไร ถ้าผมให้ได้ก็ดีละซิ ให้อะไรต้องคำนึงถึงว่า เรามีงบประมาณเท่าไหร่ หาได้เท่าไหร่ วันนี้เรามีเท่านี้แล้วเราจ่ายเท่านี้ แต่กลุ่มโน้นกลุ่มนี้บริหารลงทุนต่างๆมันก็สมดุลกัน ชดเชยบ้าง  ลงทุนต่างๆบ้าง ธุรกิจบ้าง แต่ถ้าทำอะไรเกินจากนี้ และยังไม่มีทางขายของมาเพิ่ม  ผมบอกได้เลยล้มทั้งประเทศ การจะกู้เงินมาแจกเฉยๆ มันทำไม่ได้ หลักการของโลกในการกู้เงินมาต้องทำให้เกิดมูลค่า เกิดรายได้หรือกู้มาในสถานการณ์พิเศษ เช่นสถานการณ์โรคอุบัติใหม่

สิ่งต่างๆเหล่านี้ทุกคนต้องเข้าใจร่วมกันถ้าทุกคนอยากได้ แต่ไม่ช่วยกัน มันไปไม่ได้สักคน นี้หลักการของผม ไม่ใช่ไม่อยากให้ ไม่ใช่ไม่เห็นใจ ไม่ใช่ไม่เห็นถึงความยากลำบาก แต่ต้องไปดูว่าความยากลำบากของแต่ละกลุ่มอยู่ตรงไหนและเราต้องไปแก้ตรงไหน อย่างไรวันนี้ถึงมีมาตรการเรื่องการบริหารหนี้ครัวเรือน ทำอย่างไรจะลดลง แต่รัฐบาลทำอย่างเดียวมันไม่พอ ทุกคนต้องร่วมมือกับมาตรการของรัฐด้วย ถ้าสมมุติมีหนี้แล้วเอาเงินไปแจก โอเคหมดหนี้แล้วมันจะเกิดหนี้ใหม่หรือไม่  ถ้าเราไม่สร้างความเข้มแข็ง ไม่สร้างการเรียนรู้ให้เขาแล้วเขาจะหาเงินเองได้อย่างไร

วันนี้ทำอย่างไรให้เด็กที่กำลังโตรู้จักว่าจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างไร ถ้าเราทำให้เขาว่าต่อไปนี้สบายไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงินให้แล้วผมถามว่าโตไปเขาจะทำอย่างไรในวันหน้า เขาก็คาดหวังว่าเดี๋ยวก็มีเงินมาให้อีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่คนในยุคกลางๆ ที่จะเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องความพยายามจะหายไปหมด ต้องถามว่าประเทศจะไปได้หรือไม่และจะเป็นอย่างไร นั่นก็อีกส่วนหนึ่งมันเป็นความเป็นธรรมที่เราต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยตามสมควร ตามงบประมาณที่มีอยู่ซึ่งเขาทำอยู่แล้ว

อีกอันคือเรื่องความเท่าเทียมในเรื่องของโอกาส แต่ต้องให้เขามีอาชีพ มีรายได้ที่มีเงินเพียงพอรวมถึงเรื่องดิจิตอลต่างๆที่จะทำขึ้นมาต้องพูดสิ่งเหล่านี้ให้มันเชื่อมโยงว่าเราจะทำอย่างไรกับประเทศของเรา ผมเห็นพี่เขียนอะไรมาก็โอเคนะ ที่ชวนชี้นำทำความเข้าใจ วิเคราะห์ได้

เราต้องแก้ปัญหาวันนี้มีอะไรบ้าง ที่เก่าๆมาก็เก็บมาแก้ไขปัญหาและพร้อมจะทำที่วันนี้ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น และก็ต้องทำวันหน้าไปเพื่ออนาคต ไม่ใช่มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว นี่ตอนผมคุยกับหัวหน้าพรรคมาตลอด นโยบายของเรา "ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ" มันจบที่ไหน นี่คืออดีตปัจจุบันและอนาคตของประเทศไทยสามคำของผมต้องตีความหมายให้เข้าใจตรงกัน

