Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 สร้างเขี้ยวเล็บด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เสริมทักษะความชำนาญเฉพาะทาง

เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 (บก.สอท.3) ณ ห้องประชุม เดอะกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม 2567 มีข้าราชการตำรวจในสังกัด บก.สอท.3 จำนวนทั้งสิ้น 160 นาย เข้ารับการฝึกอบรม

พล.ต.ต.สถิตย์ฯ กล่าวว่า บก.สอท.3 มีหน้าที่และอำนาจความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และกฎหมายอื่นอันเป็นความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน 

ปัจจุบันในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ข้าราชการตำรวจจำเป็นต้องมีความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือพิเศษ ที่เป็นความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การเก็บหลักฐานพยานของกลางในระบบดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการสืบสวนสอบสวน รวมถึงการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีนโยบายให้ดำเนินการโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของ บก.สอท.3 ในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมนำความรู้ความสามารถ และทักษะต่างๆ ที่ได้จากการฝึกอบรม ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชน สร้างความสงบสุขแก่สังคม ให้ปราศจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

‘กมธ.อุตฯ’ ติดตาม ‘เรือขนฝุ่นเหล็กแดง’ ใกล้ชิด หลังลือเข้าไทย วอนทุกหน่วยงานตรวจเข้ม ยึดความปลอดภัย ปชช. มาอันดับแรก

(21 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้แถลงข่าวถึงแนวทางการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของฝุ่นแดงจากการถลุงเหล็กซึ่งเป็นกากของเสียอันตราย

นายอัครเดช เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวว่าจะมีเรือขนฝุ่นแดง หรือฝุ่นเหล็ก ซึ่งเป็นของเสียจากการถลุงเหล็ก กากของเสียอันตรายบรรทุกขึ้นเรือขนส่งเอกชนรายใหญ่ใส่ตู้คอนเทนเนอร์เกือบ 100 ตู้น้ำหนักรวมประมาณ 816 ตัน ต้นทางจากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าปลายทางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ตามกำหนดจะถึงไทย โดยได้มีหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติในเรื่องนี้ได้แจ้งเตือนมานั้น

กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องของการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกากแคดเมียม หรือ กากของเสียอุตสาหกรรมอื่น ๆ 

ในวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ และกรมศุลกากร เข้ามาให้ข้อมูล 

โดยข้อมูลเบื้องต้นนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งว่า ฝุ่นแดงเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ไม่สามารถขนย้ายข้ามประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้ 

หากจะมีการขนย้ายเข้ามาในประเทศจะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่าในกรณีดังกล่าวไม่มีการอนุญาตให้ขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศ และไม่เคยอนุญาตให้มีการขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศมาก่อน 

ด้านกรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อ กมธ.การอุตสาหกรรม ว่า ในส่วนของเรือทั้ง 2 ลำที่ได้รับการแจ้งเตือนนั้น ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเรือลำแรกได้เดินทางออกจากท่าเรือในประเทศสิงคโปร์เดินทางสู่ประเทศจีนโดยไม่มีการจอดที่ประเทศไทย และสำหรับเรือลำที่ 2 ยังอยู่ที่ประเทศโมร็อกโกและยังไม่มีการเดินทางมายังทวีปเอเชีย 

จึงขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนให้สบายใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ขอให้กรมศุลกากรติดตามเรือทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิดต่อไป 

สำหรับการตรวจตู้คอนเทนเนอร์เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จของในตู้คอนเทนเนอร์นั้น ทางกรมศุลกากรแจ้งว่ามีการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ผ่านการ X-Ray และเปิดตู้คอนเทนเนอร์ แต่อย่างไรก็ดีอาจมีการเข้าสู่ประเทศผ่านการสำแดงเท็จอาจเกิดขึ้นได้ ทาง กมธ. จึงได้ขอให้กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป

นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ถลุงฝุ่นแดงในประเทศไทยทั้งสิ้น 8 โรงงาน ยังมีการดำเนินการอยู่ 5 โรงงาน โดยเป็นการถลุงเฉพาะฝุ่นแดงในประเทศไทยเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามทาง กมธ. ได้ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการลักลอบถลุงฝุ่นแดงจากต่างประเทศ

“คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ และขอยืนยันว่าจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนต่อไป”

“ภูมิธรรม” ล้อมวงคุย พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมมือทำงานเชิงรุก แก้ปัญหาประชาชน

