Saturday, 18 January 2025
AYA IRRAWADEE

เลือกตั้ง ‘ประธานาธิบดี’ ทำสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป เมื่ออเมริกาเปลี่ยนมือ กระทบ!! นโยบาย ‘เมียนมา’ ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจเดินหน้า สานสัมพันธ์

เมื่อไม่นานมานี้ ยูเครนได้ทำการโจมตีที่มั่นทางการทหารในรัสเซียตามที่อเมริกาส่งสัญญาณใช้อาวุธที่ทางนาโต้มอบให้จู่โจมรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีปูตินได้เคยประกาศกร้าวแล้วว่าใครทำแบบนี้จะถือว่าเป็นศัตรูกับรัสเซียและรัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างไม่ปรานี

นี่เป็นคำสั่งท้าย ๆ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดนก่อนที่เขาจะหมดวาระในวันที่ 20 มกราคม 2568 นี้  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าการที่โจเลือกที่จะสั่งให้ยูเครนทำแบบนี้ก็เพราะต้องการสร้างความยากลำบากให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์

แต่ยูเครนไม่ใช่สงครามเดียวที่อเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะยังมีสมรภูมิอื่นที่ยังเดือดอยู่เช่นกัน แต่ 1 ในสมรภูมิเหล่านั้นคือสมรภูมิในเมียนมา

เป็นที่แน่ชัดเสียยิ่งกว่าชัดจากการที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงโดยให้การสนับสนุนทั้งเงินทุน อาวุธรวมถึงการฝึกทางยุทธวิธีให้แก่กองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณชายแดนไทยและใช้ไทยเป็นที่มั่นในการนำเงินเข้ามาผ่านตัวแทนนายหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย รวมถึงผ่านองค์กร NGO ต่างๆ รวมทั้งองค์กรที่มีการโฆษณาเปิดเผยว่าฝึกกองกำลังชาติพันธุ์ไว้ต่อต้านกองทัพรัฐบาลกลางของเมียนมาอย่าง Free Burma Ranger เป็นต้น นี่ยังไม่นับรวมพวกท่านทูตหัวทองที่ผลัดกันมาเยี่ยมเยียนเมืองชายแดนไทยติดเมียนมากันอย่างมิได้ขาดสายจนคนย่านนั้นเขารู้กันไปทั่ว

ประเด็นคือโจ ไบเดนจะปั่นให้ฝั่งเมียนมาลุกเป็นไฟอีกไหม เพราะดูจากนโยบายที่ทรัมป์ออกมาน่าจะส่งผลดีต่อเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินที่อเมริกาในยุคของโจ ไบเดน หยอดเข้ามาให้ทำสงครามก็ไม่สามารถพิชิตกองทัพเมียนมาได้อย่างเด็ดขาด จนบางทีไบเดนอาจจะไม่รู้ว่า กองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าทำสงครามเป็นธุรกิจเช่นเดียวกัน

หากสถานการณ์ในเมียนมาสงบไปจนถึงวันที่ทรัมป์รับตำแหน่งมีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์จะพยายามกลับมารักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเมียนมาเพื่อเป็นการสกัดกั้นการขยายอำนาจของจีนมาสู่อ่าวเบงกอลมากกว่าเลือกที่จะสนับสนุนสงครามตัวแทนที่เห็นผลอยู่แล้วว่าไม่มีผลดีต่อสหรัฐเลยไม่ว่าด้านใด

เช่นเดียวกันหากปราศจากการอัดฉีดจากอเมริกาอำนาจของพรรคการเมืองในไทยบางพรรคที่ใช้ทุนจากตะวันตก หรือเหล่านายหน้าต่างด้าวที่เคยเป็นนายหน้าตัวกลางไซฟ่อนเงินก็อาจจะตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน

ยิ่งคนไทยตื่นรู้จักภัยคุกคามจากคนต่างด้าวกลุ่มนี้แล้วด้วย เราก็จะได้เห็นการแฉออกมาเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับฝ่ายการเมืองและกองทัพที่จะรักษาเสถียรภาพคนไทยอย่างไร

ปักกิ่งชิงเดินเกมเหนือสหรัฐ เสริมสัมพันธ์เมียนมา

(19 พ.ย. 67) จีนชิงลงมือก่อนสร้างพันธมิตรกับเมียนมาก่อนสหรัฐ ไม่นานมานี้มีข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ฝั่งเมียนมาว่าทางรัฐบาลจีนได้จับกุม เผิง ต้า ซุน ผู้นำกองกำลังโกกั้ง (MNDAA) ที่บ้านพักในเมืองคุนมิง ประเทศจีน. ตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  เนื่องจากทางจีนต้องการให้ทางกองกำลังโกกั้งคืนเมืองล่าเสี้ยวให้กับรัฐบาลเมียนมา  นอกจากนี้ เป่า จุน เฟิง รองผู้บัญชาการกองกำลังว้า (UWSA) ที่ถูกควบคุมตัวจากปฏิบัติการ1027 ก็มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มจีนเทาในเมืองเล้าก์ก่าย  ซึ่งขณะนี้ก็ยังถูกควบคุมตัวต่อไปเพื่อกดดันกลุ่มกองกำลังว้าที่คอยให้การช่วยเหลือกแงกำลังโกกั้ง เข้ายึดเมืองล่าเสี้ยวจากกองทัพเมียนมา