ตอนนี้สื่อก็เยอะไปหมดอย่างที่ทำเนียบฯก็เยอะผมก็รักเขา แต่คำถามเขาบางทีมันถามให้ผมปวดหัว บางทีผมก็หงุดหงิดก็ขอโทษแล้วกัน ไม่ได้เกลียดชังกันอยู่แล้วถึงเวลาก็รักกันเหมือนเดิม สื่อกับผมอยู่กันมา 8 ปี เขาบอกถ้าเป็นตรงนี้ต้องไม่โมโหใคร ผมก็มนุษย์เหมือนกัน ถ้าผมไม่ทำเลย แล้วด่าผม ผมไม่ว่า นี่ผมทำแต่ท่านก็ไม่ฟัง แต่รู้ก็เป็นเรื่องของพวกเราที่คิดอย่างไรก็ได้

ผมไปต่างประเทศทุกครั้งจะเอาหนังสือพิมพ์ต่างประเทศมาดู ไม่เห็นมันวุ่นวายมากมายเท่าบ้านเรา เขาใหญ่กว่าเราตั้งเยอะแข่งหน้าหนังสือพิมพ์เขามีความเจริญของบ้านเมือง ส่วนข้างในหนังสือพิมพ์มีนี่มีโน่น เขาไม่มีตีกันซักหน้าไม่มีฆ่ากันซักคนยกเว้นแต่เรื่องสงคราม อะไรต่างๆเค้าขึ้นเพราะเป็นเรื่องสำคัญแต่เรื่องภายในประเทศเขาอาจจะมีดีกว่าของเรา หรืออาจจะแย่กว่าของเราแต่เขาไม่ออกในหนังสือพิมพ์

ประเด็นที่รัฐบาลทหารกลัว จนไม่ออกใบรับรองผลการเรียน สวนทาง!! การสนับสนุนแรงงานไปทำงานในต่างประเทศ

หลังจากรัฐบาลทหารเมียนมาทำการรัฐประหาร ก็ทำให้มีคนต้องการจะเดินทางไปเรียนหรือทำงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความปลอดภัยก็ดี หรือ เรื่องของผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้คนว่างงานสูงขึ้นตาม

เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้หนุ่มสาวเมียนมาเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างแดน แต่ชีวิตในต่างแดนนั้น มันไม่ง่ายเหมือนในเมียนมา...

ในเมียนมาหลักฐานการศึกษาที่ใช้เป็นตัวบ่งสถานะจะเป็นใบรับรองที่ระบุเป็นภาษาพม่าว่า ได้จบหลักสูตรตามที่ทางกระทรวงศึกษากำหนดไว้ แต่ไม่มีการให้ใบเกรดหรือใบทรานสคริปต์ ซึ่งแตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศในเอเซีย และใบทรานสคริปต์นี่แหละคือเอกสารสำคัญหรือเป็นใบเบิกทางที่ใช้ในการศึกษาต่อหรือทำงานตามสิ่งที่ไปเรียนมา

ในช่วงแรกที่มีการปิดไม่ให้ใบทรานสคริปต์หลายคนเข้าใจได้ว่าภายในรัฐบาลยังสับสน เจ้าหน้าที่หลายคนทำอารยะขัดขืน หรือ CDM (Civil Disobedient Movement) โดยการไม่ไปทำงาน 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี จากเหตุการณ์วุ่นวายจนเหตุการณ์สงบ คำสั่งลับที่ไม่มีการประกาศนี้ ก็ไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนหรือยกเลิกไป

สุดท้ายจึงทำให้เกิดมิจฉาชีพขึ้น หลายคนเลือกซื้ออนาคตด้วยการติดต่อทำทรานสคริปต์ปลอม ในขณะที่หลายคนพยายามติดต่อสถาบันการศึกษาที่ตนสำเร็จมา แต่ผลตอบกลับมาคือ ทำได้แค่รอหากต้องการทรานสคริปต์กับสามารถออกอีเมลรับรองให้ว่าได้ผ่านการศึกษาวิชานั้นวิชานี้ ซึ่งในหลักสากลไม่สามารถนำมาใช้ในการสมัครศึกษาต่อหรือสมัครงานได้เลย

