Tuesday, 10 December 2024
AYA IRRAWADEE

‘เมียนมา’ พร้อมช่วยเหลือ ‘ไทย’ เจรจากับ ‘ว้า’ ชี้!! ต้องแสดงความจริงใจ ไม่ใช่เล่นปาหี่

มาวันนี้เอย่ามีข่าวล่าสุดที่หลุดมาจากแหล่งข่าวไทใหญ่ว่าล่าสุดมีการเจรจาทางลับที่เชียงใหม่กับทางกองทัพเมียนมาล่ม โดยฝั่งเมียนมากล่าวว่า

1. การแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมามีการคุยมานานแล้ว แต่ประเด็นคือไทยกับเมียนมาถือแผนที่คนละฉบับกับเมียนมาทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและตลอดมามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยกันแต่ความไม่สงบในประเทศทั้งฝั่งไทยและเมียนมาเองที่เราสงบเขามีปัญหา พอเขาสงบทางเราเกิดความวุ่นวาย นั่นทำให้ยังสามารถปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จได้

2. ฝั่งเมียนมาพร้อมช่วยเหลือไทยฝ่ายไทยในการเจรจากับว้า แต่แหล่งข่าวระดับสูงของเมียนมาบอกว่าถ้าให้เมียนมาขยับ 9 จุดที่มีการล้ำเขตแดนบริเวณฐานทหารว้ามา ไทยก็มีจุดที่ล้ำกว่า 20 จุด ที่มีการรุกล้ำเขตแดนฝั่งเมียนมาด้วยเช่นกัน

3. ฝั่งเมียนมาบอกว่าการแก้ปัญหาชายแดนต้องแสดงความจริงใจ จริงจังไม่เล่นปาหี่  ต้องมีการคุยในระดับคณะกรรมการชายแดนและการทูตควบคู่กันไป ไม่ใช่จบกันแค่พูดคุยทางลับเท่านั้น

4. ฝั่งไทยต้องส่งเสริมสนับสนุนความเป็นมิตรกับฝั่งเมียนมา ในด้านการช่วยจัดการรักษาเสถียรภาพให้เมียนมาด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่รับรู้ให้ปล่อยให้กลุ่มต่างๆใช้ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินและส่งทรัพยากรและยุทโธปกรณ์ให้แก่ฝ่ายต่อต้านกองทัพเมียนมา

ฝั่งไทยเองก็ใช่ย่อยล่าสุดมีข่าวหลุดออกมาจากแหล่งข่าวจากกลุ่ม NGO สามนิ้วว่ากองทัพไทยมีการติดต่อผ่านนักวิชาการที่มีสายสัมพันธ์ดีกับกลุ่ม NGO ที่ต่อต้านกองทัพเมียนมาเพื่อจะหาทางเข้าไปคุยกับว้า เอย่าจึงแค่อยากตั้งคำถามว่าตลอดเวลากลุ่มสามนิ้วด้อยค่าทหาร ด้อยค่าสถาบันมาตลอด แต่ทำไมถึงเรียกใช้คนเหล่านี้เป็นคนกลาง หรือกองทัพไทยยังถูกกลุ่มนี้ด้อยค่าไม่พออีกหรือ

สุดท้ายเอย่ามาวิเคราะห์ว่าจุดเริ่มต้นในการกระพือข่าวครั้งนี้ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์และกระสุนนัดแรกมาจากใคร จากแหล่งข่าวทั้งกูรูกองทัพฝั่งไทยเอง ฝั่งว้าเองรวมกระทั่งแหล่งข่าวระดับสูงจากฝั่งเมียนมาก็มองตรงกันว่า ศึกนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ไทยและเมียนมาแต่เป็นกองกำลัง RCSS ของเจ้ายอดศึกนั่นเอง

ที่ผ่านมาว้าเปิดศึกกับ RCSS หลายครั้งจะด้วยเหตุผลที่เป็นชนักติดหลังว้ามาตลอดที่ RCSS อ้างว่าทำศึกกับว้าเพราะกำจัดยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม อย่าลืมว่ามันมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่เราไม่รู้เสมอ และหากพิจารณาแล้ว สงครามระหว่างไทยกับว้าครั้งนี้ คนที่ไม่ได้เกี่ยวแต่มีการปล่อยข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องคือฝั่งกองทัพไทใหญ่นั่นเอง ดังนั้นไทยเองต้องควรจับตาเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไม่กะพริบตา กระสุนนัดแรกแน่นอนว่าไม่ได้มาจากฝั่งไทยแน่ และว้าก็คงไม่หาญกล้าที่จะเป็นคนเปิดก่อนแน่นอน ดังนั้นศึกนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดสงครามจากมือที่ 3 ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะผลักดันให้ไทยเข้าสู่สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มว้าที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับจีน และพยายามจะออกสื่อเสนอตัวเป็นผู้ช่วยกองทัพไทยในการรบครั้งนี้ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วศักยภาพของกลุ่ม RCSS ไม่สามารถเทียบว้าได้ เพียงแต่อยู่ในชัยภูมิที่ดีและหากศึกดอยหัวม้าไทยชนะ RCSS ก็หวังว่าจะได้ฐานที่ดอยหัวม้านี้กลับมาใช้ประโยชน์กับกลุ่มของตนอีกครั้ง เหมือนสมัยครั้งที่ฐานนี้เป็นของขุนส่าซึ่งตอนนั้นขุนส่าอยู่กับเจ้ายอดศึกนั่นเอง

คนไทยเองก็ควรที่จะเพลาๆ ความคลั่งชาติลงบ้าง เรารักชาติได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับใครจนคู่กรณีตัวจริงเอาเราไปชนกับคู่ปรับของเขาแทน สุดท้ายเอย่าหวังว่ากองทัพไทยก็น่าจะมีวิธีในการติดต่อกองทัพว้าโดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพากลุ่มที่ด้อยค่ากองทัพนะคะ