การแสดงของเช่นนี้เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดแล้วถึงรัฐบาลจีนที่พยายามจะดึงรัฐบาลทหารเมียนมาเข้ามาเป็นพวกโดยพยายามที่จะสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว  ซึ่งต่างจากในอดีตที่รัฐบาลจีนจะเป็นผู้สนับสนุนกองกำลังโกกั้งและว้า

ผมเปลี่ยนทิศของจีนครั้งนี้เป็นการเลือกข้างที่ชัดเจนครั้งแรกตั้งแต่มีการรัฐประหารแม้จีนจะเอ่ยปากกับทางเมียนมาว่าจีนยอมรับรัฐบาลทหารเมียนมาและพยายามช่วยเหลือด้านต่างๆให้แก่เมียนมา  แต่ก็ยังไม่มีครั้งใดที่ชัดเจนเท่าครั้งนี้ที่ถึงกับยอมหักคอพันธมิตรเก่าอย่างว้าและโกกั้งเพื่อให้ศิโรราบต่อกองทัพเมียนมา

จากข่าวสารที่ปรากฏออกมาหากทางจีนสามารถกดดันจนกองกำลังโกกั้ง ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงกับกองทัพเมียนมาได้เมื่อไร ทางกองทัพเมียนก็จะสามารถเข้ายึดคืนเมืองล่าเสี้ยวและพื้นที่สำคัญในยุทธศาสตร์ในรัฐฉานตอนเหนือได้อย่างเบ็ดเสร็จเป็นอันปิดฉากการรบทางเหนืออย่างถาวรและก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่จีนจะได้ตอบกลับมานั้นย่อมเป็นผลประโยชน์อันมหาศาลที่ทางรัฐบาลเมียนมาจะให้ในอนาคตนี่ไม่นับกับการลงทุนที่จีนได้ลงทุนไปแล้วในนโยบายเส้นทางสายไหมยุคใหม่ที่จะเปิดเส้นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียผ่านเมียนมาลงสู่ทะเลทางอ่าวเบงกอล

ล่าสุดฝั่งอินเดียก็มีข่าวเรื่องกดดันขับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่อยู่ในเมืองชายแดนเมียนมาอย่างรัฐมิโซรัม มณีปุระ นาคาแลนด์ และอรุณาจัลประเทศให้กลับสู่มาตุภูมิเช่นกัน  คงเหลือเพียงแนวรบฝั่งไทยว่าหลังการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีสหรัฐทางฝ่ายความมั่นคงไทยจะเลือกปฏิบัติต่อเมียนมาอย่างไร

เมื่อไบเดนพลาด ทรัมป์อาจพลิกกระดาน ใช้การทูตฟื้นสัมพันธ์ ลดแซงชั่นเนปิดอว์

เป็นที่ทราบกันมาพอสมควรถึงการที่ชาติตะวันตกให้การช่วยเหลือกองกำลังป้องกันตนเอง (PDF)​ และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตมีการส่งทั้งกำลังบำรุงและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งไทย

และสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคือการทะลักของผู้อพยพไปยังประเทศรอบข้างเมียนมาไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดียและไทย แต่ทว่าจีนกับอินเดียก็ใช้นโยบายผลักดันคนที่แห่หนีออกมาให้กลับประเทศซึ่งต่างจากไทยที่อ้าแขนรับแถมจะทำให้อยู่แบบถูกกฎหมายเสียด้วย

เอาเป็นว่าเอย่าขอไม่บ่นเรื่องนี้แต่มาเข้าเรื่องระหว่างอเมริกากับเมียนมาดีกว่า ในสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาและชาติตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยทั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี เราจะเห็นได้จากคลิปที่หลุดออกมาตามสื่อโซเชียลจนบางทีก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ถ่ายภาพเบื้องหลังให้ชมกัน แต่การสนับสนุนทั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็ดี ชนกลุ่มน้อยก็ดีเป็นการผลักดันให้กองทัพเมียนมาหันหน้าหาจีนและรัสเซียมากขึ้น ยิ่งจีนและอินเดียเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับรัสเซียด้วยแล้วทำให้เส้นทางตะวันตกจากจีนสู่อินเดียหากสงครามในเมียนมาสงบลงดินแดนฝั่งนี้แทบจะเป็นของกลุ่มโลกใหม่ทั้งแถบ

ซึ่งคิดว่านี่เป็นเกมส์ที่ไบเดนก้าวพลาดมาก แต่ทรัมป์ก็น่าจะมองเห็น หากทรัมป์ยังให้การสนับสนุนสงครามต่อไป ไม่เพียงแต่เมียนมาจะยิ่งตอบโต้อย่างแข็งกร้าวกับสหรัฐมากขึ้น และถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์สงครามโลกจริงละก็ ประเทศอย่างเมียนมาจะเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนด้านอาหารแก่ประเทศที่เป็นพันธมิตรเขา