PDF รุ่น 1 ผู้สร้างตราบาปแก่ God’s Army ให้เด็กออกหน้า ส่วนผู้ใหญ่อยู่ข้างหลัง

สงครามระหว่างกองทัพเมียนมาและกะเหรี่ยงมีมานานมากแล้ว และเกือบทุกครั้งไทยคือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบแทบทุกครั้ง เช่นเดียวกับเหตุการณ์การบุกยึดสถานทูตเมียนมา ในครั้งนั้นกลุ่มกะเหรี่ยงคริสต์หัวรุนแรงที่ปฎิบัติการแบบกองโจรอยู่แล้วได้มีกลุ่มกองกำลังที่เรียกว่านักรบนักศึกษาพม่า ซึ่งเป็นองค์กรที่ต่อต้านการปกครองของกองทัพพม่า โดยองค์กรนี้กลายเป็นองค์กรก่อการร้าย  

เมื่อเข้าร่วมกับกองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์และสถาปนาเด็กแฝด นาม 'จอห์นนี่ ทู' และ 'ลูเธอร์ ทู' ซึ่งในตอนนั้นทั้งสองอายุเพียง 12 ปีว่า เป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้า โดยอาวุธใดๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้ เพียงแต่ในความเป็นจริงนั้น ก่อนที่ทั้งสองจะได้ขึ้นมาเป็นตัวแทนของกองกำลังนี้ กองกำลังนี้ได้เด็กคนหนึ่งนามว่า 'จอปาซูปรี' เป็นเด็กชายอายุ 10 ปี มีลิ้นดำตรงตามลักษณะของมหาบุรุษแบบพม่าเฉกเช่นเดียวกับ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ที่มีลิ้นดำ แต่ จอปาซูปรี ก็เสียชีวิตไปด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งนั่นทำให้กองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ยก 'จอห์นี่ ทู' และ 'ลูเธอร์ ทู' ขึ้นมาแทน

และแล้วในวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ในเวลา นักศึกษาพม่าจำนวน 12 คนพร้อมอาวุธปืนและระเบิด บุกเข้าไปที่สถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ที่ถนนสาทร จับเจ้าหน้าที่สถานทูตและผู้มาติดต่อเป็นตัวประกันรวม 20 คน แล้วชักธงชาติพม่าลงจากยอดเสา ชักธงของพรรคสันนิบาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ NLD ขึ้นแทน พร้อมประกาศให้กองทัพพม่าในขณะนั้นปล่อยนาง 'อองซาน ซูจี' ที่โดนจับอยู่

เหตุการณ์ในครั้งนั้นจบที่นายจอห์นนี่ได้ต่อรองขอเฮลิคอปเตอร์ให้ไปส่งตนและพรรคพวกที่ชายแดนไทย-พม่า ที่จังหวัดราชบุรี ทางรัฐบาลไทยได้ตอบรับ โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ เสนอตัวเป็นตัวประกันนั่งโดยสารไปด้วย เพื่อรับรองความปลอดภัยจนกระทั่งถึงที่หมาย เพื่อแลกกับความปลอดภัยของตัวประกันทั้งหมดในสถานทูต ซึ่งนั่นเป็นวันที่ทำให้ทุกคนในโลกรู้จัก 'กองกำลังของพระเจ้า' หรือ God’s Army

จากนั้น 3 เดือนในวันที่ 24 มกราคม 2543 นายเบดาห์ นำกองกำลังนักรบนักศึกษาพม่าจำนวน 10 รายบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรีและจับแพทย์ พยาบาลและคนไข้จำนวน 1,000 คนเป็นตัวประกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้จบด้วยการจู่โจมของกองกำลังอรินทราชและทั้ง 10 ถูกสังหาร แต่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกคนป้ายความผิดให้กองกำลังก๊อดอาร์มีว่าอยู่เบื้องหลังการกระทำในครั้งนี้โดยแทบไม่มีใครรู้เลยว่านี่คือ ผลงานก่อการร้ายของกองกำลังนักศึกษาพม่า  

หมู่เกาะโกโก ฝันที่ไม่เคยเป็นจริงของอเมริกา กับการจับตา ‘จีน-เมียนมา’ แบบไร้มารยาท

มีบทความที่เขียนโดย John Pollock และ Damien Symon ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ Chatham House ในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา มีใจความน่าสนใจว่า...