ว่าไปแล้วว้าก็ไม่ใช่ผู้ผลิตยาเสพติดกลุ่มเดียวอย่างที่เราคิดเสมอไป ล่าสุดกลุ่ม PDF ได้ตั้งโรงงานในบ่อนตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ. พบพระ จ. ตาก อาศัยพื้นที่อิทธิพลของ พันเอก ไซ จอ ละ หรือ โกไซ ผลิตยาและขนเป็นกองทัพมดเข้ามาในไทยเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าเงินสนับสนุนจากตะวันตกลดลง และรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางไม่พอเพราะด่านจากที่เคยเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำกลับมีด่านลอยเพิ่มขึ้นมา 10 เท่าในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่มีสงครามที่เมียวดี นั่นทำให้รายได้ที่จัดเก็บในแต่ละด่านลดลงอย่างชัดเจน งานนี้ทหารไทยก็เหนื่อยหน่อยนะคะ แต่เอย่าและคนไทยอีกจำนวนมากเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปมปัญหาสงคราม ‘ไทย-ว้า’ ส่อจบบนโต๊ะเจรจา หลังผู้นำระดับสูงกลุ่มว้า ปูดทางการไทยขอคุยหาทางออก

หลังจากข่าวไทยกับว้ากระพือในโซเชียลทั้งฝั่งไทย จีน และเมียนมาก็มีข่าวออกมาในทำนองเดียวกันหมด อีกทั้งข่าวจากฝั่งว้าเองว่าจะไม่ถอยก็มีการยืนยันออกมาแล้วว่าจริง แม้กองทัพภาคที่ 3 จะออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งสวนทางกับคลิปที่หลุดว่อนโซเชียลที่ถูกถ่ายทั้งจากผู้เห็นเหตุการณ์เองหรือแม้กระทั่งจากบนรถทหาร นั่นเป็นการตอกย้ำว่าไทยเรากำลังใกล้เข้าสู่สงครามอย่างจริงจังแล้ว

คำถามคือทำไมกองทัพภาคที่ 3 ถึงออกแถลงโดยมีเนื้อหาดังว่า

1. กองทัพภาคที่ 3 มีพื้นที่รับผิดชอบตามแนวชายแดน ความยาวประมาณ 1,926 กิโลเมตร โดยมีภารกิจที่สำคัญ ได้แก่

1.1 การปกป้องและรักษาอธิปไตยของชาติ

1.2 การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย ตามแนวชายแดน

1.3 การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน

1.4 การป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่สำคัญ ได้แก่ ยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และอื่นๆ

2. กองทัพภาคที่ 3 ได้ปฏิบัติตามขอบเขตของอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และได้ปฏิบัติการตามพันธกิจของกองทัพบก โดยใช้กลไกความร่วมมือที่มีอยู่ในทุกระดับ ได้แก่

2.1 คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee : TBC) ได้แก่ คณะกรรมการฯ TBC แม่ฮ่องสอน – ลอยก่อ และ คณะกรรมการฯ TBC แม่สาย – ท่าขี้เหล็ก

2.2 คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) กองทัพภาคที่ 3 - สำนักปฏิบัติการพิเศษที่ 4 กองทัพเมียนมา

2.3 คณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) กองบัญชาการกองทัพไทย – กองทัพเมียนมา ในการแก้ปัญหาจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก โดยการพูดคุยกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันให้ปัญหายุติโดยเร็ว โดย กองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยในทุกพื้นที่

3. เส้นเขตแดนระหว่างไทย – เมียนมา ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย ถึง จังหวัดระนอง รวมทั้งพื้นที่ทางทะเลยังไม่สามารถปักปันเขตแดนร่วมกันได้ครบทุกพื้นที่ ซึ่งบริเวณที่ปรากฏต่อสื่อมวลชนดังกล่าว ยังไม่มีการสำรวจ และปักปันเขตแดน ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 3 ได้ดำเนินการตามขั้นตอนในข้อ 2 ทุกระดับแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐ

4. กองทัพภาคที่ 3 ขอยืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่ในภาวะปกติ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งความสัมพันธ์ตามแนวชายแดนยังคงอยู่ในระดับ  ที่ดีต่อกันกองทัพภาคที่ 3 พร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ และพี่น้องชาวไทยอย่างดีที่สุด

คำถามคือหากทุกอย่างยังปกติดีแล้วจะมีการเสริมกองทัพและยุทโธปกรณ์ทำไม การประกาศครั้งนี้จึงกลายเป็นตลกฉากใหญ่ฉีกหน้ากองทัพไปโดยสิ้นเชิง

ตามข้อมูลที่เอย่าได้มาจากแหล่งข่าวของผู้นำระดับสูงของว้าแจ้งมาว่าตอนนี้ทางการไทยต้องการจะเจรจาเพื่อหาทางออกของกรณีพิพาทนี้

เฉกเช่นที่เคยได้ยินมาจากภาพยนตร์ไทยเรื่องทวิภพ หรือ Siam Renaissance บทหนึ่งที่แม่มณีกล่าวว่า

"แสนยานุภาพจะกะไรนักหนา หากรู้จักเจรจา"

จากคำกล่าวนี้ตีความได้ว่าเราสามารถจบศึกได้ด้วยการพูดคุยเพียงแค่นั้น และอย่าลืมว่าไทยเรามีวาทศิลป์ที่ยอดเยี่ยมถึงขั้นที่ฝรั่งหัวทองเคยให้คำกล่าวถึงการเจรจาทางการทูตของไทยว่า "Siamese Talk" ถึงสุดท้ายไทยจะรบกับว้าหรือไม่ คงไม่ใช่สิ่งสำคัญ  แต่เรื่องสำคัญกว่าที่กองทัพไทยมองอาจจะเป็นเรื่องผลกระทบต่อคนในพื้นที่อันเป็นผลที่ตามมาหากเปิดฉากทำสงครามกับว้าก็เป็นได้