เอย่ามองว่าทรัมป์น่าจะใช้วิธีทางการทูตเข้าหากองทัพเมียนมา ลดหรือเลิกการแซงชั่นอันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของ 2 ประเทศดีขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องเหล่านี้อาจจะลุกลามไปถึงการเลิกสนับสนุนกลุ่มต่อต้านหรือพลิกขั้วขายกลุ่มต่อต้านให้รัฐบาลเมียนมานั้นไหมก็ไม่อาจจะทราบได้คงต้องดูต่อไป แต่ที่สำคัญคือจะเหลือทางไหนที่จะให้สหรัฐเดินเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มากกว่า

งานนี้ดูว่าจะมีความเป็นไปได้โดยเฉพาะการที่ทรัมป์แสดงออกในการไม่แยแสคนต่างด้าวในประเทศตนเองพร้อมไล่ออกจากสหรัฐนี่ก็เป็นการแสดงออกว่าจากนี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาคงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนในอดีตอีกต่อไปแน่นอน

ส่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ‘นางงามเมียนมา’ ทิ้ง เหตุรับไม่ได้กับพฤติกรรมเจ้าของเวที – วิธีให้คะแนนไม่แฟร์

ช่วงที่ผ่านมาเหมือนจะมีประเด็นใหญ่อยู่ 2 เรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศไทย

เรื่องแรกเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จบกับเวทีนางงามที่มีแต่เรื่องฉาวได้ทุกปี และปีนี้ก็เช่นกันกับเรื่องที่เกิดกับนางงามตัวแทนของเมียนมาและผู้จัดของเขา แต่ความต่างอยู่ตรงที่ฝั่งนางงามและผู้จัดขอยกเลิกสัญญาและไม่รับตำแหน่งด้วยเหตุผลการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องการโหวตที่ทางผู้จัดฝั่งเมียนมาอ้างว่ามีคนของเจ้าของฝั่งไทยพยายามให้โหวตโดยจ่ายเงินนอกระบบและรางวัล Country Popular Vote ที่ในนาทีสุดท้ายก่อนประกาศผลนางงามเมียนมาอยู่ในอันดับ 1 แต่ปรากฏว่าพอประกาศกลับไม่ใช่ชื่อเขา โดยเจ้าของฝั่งไทยออกมาบอกว่านับผลโหวตแค่นี้  Follower ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ดูคงจะไม่แฟร์กระมัง  

อย่างไรก็ตามทั้งนางงามและผู้จัดฝั่งเมียนมาเลือกจะทิ้งมงกุฎและยกเลิกสัญญาหรือกล่าวง่าย ๆ คือเลือกจะทิ้งอนาคตเพราะความไม่เป็นธรรมนั้น แต่ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าที่น่าตกใจคือผู้จัดฝั่งไทยกลับเป็นคนเล่นนอกเกมขุดคุ้ยอดีตมาด่า รวมถึงกล่าวหาว่าผู้จัดเมียนมาขายบริการและนางงามเมียนมาอยากได้ที่ 1 เพราะมีเสี่ยมาเปย์ หากข้อสังเกตของผู้เขียนเป็นจริงคือมันเป็นการเล่นนอกเกมส์ที่สกปรกมาก และไม่ดูเป็นมืออาชีพเลย อีกทั้งในโซเชียลฝั่งไทยก็ผสมโรงจนเหมือนดูจะขาดสติทั้งที่ควรจะคิดพิจารณาก่อนว่าใครเป็นผู้เสียโอกาสจากการเลือกทำแบบนี้แต่เขายังเลือกที่จะทิ้งโอกาสนั่นแปลว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือไม่

อีกทั้งการประกวดในปีนี้ได้มีหลายประเทศทั้งขอถอนตัวและถูกถอนออกก่อนไปนับ 10 ประเทศได้ ถ้าเอาคร่าว ๆ แค่ประเทศที่เป็นเรื่องนอกจากเมียนมาแล้วก็ยังมี

1. กัมพูชา ที่ทางกองประกวดอ้างว่าไม่มีความพร้อมในการจัดการประกวดกรณีมีคลิปหลุดเรือทานอาหารแต่ภายหลังก็มีภาพเรือที่ถูกเตรียมไว้หลุดออกมาพร้อมกับเหตุผลวว่าผู้จัดฝั่งไทยขอเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเพราะในขณะนั้นอาหารยังไม่เสร็จเพราะผู้จัดไม่รอ

2. ยูเครน โดยมิสแกรนด์ยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าเธอขอถอนตัวเพราะเธอไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาในการประกวด 11 วันในการเก็บตัวเธอต้องตื่นและเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงดึกดื่น ทั้งที่เธอเป็นไข้สูง 37.5-38.2 ตลอดทั้งวัน ทำให้เธอไม่สามารถรับได้ถึงมาตรฐานการประกวดเพราะแพทย์ประจำตัวของเธอที่พัทยาและแพทย์ของโรงแรม Wyndham พัทยา ได้บันทึกถึงสุขภาพที่เสื่อมลงของเธอ ซึ่งยืนยันว่าความดันโลหิตของเธออยู่ในระดับอันตราย นั่นทำให้เธอเลือกจะเก็บชีวิตมากกว่าเลือกจะชิงมงกุฎ

