Thursday, 3 July 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม 'โครงการอาสาตาจราจร' พร้อมเตือนการใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ เสี่ยงอุบัติเหตุ

วันนี้ (20 สิงหาคม 2567) เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , ผู้แทนจากสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนมิถุนายน 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 10 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการอาสาตาจราจร เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีผลประจักษ์ชัด ได้รับความสนใจจากภาคประชาชน ร่วมส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มโครงการ ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น 

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสา ตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100 คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก 

นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้วยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนน เรื่องการใช้โทรศัพท์ในระหว่างการขับขี่รถ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เนื่องจากพบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพิ่มสูงขึ้น ทั้งการคุยโทรศัพท์ และการใช้ในวัตประสงค์อื่น เพราะการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ส่งผลให้สมาธิในการควบคุมรถ การรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมบนถนนลดลง ในระดับที่เป็นอันตรายส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงขอให้ใช้เครื่องมือช่วยในการรับฟัง หรือหยุดรถในจุดปลอดภัยก่อน หรือหากงดใช้จะเป็นแนวทางที่สร้างความปลอดภัยได้ดีที่สุดสำหรับทุกคน รวมไปถึงคนเดินเท้า โดยเฉพาะในขณะข้ามถนน หากใช้โทรศัพท์จะเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

‘สาว’ จอดรถในที่คนพิการ แกล้งทำขาเป๋ แม้ตัวเองปกติ เจอชาวเน็ตแห่อวยพรสนั่น ขอให้สมหวังอย่างใจคิด

(20 ส.ค. 67) กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล เมื่อเพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว 3 ได้แชร์คลิปหญิงรายหนึ่ง จอดรถในที่คนพิการ ซึ่งมีป้ายติดชัดเจน และมีข้อความว่า ‘ที่จอดรถผู้ใช้รถเข็น Handicapped Parking’ โดยหญิงรายนี้ได้จอดรถกระบะแล้วเดินลงจากรถ พร้อมกับทำท่าทางเหมือนคนขาเป๋ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนปกติ โดยคลิปดังกล่าวระบุข้อความว่า "POV : ไผสิฉลาดกว่าผู้ใหญ่" 

อย่างไรก็ตาม เพจดังกล่าวได้เขียนข้อความระบุว่า "เป็นถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็อยากจะพิการให้ได้" ซึ่งภายหลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ถึงความไม่เหมาะสม อาทิ ทำคอนเทนต์ หรือทำจริงหะ จริงนะขำไม่ออกเลย, สาธุ ขอให้เป็นดั่งหวัง!, ขอให้สมปรารถนา, มันมีอยู่จริง ๆ นะคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดในเรื่องโง่ ๆ อะ, คอนเทนต์โง่ ๆ ขยันทำกันนัก, พฤติกรรมน่ารังเกียจมากค่ะ, สาธุ ขอให้มันพิการเหมือนคอนเทนต์, ไม่ได้เรียกว่าฉลาด เรียกเห็นแก่ตัวค่ะ, เรื่องง่าย ๆ แบบนี้ยังเอารัดเอาเปรียบสังคม นี่หรือคนที่จะอาสามาดูแลชาวบ้าน, ผช.บ้านไหนนะ ชาวบ้านคงภูมิใจมาก, คนพิการแค่ร่างกาย แต่มันก็ยังสู้คนที่พิการทางสมองไม่ได้ ทำแล้วก็ให้คนอื่นถ่ายคลิป นั่นแหละคือการประจานตัวเองแท้ ๆ เป็นต้น 

'สภาผู้บริโภค' ลั่น!! เพราะไทยพัฒนาถนนมากไป จึงทำรถส่วนตัวเต็มเมือง จี้!! ขนส่งสาธารณะควรเร่งลดราคา เพื่อยั่วยวนให้คนเลิกใช้รถ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวอิศรารายงานว่าเมื่อวันที่ 18 ส.ค. สภาผู้บริโภคได้จัดกิจกรรม ‘สภาผู้ใช้ระบบบริการขนส่งสาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 1’ เพื่อเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อรับฟังความเห็นและแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งฯ และส่งเสริมให้เกิดแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรม