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 14.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สนทนาร่วมกับพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ณ ห้องประชุมมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคในการทำงานและข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าภูมิภาค โดยนายภูมิธรรมได้เปิดโอกาสให้พาณิชย์จังหวัดแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้มีโอกาสมาพบกับทุกท่านอีกครั้ง ในรอบเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาซึ่งตนได้มีโอกาสลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจหลายจังหวัดทั้งในภารกิจของรองนายกรัฐมนตรีและภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พบกับพาณิชย์จังหวัดหลายท่านและมีการประชุมหารือและมอบหมายงานหลายครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ดำเนินการสำเร็จ ทั้งเรื่องราคาพืชผลการเกษตรที่ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการบริหารจัดการพืชเกษตรทั้งตัวหลักและพืชเกษตรตัวรอง ทำให้พืชเกษตรราคาดีทุกตัว เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประชาชน ขอให้ดำเนินการอย่างเข้มแข็ง และหลังจากนี้รัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป หากมีปัญหาติดขัดในการดำเนินการขอให้แจ้งมาที่ส่วนกลาง และตนจะช่วยผลักดันเต็มที่ ซึ่งการทำงานอยากให้ประสานพาณิชย์จังหวัดกับทูตพาณิชย์ เป็นทีมพาณิชย์ทำงานเชิงรุกและร่วมมือกับภาคเอกชน ประสานความร่วมมือในจังหวัด กลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ กลุ่ม YEC YSF และ Moc Biz Club ในจังหวัด ช่วยกันผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ อัตลักษณ์ของท้องถิ่น แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกร ขอให้ทุกคนปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ดีใจที่ได้ร่วมงานกัน และขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันทำงาน

น่าคิด!! ซีรีส์สไตล์ ‘เกาหลี-จีน-ญี่ปุ่น’ มุ่งพัฒนาเพื่อปรับพฤติกรรมคนในสังคม ส่วนไทยสไตล์ยังเวียนวน ‘ตบตี-ชิงผู้’ ร่วม 50 ปี บนเนินคิด เพื่อสะท้อนสังคม

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Suniti Kerdsongkran' ได้โพสต์มุมมองต่อแนวทางการสร้างหนังในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างค่านิยมใหม่ที่สร้างสรรค์ และปรับเปลี่ยนมุมลบบางอย่างทางสังคมให้กลายเป็นมุมบวก ระบุว่า...

ในประเทศเกาหลี สื่อเขาสร้างหนังที่พระเอกเป็นผู้ชายอบอุ่น โรแมนซ์ 

เพราะสังคมเขาผู้ชายที่แต่งงานแล้วถือว่า มีสิทธิ์เด็ดขาดในตัวภรรยา และบ้านเมืองเขา มีข่าวตบตีภรรยาในครอบครัวสูงมาก

เขาจึงใช้กลยุทธ์ของ Modeling Process สร้างค่านิยมใหม่ในสังคมให้ผู้ชายเป็นคนโรแมนติกมากขึ้น 

'นี่คือการสร้างหนังเพื่อปรับพฤติกรรม'

แม้กระทั่งในญี่ปุ่น เขาก็สร้างการ์ตูนผู้พิทักษ์ต่าง ๆ อุลตร้าแมน ฯลฯ เพื่อให้เด็กซึมซับความยุติธรรม การต่อสู้กับความชั่ว หรือในประเทศจีน ก็จะมีหนังในทำนองนี้เช่นกัน ...

ย้อนกลับมามองประเทศไทย

ทำไมละครไทยถึงมีแต่เรื่องเดิม ๆ เป็นอยู่อย่างนี้มา 50 กว่าปี

พอไปถามผู้จัด ก็ได้รับคำตอบว่า ...

"เราสร้างละครเหล่านี้เพื่อสะท้อนสังคม"

เราจะไป 'สะท้อนสังคม' เพื่ออะไร?
เพราะเราสะท้อนมา กว่า 50 ปีแล้ว 
และเนื้อเรื่องมันก็วนเวียนอยู่แค่แย่งตบตีกันแค่นั้น

ทำไมเราไม่สร้างละคร 'เพื่อนำสังคม'
เพื่อจูงใจให้เกิดพฤติกรรมดี ๆ ล่ะ

มัวแต่ไปสร้างเพื่อสะท้อนสังคม มันก็ไม่เห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมเลยสักนิด 

ในทางจิตวิทยาแล้ว สื่อมีบทบาทสำคัญมาก ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านตัวแบบ ...