3. กรณีล่าสุดคือการปลดนางงามตัวแทนหมู่เกาะเวอร์จิ้น ของสหรัฐอเมริกาโดยให้เหตุผล 3 ข้อคือ
- เปลี่ยนแปลงสายสะพายอย่างเป็นทางการอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ทำลายโลโก้ขององค์กรและบ่อนทำลายความสำคัญของตำแหน่งที่ได้รับ
- ล้มเหลวในการใช้บริการเที่ยวบินที่องค์กรจัดให้ ส่งผลให้สูญเสียเงินหลายพันเหรียญสหรัฐ
- ไม่สนใจเสื้อผ้าที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการซึ่งองค์กรจัดซื้อและจัดเตรียมโดยผู้สนับสนุน โดยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการออกแบบชุดประจำชาติเดิม และไม่สวมชุดราตรีที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบควบคู่ไปกับองค์กรที่ได้รับการอนุมัติล่วง

เอาเป็นว่าเรื่องแบบนี้ผู้อ่านลองไปใช้ความคิดพิจารณาเองว่าทำไมการประกวดอื่นๆก็น่าจะมีปัญหาไม่ต่างกันแต่กลับไม่เคยมีข่าวพวกนี้ออกมา แต่ที่สำคัญคือการวิจารณ์ใดๆก็ตามที่เป็นการกระทำที่บูลลี่ทั้งต่อนางงามและผู้อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะนี่เราคือภาพลักษณ์ของประเทศไม่ใช่แค่ปัจเจกชนที่แสดงออกสู่สายตาชาวโลก อย่าลืมว่าถ้าเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกชาติเราหรือคนในชาติเรา ก็ควรเริ่มต้นจากการไม่ดูถูกใครเช่นกัน

อีกเรื่องเป็นเรื่องที่ ครม. เห็นชอบจะมอบสัญชาติไทยให้แก่ คนไร้สัญชาติ 483,000 คน โดยตั้งเป้ามอบให้แก่คน 4 กลุ่มที่เป็นผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน
กลุ่มที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน
กลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน
ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน
กลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน

ประเด็นคือทาง ครม. รับทราบไหมว่าที่ผ่านมามีการคอร์รัปชันทางทำบัตรหัว 0 และสวมบัตรคนตายกันมากมาย โดยเฉพาะราคาสวมบัตรคนตายพุ่งไปเป็นหลักล้านและนั่นเองทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าจำนวนนี้คือจำนวนที่แท้จริง แต่นี่คือการฟอกขาวในคนต่างด้าวจำนวนหนึ่งที่มีเงินพอหาซื้อบัตรหัว 0 หรือบัตรคนตายเข้ามาเป็นคนไทยได้อย่าง

เอย่าขอแนะนำว่ารัฐบาลควรให้มีการสอบสัมภาษณ์ด้วยก็ดีนะ ถ้าอยู่ไทยมานานจริงควรพูดไทยได้ อ่านไทยคล่อง เขียนไทยเป็น มิฉะนั้นคงได้ฟอกขาวให้ตนบางคนได้เป็นคนไทยสมใจอยาก

‘เมียนมา’ เตรียมเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘BRICS’ เพื่อยกระดับ!! บทบาทของตน ในเวทีระดับโลก

(23 ต.ค. 67) ไม่นานมานี้มีสำนักข่าวหลายสำนักไม่ว่าจะมาจากฝั่งอินเดียหรือจีนรายงานตรงกันว่าเมียนมากำลังดำเนินการสมัครเข้าเป็นประเทศในกลุ่ม BRICS  ก่อนอื่นที่เราจะมารู้ว่าทำไมเมียนมาถึงสมัครเข้า BRICS เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า BRICS คืออะไร

BRICS เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกผู้ก่อตั้ง 4 ประเทศ คือ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน ในปี 2009 ซึ่งเริ่มแรกใช้ชื่อกลุ่มว่า BRIC โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละประเทศมาเรียงต่อกัน ต่อมาได้รับแอฟริกาใต้เพิ่มเข้ามาในปี 2010 ทำให้เปลี่ยนไปเป็น BRICS และใช้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าต้นปี 2024 จะรับสมาชิกเพิ่มมาอีก 5 ประเทศอันได้แก่  อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และล่าสุดมี 34 ประเทศที่ยื่นคำร้องขอเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว อันได้แก่ แอลจีเรีย อาเซอร์ไบจาน บาห์เรน บังกลาเทศ เบลารุส โบลิเวีย คิวบา ชาด สาธารณรัฐคองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย คาซัคสถาน คูเวต ลาว มาเลเซีย เมียนมา โมร็อกโก นิการากัว ไนจีเรีย ปากีสถาน เซเนกัล ซูดานใต้ ศรีลังกา ปาเลสไตน์ ซีเรีย ไทย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกิสถาน เวเนซุเอลา เวียดนาม และซิมบับเว

ข้อดีของการเป็นสมาชิกใน BRICS มีหลายประการกล่าวโดยสรุปคือ

1. การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศตนในเวทีระหว่างประเทศ 