น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาระบบบริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ล้อ ราง เรือ ที่หลากหลายรูปแบบต่อความต้องการของผู้บริโภค ในทางกลับกันการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในส่วนภูมิภาคกลับล่าช้า เนื่องจากขาดการส่งเสริมนโยบายด้านการขนส่งสาธารณะในระดับจังหวัด มุ่งเน้นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางถนนที่รองรับการใช้รถส่วนบุคคล ส่งผลให้ประเทศกลายเป็นเมืองของรถยนต์ส่วนบุคคลและมอเตอร์ไซค์ 

“ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือคนที่ไม่ได้ใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นผู้กำหนดอนาคต คนคิดไม่ได้ใช้บริการ คนใช้บริการกับคนให้บริการไม่มีสิทธิคิด ทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดหรืออาจสร้างปัญหาเพิ่ม เช่น เรื่องการเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ ไม่ได้ทำให้ผู้ใช้บริการสะดวกขึ้น กลับสร้างปัญหา เพราะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการจดจำ เกิดความยุ่งยาก การที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของระบบขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงได้จึงเป็นเรื่องจำเป็น” น.ส.บุญยืนกล่าว

ขณะที่น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวถึงความท้าทายงานคุ้มครองผู้บริโภคนั้น หนึ่งในเป้าหมายประเด็นขับเคลื่อนปี 2568 โดยมีเรื่องการพัฒนาบริการขนส่งสาธารณะใน 7 เมืองหลัก ประเด็นเรื่อง ‘ถนนสำหรับทุกคน’ หรือ ‘Road For All’ เป้าพัฒนาเมืองและระบบขนส่งสาธารณะไปด้วยกัน ทำให้เกิดเมืองที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตและพัฒนาร่วมกันได้ มีความเป็นธรรมกับทุกคน สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคทุกจังหวัด

“สิ่งหนึ่งที่อยากเกิดขึ้นคือค่าโดยสารขนส่งสาธารณะมีราคาถูก ยั่วยวนให้คนเลิกใช้รถ เงินทุนที่จะมาสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ภาษีที่ดินฯ ภาษีลาภลอย (Windfall Tax) ค่าธรรมเนียมจากรถยนต์ ที่นำส่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการยกเลิกทางด่วนสองชั้น (double deck) ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 3.4 หมื่นล้านบาท หากนำเงินดังกล่าวไปจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้า หรือพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะก็จะสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาระบบขนส่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้มากขึ้น สภาผู้บริโภคเชื่อว่า ประเทศเรามีงบประมาณเพียงพอ เพียงแต่จะจัดลำดับการใช้งบประมาณอย่างไร” น.ส.สารีระบุ

ด้านนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวถึงภาพรวมของการทำงานด้านระบบขนส่งสาธารณะของสภาผู้บริโภคว่า ประเด็นเรื่อง Road for All ครอบคลุมในหลายส่วน ซึ่งอยู่ในแผนงานด้านขนส่ง ปัจจุบันสภาผู้บริโภคมีพื้นที่ทำงาน 33 จังหวัด โดยเน้น 7 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง ขอนแก่น อยุธยา ภูเก็ต สงขลา และกรุงเทพมหานคร

สำหรับแนวทางการทำงานเพื่อผลักดันให้เกิด ‘Road for All’ มี 4 ข้อ คือ 1) ตั้งเป้าหมายการพัฒนาเมืองและระบบขนส่งสาธารณะไปด้วยกัน ทําให้เกิด เมืองที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิต และพัฒนาร่วมกันได้ (Just City) มีความ เป็นธรรมกับทุกคน 2) สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคทุกจังหวัด (User Group) ในการพัฒนาและติดตามคุณภาพการให้บริการขนส่งสาธารณะ 3) สนับสนุนการใช้บริการขนส่งสาธารณะด้วยรถไฟฟ้า ลดปริมาณการใช้ รถยนต์ส่วนบุคคล และ 4) สนับสนุนการดัดแปลงรถยนต์เก่าเป็นรถไฟฟ้า และการใช้พลังงาน แสงอาทิตย์

