Saturday, 11 May 2024
AYA IRRAWADEE

เตือนคนพม่าเข้าไทย หวังย้ายไปประเทศที่ 3 ระวังถูกขายฝัน ปันเงินก้อนสุดท้ายไปให้มิจฉาชีพ

ท่ามกลางกระแสในประเทศไทยที่มีการโหมโรงเรื่องย้ายประเทศกันเถอะ เปิดโอกาสให้คนไทยหลายคนที่เบื่อหน่ายกับรัฐบาลลุงตู่ จนอยากที่จะขอไปตายเอาดาบหน้า แต่จนแล้วจนรอด ส่วนใหญ่คนที่ออกตัวที่จะไปตายเอาดาบหน้า ก็เห็นกลับมาตายเอาที่ประเทศสยามขวานทองเหมือนเดิม เพราะการที่จะย้ายไปใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด

วันนี้เอย่าเลยถือโอกาสขอเล่าเรื่องของการย้ายประเทศ โดยเราจะตัดเรื่องความวุ่นวายในการทำเรื่องย้ายประเทศไปก่อน แล้วมาดูตัวแปรอื่น ๆ กัน 

การที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดนนั้น ไม่ง่าย!! เริ่มจากความต่างของภาษา ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณมีความเก่งกาจในการสื่อสารภาษาอังกฤษพอ การที่จะย้ายประเทศไปอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารคงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากมากนัก แต่อย่าลืมว่าประเทศส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการย้ายไปในบางประเทศ คุณต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ เพื่อให้เอาตัวรอดในการใช้ชีวิตประจำวันได้  

ต่อมาคือเรื่องของอาหารการกิน แม้หลายคนอาจจะถูกปากถูกใจกับอาหารฝรั่ง แต่เราต้องกินอาหารแบบนี้ทุกวัน คือ ต้องอยู่กับมันให้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ!! จำได้ว่าเมื่อเอย่ามาถึงเมียนมาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เราทานอะไรไม่ได้เลย เอย่าต้องใช้ชีวิตกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนน้ำหนักลดไปเป็น 10 กิโลตั้งหลายเดือน กว่าจะหลงเสน่ห์อาหารพม่าจนน้ำหนักกลับพุ่งทะยานจนเกินกว่าวันแรกที่เข้ามาเหยียบแผ่นดินเมียนมานี้ 

แค่ 2 เรื่องนี้ยังต้องใช้การปรับตัวแรมปี ไหนจะเรื่องเงินที่ต้องมีพอในการใช้จ่ายก่อนที่จะหาการหางานทำเพื่อหาเงินได้ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย

พูดถึงเรื่องย้ายประเทศไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่มีความคิดแบบนี้ แต่คนเมียนมาที่หนีจากการปกครองของระบบทหารก็คิดจะไปหาที่อยู่ใหม่เช่นกัน สำหรับรายที่รวยพอมีเงินหนาพอที่ไม่ต้องไปเป็น PDF เขาก็เลือกที่จะไปใช้ชีวิตใหม่ต่างแดนอย่างสบายใจ แต่คนเมียนมาที่เป็นชนชั้นกลางที่มีความฝันในการสู้แล้วพอช่องทางลี้ภัยจากการช่วยเหลือผ่านองค์กร NGO ต่าง ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่ม นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่พวกเขาจะได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตใหม่

ช่อง 5 คิดถูกใช่ไหม? เลือกตัดลมหายใจคนเมียนมา แค่เพราะนักกิจกรรมบอก... "นทท.จะนำเงินมาสนับสนุนกองทัพพม่าเพื่อปราบปชช."

ช่อง 5 กับทางเลือกที่ถูกต้อง?