2. ทำให้ประเทศที่เป็นสมาชิกมีจุดยืนในฐานะพหุภาคีและความสมดุลระดับโลก 

3. โอกาสที่จะเข้าถึงการลงทุนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อันยกระดับให้ประเทศมีการพัฒนามากขึ้น

4. สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาค

5. ได้รับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า

เฉกเช่นเดียวกันกับไทยที่มองหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลทหารเมียนมาก็แสวงหาลู่ทางในการที่จะลืมตาอ้าปากจากการถูกแซงชั่นจากประเทศตะวันตกและประเทศพันธมิตรของตะวันตกโดยมีหัวหอกเป็นอเมริกาด้วยเช่นกัน  จากที่เอย่าคาดการณ์แล้วหากเมียนมาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้สำเร็จ เมียนมาจะบรรลุถึงการส่งออกสินค้าเกษตรของตนไปยังตลาดใหม่ๆโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศของ BRICS เอง  อีกทั้ง BRICS ยังเปิดโอกาสทางการค้าที่เสรีโดยไม่จำเป็นต้องค้าขายผ่านสกุลเงินใครเป็นสกุลเงินหลักแต่เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจผ่านสกุลเงินของประเทศตนเองได้โดยตรงอันจะช่วยให้ลดปัญหาการได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันเนื่องมาจากการใช้ระบบ SWIFT

อีกอย่างเมียนมาจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จะช่วยในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนได้มากขึ้นหลังถูกโดดเดี่ยวมาตั้งแต่รัฐประหารและประเทศในกลุ่ม BRICS ก็น่าจะเข้ามาลงทุนในเมียนมามากขึ้นด้วยเหตุที่ค่าแรงถูกและยังมีที่ดินเป็นจำนวนมากที่ที่สามารถพัฒนาได้

สุดท้ายหากเกิดสงครามขึ้นมาประเทศในกลุ่ม BRICS ก็จะได้รับการช่วยเหลือทางอาหารจากประเทศในกลุ่มสมาชิกที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลักซึ่งนอกจากไทยแล้วเมียนมาก็เป็นอีกประเทศที่มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรในราคาถูกและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีเช่นกัน

South China Morning Post ระบุในถ้อยแถลงว่าทางรัฐบาลทหารเมียนมาแสดงความปรารถนาของเมียนมาที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศ BRICS ในฐานะผู้สังเกตการณ์ระหว่างการเยือนมอสโคว์เมื่อไม่นานมานี้ และจากท่าทีของจีนและรัสเซียที่เป็นหัวเรือใหญ่ใน BRICS เชื่อว่าสามารถนำพาเมียนมาเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของ BRICS ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

การที่ทางรัฐบาลเมียนมาคิดแบบนี้น่าจะเป็น 1 ในแผนระยะยาวในการสร้างเสถียรภาพของประเทศและสร้างความเจริญที่ยั่งยืนในประเทศอันจะส่งผลให้ความขัดแย้งในประเทศจบลงไวขึ้นนั่นเอง และนั่นก็รวมถึงการผลักดันผู้คิดต่างให้ออกไปอยู่นอกวงและกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด

‘พม่า’ ทะลักชายแดนแห่ขอทำ ‘บัตรหัว 0’ คึกคัก หวังฟอกขาวได้สัญชาติไทยแม้ราคาพุ่งใบละ 3 แสนบาท

(21 ต.ค. 67) ช่วงนี้เรื่องราวฝั่งเมียนมาน่าจะไม่ปังนัก เนื่องจากดิไอคอนส่องแสงสว่างวาบไปทั่วปฐพีขนาดคนพม่ายังรู้และเป็นกระแสในวงโซเชียลเมียนมาด้วย

แต่เอย่าอยากให้พักดรามาร้อน ๆ แล้วหันมารับรู้ประเด็นร้อนในโลกความเป็นจริงที่ฟังแล้วเราควรจะปวดขมับดีหรือจะชั่งมันดี

ประเด็นแรกมีอยู่ว่าตอนนี้ตามแนวชายแดนไทยมีคนพม่าจำนวนมากเข้ามาเพื่อจะทำ ‘บัตรหัว 0’

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าบัตรหัว 0 คือบัตรอะไร? บัตรหัว 0 หรือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนไม่มีสัญชาติไทยนั่นเอง

ซึ่งหลายคนรู้จักกันในชื่อบัตรชมพู หรือบัตร 10 ปีที่เอย่าเคยเล่ามาในบทความก่อนๆแล้ว โดยข้อดีของบัตรนี้คือถ้าพ่อแม่ถือบัตรหัว 0 ลูกที่เกิดมาจะสามารถขอสัญชาติไทยได้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั่นเอง นั่นทำให้คนพม่าแห่เข้ามาเพื่อมารอทำบัตรหัว 0 กันอย่างเนืองแน่น เพราะเขาคิดว่าหากถูกถอนสัญชาติหรือพาสปอร์ตหมดอายุและไม่ต่ออายุด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็สามารถอาศัยในไทยได้ เพราะใช้บัตรดังกล่าว แถมบัตรนี้ออกโดยทางการไทยจะขอลี้ภัยไปประเทศไหนก็ง่ายดายเพราะมีข้อมูลยืนยัน

