Thursday, 3 July 2025
NEWS FEED

'ชาวบ้าน' โวย!! ฝรั่งเลี้ยงหมาพาเดินชายหาด-ไล่กัดผู้คน ทำท่องเที่ยววูบ วอน!! จนท.เร่งจัดการ เพราะไม่กล้าเคลียร์เอง กลัวทำหมาแล้วจะติดคุก

(19 ส.ค. 67) ที่บริเวณชายหาดบ้านสวนหลวง ตำบลพงศ์ประสาศน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้รับการร้องเรียนจากนายโรฟ วีเบอร์ อายุ 76 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ พักอาศัยอยู่ที่หมู่ 1 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวไทยและคนที่อยู่บริเวณชายหาดแห่งนี้ว่าถูกสุนัขเลี้ยงของชาวต่างชาติรายหนึ่งที่บริเวณชายหาดสวนหลวงไล่กัดได้รับบาดเจ็บ ขณะเดินออกกำลังกาย บริเวณชายหาด โดนหมาไล่กัดได้รับบาดเจ็บที่ขา อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาอย่างจริงจังกับเรื่องนี้

ทั้งนี้ นายโรฟ วีเบอร์ นักท่องเที่ยวชาวสวิตเซอร์แลนด์ และชาวบ้านได้ถ่ายคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน ในคลิปเห็นฝูงสุนัขจำนวน 6 ตัว 1 ใน 6 ตัวในฝูงดังกล่าวได้ไล่กัดที่ขานายโรฟ วีเบอร์ จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนายโรฟ วีเบอร์ เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่งานอยู่ต่างประเทศ ได้เดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนที่ชายหาดบ้านสวนหลวง ตำบลพงศ์ประสาศน์ อำเภอบางสะพาน แห่งนี้เป็นประจำทุกปี โดยจะมาครั้งละ 3 เดือน

นายโรฟ วีเบอร์ นักท่องเที่ยวชาวสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ขณะเดินออกกำลังกายชายหาด เมื่อช่วงย็นเวลา 17.00 น.ของวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่เดินอยู่พบฝูงสุนัขประมาณ 6 ตัวเป็นหมาพันธุ์ไทยผสมตัวใหญ่พร้อมเจ้าของ 1 คนชื่อนายมาเทียส ไม่ทราบนามสกุล เมื่อหมาเห็นตน หมาตัว 1 ตัวได้วิ่งเข้ามากัดตนที่ขาขวา ใต้หัวเข่าลงมาจนได้รับบาดเจ็บ จึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาบันทึกภาพฝูงสุนัขดังกล่าวเอาไว้ ส่วนเจ้าของหมาเป็นชาวต่างชาติเช่นเดียวกันบอกว่าอย่าไปแจ้งความนะเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนค่ารักษาจะออกให้เอง

นายโรฟ วีเบอร์ ได้ฝากบอกอีกว่า ตนมาเที่ยวที่อ่าวบ้านสวนหลวงทุกปี เคยได้ยินข่าวเหตุการณ์แบบนี้ ทุกปีที่มาทำให้รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลนั้นตนไม่ติดใจอะไร แต่ไม่อยากให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอีก จึงฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแลและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว ซึ่งชายหาดบ้านสวนหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศและชาวไทยมากันมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัยเลย

"ที่ผ่านมาเหตุการณ์สุนัขกัดนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาเดินเล่นชายหาดแห่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับชาวต่างชาติและชาวไทยที่มาเดินออกกำลังกาย เดินเที่ยวที่ชายหาดแห่งนี้ ตัวเองซึ่งอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลและช่วยเหลืออย่างจริงจังเสียที เพราะรายปีที่ผ่านมายังเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวบริเวณนี้ตลอด" นายโรฟ กล่าว

ด้านนายแซ้ม มานะแท้ อายุ 74 ปี ชาวบ้านตำบลพงษ์ประสาศน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า มีบ้านและเปิดร้านอาหารติดอยู่กับชายทะเลอยู่แถวนี้ เจอหมาอยู่ 6 ตัวเป็นหมาพันธุ์ไทยผสมเป็นประจำ ซึ่งเป็นของของชาวต่างชาติเลี้ยงไว้ เดือดร้อนมาก บางทีเด็กนั่งเล่นมันเดินมามันก็วิ่งมากัด บางทีแมวอยู่แถวนี้มันก็วิ่งขึ้นมากัด มันกัดหลายคนแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดีต่อไป คนจะมาเที่ยวเยี่ยมชมทะเลแต่ไม่กล้ามา พอนักท่องเที่ยวลงไปอาบน้ำมันยังวิ่งลงไปกัดนักท่องเที่ยว แล้วต่อไปคงจะไม่มีใครมาเที่ยว ร้านค้าที่อยู่ตรงนี้ถ้านักท่องเที่ยวไม่มีมามันก็ขาดรายได้