เป็นข่าวกระหึ่ม!! เมื่อรายการ บันทึกท่องเที่ยว The Exclusive ใน EP ล่าสุด ได้พาไปท่องเที่ยวกรุงเนปิดอว์ ออกอากาศ ตอนที่ 1 เมื่อ 5 ก.ย. 2565 และตอนที่ 2 เมื่อ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยในตอนที่ 1 ได้พาไปเที่ยวสถานที่สำคัญของเมืองหลวงกรุงเนปิดอว์ ได้แก่ ถนน 16 เลน, พระมหาเจดีย์อุปปาสันติ, พิพิธภัณฑ์อัญมณี, วัดเม้งหวุ่นเต่า, พิพิธภัณฑ์การทหาร และอื่นๆ  

นอกจากนี้ ในรายการยังได้เข้าพบกับ เตอ่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโรงแรมและการท่องเที่ยว แห่ง SAC และมีการสัมภาษณ์สถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศเมียนมาอีกด้วย

และนี่น่าจะเป็นชนวนเหตุ ที่ทำให้ถูกโจมตีจากนักกิจกรรมประชาธิปไตย ว่ารายการได้รับการสนับสนุนจากรับบาลทหารเมียนมา ซึ่งในความรู้สึกของเอย่าเองนั้น ขอบอกว่า นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก!!

ถ้าจะให้เอย่าวิเคราะห์แตกเป็นประเด็น จะเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ แบบนี้ละกัน...

เนปิดอว์นั้นไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวแต่อย่างใด ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเนปิดอว์ก็จะมาแค่ตามที่รายการบอกนั่นแหละ เพราะเมืองมันไม่ได้มีอะไรจริงๆ สามารถเที่ยวแบบ One Day Trip และกลับไปนอนที่ตองอู ซึ่งในตองอูยังมีอะไรที่น่าสนใจกว่า เช่นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาที่วัดเมียะสิโกง ที่พระเจ้าบุเรงนองอัญเชิญจากอยุธยามาไว้ที่ตองอู เมื่อได้อยุธยาเป็นประเทศราชแล้ว แถมด้วยโรงแรมที่ตองอูก็เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินของพระราชวังตองอูเก่า ซึ่งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงอาถรรพ์ที่คนไทยบางคนเคยเจอด้วย แต่บอกเลยว่าโรงแรมนี้สวยงามและไม่เงียบเหงาเหมือนนอนที่เนปิดอว์แน่นอน

การไปขอสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโรงแรมและการท่องเที่ยว แห่ง SAC ก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย เพราะการเดินทางเข้าเมียนมาไปเมืองไหนก็ตาม โดยเฉพาะการไปถ่ายทำรายการหรือภาพยนตร์ ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาต ซึ่งการทำเช่นนี้มีมาก่อนยุคสมัยก่อนมีประชาธิปไตยด้วยซ้ำ อย่างตอนที่ผู้กำกับชาวต่างประเทศไปถ่ายภาพยนตร์เขาก็ขออนุญาตเช่นกัน   

ดังนั้นการที่เขาจะได้สัมภาษณ์กับท่านรัฐมนตรี จึงไม่แปลกเพราะเมียนมามีนโยบายที่กำลังจะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่รายการคิดว่า มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ชมด้วยซ้ำ

แต่เรื่องนี้สำนักข่าวประชาไทระบุว่า “กลุ่มนักกิจกรรมการเมืองแสดงความกังวลถึงประเด็นความปลอดภัย และชี้ว่านักท่องเที่ยวจะนำเงินมาสนับสนุนกองทัพพม่าเพื่อปราบประชาชน ผ่านค่าธรรมเนียมการทำวีซ่า จ่ายค่าประกัน และภาษี แม้ว่านักท่องเที่ยวสามารถเลี่ยงการพักในโรงแรม และการขนส่งที่มีกองทัพ และเครือข่ายของกองทัพเป็นเจ้าของก็ตาม นอกจากนี้ กลุ่มนักกิจกรรมขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกบอยคอตไม่มาเที่ยวพม่าระหว่างที่กองทัพยังคงบริหารประเทศอยู่” 