นายคงศักดิ์ กล่าวถึงข้อเสนอต่อการจัดระบบบริการขนส่งสาธารณะ 1) จัดลําดับการใช้งบประมาณ มีเป้าหมายในการผลักดันให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ขั้นต่ำ 2) การตั้งกองทุนจัดบริการขนส่งสาธารณะ กระจายอำนาจ งบประมาณ แนวปฏิบัติ ให้ อปท. สามารถจัดบริการในพื้นที่ได้ 3) มีเป้าหมายลดโลกเดือดและอุณหภูมิที่ร้อนทั่วประเทศ ลดการใช้พลังงานฟอสชิล ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างชัดเจน 4) การสนับสนุนภาคเอกชนที่พร้อมในการจัดบริการขนส่งสาธารณะ และ 5) สนับสนุนให้แผนพลังงาน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ในปี 2570

ขณะที่นายภัณฑิล น่วมเจิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสิทธิผู้บริโภคกับการเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลส่วนกลางรวบอำนาจ ไม่กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ทำตัวเป็น ‘คุณพ่อรู้ดี’ จัดบริการขนส่งสาธารณะโดยนั่งอยู่บน ‘หอคอยงาช้าง’

ทั้งนี้ การบริการขนส่งสาธารณะควรมีการกระจายอำนาจไปยัง อปท. ให้มีอำนาจจัดการ เช่น การกำหนดเส้นทางการให้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ได้เอง เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่า คนพื้นที่ ขณะที่ประเด็นระบบตั๋วร่วม ค่าโดยสารร่วม เพื่อให้สามารถใช้ระบบขนส่งด้วยความสะดวก มีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผลนั้น ฟันธงอีก 4 ปี การดำเนินนโยบายเรื่องนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น

ส่วนนายอภิสิทธิ์ มานตรี ผู้ดูแลเพจรถเมล์ไทย (Rotmaethai) สะท้อนปัญหาระบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า ปัญหาหลักคือเลขสายรถเมล์ทำให้เกิดความสับสน จากการรับฟังความเห็นประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเลขสายแบบเดิม แต่เสนอเข้าไปในชั้นกรรมาธิการ 2 รอบยังไม่ได้รับการตอบรับ นอกจากนี้ ปัจจุบันองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้มีการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ 269 เส้นทาง ซึ่งมีเพียง 107 เส้นทางที่ ขสมก. เดินรถเอง ส่วนอีก 158 เส้นทางให้สัมปทานเอกชนในการเดินรถ นอกจากนี้ยังเกิด 4 เส้นทางที่เป็น ‘ฟันหลอ’ กล่าวคือมีการยกเลิกสายเดิม โดยยังไม่มีรถมาแทน

“เดือนสิงหาคมนี้จะยกเลิกการเดินรถ 14 เส้นทาง ไม่มีการประชาสัมพันธ์ เอกชนที่จะนำรถไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาเดินรถก็ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อลงพื้นที่สำรวจกลับพบว่า ไม่ได้มีรถเมล์เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังได้รับข้อมูลหลังบ้านจากบริษัทเอกชน ว่าปัจจุบัน 123 เส้นทางของเอกชน ไม่ได้เดินรถตามที่ได้สัมปทาน ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งกรมการขนส่งทางบกก็ไม่ได้เข้ามาจัดการปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม”