"แม่ค้าชายหาดอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความรับผิดชอบบ้าง เรามันทำไม่ได้หรอก ถ้าเราทำ คนไปทำหมาไปก็มีโอกาสติดคุก ขอฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะผู้กำกับ สภ.บางสะพาน ท่านนายอำเภอด้วยให้ช่วยประชาชนด้วยครับ เพราะท่านคนมีอำนาจที่จะทำได้นายแซ้มมานะแท้กล่าว" นายแช้ม กล่าว

นส.สุนันต์ ชาติชาย อายุ 51 ปี อยู่หมู่ 1 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ตนมีบ้านอยู่แถวนี้เมื่อ 2-3 ปีก่อนจะมีกิจกรรมเก็บเศษไม้เศษขยะที่ลอยมาติดชายหาดเป็นประจำจะมีชาวบ้านและชาวต่างชาติช่วยกันทำกิจกรรมนี้ตลอดแต่มาช่วงปีที่แล้วและปีนี้ตนไม่กล้าลงไปเก็บแล้ว เพราะมีสุนัขของชาวต่างชาติรายหนึ่งที่ออกมาเดินชายหาดและวิ่งไล่กัดชาวบ้านเป็นประจำ จึงทำให้ไม่กล้าจัดกิจกรรมแบบนี้อีก

"เคยประสานไปกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและ อบต.พงศ์ประศาสน์ ทางอำเภอศูนย์ดำรงธรรม แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้รับการแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้น ยังปล่อยหมาออกมาเดินชายหาดจนทำให้ชาวบ้านบริเวณแห่งนี้และนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพักรีสอร์ทไม่กล้าออกมาเดินชายหาดเพราะกลัวสุนัขวิ่งไล่กัด มีชาวต่างชาติหลายคนที่มาเที่ยวแล้วกลับไปประเทศเขาออกมาโพสต์ว่าประเทศไทยชายหาดแห่งนี้ไม่มีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวเลยเรื่องนี้ทำความเดือดร้อนให้กลับเจ้าของรีสอร์ทและร้านอาหารที่เปิดอยู่บริเวณแห่งนี้ อยากจะฝากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง ไม่งั้นก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แบบนี้อีกไม่รู้อีกกี่ครั้ง อยากให้ดำเนินการก่อนที่สุนัขกลุ่มนี้จะไปทำร้ายใครต่อใครอีก" น.ส.สุนันท์กล่าว

อาลัย ‘ส.ต.ท.ปฏิภาณ’ ถูกกระบะซิ่งชนเสียชีวิต ขณะลงช่วยอุบัติเหตุกลางถนน หลังออกเวร

สืบเนื่องกลุ่มไลน์ตำรวจเมืองเลย โพสต์ภาพไว้อาลัย ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า อายุ 28 ปี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ภูเรือ จ.เลย ที่ลงไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ ขณะที่ออกเวร จู่ ๆ มีรถกระบะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่ รพ.เลย เมื่อคืนวันที่ 17 ส.ค. 67 เวลา 01.00 น. สร้างความเศร้าโศกเสียใจต่อครอบครัว ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจด้วยกัน

ล่าสุด (19 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของ ส.ต.ท.ปฏิภาณ ที่บ้านโนนสว่าง ต.หนองคัน อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีทางศาสนา พบกับ ร.ต.อ.กิตติ อุทธบูรณ์ รอง สวป.สภ.ภูหลวง จ.เลย พ่อของน้องเหินฟ้า ยังอยู่ในอาการที่เศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของลูกชาย

ร.ต.อ.กิตติ เล่าว่า ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า เป็นลูกชายคนโต ในจำนวนพี่น้องที่เป็นผู้ชายทั้งหมด 3 คน รับราชการเป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.ภูเรือ หลังออกเวร ช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 17 ส.ค.2567 ลูกชายไปกับเพื่อน เพื่อไปหาเพื่อนใน อ.เมืองเลย ขากลับเห็นอุบัติเหตุบนถนนเลย - เชียงคาน ขาออกเมือง กลัวจะเกิดเหตุซ้ำซ้อน จึงลงจากรถไปช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้นร้อยเวร สภ.เมืองเลย ยังมาไม่ถึงที่เกิดเหตุ ลูกชายและเพื่อน จึงเดินไปเอากรวยยางวางเป็นเครื่องหมายให้สัญญาณกับรถที่สัญจร รถระหว่างนั้นมีรถกระบะขับมาด้วยความเร็ว เฉี่ยวชนลูกชายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กู้ภัยฯ รีบนำตัวส่ง รพ.เลย แพทย์ให้ญาติทำใจ ก่อนที่ลูกชายเสียชีวิต เมื่อเวลาประมาณ 03.25 น. ของคืนวันที่ 17 ส.ค. 67

คุณพ่อเล่าทั้งน้ำตา ว่าการสูญเสียลูกชายครั้งนี้ ทางครอบครัวยังทำใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจและความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตลอดเวลา ว่า "ผมเป็นตำรวจ อยากให้ลูกชายเป็นตำรวจ ผมสอนลูกตลอดเวลาว่า พ่อเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะได้เงินมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นหม้อข้าวหม้อแกงให้พ่อ ดูแลลูกส่งเสียให้ลูกเรียน ผมมีความตั้งใจว่า อยากให้ลูกเป็นตำรวจเหมือนพ่อ มีประกาศสอบที่ไหนก็พาลูกไปตลอด พอลูกสอบได้ รับราชการแล้ว ตั้งใจว่าอยากให้ลูกเป็นนายร้อย ก็ให้ลูกเลือกลงตำแหน่งที่ รร.นายร้อยตำรวจสามพราน อยู่ที่กองรักษาการณ์ ที่โรงเรียนนายร้อย คราวนี้ระหว่างที่ลูกรับราชการที่โรงเรียนนายร้อย สอบ 2 ครั้งไม่ได้ จึงได้บอกลูกว่ากลับมาบ้าน พ่อจะใกล้เกษียณแล้ว กลับบ้านเรา ซึ่งลูกชายก็ขอย้ายมาที่ สภ.ภูเรือ จ.เลย จนกระทั่งมาถูกรถชนจนเสียชีวิต"

ส่วนคู่กรณีที่ขับรถกระบะชนลูกชาย ได้มาร่วมงานศพแสดงความเสียใจ แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้งนี้พิธีทางศาสนา ที่บ้านกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-21 ส.ค. 67 และจะมีพิธีฌาปนกิจศพที่วัดสันติธรรมาราม บ้านหนองคัน ต.หนองคัน อ.ภูหลวง

ส่วนทางคดี พงส.สภ.เมืองเลย ได้เรียกคนขับรถกระบะมารับทราบข้อกล่าวหา ‘ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต’ และจะมีการสอบปากคำเพิ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘พลเมืองดีสัตหีบ’ พบ ‘เต่ายักษ์’ หนัก 10 กิโลกรัม พลัดหลง แถมน้ำตาไหลนอง 2 ข้าง - โดนมนุษย์ใจร้ายฟันกระดองยับ

(19 ส.ค. 67) ศูนย์วิทยุ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือจาก น.ส.คนึงนิด จันดาก อายุ 46 ปี พักบ้านเลขที่ 48/96 ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่าได้พบเต่าขนาดใหญ่ ไม่ทราบชนิด เดินเข้ามาบริเวณบ้าน จึงได้นำกักขังไว้ในที่ปลอดภัย เพราะเกรงอาจถูกสุนัขกัด พร้อมนำอาหารมาให้กินประทังความหิวโหย จึงขอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาให้การตรวจสอบ และช่วยเหลือ

ต่อมา นายวิชา จินดานิล หน่วยกู้ภัยนามเรียกขาน 142 พร้อมกับผู้สื่อข่าว ได้ร่วมลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ พบพลเมืองดีผู้แจ้งอยู่กับกลุ่มครอบครัวต่างชาติ กำลังให้การดูแลเต่าอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นได้นำคุณลักษณะรูปร่างเต่าค้นหาข้อมูลใน Google มีลักษณะคล้ายกับ ‘เต่าบัว’ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง มีความยาวราว 40 ซม. น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม ไม่ทราบเพศ

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า เต่าตัวนี้กำลังร้องไห้ ดวงตาทั้ง 2 มีน้ำตาไหลนอง และที่บริเวณกระดองด้านบน ยังพบถูกมนุษย์ใจร้าย ใช้มีดฟันหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นทางยาวร่องลึก ตลอดจนถูกสุนัขในหมู่บ้านรุมเห่ากันระงม พยายามจะเข้ามากัดทำร้าย นับเป็นภาพที่สุดน่าเวทนาใจอย่างมาก