และที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้คือข้าราชการฝ่ายปกครองต่างพยายามออกบัตรหัว 0 กันอย่างคึกคัก เพราะคิดราคาต่อใบ ใบละ 200,000 - 300,000 บาทต่อคน จนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงมาลุยเองเรื่องถึงได้เงียบลง แหม่ช่างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนให้คึกคักเสียจริง

ประเด็นที่ 2 ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันว่ากันว่ามีขบวนการพม่ารับขนเด็กจากชายแดนมายังกรุงเทพโดยขบวนการนี้จะทำการสวมสูติบัตรเด็กคนอื่นที่ไปเช่ามาใบละ 500-1,000 บาท

โดยเด็กกลุ่มที่มีฐานะดีหน่อยถูกพาไปหาพ่อแม่ตัวจริงในกรุงเทพ ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายมาให้เป็นแรงงานในไทย โดยขบวนการนี้คิดค่าดำเนินการ 3,000-7,000 บาท  ข่าวว่ากันว่า กลุ่มที่ทำงานตรงนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มพม่าเชื้อสายแขกกับกลุ่มพม่าชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีข้าราชการไทยบางคนร่วมขบวนการ

เห็นเรื่องที่ 2 นี่เอย่าคิดถึงลุงตู่เลยที่ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยเราปลอดการค้ามนุษย์แต่สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับคนต่างด้าวทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ว่าแล้ว....เราควรจะวางเฉยแล้วเสพดรามากันต่อไปหรือจะเริ่มสอดส่องภัยใกล้ตัวขึ้นอยู่ตัวพวกเราด้วยกันเอง

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย

ต่อไปไม่ง่ายอีกแล้ว!! ‘ข้าราชการน้ำดี’ เริ่มขยับเอาจริง สกัดขบวนการ ช่วยต่างด้าวฟอกขาวเป็นคนไทย

(9 ต.ค. 67) ต้องขอบคุณสื่อหลักที่เริ่มมองเห็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ซึ่งถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า คนพวกนี้เคลื่อนไหวเงียบ ๆ ใต้ปีก NGO  มานับสิบๆปี สร้างเครือข่ายใต้ดินจนแข็งแกร่งยิ่งใหญ่และนำพาเหล่าคนเมียนมาเข้ามาฟอกขาวเป็นคนไทยนานนับหลายศตวรรษ 

ที่ผ่านมาเอย่าไปคุยกับพี่ ๆ หลายคน และมีพี่ท่านหนึ่งที่ให้ความเห็นที่น่าสนใจ  เธอคนนั้นบอกว่าสมัยเธอยังเป็นนักเรียน ย่านวงเวียนใหญ่ สมัยนั้นใคร ๆ ก็เรียกว่าลาวเซ็นเตอร์ เพราะทุกวันหยุดจะมีแรงงานชาวลาวที่ทำงานในตลาดแถวนั้นหรือร้านค้าบริเวณนั้นเข้ามาจับกลุ่มใต้ต้นไม้ที่วงเวียนใหญ่ยึดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวลาวก็เริ่มหายไปกลายเป็นชาวพม่าเข้ามาแทน จนเธอรู้สึกตัวอีกทีทุกหนแห่งก็อุดมไปด้วยคนพม่าหมดแล้ว ที่น่าตลกคือเธอที่เป็นคนไทยไปตลาดไม่สามารถซื้อผักในราคา 10 บาทได้ ในขณะที่เด็กคนพม่าคนงานข้างบ้านเธอซื้อได้เพราะคนขายเป็นชาวพม่า ทำให้เธอรู้สึกว่าแม้เธอเป็นคนไทยแต่กลายเป็นคนที่มีต้นทุนการใช้ชีวิตที่สูงกว่าคนพม่าในไทยเสียอีก

แม้เธอคนนั้นจะพูดติดตลกก็ตาม สำหรับเอย่าคงไม่รู้สึกตลกกับเรื่องแบบนี้ เพราะกลายเป็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้ได้ลอบเร้นเข้ามากันเป็นหลายสิบปี พร้อมฟอกขาวออกลูกหลานเตรียมการเป็นคนไทยจนหลายคนได้สัญชาติไปแล้วก็มี

เหตุการพวกนี้เราคงไปว่าคนพม่าอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องว่าคนไทยด้วยกันเองนี่แหละ เพราะเหล่ากรรมาธิการกลุ่มต่าง ๆ ในสภาที่มีการเลือกมาเป็นกลุ่มย่อย ต่างก็เป็นคนในอาณัติของท่าน สส. ผู้ทรงเกียรติกันทั้งนั้น  คนเหล่านั้นคือกำลังหลักในการผลักดันร่างกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ช่วยเอื้อให้ต่างชาติเหล่านี้ อย่างว่าเอย่าได้ข่าวว่าแม้เงินเดือนกรรมาธิการเหล่านี้ไม่ได้สูง แต่รายได้พิเศษนี่มาจากไหนไม่รู้ทอนกันมา 7 หลักขึ้นทั้งนั้น รายได้ดีขนาดนี้ จ้างผีโม่แป้งยังได้ ทำไมจะจ้างคนไทยให้ขายจิตวิญญาณไม่ได้