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเปลี่ยนประเภทรถเมล์ที่ให้บริการซึ่งส่งผลต่ออัตราค่าโดยสาร เช่น การเปลี่ยนจากรถครีมแดงเป็นรถเมล์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 8 บาทเป็นเริ่มต้น 15 บาท ทั้งยังมีประเด็นเรื่องการขั้นบันไดของการเก็บค่าโดยสารที่ค่อนข้างกว้าง โดยเพิ่มขึ้น 5 บาท ทำให้ค่าโดยสารอยู่ที่ 15 20 และ 25 บาท ซึ่งกระทบต่อผู้ใช้บริการในบางระยะทาง จึงมีข้อเสนอในการปรับลดค่าโดยสารและเพิ่มความถี่ของขั้นบันไดให้ถี่มากขึ้นเพื่อความเป็นธรรมของผู้ใช้บริการ

นายอดิศักดิ์ สายประเสริฐ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงการทำงานวิจัยเรื่อง “บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรมในเมืองหลักส่วนภูมิภาคของไทย” และได้ร่วมทำงานในการผลักดันเรื่องฟีดเดอร์ หรือระบบขนส่งสาธารณะรอง โดยปัญหาร่วมที่พบคือถนนสายหลัก และสายรองไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ ถึงแม้ประชาชนจะสะท้อนปัญหา ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่หลายครั้งไม่ได้รับการตอบสนอง อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ นายอดิศักดิ์ เสนอว่า หากต้องการผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรที่มีอำนาจในพื้นที่นั้น ๆ เช่น การผลักดันระบบขนส่งในกรุงเทพฯ หากทำงานร่วมกับ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) จะทำให้สามารถผลักดันได้อย่างรวดเร็ว และเกิดขึ้นได้จริง

นายอดิศักดิ์ได้เสนอให้แก้องค์ประกอบของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องการเรื่องระบบขนส่ง เนื่องจากปัจจุบันไม่มีตัวแทนของประชาชนหรือผู้บริโภคเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการ เชื่อว่า จะทำให้เสียงของประชาชนถูกสะท้อนออกมาได้ตรงจุด

นอกจากนี้ ในส่วนของกิจกรรม (Focus Group) ผู้เข้าร่วมประชุมได้วิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาระบบส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรมเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีข้อเสนอ การปฏิรูปรถเมล์ การเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ที่สร้างความสับสน การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า หรือระบบฟิดเดอร์ที่ครอบคลุมการเดินทางของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยให้สภาผู้บริโภคเป็นตัวกลางในการเชิญกลุ่มผู้ใช้และหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ เกี่ยวข้องกับงานขนส่งสาธารณะประชุมระดับนโยบายเพื่อพิจารณาหรือนําเสนอแนวทางการดําเนินการต่อไป และให้สภาผู้บริโภคผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นกลไกการขับเคลื่อนนโยบายของผู้บริโภคควบคู่ไปกับสภาผู้บริโภค

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สนับสนุนค่าพาหนะ และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ในโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 170 จังหวัดตรัง

วานนี้ (วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2567) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานขาเทียมแก่คนพิการขาขาด ของมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ เฝ้าฯ รับสเด็จ  พร้อมมอบค่าพาหนะ และเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมันพืช รองเท้าฟองน้ำ ยาพาราเซตามอล ยาตำราหลวง ผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริม เสื้อสำเร็จรูป และหน้ากากอนามัย ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ที่เข้าร่วมโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 170 รวมจำนวน 180 คน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 287,022 บาท (สองแสนแปดหมื่นเจ็ดพันยี่สิบสองบาทถ้วน) โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และประธานกรรมการมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จากนั้น ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต เลขาธิการมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กราบบังคมทูลถวายรายงาน และกราบบังคมทูลเบิกผู้สนับสนุนกิจการมูลนิธิขาเทียมฯ พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ อาทิ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมในพิธี ณ ห้องนครา แกรนด์บอลรูม โรงแรมเรือรัษฎา อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

อีอีซี ร่วม ทน.แหลมฉบัง เซ็น MOU ส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City)