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้โทรแจ้ง 1362 สายด่วนพิทักษ์ป่า เพื่อรายงานการพบเต่า โดยทางหน่วยงานอนุญาตให้นำเต่าปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ในพื้นที่ปลอดภัย จึงได้ขนย้ายนำเต่าปล่อยไว้ ณ อ่างเก็บน้ำ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกองทัพเรือ เพื่อให้เต่าได้กลับไปใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติดั้งเดิม

เอฟเคไอไอ.เตรียมเสนอวาระเร่งด่วนต่อนายกรัฐมนตรีเร่งแก้ปัญหาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

'อลงกรณ์' ชี้โมเดลค้าออนไลน์แบบ TEMU เป็นปัญหาความเป็นความตายของเอสเอ็มอี และเศรษฐกิจไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเปรียบเสมือนโควิดทางเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นความตายของ เอสเอ็มอี.กว่า 3 ล้านกิจการและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและอาเซียนโดยรวม ”สถาบันเอฟเคไอไอ.จึงได้จัดสัมนาFKII NATIONAL DAILOGUEเรื่อง “อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ภัยคุกคามเศรษฐกิจไทย ปัญหาและทางออก“ ในวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 13.30-17.00 น. ณ สวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์ โดยระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิในประเด็นต่างๆเช่น หัวข้อ“โอกาสและภัยคุกคามเศรษฐกิจไทย”โดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตสว.  อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
หัวข้อ“มาตรการรับมือ อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธาน FKII ร่วมด้วยวิทยากรท่านอื่นๆได้แก่

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์
ประธานสถาบันทิวา
นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งตลาดดอตคอม และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด
นายภาวัต พุฒิดาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท GoShip จำกัด
และผู้แทนองค์กรต่าง ๆทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเสนอปัญหาและทางออก

“โรงงานปิดเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากปีที่แล้วเป็นกว่า100 แห่งต่อเดือนเกือบทั้งหมดเป็นเอสเอ็มอี. เรารอต่อไปไม่ได้
เอฟเคไอไอ.ฯ.จะเสนอเป็นวาระเร่งด่วนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งในมุมโอกาสและภัยคุกคามจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเช่นTEMU ในฐานะประธานFKIIและ อดีตรองปธ.สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตรมช.พาณิชย์ ทำหน้าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ผมยืนยันว่า ประเทศไทยเคารพหลักการเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม การคุ้มครองเศรษฐกิจในประเทศ(Domestic economy)เป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้กติกาขององค์การการค้าโลก ดังนั้นข้อเสนอของเอฟเคไอไอ.จะเป็นมาตรการที่เด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และส่วนหนึ่งของมาตรการจะต้องเป็นความร่วมมือระดับอาเซียนด้วย”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธาน FKII อดีตรองปธ.สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตรมช.พาณิชย์ กล่าวในท้ายที่สุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนอย่าหลงเชื่อเพจปลอมเลียนแบบเพจดัง พร้อมย้ำช่องทางรับแจ้งความออนไลน์มีเว็บไซต์เดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ฟันธงเลยว่ามิจฉาชีพแน่นอน

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันพบว่ามีมิจฉาชีพสร้างเพจปลอมในหลายรูปแบบ เพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์จำนวนมาก โดยพบว่ามักมีการสร้างเพจปลอมเลียนแบบเพจจริงที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และการสร้างเพจปลอมเพื่อหลอกขายสินค้าหรือหลอกให้บริการต่าง ๆ แล้วหลอกให้กดลิงก์ หลอกขายสินค้าถูกกว่าท้องตลาด สร้างโปรโมชั่นลดแรง ดึงดูดใจผู้บริโภค แล้วบูสต์โพสต์ด้วยการยิงโฆษณาพร้อมลงข้อความขายสินค้าแบรนด์ดังต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบมิจฉาชีพที่เปิดเพจปลอมแอบอ้างว่าสามารถรับแจ้งความออนไลน์ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ หากหลงเชื่อติดต่อสอบถาม มิจฉาชีพเหล่านี้จะมีกลโกงหลอกขอข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้โอนเงินค่าดำเนินการ หรืออื่นๆ ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อนจำนวนมาก จึงได้สั่งการอย่างเข้มงวดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและปราบปรามมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว พร้อมให้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่พี่น้องประชาชน เพื่อสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ในลักษณะนี้