“มีภาพถ่ายเมื่อเดือนมกราคม 2566 โดย Maxar Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายดาวเทียม แสดงให้เห็นกิจกรรมการก่อสร้างบนเกาะ Great Coco ระดับใหม่ สิ่งที่มองเห็นได้คือ โรงเก็บเครื่องบินใหม่ 2 โรง ทางหลวงใหม่ และสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นที่พัก ซึ่งทั้งหมดนี้จะมองเห็นได้ในบริเวณใกล้เคียงกับรันเวย์ และนอกจากนี้ ยังมีสถานีเรดาร์ที่ปรับปรุงใหม่ยาว 2,300 เมตร มองเห็นได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ปลายด้านใต้ของเกาะ Great Coco (หมู่เกาะโกโก) ซึ่งอยู่เลยทางหลวงที่เชื่อมระหว่างเกาะ เป็นหลักฐานของความพยายามในการเคลียร์ที่ดิน ซึ่งบ่งชี้ว่างานก่อสร้างกำลังจะเกิดขึ้น โดยมีการยึดโยงว่าจีนทำการลงทุนเปลี่ยนเกาะ Great Coco เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางตะวันตกของจีน เพื่อใช้สอดแนมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย”

อ่านจบถึงตรงนี้แล้ว ต่อให้กองทัพเมียนมาจะสมคบคิดกับกองทัพจีนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วคือ กองทัพสหรัฐฯ กำลังจับตาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้อยู่ 

ย้อนกลับไปในปี 2012 ทาง Sydney Morning Herald เคยลงข่าวว่ากองทัพอเมริกาเคยวางแผนที่จะใช้เกาะ Great Coco มาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการสอดแนมในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเชื่อได้ว่าแผนดังกล่าวนี้น่าจะสำเร็จลุล่วงหากไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นเสียก่อน เพราะมีข่าวแว่วออกมาจากทางเนปิดอว์ว่า ในตอนนั้น นางอองซาน ซูจี เตรียมจรดปากกายกเกาะให้อเมริกาเช่าเป็นฐานทัพ แต่ติดที่กองทัพเมียนมาไม่เห็นด้วย

เปิดปูม ‘Cynthia Maung’ ผู้ได้รับรางวัล The People Award 2023 หมอแห่ง ‘แม่ตาวคลินิก’ คลินิกฟรีนอกสารบบแพทยสภา

ในงาน The People Award 2023 คงมีแต่คนที่จับจ้อง ‘แบม’ กับ ‘ตะวัน’ ที่ได้รับรางวัล แต่ใครจะรู้ว่าในวันนั้นมีอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

วันนี้เอย่าขอนำเสนอเรื่องราวของแพทย์หญิง Cynthia Maung (ซินเทีย หม่อง) คุณหมอแห่ง ‘แม่ตาวคลินิก’ ซึ่งเป็นคลินิกที่ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก...ลองมาดูเรื่องราวของแพทย์หญิงและคลินิกแห่งนี้กัน

เรื่องราวของแพทย์หญิง Cynthia Maung เธอเป็นชาวเมียนมาที่เกิดจากบิดาที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและมารดาที่เป็นชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในย่างกุ้ง เธอเติบโตขึ้นในเมืองเมาะละแหม่งกับพี่น้องรวมกัน 6 คน และเธอได้จบจากโรงเรียนแพทย์ที่ย่างกุ้งและน่าจะมีชีวิตที่ดีหลังจากเรียนจบแพทย์  