อีกอย่างสำหรับคนดีมีอุดมการณ์ที่หลุดเข้าไปเป็นกรรมาธิการพวกนี้ พอไม่ทำตามที่ท่าน สส. ผู้ทรงเกียรติต้องการก็ต้องมีอันกระเด็นจากตำแหน่ง อย่างว่ากฎหมายให้อำนาจ สส. คุมคนพวกนี้อีกทีจะกล้าหือได้อย่างไร

สงสารก็เพียงคนไทยที่พยายามเป่าปากโห่ร้องหาประชาธิปไตย 3 นาทีในคูหา แล้วต้องก้มหน้าก้มตาดูคนที่เลือกมาให้โอกาสพวกต่างชาติมีต้นทุนการใช้ชีวิตที่ถูกกว่าคนไทย ก็ช่วยไม่ได้รักชอบเลือกกันเข้ามาเองทั้งนั้น

สุดท้ายเอย่าคงได้แต่หวังว่า คนไทยเราได้ตื่นรู้แล้ว ข้าราชการดีๆเริ่มขยับแล้ว ทำให้แผนฟอกขาวตามชายแดนเริ่มลำบากขึ้น และแผนของกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องการเอาคนพวกนี้มาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่เป็นไปดังหวัง 

เอย่าต้องขอบคุณข้าราชการน้ำดีที่เริ่มตรวจตราเอาจริงเอาจังกับทุกกลุ่ม อย่างที่บอกคนพวกนี้ไม่ใช่แค่แรงงานแต่คนส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้และใช้ประเทศไทยเป็นฐานเคลื่อนไหวสร้างปัญหาในเมียนมา ทั้งเรื่องการระดมทุน ซื้ออาวุธ ซื้อเสบียง ซึ่งหากข้างบ้านไม่สงบ ไทยเราจะสงบสุขได้อย่างไร เพราะตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่าเมื่อประเทศเพื่อนบ้านเดือดร้อน ไทยได้รับผลกระทบอย่างไร

อย่าโทษสายตา ‘คนไทย’ ที่มอง ‘เมียนมา’ เปลี่ยนไป ชี้!! หลายพฤติกรรม และ คำพูด ล้วนบั่นทอนความเป็นมิตร

(3 ต.ค. 67) ช่วงนี้โซเชียลเน็ตเวิร์กชาวเมียนมาหลายคนออกมาร้องไห้กันว่าถูกคนไทยมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ในขณะที่หลายคนเริ่มจะกลัวที่จะออกไปเดินตลาด หรือ เดินทางไปไหนมาไหน เพราะเจ้าหน้าที่เคร่งครัด และตรวจสอบคนต่างด้าวกันมากขึ้น

จากที่เอย่าให้ทีมงานในไทยไปสังเกตการณ์ตามตลาดที่เคยเป็นแหล่งที่มีชาวเมียนมาพลุกพล่าน ก็พบว่ามีคนเมียนมาบางตาไปจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะกลัว และไม่มีความรู้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนั้น คือ คนที่เข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง

คงจะมาว่าต่อว่าคนไทยไม่ได้ เพราะเอย่า ย้ำเสมอว่า ประเทศไทยให้โอกาสคนต่างด้าวเสมอ เพียงแต่ต้องอยู่ และกระทำตัวให้เหมาะสมกับการที่เข้ามาอาศัยในต่างบ้านต่างเมือง

จากการที่มีคลิปออกตามโซเชียลที่ผ่านมา ตั้งแต่มีชาวต่างด้าวเข้าชุมนุมทางการเมืองขับไล่ผู้นำไทยในรัฐบาลก่อนก็ดี หรือการไปชุมนุมตามที่สาธารณะก็ดี หรือการออกคลิปตามโซเชียลที่กระทำ หรือพูดอะไรที่ไม่เป็นไปตามครรลองของประเทศไทย นั่นคือ ชนวนที่เป็นระเบิดเวลาทำลายความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อคนต่างด้าวในไทย

ยิ่งด้วยสภาพเศรษฐกิจในไทยทุกวันนี้ด้วยแล้ว คนไทยหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกต่างด้าวแย่งงานแย่งอาชีพคงไม่ได้รู้สึกยินดีที่คนเหล่านั้นมาได้ดีในประเทศไทย

และดูเหมือนว่าคนพม่าที่อยู่ในเมียนมาก็ไม่ได้แยแสกับคนเมียนมาที่อยู่ในไทยเช่นกัน หลายคนกล่าวว่าก็เลือกจะไปเองก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เอย่าก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวเมียนมาที่เข้ามาอย่างถูกต้องไม่ต้องกลัว หากเรามีเอกสารสามารถสำแดงตัวตนว่าเราเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องเจ้าหน้าที่ก็คงจับเราไม่ได้ ส่วนเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจของคนไทยก็คงต้องอาศัยเวลา และอัธยาศัยของคนเมียนมาที่มีน้ำใจไมตรีค่อย ๆ เปลี่ยนภาพลักษณ์ และมุมมองของคนไทยที่มีต่อชาวเมียนมานั้นขอให้อดทน