เหตุเรือรบเมียนมา เหิมเกริมยิงเรือประมงไทย ชี้! อาจมีอะไรที่ผิดวิสัยมากกว่าประมงล้ำน่านน้ำ

(2 ธ.ค. 67) วิเคราะห์จากอีกด้านเหตุเรือตรวจการเมียนมายิงเรือประมงไทย

จากกรณีเกิดเหตุทหารเรือพม่าไล่ยิงเรือประมงไทยขณะเข้าไปทำการประมง จนเป็นเหตุให้ลูกเรือประมงซึ่งกระโดดหนีลงน้ำเสียชีวิต 2 ราย และถูกจับ 31 ราย ในจำนวนนั้นมีคนไทย 4 รายนั้น จน ณ ตอนนี้มีเพียงข่าวที่ออกมาว่าทางการเมียนมาพบว่าเรือดังกล่าวรุกน่านน้ำเมียนมาจึงทำการยิง  แต่จากที่เอย่าได้สอบถามกูรูทางการทหารระหว่างประเทศมาวันนี้เอย่าจะมาวิเคราะห์จากอีกมุมให้ได้รับทราบกัน

ในอดีตที่ผ่านมาประเด็นเรือประมงไทยรุกน่านน้ำเมียนมาก็เคยมีให้เห็นอยู่บ้างแม้ว่าในไทยจะน้อยลงในช่วงหลายปีที่นายกลุงตู่เข้ามาบริหารประเทศก็ตาม  แต่หากสืบค้นไปในอดีตพบว่าการทำประมงรุกน่านน้ำมีมาแต่ก่อนแล้ว แต่ในอดีตทางการเมียนมาก็จะทำการผลักดันและจับกุมกลับมาส่งไทยก็แค่นั้นไม่เคยมีการลงไม้ลงมือถึงขั้นยิงกันมาก่อน

นักวิเคราะห์แหล่งข่าวของเราเปิดเผยต่อว่า การยิงเรือประมงจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เรือประมงดังกล่าวไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่หลบหนีหรือมีพฤติกรรมต่อต้านเรือตรวจการฝั่งเมียนมา หรือไม่ก็เรือดังกล่าวอาจจะมีความน่าสงสัย เช่น การขัดขืนการจับกุมของทางการเมียนมาหรือตรวจพบบางสิ่งผิดปกติ อาทิ การส่งมอบอาวุธหรือสิ่งอื่น ๆ ผิดกฎหมาย ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ฝั่งเมียนมาเลือกที่จะยิงเรือประมงของไทยก็เป็นได้

แม้ตอนนี้เหตุการณ์บนหน้าสื่อจะออกมาเพียงแค่ว่าเรือประมงไทยรุกน่านน้ำเมียนมาก็ตาม  แต่ล่าสุดมีรายงานออกมาจากแหล่งข่าวฝั่งเมียนมาว่า  ทางกองทัพเมียนมาได้ข่าวมีการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายบริเวณชายขอบทะเลระหว่างไทยเมียนมา  ดังนั้นกองทัพเรือเมียนมาจึงลาดตระเวนในบริเวณน่านน้ำที่ได้ข่าวมา ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ไปพบกับเรือประมงไทยที่รุกน่านน้ำ จำนวน 15 ลำ เมื่อกองทัพเรือเมียนมากำลังเข้าจับกุม มีเรือขัดขืนและยิงต่อสู้ ทำให้กองทัพเมียนมาต้องยิงปะทะจนเกิดเหตุดังกล่าว

เอย่ามองว่าในสถานการณ์เช่นนี้เราไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของคนที่ยั่วยุให้หวังเกิดปัญหาระหว่างชายแดน  เราควรจะหาสาเหตุกีอนว่าเกิดอะไรขึ้นมิใช่ด่วนตัดสินว่าฝั่งที่เป็นคนของเราทพำถูกเสมอและอีกฝ่ายทำผิดเสมอ  เพราะอย่าลืมว่าไม่มีใครอยากรับบทตัวร้ายถ้าไม่จำเป็น

วิกฤตชายแดนส่อลุกลาม กองทัพว้าท้าอธิปไตย ปักธง 5 ฐานคุกคามชายแดนไทย ดอยหัวม้าอาจเป็นสนามรบ

โลกเราไม่ไกลกับคำว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ฉันใด ณ วันนี้รู้หรือไม่ว่าไทยเราใกล้จะเกิดสงครามในบ้านตัวเองแล้วฉันนั้นเช่นกัน สืบเนื่องจากประเด็นเขตแดนสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย บริเวณดอยหนองหลวง และ ดอยหัวม้า ด้านตรงข้ามพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในจุดนี้เป็นของแผ่นดินไทย จุดนี้สมัยก่อนไทยใช้เป็นกันชนโดยกองกำลังชนกลุ่มน้อยในยุคคอมมิวนิสต์แผ่อำนาจจากฝั่งพม่า แต่กองกำลังเข้ามายึดได้และประจำอยู่จุดนี้มามากกว่า 30-40 ปีได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานแล้วแม้ฝ่ายไทยจะพยายามผลักกันแต่ไม่สามารถบรรลุผล

ชนวนเหตุมีอยู่ว่าเมื่อทางการไทยทำการปักปันเขตแดนแต่กองกำลังว้ากลับไม่ยอมถอยร่นเข้าไปในดินแดนฝั่งเมียนมา โดยล่าสุดมีการประชุมจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 10.00-10.30 น. ตามแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังว้า ว่าทางการไทยเรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหารือเรื่องการให้กองกำลังว้าถอยออกไปนอกแผ่นดินไทย ซึ่งการประชุมครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายว้าอย่างรุนแรง โดยฝ่ายไทยกำหนดเส้นตายให้เวลาแค่ 30 วันในการถอนกำลังออกจากดอยหัวม้า ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบนิ่งและว้าเหมือนจะยอมปฏิบัติแต่โดยดี แต่ข่าวกรองจากแหล่งข่าวฝั่งว้าระบุว่า หลังการประชุมเสร็จสิ้น กองกำลังว้าสั่งซื้อโดรนศึกและอาวุธจากจีนเทา พร้อมทั้งเสริมอาวุธหนักจากสหพันธรัฐว้าเหนือเข้ามาในบริเวณดังกล่าว