ที่ ห้องประชุมเมืองใหม่ 2 เทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และนางจินดา ถนอมรอด นายกเทศนตรีเทศบาลนครแหลมฉบัง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การอนุญาต หรือรับแจ้ง รวมถึงการบังคับการตามกฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข และกฎหมายว่าด้วยโรงาน และเรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมี นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ สายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ อีอีซี และนายสันติ ศิริตันหยง รองนายกเทศมนตรีนครแหลมฉบัง  คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนามฯ MOU ระหว่าง อีอีซี และเทศบาลนครแหลมฉบัง ครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการในเขตส่งเสริมพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ได้รับบริการจากภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (EEC One Stop Service) และจะช่วยลดขั้นตอนในการประกอบธุรกิจให้นักลงทุน หรือผู้ที่ต้องการขอใบอนุมัติ ใบอนุญาต ได้รับบริการสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอีอีซี จะเป็นผู้ให้บริการทั้งในส่วนการรับคำขอรับใบอนุญาต ใบรับแจ้งตามกฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข และกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และเทศบาลนครแหลมฉบัง จะร่วมสนับสนุนในกระบวนการออกใบอนุญาต ใบรับแจ้ง และใบรับรองตามกฎหมายดังกล่าว ถือเป็นการบูรณาการการปฏิบัติงาน และแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้งสองหน่วยงาน อันเป็นการส่งเสริมการลดขั้นตอนการประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลงนาม MOU ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในพื้นที่ อีอีซี ทั้ง 2 หน่วยงาน จะร่วมกันสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมดิจิทัล หรือระบบบริการเมืองอัจฉริยะ รวมทั้งจะสนับสนุนบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทั้งด้านพัฒนาข้อมูล และพัฒนาระบบให้บริการเมือง ที่เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมบริการดิจิทัล เพื่อการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของเทศบาลนครแหลมฉบัง นางจินดา ถนอมรอด นายกเทศมนตรีเทศบาลนครแหลมฉบัง กล่าวเสริมว่า ทางเทศบาลนครแหลมฉบัง พร้อมให้การสนับสนุนโครงการร่วมกับ อีอีซี ซึ่งทางรัฐบาลได้มอบหมายให้พื้นที่นครแหลมฉบัง เป็นส่วนหนึ่งของอีอีซี  ซึ่งในวันนี้ทางนครแหลมฉบัง ได้มีโอกาสลงนามความร่วมมือ MOU นับเป็นแนวทางการดำเนินการร่วมกันในการอนุมัติ  การขออนุญาตถมดินขออนุญาตก่อสร้างในพื้นที่แหลมฉบัง การอนุญาตตามขอบเขตของกฎหมาย มุ่งเน้นการพัฒนาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานทั้งสอง ลดความสับสน และความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่ และจะเป็นการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ One Stop Service ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงได้ร่วมกันสนับสนุนขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ที่จะเป็นโอกาสสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และประชาชนทั่วไป ถึงการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพื้นที่และชุมชม เพื่อพัฒนาให้แหลมฉบังเจริญเติบโตตามนโยบายของรัฐบาล ได้อย่างต่อเนื่อง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

“พล.ต.ท.ประจวบฯ” ยกระดับงานความมั่นคงและกิจการพิเศษ บช.น. พร้อมตรวจเยี่ยมกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) มอบนโยบายพร้อมขับเคลื่อนและกำชับการปฏิบัติงาน ความมั่นคงและกิจการพิเศษ แก่หน่วยกองบัญชาการตำรวจนครบล (บช.น.) ณ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) ตรวจเยี่ยมและมอบของบำรุงขวัญแก่กำลังพล กก.อารักขา 1 และ 2, กก.ควบคุมฝูงชน 1 และ 2, กองร้อยน้ำหวาน, ชุดตอบโต้, ชุดช่างสนาม และชุดพยาบาลสนาม พร้อมเยี่ยมชมและตรวจความพร้อมของยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจของ บก.อคฝ. โดยมี ผู้แทน บช.น., บก.อคฝ., รอง ผบก.ที่รับผิดชอบงาน มค และ กศ, ผบ.ร้อย คฝ. ในสังกัด บช.น. พร้อมข้าราชการตำรวจ บก.อคฝ. ร่วมให้การต้อนรับและรับฟังนโยบาย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ ที่มุ่งให้ความสำคัญในการเทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างสูงสุด โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน รักษาความมั่นคงของประเทศ และสร้างความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า งานความมั่นคงและกิจการพิเศษ มีความสำคัญยิ่งกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องรับผิดชอบและถือปฏิบัติให้เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะภารกิจการถวายความปลอดภัยจะเกิดความผิดพลาดไม่ได้ บช.น.ถือเป็นหน่วยงานที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นหน่วยที่รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นเมืองหลวง และมีที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น เขตพระราชฐาน สถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ ตลอดจนเป็นพื้นที่ที่มีบุคคคลสำคัญพำนัก พักอาศัยอยู่จำนวนมาก และเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ถือเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ การปฏิบัติภารกิจในงานความมั่นคงและกิจการพิเศษของ บช.น. จึงถือเป็นสิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญ

ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้มอบนโยบายด้านงานถวายความปลอดภัย โดยต้องถือหลัก "ปลอดภัยสูงสุด สมพระเกียรติ เป็นไปตามพระประสงค์ และส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด" ต้องติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหายให้กับสถาบัน และส่งมอบข่าวให้กับหน่วยที่มีหน้าที่ ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ แผน ในการปฏิบัติภารกิจถวายความปลอดภัย ทั้งในส่วนของเขตพระราชฐานที่ประทับ หรือในการเสด็จพระราชดำเนิน และต้องมีการประชุมหารือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่เสมอ รวมทั้งให้มีการซักซ้อมและทบทวนการปฏิบัติตามแผน กำลังพลต้องมีความพร้อมทั้งสภาพร่างกาย จิตใจ การแต่งกาย บุคลิกภาพ และทัศนคติที่ดีต่อสถาบัน ตลอดจนอุปกรณ์และยานพาหนะต้องมีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานและเพียงพอกับภารกิจ

ในส่วนด้านงานความมั่นคงและกิจการพิเศษ เช่น งานรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ และสถานที่สำคัญ งานจราจร งานบรรเทาสาธารณภัย งานดูแลการชุมนุมสาธารณะ งานกำกับดูแลนักท่องเที่ยว งานอาชญากรรมข้ามชาติ งานต่อต้านการก่อการร้าย งานตรวจคนเข้าเมือง ต้องศึกษาทำความเข้าใจเนื้องานในความรับผิดชอบ มีการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่ (IPB) จัดเก็บสารบบบุคคลกลุ่มเสี่ยง และปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ในส่วนของคนไทยต้องทราบข้อมูลทั้งในส่วนบุคคลท้องถิ่นและผู้ย้ายถิ่น ส่วนคนต่างชาติ หากเป็นกรณีนักท่องเที่ยวต้องมีการประสานงานกับผู้ให้บริการที่พักและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ส่วนคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานก็ต้องมีการประสานงานกับเจ้าของแรงงานนั้นและกระทรวงแรงงาน มีการวิเคราะห์ภัยคุกคามและแสวงหาข้อมูลด้านการข่าว และต้องพร้อมปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายในทุกสถานการณ์

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติภารกิจด้านงานความมั่นคงและกิจการพิเศษ อย่างเสียสละและเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด ขอเป็นกำลังใจและพร้อมให้การสนับสนุนการปฏิบัติอย่างเต็มที่ และมีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทุกภาคส่วน ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย จะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อย มั่นคงอย่างยั่งยืนสืบไป

ศรชล. ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้ความรู้ “โครงการรู้จัก รู้รักษ์ ทะเลบ้านเกิด” แก่นักเรียน