ซึ่งในความเป็นจริง ณ วันนี้ เมียนมาประกาศ Free-VISA ให้นักท่องเที่ยวไทยเข้ามาเที่ยวได้ 14 วันเหมือนแต่ก่อน ส่วนเรื่องการซื้อประกันภัยโควิดก็ไม่ได้มีแค่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศเช่นกัน เอาประเทศใกล้ๆ เราอย่าง 'ลาว' ก็ Free-VISA แต่ก็ต้องซื้อประกันโควิดสำหรับใครก็ตามที่เข้าประเทศเช่นกัน

ขณะเดียวกัน การที่นักท่องเที่ยวจะจองโรงแรมใดๆ ก็ตาม สามารถ Booking ผ่าน Application หรือ Website ต่างๆ ได้ เหมือนที่เคยทำกันมาสมัยก่อนโควิดระบาด ดังนั้นนักท่องเที่ยวมีสิทธิ์จะเลือกหาข้อมูลโรงแรมใดก็ได้ที่สะดวกและมั่นใจในการใช้ชีวิตในเมียนมา โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทหาร หรือ ฝ่ายใดเลย

โดยสรุปแล้ว หากการท่องเที่ยวในเมียนมากลับมาคึกคัก จะสร้างเม็ดเงินสะพัดมหาศาลให้แก่นักธุรกิจใหญ่, เจ้าของกิจการ, เจ้าของร้านค้า ไปจนถึงชาวบ้านที่มาขับรถ ขับเรือ ขายดอกไม้ ขับแท็กซี่ ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นคนที่อาศัยในเมียนมาแล้วเดือดร้อนจากการระบาดของโรคโควิดและถูกซ้ำเติมจากความขัดแย้งทางการเมือง  

เม็ดเงินเหล่านี้จะยกระดับความเป็นอยู่ของคนเมียนมาให้ดีขึ้น ทำให้ความขัดแย้งบรรเทาลง เพราะคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  

'ยูเรเนียม' ไอเทมลับพา 'เมียนมา' มั่งคั่งยั่งยืน ใต้การ 'โอบอุ้ม-ต่อยอด' จากพี่เบิ้มอย่าง 'รัสเซีย'

ต้องบอกว่า การที่เหล่าชาติตะวันตกต่างรุมบอยคอตเมียนมาในวันนี้ เหมือนยิ่งเป็นการผลักไสให้เมียนมาเดินเข้าไปหาจีนกับรัสเซียมากขึ้น และ 2 มหาอำนาจก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับเมียนมาอย่างออกหน้าออกตาในที่สุดด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความสัมพันธ์อีกระดับของเมียนมากับรัสเซีย ซึ่งเดิมทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของกองทัพและการลงทุนในธุรกิจพลังงาน แต่หลังจากการยึดอำนาจของกองทัพ นำมาซึ่งการขับไล่ไสส่งเมียนมาด้วยการบอยคอตหรือคว่ำบาตรใด ๆ จากชาติตะวันตกนั้น ได้เป็นแรงผลักให้เกิดความร่วมมือระหว่างเมียนมากับรัสเซียมากขึ้น ไม่ใช่เพียงความร่วมมือในแง่ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุขและการเข้ามาพัฒนาพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการเปิดหน้าอย่างชัดเจนด้วยว่า ขุมทรัพย์ของเมียนมาที่แท้จริงนอกจาก อัญมณีและน้ำมันแล้ว ยังมีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ด้วย

ว่ากันว่าคนงานเหมืองทราบดีอยู่แล้วว่ามีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ในการทำเหมืองหลาย ๆ ที่โดยเฉพาะเหมืองทองหลายแห่ง ซึ่งเคยมีรายงานถึงการค้นพบแร่ยูเรเนียม (Uranium) จากเหมืองทองกันอยู่แล้วเป็นระยะ ๆ เพียงแต่ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงการนำแร่ยูเรเนียมมาใช้ในประเทศแต่อย่างใดก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่รัสเซียก้าวเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้นั้น จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของเมียนมา เพราะหากสร้างเสร็จจริง ประเทศเมียนมาจะมีเสถียรภาพด้านสาธารณูปโภคไฟฟ้าเพราะวัตถุดิบหาซื้อง่าย ส่วนรัสเซียก็อาจจะได้ส่วนแบ่งแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาอาวุธต่อก็เป็นได้