นอกจากฐานหัวม้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว กองกำลังว้ายังมีฐานอีก 5 ฐานที่รุกล้ำดินแดนไทยได้แก่ 
1. ฐานกองเฮือบิน อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
2. ฐานกิ่วช้างกั๊บ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
3. ฐานดอยไฟ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
4. ฐานดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
5. ฐานดอยหัวไก่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

คำถามคือทำไมว้าถึงไม่ยอมเสียพื้นที่ตรงจุดนี้ถึงขั้นยอมแม้กระทั่งเปิดสงครามกับไทยนั่นก็เพราะว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีแหล่งผลิตยาเสพติดอยู่ 5 แหล่งอันได้แก่ เมืองขุนน้ำรวก เมืองท่าใหม่ บ้านแม่โจ๊กในเมืองสาด บ้านนากองมูในเมืองโต๋นและบ้านเปียงเลา

คำถาม ณ วันนี้คือ ไทยพร้อมรบกับกองกำลังว้าแล้วหรือยัง อีกทั้งมีแผนอพยพคนในพื้นที่อย่างไร แผนสำรองอย่างไร เพราะจากวันนี้เหลือไม่ 30 วันแล้วหากสงครามเกิดขึ้นจริง เพราะไทยห่างสงครามไปถึง 13 ปีแล้วนับตั้งแต่สมรภูมิภูมะเขือและไทยได้เสียเขาพระวิหารไปในตอนนั้น แต่เอย่าก็ยังมั่นใจว่าทหารไทยเรายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องที่จะไม่ยอมให้เสียดินแดนแม้ว่าตารางนิ้วเดียวและนี่อาจจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้หากบางกลุ่มหรือบางประเทศที่อยากจะมาแบ่งแยกประเทศไทยหรือยึดเอาดื้อๆ จากการทำสัญญาอะไรก็ตาม

เลือกตั้ง ‘ประธานาธิบดี’ ทำสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป เมื่ออเมริกาเปลี่ยนมือ กระทบ!! นโยบาย ‘เมียนมา’ ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจเดินหน้า สานสัมพันธ์

เมื่อไม่นานมานี้ ยูเครนได้ทำการโจมตีที่มั่นทางการทหารในรัสเซียตามที่อเมริกาส่งสัญญาณใช้อาวุธที่ทางนาโต้มอบให้จู่โจมรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีปูตินได้เคยประกาศกร้าวแล้วว่าใครทำแบบนี้จะถือว่าเป็นศัตรูกับรัสเซียและรัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างไม่ปรานี

นี่เป็นคำสั่งท้าย ๆ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดนก่อนที่เขาจะหมดวาระในวันที่ 20 มกราคม 2568 นี้  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าการที่โจเลือกที่จะสั่งให้ยูเครนทำแบบนี้ก็เพราะต้องการสร้างความยากลำบากให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์

แต่ยูเครนไม่ใช่สงครามเดียวที่อเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะยังมีสมรภูมิอื่นที่ยังเดือดอยู่เช่นกัน แต่ 1 ในสมรภูมิเหล่านั้นคือสมรภูมิในเมียนมา

เป็นที่แน่ชัดเสียยิ่งกว่าชัดจากการที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงโดยให้การสนับสนุนทั้งเงินทุน อาวุธรวมถึงการฝึกทางยุทธวิธีให้แก่กองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณชายแดนไทยและใช้ไทยเป็นที่มั่นในการนำเงินเข้ามาผ่านตัวแทนนายหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย รวมถึงผ่านองค์กร NGO ต่างๆ รวมทั้งองค์กรที่มีการโฆษณาเปิดเผยว่าฝึกกองกำลังชาติพันธุ์ไว้ต่อต้านกองทัพรัฐบาลกลางของเมียนมาอย่าง Free Burma Ranger เป็นต้น นี่ยังไม่นับรวมพวกท่านทูตหัวทองที่ผลัดกันมาเยี่ยมเยียนเมืองชายแดนไทยติดเมียนมากันอย่างมิได้ขาดสายจนคนย่านนั้นเขารู้กันไปทั่ว

ประเด็นคือโจ ไบเดนจะปั่นให้ฝั่งเมียนมาลุกเป็นไฟอีกไหม เพราะดูจากนโยบายที่ทรัมป์ออกมาน่าจะส่งผลดีต่อเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินที่อเมริกาในยุคของโจ ไบเดน หยอดเข้ามาให้ทำสงครามก็ไม่สามารถพิชิตกองทัพเมียนมาได้อย่างเด็ดขาด จนบางทีไบเดนอาจจะไม่รู้ว่า กองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าทำสงครามเป็นธุรกิจเช่นเดียวกัน

หากสถานการณ์ในเมียนมาสงบไปจนถึงวันที่ทรัมป์รับตำแหน่งมีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์จะพยายามกลับมารักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเมียนมาเพื่อเป็นการสกัดกั้นการขยายอำนาจของจีนมาสู่อ่าวเบงกอลมากกว่าเลือกที่จะสนับสนุนสงครามตัวแทนที่เห็นผลอยู่แล้วว่าไม่มีผลดีต่อสหรัฐเลยไม่ว่าด้านใด

เช่นเดียวกันหากปราศจากการอัดฉีดจากอเมริกาอำนาจของพรรคการเมืองในไทยบางพรรคที่ใช้ทุนจากตะวันตก หรือเหล่านายหน้าต่างด้าวที่เคยเป็นนายหน้าตัวกลางไซฟ่อนเงินก็อาจจะตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน

ยิ่งคนไทยตื่นรู้จักภัยคุกคามจากคนต่างด้าวกลุ่มนี้แล้วด้วย เราก็จะได้เห็นการแฉออกมาเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับฝ่ายการเมืองและกองทัพที่จะรักษาเสถียรภาพคนไทยอย่างไร

ปักกิ่งชิงเดินเกมเหนือสหรัฐ เสริมสัมพันธ์เมียนมา

(19 พ.ย. 67) จีนชิงลงมือก่อนสร้างพันธมิตรกับเมียนมาก่อนสหรัฐ ไม่นานมานี้มีข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ฝั่งเมียนมาว่าทางรัฐบาลจีนได้จับกุม เผิง ต้า ซุน ผู้นำกองกำลังโกกั้ง (MNDAA) ที่บ้านพักในเมืองคุนมิง ประเทศจีน. ตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  เนื่องจากทางจีนต้องการให้ทางกองกำลังโกกั้งคืนเมืองล่าเสี้ยวให้กับรัฐบาลเมียนมา  นอกจากนี้ เป่า จุน เฟิง รองผู้บัญชาการกองกำลังว้า (UWSA) ที่ถูกควบคุมตัวจากปฏิบัติการ1027 ก็มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มจีนเทาในเมืองเล้าก์ก่าย  ซึ่งขณะนี้ก็ยังถูกควบคุมตัวต่อไปเพื่อกดดันกลุ่มกองกำลังว้าที่คอยให้การช่วยเหลือกแงกำลังโกกั้ง เข้ายึดเมืองล่าเสี้ยวจากกองทัพเมียนมา

การแสดงของเช่นนี้เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดแล้วถึงรัฐบาลจีนที่พยายามจะดึงรัฐบาลทหารเมียนมาเข้ามาเป็นพวกโดยพยายามที่จะสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว  ซึ่งต่างจากในอดีตที่รัฐบาลจีนจะเป็นผู้สนับสนุนกองกำลังโกกั้งและว้า

ผมเปลี่ยนทิศของจีนครั้งนี้เป็นการเลือกข้างที่ชัดเจนครั้งแรกตั้งแต่มีการรัฐประหารแม้จีนจะเอ่ยปากกับทางเมียนมาว่าจีนยอมรับรัฐบาลทหารเมียนมาและพยายามช่วยเหลือด้านต่างๆให้แก่เมียนมา  แต่ก็ยังไม่มีครั้งใดที่ชัดเจนเท่าครั้งนี้ที่ถึงกับยอมหักคอพันธมิตรเก่าอย่างว้าและโกกั้งเพื่อให้ศิโรราบต่อกองทัพเมียนมา

จากข่าวสารที่ปรากฏออกมาหากทางจีนสามารถกดดันจนกองกำลังโกกั้ง ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงกับกองทัพเมียนมาได้เมื่อไร ทางกองทัพเมียนก็จะสามารถเข้ายึดคืนเมืองล่าเสี้ยวและพื้นที่สำคัญในยุทธศาสตร์ในรัฐฉานตอนเหนือได้อย่างเบ็ดเสร็จเป็นอันปิดฉากการรบทางเหนืออย่างถาวรและก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่จีนจะได้ตอบกลับมานั้นย่อมเป็นผลประโยชน์อันมหาศาลที่ทางรัฐบาลเมียนมาจะให้ในอนาคตนี่ไม่นับกับการลงทุนที่จีนได้ลงทุนไปแล้วในนโยบายเส้นทางสายไหมยุคใหม่ที่จะเปิดเส้นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียผ่านเมียนมาลงสู่ทะเลทางอ่าวเบงกอล

ล่าสุดฝั่งอินเดียก็มีข่าวเรื่องกดดันขับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่อยู่ในเมืองชายแดนเมียนมาอย่างรัฐมิโซรัม มณีปุระ นาคาแลนด์ และอรุณาจัลประเทศให้กลับสู่มาตุภูมิเช่นกัน  คงเหลือเพียงแนวรบฝั่งไทยว่าหลังการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีสหรัฐทางฝ่ายความมั่นคงไทยจะเลือกปฏิบัติต่อเมียนมาอย่างไร

เมื่อไบเดนพลาด ทรัมป์อาจพลิกกระดาน ใช้การทูตฟื้นสัมพันธ์ ลดแซงชั่นเนปิดอว์

เป็นที่ทราบกันมาพอสมควรถึงการที่ชาติตะวันตกให้การช่วยเหลือกองกำลังป้องกันตนเอง (PDF)​ และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตมีการส่งทั้งกำลังบำรุงและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งไทย

และสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคือการทะลักของผู้อพยพไปยังประเทศรอบข้างเมียนมาไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดียและไทย แต่ทว่าจีนกับอินเดียก็ใช้นโยบายผลักดันคนที่แห่หนีออกมาให้กลับประเทศซึ่งต่างจากไทยที่อ้าแขนรับแถมจะทำให้อยู่แบบถูกกฎหมายเสียด้วย

เอาเป็นว่าเอย่าขอไม่บ่นเรื่องนี้แต่มาเข้าเรื่องระหว่างอเมริกากับเมียนมาดีกว่า ในสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาและชาติตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยทั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี เราจะเห็นได้จากคลิปที่หลุดออกมาตามสื่อโซเชียลจนบางทีก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ถ่ายภาพเบื้องหลังให้ชมกัน แต่การสนับสนุนทั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็ดี ชนกลุ่มน้อยก็ดีเป็นการผลักดันให้กองทัพเมียนมาหันหน้าหาจีนและรัสเซียมากขึ้น ยิ่งจีนและอินเดียเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับรัสเซียด้วยแล้วทำให้เส้นทางตะวันตกจากจีนสู่อินเดียหากสงครามในเมียนมาสงบลงดินแดนฝั่งนี้แทบจะเป็นของกลุ่มโลกใหม่ทั้งแถบ