ศรชล.โดย ศรชล.จว.ตร./ศคท.จว.ตร. ร่วมศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดตราด ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ระยอง) ให้ความรู้ใน “โครงการรู้จัก รู้รักษ์ ทะเลบ้านเกิด” แก่นักเรียน รร.บ้านดงกลาง อ.เขาสมิง จ.ตราด เพื่อให้นักเรียน มีความตระหนักและเห็นคุณค่าของทะเลไทย มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องทะเลและมหาสมุทร ซึ่งในการดำเนินกิจกรรม มีการบรรยาย องค์ความรู้ด้านทะเลและมหาสมุทร ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และทรัพยากรทางทะเล ในจังหวัดตราด รวมถึงบรรยายเกี่ยวกับสัตว์ทะเลหายาก เนื่องในวันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ 17 สิงหาคม ของทุกปี เพื่อรำลึกถึงการจากไปของน้องมาเรียม พะยูนน้อย ตระหนักถึงความสำคัญของพะยูน และรณรงค์แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเยี่ยมให้กำลังใจ รอง สว.กก.สืบสวน ภ.จว.สมุทรสาคร ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปิดล้อมจับกุมคนร้ายยิง 2 ศพ

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) เวลา 14.20 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ ชัยนา รอง สว.กก.สืบสวน ภ.จว.สมุทรสาคร ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุร่วมออกติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีอาญา หลังคนร้ายหลบหนีไปซ่อนตัวในพื้นที่บ้านหมู่ที่ 6 ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี แล้วใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้

โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงคนเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นอกจากนี้ ยังพบเด็กอายุ 2 ขวบ 2 เดือน ถูกกระสุนถากเข้าที่เอว 1 นัด หลังก่อเหตุได้ไปหลบหนีไปซ่อนตัวในบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่หมู่ที่ 6 ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ต่อมาวานนี้ (18 สิงหาคม 2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร สนธิกำลัง กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี และ สภ.พรหมบุรี ปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว โดยระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดล้อม คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ เป็นเหตุให้ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ ชัยนา รอง สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลพรหมบุรี ส่วนคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งต่อมานำตัว ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ฯ ส่งต่อมารักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบกระเช้าเยี่ยม และเงินช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ร.ต.ต.อิทธิพัทธ์ฯ พร้อมสั่งการผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัดการดำเนินการขอรับสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไป

'มทร.สุวรรณภูมิ' ไล่ออก 4 นศ.รุ่นพี่ 'ทำร้ายนักศึกษา-ต่อยผู้ปกครอง' พร้อมขยายผลคนนอก เอี่ยวบ่มเพาะความเชื่อผิดๆ ให้ขัดหลักจริยธรรม

(19 ส.ค. 67) ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ อว. แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุวรรณภูมิ (มทร.สุวรรณภูมิ) วิทยาเขตนนทบุรี ถูกรุ่นพี่รุมทำร้ายหลังไปขอลาออกจากระบบรับน้องโหด และขอย้ายคณะว่า

หลังจากที่ อว. เสนอแนะให้ลงโทษผู้กระทำผิดที่ใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายผู้ปกครอง โดยให้ไล่ออกจากสถาบัน ในตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วพบว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจริงทั้งหมดที่ก่อเหตุประมาณ 8 ราย และในจำนวนนี้มหาวิทยาลัยสั่งลงโทษด้วยการให้ออก 4 ราย ส่วนที่เหลืออีก 4 ราย อยู่ระหว่างการขยายผลไปสู่การจัดกิจกรรมรับน้องรุนแรงและสืบข้อเท็จจริงต่อไปว่ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

และในวันนี้ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง เดินทางมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในวันที่ 13 สิงหาคม มีการใช้ความรุนแรงโดยการพารุ่นน้องผู้ถูกกระทำไปทำร้ายร่างกายภายในสถาบันซึ่งในส่วนนี้ทางอว.ได้กำชับกับทางมหาวิทยาลัยให้สืบสวนและหาข้อมูลผู้กระทำผิดในเหตุการณ์วันที่ 13 สิงหาคม ภายใน 2 วัน โดยมหาวิทยาลัยยืนยันว่าจะลงโทษโดยการให้ออกจากสถานศึกษาเช่นกัน