>> แต่ด้วยความใฝ่ประชาธิปไตยของเธอ : เมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2531 กองทัพพม่าในขณะนั้นเข้ายึดอำนาจ อันเป็นเรื่องราวการปฎิวัติที่คนเมียนมารู้จักกันในนาม ปฏิวัติ 8888 นั้น เธอและเพื่อน ๆ ได้ตัดสินใจหนีเข้าป่าและหนีมากบดานในประเทศไทยและเธอได้เริ่มเป็นหมอรักษา โดยเริ่มจากเป็นหมออาสาในค่ายผู้ลี้ภัยจนสุดท้ายได้มาทำงานในแม่ตาวคลินิก ซึ่งเป็นฟรีคลินิกที่ช่วยรักษาชนกลุ่มน้อย จนทำให้คุณหมอได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย เช่น...

Jonathan Mann Award ในปี 1999 รางวัลแมกไซไซ ในปี 2002 ได้ Times’s Asian Heroes ในปี 2003, รางวัล Sydney Peace Prize ในปี 2013 และ UNDP's N-Peace Award ในปี 2018 และรางวัลล่าสุด The People Award ในปี 2023 ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว คุณหมอท่านนี้น่าจะเป็นคนทรงคุณค่าท่านหนึ่งเลยทีเดียว

กลับมาที่แม่ตาวคลินิกกันสักนิด หากมาดูว่าคลินิกนี้เป็นของใคร เมื่อเข้าไปดูในเว็บไซต์ ก็พบชื่อมูลนิธิแห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่า ‘มูลนิธิสุวรรณนิมิต’ ซึ่งในเว็บไซต์ระบุว่า...

“มูลนิธิสุวรรณนิมิต จดทะเบียนเป็นองค์กรการกุศล ให้การสนับสนุนแม่ตาวคลินิกในด้านการคุ้มครองทางกฎหมาย การเสริมสร้างศักยภาพเจ้าหน้าที่เพื่อพัฒนาคุณภาพการทำงาน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการผลักดันด้านนโยบายด้านสุขภาพของประชากรข้ามชาติและการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้าย”  

นั่นแสดงว่ามูลนิธินี้ น่าจะเป็นมูลนิธิที่ช่วยก่อตั้งแม่ตาวคลินิกหรือไม่? และเมื่อหาข้อมูลต่อไป เอย่าก็พบว่ามูลนิธินี้คือ มูลนิธิอะไร?...

มูลนิธิสุวรรณนิมิตร เป็นมูลนิธิของไทยที่ทำงานผ่านการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในการให้บริการที่จำเป็นแก่ชุมชนชายขอบที่อาศัยอยู่ตามชายแดนไทย (จังหวัดตาก) – เมียนมา เอย่าจึงคิดขึ้นมาทันทีว่าหากเป็นมูลนิธิที่ถูกต้องจริง จะต้องมีการจดมูลนิธิให้เป็นไปตามการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจะถูกคุ้มครองโดยกฎหมายไทย

แต่เมื่อเอย่าเช็กในรายชื่อมูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร กลับไม่พบชื่อของ ‘มูลนิธิสุวรรณนิมิต’ 

เอาละสิ!! เมื่อเป็นเช่นนั้น เอย่าจึงเริ่มหาข้อมูลเพิ่มขึ้นโดยเข้าไปค้นหาชื่อของแม่ตาวคลินิกในฐานข้อมูลสถานพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขกลับพบว่า ไม่มีชื่อ ‘แม่ตาวคลินิก’ ในฐานข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งเมื่อได้เช็กข้อมูลคลินิกจากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ไม่มีชื่อของแม่ตาวคลินิก หรือ คลินิกแม่ตาว ทำให้เอย่าคิดได้ว่า อ้าว!!….ถ้าเป็นแบบนี้คลินิกแม่ตาวก็คือ ‘คลินิกเถื่อน’ น่ะสิ!!