ซึ่งคิดว่านี่เป็นเกมส์ที่ไบเดนก้าวพลาดมาก แต่ทรัมป์ก็น่าจะมองเห็น หากทรัมป์ยังให้การสนับสนุนสงครามต่อไป ไม่เพียงแต่เมียนมาจะยิ่งตอบโต้อย่างแข็งกร้าวกับสหรัฐมากขึ้น และถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์สงครามโลกจริงละก็ ประเทศอย่างเมียนมาจะเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนด้านอาหารแก่ประเทศที่เป็นพันธมิตรเขา

เอย่ามองว่าทรัมป์น่าจะใช้วิธีทางการทูตเข้าหากองทัพเมียนมา ลดหรือเลิกการแซงชั่นอันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของ 2 ประเทศดีขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องเหล่านี้อาจจะลุกลามไปถึงการเลิกสนับสนุนกลุ่มต่อต้านหรือพลิกขั้วขายกลุ่มต่อต้านให้รัฐบาลเมียนมานั้นไหมก็ไม่อาจจะทราบได้คงต้องดูต่อไป แต่ที่สำคัญคือจะเหลือทางไหนที่จะให้สหรัฐเดินเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มากกว่า

งานนี้ดูว่าจะมีความเป็นไปได้โดยเฉพาะการที่ทรัมป์แสดงออกในการไม่แยแสคนต่างด้าวในประเทศตนเองพร้อมไล่ออกจากสหรัฐนี่ก็เป็นการแสดงออกว่าจากนี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาคงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนในอดีตอีกต่อไปแน่นอน

ส่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ‘นางงามเมียนมา’ ทิ้ง เหตุรับไม่ได้กับพฤติกรรมเจ้าของเวที – วิธีให้คะแนนไม่แฟร์

ช่วงที่ผ่านมาเหมือนจะมีประเด็นใหญ่อยู่ 2 เรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศไทย

เรื่องแรกเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จบกับเวทีนางงามที่มีแต่เรื่องฉาวได้ทุกปี และปีนี้ก็เช่นกันกับเรื่องที่เกิดกับนางงามตัวแทนของเมียนมาและผู้จัดของเขา แต่ความต่างอยู่ตรงที่ฝั่งนางงามและผู้จัดขอยกเลิกสัญญาและไม่รับตำแหน่งด้วยเหตุผลการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องการโหวตที่ทางผู้จัดฝั่งเมียนมาอ้างว่ามีคนของเจ้าของฝั่งไทยพยายามให้โหวตโดยจ่ายเงินนอกระบบและรางวัล Country Popular Vote ที่ในนาทีสุดท้ายก่อนประกาศผลนางงามเมียนมาอยู่ในอันดับ 1 แต่ปรากฏว่าพอประกาศกลับไม่ใช่ชื่อเขา โดยเจ้าของฝั่งไทยออกมาบอกว่านับผลโหวตแค่นี้  Follower ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ดูคงจะไม่แฟร์กระมัง  

อย่างไรก็ตามทั้งนางงามและผู้จัดฝั่งเมียนมาเลือกจะทิ้งมงกุฎและยกเลิกสัญญาหรือกล่าวง่าย ๆ คือเลือกจะทิ้งอนาคตเพราะความไม่เป็นธรรมนั้น แต่ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าที่น่าตกใจคือผู้จัดฝั่งไทยกลับเป็นคนเล่นนอกเกมขุดคุ้ยอดีตมาด่า รวมถึงกล่าวหาว่าผู้จัดเมียนมาขายบริการและนางงามเมียนมาอยากได้ที่ 1 เพราะมีเสี่ยมาเปย์ หากข้อสังเกตของผู้เขียนเป็นจริงคือมันเป็นการเล่นนอกเกมส์ที่สกปรกมาก และไม่ดูเป็นมืออาชีพเลย อีกทั้งในโซเชียลฝั่งไทยก็ผสมโรงจนเหมือนดูจะขาดสติทั้งที่ควรจะคิดพิจารณาก่อนว่าใครเป็นผู้เสียโอกาสจากการเลือกทำแบบนี้แต่เขายังเลือกที่จะทิ้งโอกาสนั่นแปลว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือไม่

อีกทั้งการประกวดในปีนี้ได้มีหลายประเทศทั้งขอถอนตัวและถูกถอนออกก่อนไปนับ 10 ประเทศได้ ถ้าเอาคร่าว ๆ แค่ประเทศที่เป็นเรื่องนอกจากเมียนมาแล้วก็ยังมี

1. กัมพูชา ที่ทางกองประกวดอ้างว่าไม่มีความพร้อมในการจัดการประกวดกรณีมีคลิปหลุดเรือทานอาหารแต่ภายหลังก็มีภาพเรือที่ถูกเตรียมไว้หลุดออกมาพร้อมกับเหตุผลวว่าผู้จัดฝั่งไทยขอเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเพราะในขณะนั้นอาหารยังไม่เสร็จเพราะผู้จัดไม่รอ

2. ยูเครน โดยมิสแกรนด์ยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าเธอขอถอนตัวเพราะเธอไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาในการประกวด 11 วันในการเก็บตัวเธอต้องตื่นและเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงดึกดื่น ทั้งที่เธอเป็นไข้สูง 37.5-38.2 ตลอดทั้งวัน ทำให้เธอไม่สามารถรับได้ถึงมาตรฐานการประกวดเพราะแพทย์ประจำตัวของเธอที่พัทยาและแพทย์ของโรงแรม Wyndham พัทยา ได้บันทึกถึงสุขภาพที่เสื่อมลงของเธอ ซึ่งยืนยันว่าความดันโลหิตของเธออยู่ในระดับอันตราย นั่นทำให้เธอเลือกจะเก็บชีวิตมากกว่าเลือกจะชิงมงกุฎ