วิธีสังเกตเพจปลอมเบื้องต้นคือ เพจปลอมส่วนใหญ่จะไม่มีเครื่องหมายยืนยันตัวตน (Facebook verified badge) ที่เป็นเครื่องหมายถูกสีฟ้าด้านหลังชื่อบัญชี , มีผู้ติดตามเพจจำนวนน้อย , เพจถูกสร้างมาได้ไม่นาน , ซื้อโฆษณาจากแพลตฟอร์มต่างๆ มากผิดปกติ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อที่ระบุไว้ไม่ตรงกับหน่วยงานจริง โดยหากพบเพจลักษณะดังกล่าว ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม อย่างหลงเชื่อ เลิกสนใจ ไม่คลิกดู ไม่คลิกลิงก์ใดๆ และไม่ติดต่อทางช่องทางแช็ตใดๆ เด็ดขาด ทั้งนี้ ก่อนสั่งซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน เช่น ความโปร่งใสของเพจ จำนวนผู้ติดตาม บัญชีปลายทาง หากไม่มั่นใจสามารถนำบัญชีปลายทางตรวจสอบได้ที่ checkgon.com หรือ โทร.ปรึกษาสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พ.ต.อ.หญิง ฉันฉายฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีเพจเฟซบุ๊กจำนวนมากที่เกี่ยวกับการรับแจ้งความ หรือรับปรึกษาคดีอาชญากรรมออนไลน์ แต่ไม่ใช่ช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้ประชาชนระวังมิจฉาชีพใช้วิธีนี้หลอกลวงซ้ำซ้อน โดยบางเพจไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะชวนลงทุนต่างๆ ซึ่งประชาชนอาจหลงเชื่อและเกรงใจ เนื่องด้วยเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตัวจริงที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการรับแจ้งความ  แต่บางเพจเรียกค่าดำเนินการด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัว หรือการโอนเงินในกรณีที่ไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ หากพบเจอเหตุการณ์ที่มีลักษณะดังกล่าว ขอให้ติดต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือโดยทันที ซึ่งขอย้ำว่าช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงช่องทางเดียวเท่านั้นคือ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ไม่มีการรับแจ้งความหรือให้ความช่วยเหลือทางแพลตฟอร์มอื่น หรือช่องทางอื่น หากพบเห็นทางช่องทางอื่นนอกเหนือจากเว็บไซต์นี้ ขอให้มั่นใจได้ว่าเป็มิจฉาชีพทั้งสิ้น อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด!!

'รองโฆษกฯ รัดเกล้า' เดินหน้าสร้างวัคซีนด้านการเงินแก่คนไทย 'ทุกเพศ-ทุกวัย' ยกระดับการบริหารเงิน 'ออม-ลงทุน-หนี้' พร้อมเท่าทันมิจฉาชีพออนไลน์

เมื่อวานนี้ (18 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ ‘เนเน่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน โดยนำโครงการดี ๆ ที่ขับเคลื่อนโดย ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และองค์กร/หน่วยงานภาคีอีกหลากหลาย ที่เดินสายจัดกิจกรรมให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร 'หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน' ให้กับประชาชน 

ทั้งนี้ในปี 2567 มีเป้าหมายที่จะจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 18 ครั้งให้กับชุมชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยนางรัดเกล้าได้ประสานโครงการดังกล่าวให้มามอบความรู้ให้ประชาชนในชุมชนวัดโพธิ์เรียง และชุมชนใกล้เคียง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนที่ดีจากสำนักงานเขตบางกอกน้อยอีกด้วย โดย ดร.วรชล ถาวรพงษ์ ผู้อำนวยการเขตบางกอกน้อย ได้ให้เกียรติมาร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมอีกด้วย

นางรัดเกล้า กล่าวต้อนรับผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “นอกเหนือจากการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการเงิน การออม การลงทุน การบริหารจัดการหนี้ (ทั้งในระบบและนอกระบบ) อีกเนื้อหาสำคัญที่หลักสูตรนี้นำมาสอนให้กับประชาชนคือ การรู้เท่าทันอาชญากรรมออนไลน์ เช่น กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการเสริมความรู้ เพิ่มความปลอดภัยในการท่องโลกออนไลน์ให้กับคนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเหล่าอาชญากร วันนี้ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่านอกเหนือจากกลุ่มผู้สูงอายุ ยังมีน้อง ๆ เยาวชนเข้ามาร่วมเรียนหลักสูตรด้วย คนรุ่นใหม่สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสอดส่อง ดูแล ให้คำแนะนำกับผู้สูงอายุในชุมชนได้”