ทั้งนี้หากมาดูที่ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ได้มีการระบุไว้ในมาตรา 16 ว่า ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต และสุดท้ายเมื่อตรวจสอบรายชื่อจากแพทยสภาแล้ว ไม่พบชื่อ แพทย์หญิง Cynthia Maung ในรายชื่อของแพทยสภาในประเทศไทยด้วย

เปลี่ยนป้ายทะเบียนรถในเมียนมา นัยป้องปรามการก่อความไม่สงบ

หลังจากเกิดรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ก็มีประกาศหนึ่งออกมาในเดือนกรกฎาคมปี 2564 คือ ประกาศให้เจ้าของรถยนต์ทุกคันต้องทำเรื่องจดแจ้งเพื่อเปลี่ยนทะเบียนรถจากแบบเดิมเป็นแบบใหม่ทั้งหมด โดยรถยนต์สาธารณะได้นำร่องให้เปลี่ยนก่อน ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เอง

ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงรถจักรยานยนต์จะต้องเปลี่ยนให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ 

เรื่องนี้มีนัยสำคัญอะไร? มีแน่นอน!! แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น วันนี้ เอย่า จะพาไปดูวิวัฒนาการของป้ายทะเบียนในเมียนมากันก่อน...

ป้ายทะเบียนรถในยุคแรกๆ ช่วงปี 1937-1953 จะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 2 ตัวตามด้วยเลข 4 ตัว หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแบบเป็นตัวอักษรเมียนมาทับแล้วตามด้วยเลขพม่า 4 ตัว ก่อนจะมาปรับอีกเล็กน้อยในช่วงปี 1988 เป็นขึ้นต้นด้วย เลขพม่าก่อน ตามด้วยตัวอักษรพม่า ทับและตามด้วยเลขพม่า 4 ตัว 

ในปี 2013 มีการปรับอีกครั้งให้เป็น ตัวเลขอารบิก ตามด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ ขีดกลาง แล้วต่อด้วยเลขอารบิก 4 ตัว กำกับบนทะเบียนด้วย อักษรย่อแสดงถึงภูมิภาคที่รถคันดังกล่าวจดทะเบียน เช่น ย่างกุ้ง, บะโก, อิรวดี, ฉาน, มัณฑะเลย์ เป็นต้น

จับโป๊ะ!! สื่อ ปชต.ในเมียนมา อ้างพบผู้หลบภัยไปยังวัดพม่าในไทย แต่สุดท้ายเป็นลูกหลานชาวเมียนมาดั้งเดิมที่อาศัยในเชียงใหม่

สื่อเมียนมาที่กล่าวอ้างว่าเป็นฝั่งประชาธิปไตยอย่างสำนักข่าว Irrawaddy news ได้ลงบทความว่า “ชาวเมียนมาหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเฉลิมฉลอง Thingyan” โดยยกภาพการเฉลิมฉลองเทศกาล Thingyan แบบพม่าของ 'วัดทรายมูลพม่า' ใน จ. เชียงใหม่ เมื่อปี 2016 ซึ่งเป็นภาพก่อนเกิดรัฐประหารตั้งหลายปีมาตีแผ่

แต่ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ งานเฉลิมฉลองของ 'วัดทรายมูลพม่า' มีมาก่อนที่จะมีก่อนรัฐประหาร และเจ้าภาพก็คือ ลูกหลานชาวเมียนมา รวมถึงชาวเมียนมาและไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้หลบหนีแต่อย่างใด 

ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกชาติ หากเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้อง!!

ชุดนักเรียนไทย เสน่ห์ดึงดูดเมียนมา 'อยากใส่-อยากเรียน' ผลลัพธ์แห่ง Soft Power ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หมู่คนจีน

เราอาจจะเคยเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่แต่งตัวชุดนักเรียน ชุดนักศึกษา ตอนมาเที่ยวไทย จนกลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยกันไปบ้างแล้ว

แต่ เอย่า ขอบอกเลยว่า ชุดนักเรียน-ชุดนักศึกษาไทย ไม่ได้บูมแค่ในหมู่คนจีนเท่านั้น หากแต่ยังเป็น Soft Power ที่ดังไกลมาถึงเมียนมาด้วยเช่นกัน