‘ประเสริฐ’ คุมเข้มข้อมูลรั่วไหล เผย ‘สคส.’ สั่งปรับเอกชน ‘7 ล้าน’ ปล่อยข้อมูลส่วนตัวประชาชนหลุดถึงมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อมูลรั่วไหลภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไปกระทำความผิดกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กระทรวงดีอีว่า คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ที่รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและอื่นๆ ได้มีคำสั่งปรับบริษัทเอกชนรายใหญ่ของประเทศที่มีการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่ปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากรั่วไหลไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด รวมถึงบริษัทดังกล่าวไม่มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) และละเลยไม่แจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลให้แก่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้มีคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองบริษัทดังกล่าวในอัตราสูงสุดรวมจำนวนทั้งสิ้น 7 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) บริษัทที่ถูกร้องเรียนได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมากกว่า 1 แสนราย  และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบธุรกิจหลักของบริษัท แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายกำหนด จึงทำให้เมื่อเกิดข้อมูลรั่วไหล บริษัทดังกล่าวไม่สามารถเยียวยาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเป็นกรณีดำเนินการที่ขัดต่อมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

2) ผู้ถูกร้องเรียนดังกล่าวไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด ทำให้ข้อมูลรั่วไหลจากบริษัทดังกล่าวไปยังกลุ่มมิจฉาชีพคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 37(1) แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

3) เมื่อเกิดเหตุข้อร้องเรียนจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการแก้ไข และแจ้งเหตุให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลล่าช้า ทำให้ไม่สามารถเยียวยาได้ อันเป็นความผิดตามมาตรา    37 (4) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ยังมีคำสั่งให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยที่ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลอีก รวมทั้งได้มีคำสั่งกำชับให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนดำเนินการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงเพิ่มเติมมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัย กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และมีหน้าที่ต้องแจ้งให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงมาตรการแก้ไขดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง

“คำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองดังกล่าว เป็นคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองฉบับแรกกับบริษัท เอกชนรายใหญ่ โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ตั้งแต่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปหรือ GDPR” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง DE ได้แถลงเพิ่มเติมว่าคำสั่งปรับดังกล่าวต้องการคุ้มครองประชาชนจากปัญหากรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลที่เป็นปัญหาหลักของประเทศในตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเป็นการแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชนที่มีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ให้ต้องดำเนินการแจ้งสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด โดยคำสั่งปรับทางการปกครองฉบับนี้จะใช้เป็นมาตรฐาน และบรรทัดฐานในการพิจารณาเรื่องข้อมูลรั่วไหลในภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีการร้องเรียนเข้าที่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป และผลจากการปรับครั้งนี้จะทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนตื่นตัวในเรื่องการเคร่งครัดและปฎิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้มากขึ้น รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการป้องปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดขึ้น จากการนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่มีอยู่มากในปัจจุบันไปใช้โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังช่วยในการเยียวยาบรรเทาความเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลจากเหตุดังกล่าวข้างต้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองรองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

วันที่ 20 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรอง ดร. มาห์ยูดิน (Dr. H. Mahyudin, St., MM.) รองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ 19 - 23 สิงหาคม 2567 โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และนางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง โอกาสนี้ นายระห์หมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เข้าร่วมด้วย

ประธานวุฒิสภา กล่าวต้อนรับรองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาคสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของรัฐสภาต่างประเทศคณะแรกที่ได้ให้การรับรอง ที่ผ่านมาไทยและอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาอย่างยาวนาน ยินดีที่ปีนี้ครบรอบ 74 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการจัดตั้งกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันอยู่เสมอ และสำหรับความร่วมมือพหุภาคี สมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศให้การสนับสนุนและทำงานอย่างใกล้ชิดในประเด็นที่อยู่ในความสนใจสำคัญร่วมกัน เชื่อมั่นว่าการพบปะกันระหว่างสมาชิกรัฐสภาทั้งสองประเทศจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประธานวุฒิสภากล่าวแสดงความยินดีกับอินโดนีเซียในการสร้างเมืองหลวงแห่งอนาคต "นูซันตารา" (Nusantara) ให้เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ทันสมัยด้วยความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภาเชื่อมั่นว่าไทยและอินโดนีเซียสามารถทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน และการเปิดเส้นทางบินใหม่ระหว่างกันจะทำให้ประชาชนได้มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น 

รองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา การพบปะกันในวันนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สภาผู้แทนระดับภูมิภาคมีหน้าที่และอำนาจในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การพิจารณาพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับงบประมาณของประเทศ ภาษี การศึกษา ศาสนา  ด้วยหน้าที่และอำนาจที่มีความเป็นอิสระและมีความท้าทาย สภาผู้แทนระดับภูมิภาคของอินโดนีเซียและวุฒิสภาไทยสามารถมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นด้านนิติบัญญัติร่วมกัน เชื่อมั่นในการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับนิติบัญญัติจะนำมาซึ่งความร่วมมือ ผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นต่อไป  

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนการใช้เล่มทะเบียนรถปลอม หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน มีโทษตามกฎหมายอาญา จำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีประชาชนนำใบคู่มือจดทะเบียนรถปลอม (เล่มทะเบียนรถปลอม) หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน เบิกเงินเกินบัญชี หรือขอเครดิตด้วยวิธีการอื่น เป็นจำนวนมากซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

การปลอมแปลงเอกสารทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ แก้ไข ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หากได้กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร มีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้

ผู้ที่ทำเอกสารปลอม มีความผิดฐานทำเอกสารปลอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ เช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาซื้อขาย และสัญญาเช่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจดทะเบียน และพินัยกรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท
- การแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ที่ใช้เอกสารปลอม กรณีมีการอ้างหรือใช้เอกสารที่ปลอมขึ้นตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอม หรือพบเบาะแสว่าทีบุคคลใดรับจ้างทำเอกสารปลอม สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วน 191 และสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'Black Myth: Wukong' โกยสถิติสลุด หลังเปิดให้เล่นบน Steam 24 ชม.แรก ยอดผู้เล่นทะลุ 1 ล้านคน ขึ้นแท่นเกมขายดีอันดับ 1 รีวิวทางบวก คิดเป็น 97%

(21 ส.ค. 67) หลังจากที่เกม 'Black Myth: Wukong' เกมล่าสุดจากค่ายยักษ์แดนมังกรอย่าง Game Science เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เล่นกันแล้วเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางการรอคอยหลังเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2020 ส่งผลให้ 'Black Myth: Wukong' ขึ้นแท่นเกมที่มียอดผู้เล่นสูงทุบสถิติเกมที่มียอดผู้เล่นทะลุ 1 ล้านคนเร็วสุดบน Steam และเป็นเกม Single Player ที่มีผู้เล่นพร้อมกันมากที่สุดบน Steam ตั้งแต่เปิดให้บริการวันแรก จากการรายงานของ SteamDB

และนอกจาก 2 สถิติข้างต้นแล้ว Black Myth: Wukong ยังทำลายสถิติอื่น ๆ ด้วย โดยใน 24 ชั่วโมงแรก Black Myth: Wukong ทำสถิติดังนี้...

- ยอดผู้เล่นแตะหลัก 1 ล้านคนเร็วสุด ใน 1 ชั่วโมง หลังเปิดให้เล่น (1.26 ล้านคน)
- เป็นเกมที่ 2 ของปี 2024 ที่มียอดผู้เล่นทะลุ 2 ล้านคน ต่อจาก Palworld

- ยอดผู้เล่นพร้อมกันสูงสุดทะลุ 2.2 ล้านบัญชี แซง Palworld (2.1 ล้านบัญชี) เป็นรองเพียง PUBG: Battlegrounds ที่มียอดผู้เล่นอยู่ที่ 3.257 ล้านบัญชี  

- มียอดผู้เล่นพร้อมกัน 2.223 ล้านบัญชี แตะจุดพีคบน Steam ใน 12 ชั่วโมง
- เป็นเกม Single Player อันดับ 1 ตลอดกาลที่มียอดผู้เล่นพร้อมกันเยอะที่สุดของ Steam บน PC

- ขึ้นแท่นเกมอันดับ 1 ขายดีสุดบน Steam
- รีวิวในทางบวก 176,256 ครั้ง คิดเป็น 97% รีวิวในทางลบ 5,369 ครั้ง คิดเป็น 3%