“นายกันจอมพลังยังได้หารือกับ อว. เนื่องจากมีข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่จัดกิจกรรมรับน้องที่ไม่สร้างสรรค์ ซึ่งไม่ใช่รุ่นพี่ที่กำลังศึกษาอยู่ด้วย แต่เป็นรุ่นพี่ที่ถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว โดยการจัดกิจกรรมรับน้องดังกล่าวมีนักศึกษาร่วมกิจกรรมประมาณ 50 คน โดยขณะนี้มหาวิทยาลัยกำลังตรวจสอบอยู่ว่ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ มีผู้ที่ได้รับผลกระทบกี่ราย นอกจากนี้ อว. ยังได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากนายกันจอมพลังอีกว่า มีระบบการบ่มเพาะความเชื่อแบบผิด ๆ ในมหาวิทยาลัยที่ขัดต่อหลักจริยธรรม ดังนั้น อว. ได้สั่งการให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน” น.ส.สุชาดา กล่าว

น.ส.สุชาดา กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่นักศึกษาผู้ถูกกระทำไม่อยากจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิมและแจ้งขอความประสงค์จะย้ายไปเรียนที่อื่นนั้น อว. พร้อมจะประสานจัดหามหาวิทยาลัยแห่งใหม่ให้ อย่างไรก็ตามขอย้ำให้ทุกมหาวิทยาลัยรับทราบและถือเป็นแนวปฏิบัติว่า หากเกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงในมหาวิทยาลัยให้ถือเป็นความบกพร่องของมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยจะต้องรับผิดชอบ

พร้อมมีมาตรการดำเนินการอย่างเด็ดขาดด้วย ซึ่งสำหรับกรณีนี้ทางมทร.สุวรรณภูมิได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสืบสวนและให้ข้อมูลหลักฐานกับทาง อว. แต่หากตรวจพบว่าผู้บริหารของ มทร.สุวรรณภูมิ บกพร่องและปล่อยปละละเลยให้มีการจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะมีการดำเนินการลงโทษต่อไป

ด้าน นายสัญญา คำจริง รองอธิการบดีมทร.สุวรรณภูมิ วิทยาเขตนนทบุรี กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ และตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นโดยทันทีให้ความร่วมมือกับทางอว.และเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยยืนยันว่าไม่สนับสนุนกิจกรรมรับน้องที่ไม่สร้างสรรค์ และจากเหตุการณ์ดังกล่า

มหาวิทยาลัยจะมีการตรวจสอบบุคลากรภายใน หากพบว่ามีผู้รู้เห็นเป็นใจกับการจัดกิจกรรมจนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์มหาวิทยาลัยจะดำเนินการสอบสวนเท็จจริง และหากการตรวจสอบพบมีมูลความผิดจริงจะลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงต่อบุคคลากรเหล่านั้นอย่างแน่นอน

“เหตุการณ์ในวันนี้ต้องยอมรับว่ายังมีนักศึกษาส่วนน้อยที่มีความคิดแบบเดิม ๆ อยู่จึงนำไปสู่การจัดกิจกรรมรับน้องรุนแรงขอยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้และจะดำเนินการตรวจสอบ เพื่อดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป” นายสัญญา กล่าว

‘เทนนิส พาณิภัค’ คว้าปริญญาโท ม.กรุงเทพธนบุรี พ่วงโล่นักศึกษาดีเด่น - เงินรางวัลอีก 1 ล้านบาท

(19 ส.ค. 67) พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ อดีตนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ที่เพิ่งคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2024 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในรุ่น 49 กิโลกรัม หญิง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นที่เรียบร้อย

โดย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ได้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ‘เทนนิส-พาณิภัค’ ยังได้รับโล่นักศึกษาดีเด่น พร้อมรับเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านบาท จากศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในฐานะที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยอีกด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบัน เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เป็นนักศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

ซึ่งหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เจ้าตัวจบการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2563


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top