เอย่าขอยกเรื่องราว เช่นในปี พ.ศ. 2562 หลายปีก่อนที่ Soft Power ชุดนักเรียนจะเป็นที่รู้จักนั้น Han Lay ดารา และนางแบบสาวในเมียนมาก็เคยสวมชุดนักศึกษาไทยถ่ายแบบมาแล้ว  

หรือแม้เมื่อช่วงตุลาคมปีที่แล้ว (2565) May Thada Kyaw Phyu นางแบบวัยรุ่นที่ใครๆ รู้จักเธอในชื่อ Hillary Soe ก็สวมชุดนักเรียนไทยถ่ายแบบลงไอจีส่วนตัวของเธอ สร้างความฮือฮาให้แฟนคลับชาวไทยที่ติดตามเธออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่นอกจากเรื่องการสวมชุดเป็น Soft Power แล้ว ในทุกวันนี้สถาบันการศึกษาในไทยหลายแห่งเริ่มมีนักศึกษามาจากเมียนมาเข้ามาศึกษามากขึ้น ซึ่งต่างจากในอดีตที่นักศึกษาจากเมียนมาจะมาเรียนที่เอแบคหรือสถาบัน เอ ไอ ที หรือแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น

กฎหมายที่ดินในเมียนมา ปมลับล้มดีลโรงแรมเซโดนา แรงปรารถนาของนักลงทุน ที่จนมุมกับค่าเช่ามหาโหด

เมื่อต้นเดือนก่อน (มีนาคม 66) มีข่าวหนึ่งที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก เกี่ยวกับการขายกิจการของโรงแรมเซโดนา โรงแรม 5 ดาวใจกลางเมืองย่างกุ้ง ติดกับทะเลสาปอินยา ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยมาย่างกุ้งต้องเคยมาพักที่นี่

แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องดังกล่าว เอย่า ขอย้อนความ...ด้วยภาวะการระบาดของโควิด 19 ที่สั่นคลอนธุรกิจโรงแรมทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่เมียนมา ทำให้หลายโรงแรมเลือกที่จะยอมปรับตนเองเป็นโรงแรมกักตัวสำหรับชาวต่างชาติในช่วงที่มีการควบคุมของโควิด19

ทว่า 1 ในนั้นไม่ใช่ โรงแรมเซโดนา เพราะด้วยความที่โรงแรมเซโดนามีผู้เข้าพักแบบ Long stay มากเป็นอันดับต้นๆ ในเวลานั้น ทำให้ตัวโรงแรมพอมีรายได้อยู่บ้างแม้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะไม่ต้องรับเป็นโรงแรมกักตัว เพราะในช่วงเวลานั้นๆ หลายคนก็ไม่มีใครอยากนอนในโรงแรมที่เป็นโรงแรมกักตัวด้วยเหตุที่ระบบแอร์เป็นระบบแอร์รวม ทำให้หลายคนกังวลว่าจะติดเชื้อผ่านทางระบบปรับอากาศได้

แต่แล้วเมื่อต้นเดือนมีนาคม บริษัท Keppel Corp.​ ได้มาให้ข่าวว่าบริษัทแห่งนี้ได้บรรลุข้อตกลงในการขายกิจการโรงแรมพร้อมสิ่งปลูกสร้าางทั้งหมดของโรงแรมเซโดนา ย่างกุ้งให้กับกลุ่มบริษัท Spring Blossom Venture ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการบริการในสิงคโปร์ โดยตามแผนในข่าวระบุว่าดีลจะสิ้นสุดสำเร็จภายในครึ่งปีแรกของปี 2023 นี้ 

อย่างไรก็ตาม ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็มีข่าวเปรี้ยงออกมาให้คนตกใจว่าดีลนี้อาจจะไม่ได้จบง่ายๆเสียแล้ว เพราะติดปัญหาเรื่องความไม่ลงตัวกับเจ้าของที่ดินที่โรงแรมเซโดนาปลูกสร้างอยู่ กลายเป็นว่าดีลนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของที่นั่นเอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top