นางรัดเกล้า กล่าวต่อไปว่า “กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมองค์ความรู้ในเชิงรุก (pro-active) มุ่งหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จะได้เรียนรู้และเสริมสร้างภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกันจากภายในรูปแบบต่าง ๆ วอนขอให้ประชาชนที่ได้ความรู้จากกิจกรรมนี้ นอกเหนือจากนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาด้านการเงินของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว ขอให้นำความรู้ที่ได้ไปบอกต่อ สอนต่อ เพื่อเป็นการเสริม 'วัคซีนทางการเงิน' ให้กับญาติ มิตร สหาย ในชุมชนด้วย”

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่นางรัดเกล้า นำมาจัดให้กับพี่น้องในเขตบางพลัดบางกอกน้อย

“แพทองธาร” ประกาศเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทยเป็นพื้นที่ของโอกาสของคนไทยทุกคน

(วันที่ 18 สิงหาคม 2567) เวลา 11.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนวิภาวดีรังสิต ภายหลังการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงคำกล่าวต่อสื่อมวลชน ว่า ขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอีกครั้ง พรรคร่วมรัฐบาลและประชาชนทุกคน ขอบคุณที่ได้มอบความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ให้ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

วันนี้ ดิฉันให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ท่านได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้วางแผนในการเป็นนายกฯ ในครั้งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า ดิฉันพร้อมและเต็มใจที่จะรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ พาประเทศชาติ ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหาต่างๆ

ประเทศไทยของเรายังมีปัญหาเรื่องปากท้องที่รอการแก้ไขอยู่ และดิฉันตั้งใจว่า การได้รับตำแหน่งนี้ ดิฉันมีความมุ่งมั่นในการทำให้ปากท้องของพี่น้องประชาชนดีขึ้น

ดิฉันมีความตั้งใจที่จะผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ปัญหายาเสพติด ยกระดับระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ และรวมถึงการผลักดัน Thailand  Soft power อย่างต่อเนื่องที่เริ่มทำมาตั้งแต่ต้น

ดิฉันมีความตั้งใจที่จะร่วมงานกับทุกภาคส่วน เพื่อที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ เหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง ขอให้ทุกท่านติดตามการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมได้ในเดือนกันยายนนี้

สุดท้าย ดิฉันอยากจะขอขอบคุณพลังที่สำคัญที่สุด พลังอันยิ่งใหญ่ คือพลังของพี่น้องประชาชน ทั้งที่เลือกและไม่ได้เลือกดิฉัน

ดิฉันขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่นี้ อย่างเต็มความสามารถ โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่าง ทุกเพศ ทุกวัย ทุกความหลากหลาย ดิฉัน ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในฐานะแม่ ในฐานะลูก  ในฐานะเพื่อน  ดิฉันมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทย ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทยเป็นพื้นที่ของโอกาส เป็นพื้นที่ที่คนไทยกล้ามีความฝัน กล้ามีความคิดสร้างสรรค์ และกล้ากำหนดอนาคตของตัวเองค่ะ

'ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์' รำลึกถึง ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ผู้ปฏิรูปการปกครองสู่ความทันสมัยครั้งสำคัญของชาติไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ออกบทความในหัวข้อ ความคิดก้าวหน้า (Progressive) ในสมัยพระจอมเกล้าฯ มีเนื้อความ ดังนี้...

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี ถือเป็น ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’ เพื่อรำลึกถึงที่การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวตะวันตก หลังพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้อย่างแม่นยำ พร้อมกับเชิญคณะนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกร่วมเป็นสักขีพยาน ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์

ไม่เพียงแต่ทางด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในด้านขององค์ความรู้ทางการเมือง ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความเห็นของปัญญาชนในสังคมไทยนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้ว ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ไม่เชื่อว่าชาติตะวันตกจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจและตัวแสดงสำคัญในการเมืองโลกและการเมืองไทย ที่มักจะนำโดยฝ่ายขุนนาง ในเอกสารของเฮนรี เบอร์นี่ มีการบันทึกว่าเจ้าพระยาพระคลังของไทยนั้นแสดงความกังขากับแสนยานุภาพของอังกฤษในการที่จะยึดครองพม่า โดยเบอร์นี่ย์ได้มีการบันทึกว่า...