'เพจดัง' ขยายความ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard ของ 'พิธา' สรุปแล้ว ไปเป็นนักเรียน ไม่ได้ไปเป็นอาจารย์ และไม่น่าใช่การถูกเชิญ

(21 ส.ค. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ ขอกันเข้ามาเยอะ ประเด็น คุณพิธา ในฐานะ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard หมายความว่าอะไร 

#หนูจะเล่าให้ฟัง

1. ต้องสมัครค่ะ เท่าที่อ่านดู ไม่มีอธิบายเรื่องการเชิญ โดยทั่วไปคือต้องสมัคร มีค่าใช้จ่าย ไม่แน่ใจว่าจะมีกรณีเชิญพิเศษหรือไม่นะคะ

2. ต้องเป็นนักเรียน ป.เอก หรือ PhD Vandidate (คือนักเรียน ป.เอก ที่สอบ Proposal ผ่านแล้ว) หรือ มีประสบการณ์ (Professional Experienc

3. Consider เป็น Full-Time Student ค่ะ จะสมัครเรียนได้ ต้องติดต่ออาจารย์ที่มหาลัยก่อน ให้อาจารย์รับ ถึงจะสมัครได้ แล้วจะขึ้นตรงกับภาควิชาใดภาควิชานึงของมหาลัย (Process แบบนี้ถือเป็นวิธีการสมัครเรียน ป.เอก ของอเมริกาแบบปกติค่ะ)

4. ไม่ต้องลงเรียนวิชาใดแล้ว (แต่ถ้าอยากเรียน ก็สามารถลงเรียนแบบ Audit ได้) ให้ทำเฉพาะงานวิจัยของตัวเอง เป็น Independent Research ในหัวข้อของตัวเอง จะถูก Required ให้เข้าฟังสัมมนาของมหาลัย (ซึ่งเป็นปกติของ นร. ป.เอก เช่นกัน)

5. เป็นโปรแกรมระยะสั้น ไม่เกิน 1  ปี หากครบกำหนดต้องสมัครใหม่เอง ไม่ต่อโปรแกรมอัตโนมัติ ไม่ได้วุฒิ ป.เอก แต่ได้ประกาศนียบัตร

#สรุปสั้นๆ

คุณพิธา สมัครเรียน Graduate Student ค่ะ เหมือน นักเรียน ป.เอก/PhD candidate ที่เรียน coursework ครบหมดแล้ว หรือ Postdoc และ ทำแต่งานวิจัยของตัวเองค่ะ เป็นโครงการทำวิจัยระยะสั้น และ มีกิจกรรมทำตามที่ Harvard จะให้ทำ และเป็น Non-Degree ค่ะ

ทั้งนี้ ทางเพจ ได้ตรวจสอบ พบอีกว่า นานพิธา น่าจะสมัครไว้ก่อนแล้ว เพราะถ้าไปปีนี้ ก็จะตรงกับเปิดเทอมเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ (Fall: Sep 2024 - May 2025)

ประธานวุฒิสภาเข้าร่วมการแสดงดนตรีแจ๊ส เนื่องในโอกาสที่ฮังการีดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป

เมื่อวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2567 เวลา 18.00 นาฬิกา ณ เดอะ ล็อบบี้ โรงแรม เดอะ เพนนินซูลา กรุงเทพฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เข้าร่วมชมการแสดงดนตรีแจ๊ส เนื่องในโอกาสที่ฮังการีดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Hungarian Presidency of the Council of the European Union) ตามคำเชิญของนายชานโดร์ ชีโปช (H.E. Mr. Sándor Sipos) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย พร้อมทั้งมอบของขวัญแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าว โดยมีนายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา เข้าร่วมงานแสดงดนตรีดังกล่าวด้วย 

การแสดงดนตรีแจ๊สครั้งนี้ เป็นการแสดง 'Cimbalom' หรือ 'ขิมฮังการี' ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติของประเทศฮังการี ประกอบการบรรเลงบทเพลงแจ๊สที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายเพลง รวมถึงเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” (Falling Rain) เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เน้นย้ำถึงความพิเศษของดนตรี ในฐานะภาษาสากล เปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกและสร้างความเป็นเอกภาพให้กับผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม และหวังว่าฮังการีและไทยจะร่วมกันส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสังคม ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ของประเทศทั้งสองต่อไปในอนาคต อนึ่ง มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมชมการแสดงดนตรีครั้งนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกอัครราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ในสหภาพยุโรป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top