เดินหน้าคัดสำมะโนครัว ขจัดกลุ่มต่อต้าน แยกเมียนมา 'น้ำดี-น้ำเสีย' ไทยต้องรับมือ 'พายุไร้สัญชาติ' ให้ดี มีกลุ่มหนุนที่ต้องรีบกำราบ

ดูเหมือนการที่ NGO ฝั่งไทยและบางพรรคที่พยายามหาเรื่องเข้าช่วยชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยแบบโจ่งแจ้ง จะกลายเป็นการเสริมแรงให้แผนของฝั่งกองทัพเมียนมาที่กำลังจะมีการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนหน้า เพื่อคัดแยกคนในชาติตัวจริง ดูจะยิ่งเป็นสิ่งเข้าล็อกยิ่งขึ้น

เพราะมุม เอย่า คาดว่า การทำสำมะโนประชากรครั้งนี้ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกองทัพเมียนมาที่จะแยก 'น้ำดี-น้ำเสีย' แบบจริงจัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ฝั่งกองทัพฯ เองก็คงจะถือโอกาสนี้กรองจำนวนผู้ไม่รักชอบในกองทัพเมียนมา และตีตราให้เมียนมาชังทหาร กลายเป็นพวกไร้สัญชาติ จนต้องบีบตนเองให้เผ่นหนีออกนอกประเทศไปเอง

ขยายภาพให้...หลังจากที่กองทัพฯ ทำการสำรวจสำมะโนประชากรเสร็จ จะเกิดภาพแบบไหนขึ้น? ตรงนี้ เอย่า เชื่อว่า ทางการจะเริ่มกำหนดให้ว่า ใครคือ คนเมียนมาที่แท้จริง แล้วมีอยู่เท่าจำนวนที่เขาสำรวจหรือไม่ เพื่อจะเตรียมตัวไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนเศษที่เหลือจะไม่นับว่าเป็นชาวเมียนมา และความซวยของคนกลุ่มหลัง ก็คือ พาสปอร์ตของคนเหล่านั้นจะต้องหมดอายุลง โดยที่คนเหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการต่ออายุพาสปอร์ตได้อีกต่อไปด้วย

แน่นอนว่า เรื่องนี้เหมือนพวก NGO พม่าในไทยและ NGO ไทยจะรู้ดี จึงพยายามเปิดทางให้ พายุไร้สัญชาติเหล่านี้เข้ามาในอยู่ระบบของประเทศไทย ซึ่งหากไทยตามเกมไม่ทันแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะค่อย ๆ กลายร่างเป็นประชากรไทยในอนาคตได้ไม่ยาก ผ่านเครื่องมือที่เลื่องลืออย่าง 'ไทยแลนด์คอร์รัปชัน' 

และ ๆ ๆ การคอร์รัปชันนี้ จะเป็นผลดีต่อพรรคการเมืองบางพรรคที่มีแผนการบางอย่างต่อการดึงมวลชนเมียนมาเข้าไทย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่เริ่มเบิกเนตรคงจะเริ่มทราบจุดประสงค์กันดี เพราะมีหลักฐานมากมายที่ 'คน-พรรค' นี้ ไปร่วมกิจกรรมกับเหล่าผู้อพยพและชาติพันธุ์อยู่บ่อยหน

อย่างไรก็ดี ก็ไม่ต้องไปกลัวชาวเมียนมาไร้สัญชาติจนเกินเหตุ เพราะไทยจะเอาจริงก็จัดการได้ เพียงแต่เรื่องนี้ เอย่า แค่อยากมาช่วยกระตุกให้ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองวันนี้ ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้เท่านั้น ซึ่งพวกท่านสามารถที่จะช่วยป้องกันแก้ไขสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อยู่แล้ว

วิเคราะห์ต่ออีกนิด หากการเลือกตั้งในเมียนมาเกิดขึ้นได้แบบสำเร็จลุล่วง เอย่า เชื่อว่าประเด็นหลาย ๆ อย่างในเมียนมาจะเบาลง แต่กลุ่มชาวเมียนมาไร้สัญชาติที่อยู่นอกประเทศตัวเอง จะทวีความเคลื่อนไหวแบบรุนแรง เพื่อหาทางมอบสัญชาติให้ตัวเอง ซึ่งถ้าไทยเล่นไม้แข็งก็จบเห่ ไอ้ครั้นจะหนีไปยุโรปก็ยาก เพราะขณะนี้ยุโรปต่างก็ออกนโยบายไม่เอาผู้อพยพลี้ภัยถ้วนหน้าแล้ว 

ฉะนั้น จุดนี้คงจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ เอย่า แค่อยากมากระตุ้นรัฐบาลและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไทยให้ช่วยหาทางจัดการกับคนพวกนี้ไว้แต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าปล่อยให้บรรดา NGO และพรรคการเมืองหนึ่งที่พยายามดิ้นรนแบบสุดลิ่ม กรุยทางลากคนไร้สัญชาติเข้ามาล้นแผ่นดินสยาม 

เพราะฐานคนไร้สัญชาติ ที่พร้อมกลายเป็นสัญชาติไทยเหล่านี้ อาจเขย่าอำนาจการเมืองและความมั่นคงของไทยในระยะยาวได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้ด้วย...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top