3. กรณีล่าสุดคือการปลดนางงามตัวแทนหมู่เกาะเวอร์จิ้น ของสหรัฐอเมริกาโดยให้เหตุผล 3 ข้อคือ
- เปลี่ยนแปลงสายสะพายอย่างเป็นทางการอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ทำลายโลโก้ขององค์กรและบ่อนทำลายความสำคัญของตำแหน่งที่ได้รับ
- ล้มเหลวในการใช้บริการเที่ยวบินที่องค์กรจัดให้ ส่งผลให้สูญเสียเงินหลายพันเหรียญสหรัฐ
- ไม่สนใจเสื้อผ้าที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการซึ่งองค์กรจัดซื้อและจัดเตรียมโดยผู้สนับสนุน โดยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการออกแบบชุดประจำชาติเดิม และไม่สวมชุดราตรีที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบควบคู่ไปกับองค์กรที่ได้รับการอนุมัติล่วง

เอาเป็นว่าเรื่องแบบนี้ผู้อ่านลองไปใช้ความคิดพิจารณาเองว่าทำไมการประกวดอื่นๆก็น่าจะมีปัญหาไม่ต่างกันแต่กลับไม่เคยมีข่าวพวกนี้ออกมา แต่ที่สำคัญคือการวิจารณ์ใดๆก็ตามที่เป็นการกระทำที่บูลลี่ทั้งต่อนางงามและผู้อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะนี่เราคือภาพลักษณ์ของประเทศไม่ใช่แค่ปัจเจกชนที่แสดงออกสู่สายตาชาวโลก อย่าลืมว่าถ้าเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกชาติเราหรือคนในชาติเรา ก็ควรเริ่มต้นจากการไม่ดูถูกใครเช่นกัน

อีกเรื่องเป็นเรื่องที่ ครม. เห็นชอบจะมอบสัญชาติไทยให้แก่ คนไร้สัญชาติ 483,000 คน โดยตั้งเป้ามอบให้แก่คน 4 กลุ่มที่เป็นผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน
กลุ่มที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน
กลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน
ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน
กลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน

ประเด็นคือทาง ครม. รับทราบไหมว่าที่ผ่านมามีการคอร์รัปชันทางทำบัตรหัว 0 และสวมบัตรคนตายกันมากมาย โดยเฉพาะราคาสวมบัตรคนตายพุ่งไปเป็นหลักล้านและนั่นเองทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าจำนวนนี้คือจำนวนที่แท้จริง แต่นี่คือการฟอกขาวในคนต่างด้าวจำนวนหนึ่งที่มีเงินพอหาซื้อบัตรหัว 0 หรือบัตรคนตายเข้ามาเป็นคนไทยได้อย่าง

เอย่าขอแนะนำว่ารัฐบาลควรให้มีการสอบสัมภาษณ์ด้วยก็ดีนะ ถ้าอยู่ไทยมานานจริงควรพูดไทยได้ อ่านไทยคล่อง เขียนไทยเป็น มิฉะนั้นคงได้ฟอกขาวให้ตนบางคนได้เป็นคนไทยสมใจอยาก

‘เมียนมา’ เตรียมเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘BRICS’ เพื่อยกระดับ!! บทบาทของตน ในเวทีระดับโลก

(23 ต.ค. 67) ไม่นานมานี้มีสำนักข่าวหลายสำนักไม่ว่าจะมาจากฝั่งอินเดียหรือจีนรายงานตรงกันว่าเมียนมากำลังดำเนินการสมัครเข้าเป็นประเทศในกลุ่ม BRICS  ก่อนอื่นที่เราจะมารู้ว่าทำไมเมียนมาถึงสมัครเข้า BRICS เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า BRICS คืออะไร

BRICS เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกผู้ก่อตั้ง 4 ประเทศ คือ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน ในปี 2009 ซึ่งเริ่มแรกใช้ชื่อกลุ่มว่า BRIC โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละประเทศมาเรียงต่อกัน ต่อมาได้รับแอฟริกาใต้เพิ่มเข้ามาในปี 2010 ทำให้เปลี่ยนไปเป็น BRICS และใช้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าต้นปี 2024 จะรับสมาชิกเพิ่มมาอีก 5 ประเทศอันได้แก่  อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และล่าสุดมี 34 ประเทศที่ยื่นคำร้องขอเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว อันได้แก่ แอลจีเรีย อาเซอร์ไบจาน บาห์เรน บังกลาเทศ เบลารุส โบลิเวีย คิวบา ชาด สาธารณรัฐคองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย คาซัคสถาน คูเวต ลาว มาเลเซีย เมียนมา โมร็อกโก นิการากัว ไนจีเรีย ปากีสถาน เซเนกัล ซูดานใต้ ศรีลังกา ปาเลสไตน์ ซีเรีย ไทย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกิสถาน เวเนซุเอลา เวียดนาม และซิมบับเว

ข้อดีของการเป็นสมาชิกใน BRICS มีหลายประการกล่าวโดยสรุปคือ

1. การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศตนในเวทีระหว่างประเทศ 

2. ทำให้ประเทศที่เป็นสมาชิกมีจุดยืนในฐานะพหุภาคีและความสมดุลระดับโลก 

3. โอกาสที่จะเข้าถึงการลงทุนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อันยกระดับให้ประเทศมีการพัฒนามากขึ้น

4. สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาค

5. ได้รับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า

เฉกเช่นเดียวกันกับไทยที่มองหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลทหารเมียนมาก็แสวงหาลู่ทางในการที่จะลืมตาอ้าปากจากการถูกแซงชั่นจากประเทศตะวันตกและประเทศพันธมิตรของตะวันตกโดยมีหัวหอกเป็นอเมริกาด้วยเช่นกัน  จากที่เอย่าคาดการณ์แล้วหากเมียนมาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้สำเร็จ เมียนมาจะบรรลุถึงการส่งออกสินค้าเกษตรของตนไปยังตลาดใหม่ๆโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศของ BRICS เอง  อีกทั้ง BRICS ยังเปิดโอกาสทางการค้าที่เสรีโดยไม่จำเป็นต้องค้าขายผ่านสกุลเงินใครเป็นสกุลเงินหลักแต่เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจผ่านสกุลเงินของประเทศตนเองได้โดยตรงอันจะช่วยให้ลดปัญหาการได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันเนื่องมาจากการใช้ระบบ SWIFT