คงต้องยอมรับว่าเป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดของชาติตะวันตก ซึ่งแทนที่จะทำให้เมียนมาอ่อนแรง แต่กลับทำให้เมียนมาแข็งแกร่งขึ้นและในวันหนึ่งอาจจะยืนได้บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร และก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมกับประเทศเล็ก ๆ นี้ เพราะแร่กัมมันตภาพรังสีในครอบครองมันพร้อมจะนำไปต่อรองกับใครก็ได้ทั้งหมด

เลือกบทไหน? 'ผู้สนับสนุน' หรือ 'ผู้ต่อต้านการก่อการร้าย' บทบาทไทยต่อเมียนมาที่ต้องเลือกชั่งน้ำหนักให้ดี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 ในตอนนั้นมีข่าวดังข่าวหนึ่งระบุว่า หน่วยงานความมั่นคงของไทยโชว์หลักฐานเด็ด ซึ่งเป็นวีซีดีการประชุม 'พรรคปาส' จากฝ่ายค้านมาเลย์ โจมตีว่าไทยอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กรือเซะ-ตากใบ อีกทั้งในแผ่นซีดีดังกล่าว ยังมีหลักฐานชัดเจนว่า พรรคปาสเป็นผู้สนับสนุนโจรใต้ให้ทำการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยอีกด้วย  

เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลมาเลย์ถึงกับต้องรีบออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่เคยสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทย

ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 ก.ย.) มีข่าวจากสำนักข่าว Chindwin News Agency ของเมียนมาลงว่า กองกำลังต่อต้านทหารเมียนมาได้รับอาวุธสนับสนุนอาวุธมาจากไทย  

โดยอาวุธดังกล่าวทางกองกำลังต่อต้านทหารเมียนมา จะนำมาเพิ่มศักยภาพในการสู้รบกับกองทัพเมียนมา ซึ่งเอย่ามองว่า จากข่าวนี้หากชาวโลกมองไทยว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย อย่างที่เคยเกิดเหตุกับไทย-มาเลย์มาก่อนในอดีต ก็คงไม่จะผิดนัก

ดังนั้น จากข่าวนี้ คงต้องขอฝากให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยทำงานให้หนักแล้ว เพราะถึงแม้การข่าวจากฝ่ายความมั่นคงที่ไปตรวจสอบเรื่องการรับสมัครทหารของกลุ่ม Burma Ranger Force และพบว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นเรื่องจริง รวมถึงกรณีการประกาศรับสมัครกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งได้ตรวจสอบจากเพจของกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ก็ไม่พบว่ามีการเผยแพร่เกี่ยวกับประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ชัดเจนว่ากลุ่ม FBR (Free Burma Rangers) เป็นผู้จัดทำด้วยหรือไม่

แต่ขณะเดียวกันทางสำนักข่าว Chiangmai News ก็ลงพื้นที่ไปยังบ้านดังกล่าวแล้วพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์เป็นที่ทำการของ 'มูลนิธิฟรี เดอะ โอเพรซท' (Free the Oppressed Foundation) หรือ FTO ซึ่งสนับสนุนงานของ FBR และทางมูลนิธิฟรี เดอะ โอเพรซท อ้างว่า FBR เป็นขบวนการเพื่อมนุษยธรรมจากหลายเชื้อชาติ ที่ทำงานเพื่อให้ความช่วยเหลือ ความหวัง และความรักแก่ผู้คนในเขตความขัดแย้งของพม่า อิรัก และซูดาน รวมไปถึงยังทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่สนับสนุนประชาธิปไตยในท้องถิ่น และประสานงานกับทีมบรรเทาทุกข์เอนกประสงค์ที่เคลื่อนที่ การรักษาพยาบาลฉุกเฉินที่สำคัญ ที่พักพิง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเอกสารด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 