"ท่านพระคลังดูเหมือนจะไม่เชื่อข่าวเกี่ยวกับชัยชนะของกองทัพอังกฤษ ซึ่งท่านคิดว่าคงเป็นชัยชนะชั่วคราว และท่านเห็นว่าการที่กองทัพเราหวังจะเข้ายึดครองอังวะ (Ava) หรือจะเอาชนะพวกพม่าให้ได้นั้นเป็นความคิดเพ้อฝันมากกว่า"

ในขณะที่ฝ่ายก้าวหน้าของสังคมไทยนั้น นำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระปรีชาญาณและการวางรากฐานทางความคิดตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชดำรัสของพระองค์ที่ว่า...

 "...การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีเขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว..." 

นั่นแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงความเข้าใจในภูมิทัศน์ทางการเมืองโลกและภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงไป ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความหัวก้าวหน้าที่ทันโลกของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตกแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยพระองค์เอง สั่งซื้อตำหรับตำราจากต่างประเทศ และศึกษาจากพระสหายชาวตะวันตกที่มีความรอบรู้ ในพระนิพนธ์ เรื่อง ความทรงจำ ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกถึงความก้าวหน้าของพระราชบิดาของพระองค์ท่านในช่วงเวลาดังกล่าวเอาไว้ว่า...

"...ตั้งแต่จีนรบแพ้อังกฤษ ต้องทำหนังสือสัญญายอมให้อังกฤษกับฝรั่งต่างชาติเข้ามีอำนาจในเมืองจีนเมื่อ พ.ศ. 2385 เวลานั้นไทยโดยมากยังเชื่อตามคำพวกจีนกล่าวว่า แพ้สงครามด้วยไม่ทันเตรียมตัว...แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ถึงคราวโลกยวิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศสยามอาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งยิ่งขึ้นในวันหน้า จึงเริ่มทรงศึกษาภาษาอังกฤษ"

พระปรีชาสามารถในการหยั่งถึงอนาคตของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พระองค์เตรียมส่งเสริมให้พระราชโอรสและธิดาของพระองค์ ศึกษาภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก จนนำไปสู่การปฏิรูปการปกครองสู่ความทันสมัยครั้งสำคัญของชาติไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช พระราชโอรสของพระองค์

เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 (พระนคร : คุรุสภา, 2504),
กรมศิลปากร, เอกสารเฮนรี่ เบอร์นีย์ เล่ม 1 แปลโดย สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2551)
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ความทรงจำ (พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร, 2516)

‘บิลลี่-หมออั้ม’ ซัดพรรคส้ม เหตุผู้สมัครนายก อบจ. ด้อยค่า ‘โรงเรียนในจ.ราชบุรี’ ลั่น!! คนพูดไม่รู้จริง อย่ามาพูดแบบนี้จะดีกว่า ชาวโซเชียลแห่คอมเมนต์เห็นด้วย

(18 ส.ค.67) กรณีนายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ ผู้สมัครนายก อบจ.ราชบุรี ของพรรคประชาชน ปราศรัยหาเสียง ในทำนอง ด้อยค่าโรงเรียนในราชบุรี โดยพูดว่า ความเจ็บปวดของตนในวัยเด็กก็คือ การต้องถูกพ่อส่งไปเรียนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากว่าในราชบุรีไม่มีโรงเรียนดี ๆ ให้ผมเรียน

ล่าสุด ‘เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไร’ โพสต์เฟซบุ๊ก พร้อมคำพูด คนดัง ที่ออกมาโต้ นายชัยรัตน์ พร้อมระบุข้อความว่า...

#ทุกคนคะ ขอบคุณพี่ Billy Ogan และ หมออั้ม อิราวัต ที่ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โรงเรียนในราชบุรีค่ะ

พรรคส้มรู้จักอะไรในราชบุรีจริงๆบ้างมั๊ยเนี่ยยย

โดย บิลลี่ โอแกน นักร้อง นักแสดง ชื่อดัง โพสต์โต้กลับระบุข้อความ ผมเด็กสารสิทธิ์ บ้านโป่ง ราชบุรี ไม่ควรบอกว่า ราชบุรีมีแต่โรงเรียนห่วยๆ เพราะราชบุรี มีแต่ของดี ที่พวกนี้ไม่เคยมาดู ไม่รู้จริงอย่ามาพูดดีกว่า  

ขณะที่ หมออั้ม อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องชื่อดัง ก็ได้โพสต์ ระบุข้อความว่า ผมเรียน มัธยม ประถม ที่ราชบุรี จบเทศบาลวัดไทรฯ โพธาวัฒนาเสนี และเบญจมราชูทิศ ราชบุรี แล้วเข้าแพทย์จุฬา เลยครับ ไม่เคยเรียน กทม.