อีกอย่างเมียนมาจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จะช่วยในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนได้มากขึ้นหลังถูกโดดเดี่ยวมาตั้งแต่รัฐประหารและประเทศในกลุ่ม BRICS ก็น่าจะเข้ามาลงทุนในเมียนมามากขึ้นด้วยเหตุที่ค่าแรงถูกและยังมีที่ดินเป็นจำนวนมากที่ที่สามารถพัฒนาได้

สุดท้ายหากเกิดสงครามขึ้นมาประเทศในกลุ่ม BRICS ก็จะได้รับการช่วยเหลือทางอาหารจากประเทศในกลุ่มสมาชิกที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลักซึ่งนอกจากไทยแล้วเมียนมาก็เป็นอีกประเทศที่มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรในราคาถูกและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีเช่นกัน

South China Morning Post ระบุในถ้อยแถลงว่าทางรัฐบาลทหารเมียนมาแสดงความปรารถนาของเมียนมาที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศ BRICS ในฐานะผู้สังเกตการณ์ระหว่างการเยือนมอสโคว์เมื่อไม่นานมานี้ และจากท่าทีของจีนและรัสเซียที่เป็นหัวเรือใหญ่ใน BRICS เชื่อว่าสามารถนำพาเมียนมาเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของ BRICS ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

การที่ทางรัฐบาลเมียนมาคิดแบบนี้น่าจะเป็น 1 ในแผนระยะยาวในการสร้างเสถียรภาพของประเทศและสร้างความเจริญที่ยั่งยืนในประเทศอันจะส่งผลให้ความขัดแย้งในประเทศจบลงไวขึ้นนั่นเอง และนั่นก็รวมถึงการผลักดันผู้คิดต่างให้ออกไปอยู่นอกวงและกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด

‘พม่า’ ทะลักชายแดนแห่ขอทำ ‘บัตรหัว 0’ คึกคัก หวังฟอกขาวได้สัญชาติไทยแม้ราคาพุ่งใบละ 3 แสนบาท

(21 ต.ค. 67) ช่วงนี้เรื่องราวฝั่งเมียนมาน่าจะไม่ปังนัก เนื่องจากดิไอคอนส่องแสงสว่างวาบไปทั่วปฐพีขนาดคนพม่ายังรู้และเป็นกระแสในวงโซเชียลเมียนมาด้วย

แต่เอย่าอยากให้พักดรามาร้อน ๆ แล้วหันมารับรู้ประเด็นร้อนในโลกความเป็นจริงที่ฟังแล้วเราควรจะปวดขมับดีหรือจะชั่งมันดี

ประเด็นแรกมีอยู่ว่าตอนนี้ตามแนวชายแดนไทยมีคนพม่าจำนวนมากเข้ามาเพื่อจะทำ ‘บัตรหัว 0’

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าบัตรหัว 0 คือบัตรอะไร? บัตรหัว 0 หรือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนไม่มีสัญชาติไทยนั่นเอง

ซึ่งหลายคนรู้จักกันในชื่อบัตรชมพู หรือบัตร 10 ปีที่เอย่าเคยเล่ามาในบทความก่อนๆแล้ว โดยข้อดีของบัตรนี้คือถ้าพ่อแม่ถือบัตรหัว 0 ลูกที่เกิดมาจะสามารถขอสัญชาติไทยได้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั่นเอง นั่นทำให้คนพม่าแห่เข้ามาเพื่อมารอทำบัตรหัว 0 กันอย่างเนืองแน่น เพราะเขาคิดว่าหากถูกถอนสัญชาติหรือพาสปอร์ตหมดอายุและไม่ต่ออายุด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็สามารถอาศัยในไทยได้ เพราะใช้บัตรดังกล่าว แถมบัตรนี้ออกโดยทางการไทยจะขอลี้ภัยไปประเทศไหนก็ง่ายดายเพราะมีข้อมูลยืนยัน

และที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้คือข้าราชการฝ่ายปกครองต่างพยายามออกบัตรหัว 0 กันอย่างคึกคัก เพราะคิดราคาต่อใบ ใบละ 200,000 - 300,000 บาทต่อคน จนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงมาลุยเองเรื่องถึงได้เงียบลง แหม่ช่างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนให้คึกคักเสียจริง

ประเด็นที่ 2 ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันว่ากันว่ามีขบวนการพม่ารับขนเด็กจากชายแดนมายังกรุงเทพโดยขบวนการนี้จะทำการสวมสูติบัตรเด็กคนอื่นที่ไปเช่ามาใบละ 500-1,000 บาท

โดยเด็กกลุ่มที่มีฐานะดีหน่อยถูกพาไปหาพ่อแม่ตัวจริงในกรุงเทพ ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายมาให้เป็นแรงงานในไทย โดยขบวนการนี้คิดค่าดำเนินการ 3,000-7,000 บาท  ข่าวว่ากันว่า กลุ่มที่ทำงานตรงนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มพม่าเชื้อสายแขกกับกลุ่มพม่าชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีข้าราชการไทยบางคนร่วมขบวนการ

เห็นเรื่องที่ 2 นี่เอย่าคิดถึงลุงตู่เลยที่ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยเราปลอดการค้ามนุษย์แต่สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับคนต่างด้าวทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ว่าแล้ว....เราควรจะวางเฉยแล้วเสพดรามากันต่อไปหรือจะเริ่มสอดส่องภัยใกล้ตัวขึ้นอยู่ตัวพวกเราด้วยกันเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top