>> หากแต่ก็มีภาพที่เป็นกองกำลังของ Free Burma Ranger ซึ่งมีสัญลักษณ์ที่แขนถืออาวุธปรากฏลงในภาพข่าวที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2014 ใน The Daily Beast ด้วย

ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า Free Burma Ranger คือ กองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการช่วยเหลือจากเงินทุนของอเมริกาและเงินจากกลุ่มคริสต์จักรในไทย โดยอ้างว่าเงินดังกล่าวนำมาใช้เพื่อสันติภาพ แต่ความเป็นจริงมีการดำเนินกิจกรรมการฝึกกองทัพต่อต้านรับบาลมานานแล้วนั่นเอง

7 ทศวรรษ ฤาสงครามกะเหรี่ยงอันยาวนาน จะจบในยุคของ 'นายพลเนอดา'

ฤาสงครามกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมาที่รบกันมาอย่างยาวนาน จะจบลง!!

จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าในอดีต (เมียนมา) กับบรรดาชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 เมื่อสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า (เมียนมา) ได้รับเอกราชจากอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร แต่โครงสร้างของรัฐบาลในพม่าขณะนั้นเองยังคงอ่อนแอ 

กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ชาวกะเหรี่ยงจำนวนกว่า 400,000 คน ได้ประท้วงโดยสงบเพื่อแสดงความสามัคคี ในการจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง 

สามเดือนหลังจากได้รับเอกราช พรรคคอมมิวนิสต์พม่า เริ่มก่อการกบฏจับอาวุธขึ้นต่อสู้ และกลุ่มกะเหรี่ยงที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนได้เริ่มการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช 

การเกิดขึ้นขององค์กรป้องกัน แห่งชาติกะเหรี่ยง เช่น กองทัพสหภาพกะเหรี่ยง (Karen National Union : KNU) ทำให้ความร่วมมือของชาวกะเหรี่ยงต่อรัฐบาลลดลง และความตึงเครียดเก่าๆ ระหว่างชาวกะเหรี่ยงและรัฐบาลเกิดขึ้นอีก 

การสู้รบระหว่างทหารกะเหรี่ยงและพม่าเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2491 รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ พยายามเจรจากับกลุ่มกบฏ คอมมิวนิสต์ และเปิดทางให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เข้าร่วมในการเมืองระดับชาติ 

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2491 ได้มีการประชุมเพื่อหาทางแก้ไข ปัญหาที่กองทัพกะเหรี่ยงเติบโตขึ้น และหยุดการก่อกบฏของฝ่าย คอมมิวนิสต์ 

ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ระหว่างกะเหรี่ยงและพม่า เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นมากในพม่า แต่ละกลุ่มต่างมีกำลังทหารเป็นของตนเอง และพยายามเพิ่มพื้นที่ปกครองโดยใช้ความรุนแรง ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 2 กลุ่ม คือ...

กลุ่มฝ่ายขวาและนิยมตะวันตก ได้แก่ กองทัพกะเหรี่ยง องค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง กองโจรสันติภาพ กะเหรี่ยง ตำรวจ และกองกำลังสหภาพส่วนใหญ่ 

อีกกลุ่มหนึ่งเป็นฝ่ายซ้าย และต่อต้านประเทศอังกฤษ ได้แก่ รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ ทหารพม่า บางส่วนในกองทัพ ซึ่งเป็นตำรวจที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านกองทัพกะเหรี่ยงและ ตำรวจที่นิยมฝ่ายขวา 

กระทั่งในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2491 เกิดความ รุนแรงขึ้นทั่วพม่า เจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษบางส่วนที่อยู่ในพม่าตะวันออก สนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศพม่า ในขณะที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า 

เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2492 ความขัดแย้งได้ดำเนินเรื่อยมา 

>> จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นับ 74 ปีแล้ว 

จนกระทั่งเมื่อมีการรัฐประหารของนายพลมินอ่องหล่าย พม่าหรือเมียนมา ก็ยังใช้วิถีเช่นเดิม คือ การเจรจาหยุดยิง แม้ว่าทาง KNU จะปฏิเสธที่จะเข้าเจรจาสันติภาพตามคำเชิญของกองทัพเมียนมา และมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องของกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา รวมถึงการเป็นฐานพักพิงและฝึกการต่อสู้ให้กับกลุ่ม PDF ที่เลือกจะจับอาวุธสู้กับกองทัพ

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด แม้กระทั่งผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง 

สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News โดยนปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม

ฮิตเลอร์ และมือขวาของเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 วิธี ซึ่ง 7 วิธีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

'การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ' ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ

...'โกหกจนเป็นเรื่องจริง' !!

โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”

“การตั้งฉายา” ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้ชั่วร้ายเลวทรามหรือดูแย่ เพื่อให้คนหมู่มากรู้สึกรังเกียจและสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

“พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก” เป็นการย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆจนคนฟังหรือผู้รับสารค่อยๆ ซึมและเชื่อไปเองในที่สุด ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อยๆ จนคนฟังชินหู แล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงเพราะ

“ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม” ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมันและป้ายสีว่าผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ข่มเหงรังแกคนเยอรมันและชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม

“แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน” เมื่อทำทั้ง 6 วิธีด้านบนไปแล้วก็ถึงเวลาในการที่จะบีบให้คนต้องเลือกข้างและด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาคงไม่มีใครที่อยากจะเลือกข้างเป็นผู้ร้ายและนั่นคือความสำเร็จของโมเดลโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์

'เชียงราย' - ช่วยเหลือ 6 คนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเขตปกครองพิเศษประเทศเมียนมากลับไทย

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1และเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่3 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวและได้เดินทางมายังสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 

อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายเพื่อมารับตัวเหยื่อทั้ง 6 ราย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือโดยทางการเมียนมาได้ส่งตัวกลับมายังประเทศไทยโดยปลอดภัยซึ่งหลังจากนี้จะได้นำเหยื่อทั้ง6รายเข้าสู่กระบวนการตามมาตรการสาธารณสุขและกระบวนการคัดแยกเหยื่อตามลำดับต่อไป 

จากเหตุการณ์นี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีคลิปของกลุ่มหญิงสาวที่ร้องขอความช่วยเหลือปรากกฎตามสื่อและโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาโดยกลุ่มหญิงสาวดังกล่าวถูกเอเจนซี่คนไทยชักชวนไปทำงานเป็นพีอาร์ที่ประเทศเมียนมาร์มีการข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมาร์โดยผิดกฎหมายสุดท้ายถูกบังคับค้าประเวณีที่สถานบริการภายในเมืองป๊อกรัฐฉาน (เขตปกครองพิเศษว้า) ประเทศเมียนมา มีหัวหน้าชาวจีนเป็นคนดูแลผลประโยชน์โดย

ภายในคลิปได้ร้องขอมายังทางการไทยเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความช่วยเหลือในการนำพาพวกตนกลับมายังประเทศไทยนั้นหลังจากภาพคลิปดังกล่าวปรากฎในสื่อต่างๆนั้นทางการไทยจึงประสานขอความร่วมมือไปยังทางการเมียนมา จนสามารถช่วยเหลือคนไทยทั้ง 6 คนกลับมาได้สำเร็จจากนี้ก็จะให้คนไทยทั้ง 6 คนเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อหากเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์จริง จะได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือในฐานะเหยื่อต่อไป หากพบว่าไม่ได้เป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ก็จะให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาดต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top