‘ดร.ปรเมษฐ์-เนเน่’ เสวนาการศึกษาฯ เร่งพัฒนาคุณภาพครู ยกระดับการศึกษา เสนอ ‘พานิภัค โมเดล’ ชี้!! ‘เด็ก-เยาวชน’ ให้ค้นพบตัวเอง เพื่อมีเป้าหมาย มุ่งสู่ฝัน

เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.67) ดร.ปรเมษฐ์ จินา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 5 พร้อมด้วยนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเสวนาในเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรการศึกษาทั้งในและนอกระบบของ จ.สุราษฎร์ธานี ในกิจกรรม ‘ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน ครั้งที่ 2’ และเวทีเสวนาเพื่อเคลื่อนขบวนความร่วมมือ ‘All for Education -  Education for All’ ซึ่งจัดโดย กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา หน่วยบริการ ALTV องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) ในวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2567 ณ โรงเรียนศรีสุวรรณ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

ดร.ปรเมษฐ์ จินา กล่าวว่า ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เคยรับผิดชอบดูแลในเรื่องของทั้งการสาธารณสุขและการศึกษา 

ปัญหาโดยพื้นฐานของสังคมจะมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ เรื่องการแก้ปัญหาขาดความรู้ผ่านการศึกษา การแก้ปัญหาการเจ็บป่วยผ่านการสาธารณสุข แก้ปัญหาความยากจนผ่านการสร้างรายได้ ถ้าแก้ปัญหา 3 ประเด็นนี้ได้ปัญหาสังคมอื่น ๆ จะหมดไป 

ประเด็นสำคัญของสุราษฎร์ธานีคือ การแก้ปัญหาการยุบเลิกโรงเรียน ตนเห็นว่าจะต้องมีการปรับโมเดลของการศึกษาให้สอดคล้องกับพื้นที่มากกว่าการยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่ที่ทำเรื่องการท่องเที่ยวก็ต้องเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องของการท่องเที่ยว โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ทำการประมงก็ต้องเพิ่มพูนความรู้เรื่องของการประมง 

จากประสบการณ์การไปดูงานในประเทศที่ประสบความสำเร็จทางการศึกษาระดับต้น ๆ ของโลก มีการปลูกฝังเป้าหมายของเด็กและเยาวชน เพื่อให้ค้นพบตัวตนตั้งแต่ต้น ยกตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ มานี้ เทนนิส นางสาวพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดคนแรกของประเทศไทยที่ได้รับเหรียญทองจากการแข่งกีฬาโอลิมปิก และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกสองสมัยติดต่อกัน ที่ได้ตั้งเป้าหมายและเดินตามเส้นทางนักกีฬา ตั้งแต่อายุน้อย ๆ นี่คือสิ่งที่การศึกษาของประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนหลักการทางการศึกษา

การพัฒนาในเรื่องการศึกษาอีกหัวใจสำคัญคือการให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย พร้อมกับการสนับสนุนที่ดีของภาครัฐภาคเอกชน ทั้ง 3 ส่วนนี้จะสามารถผลักดันคุณภาพทางการศึกษาต่อไปได้ 

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี เปิดเผยว่า ในฐานะคุณแม่คนหนึ่ง สิ่งที่เป็นความฝันและความหวัง ก็คือการที่จะได้เห็นการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น งานครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่หลาย ๆ ภาคส่วนร่วมมือ ร่วมใจกัน เพื่อยกระดับการศึกษาไทย

จากประสบการณ์ที่ตนเรียนจบปริญญาโทมาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (ICT in Education) จากมหาวิทยาลัยด้านการศึกษาเบอร์ 1 ของโลกคือ Institutute of Education (IoE) ในเครือของ University College London (UCL) ประเทศสหราชอาณาจักร  การสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยีให้กับโรงเรียนเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำคือ การพัฒนาบุคลากรครู

ทุกวันนี้เราพยายามตั้งเป้าในการพัฒนาผ่านอุปกรณ์ในการเรียนการสอน ซึ่งหลายๆ ครั้งต้องใช้ทั้งเวลา และใช้งบประมาณ แต่สิ่งที่เราสามารถผลักดันได้เลยทันทีคือคุณภาพและความเป็นอยู่ของครู เพราะมันเสริมสร้างรากฐานที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืนที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top