Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

'อลงกรณ์' ตอบโจทย์วันนี้ประชาธิปัตย์ยังไม่มีมติร่วมรัฐบาล แจงยุทธศาสตร์ใหม่ปชป. ปลดแอกจากทุนการเมืองพร้อมเปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นปมสมาชิกบางคนวิจารณ์พรรคในทางลบว่าไม่พัฒนาและไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลซึ่งกำลังเป็นที่จับตาช่วงการฟอร์มรัฐบาลในขณะนี้ โดยมีข้อความว่า

“….ผมอ่านข่าวสมาชิกพรรคและอดีตสมาชิกพรรค 4-5 คนแสดงความเห็นไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย บางท่านวิจารณ์พรรคว่าไม่ได้พัฒนาตัวเองย่ำเท้าอยู่กับที่ ซึ่งในด้านหนึ่งผมดีใจที่แต่ละท่านยังสนใจและมีความห่วงใยในพรรคประชาธิปัตย์ แต่อีกด้านก็ไม่สบายใจที่มีการใช้ถ้อยคำด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่ไม่เคยมาช่วยพรรคทำงานในยามที่พรรคตกต่ำจึงขอทำความเข้าใจในส่วนการพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับอุดมการณ์ การพัฒนาพรรคและการร่วมรัฐบาล ดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นปฐมอุดมการณ์ของพรรคและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการปรับปรุงสำนักงานใหญ่ ระบบบริหารจัดการและสถานที่ทำงานให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารพรรคและการบริการประชาชน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร การรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ การยกระดับการสื่อสารทุกโซเชียลแพลตฟอร์ม 

3.มีการจัดทำยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ขณะนี้ยกร่างยุทธศาสตร์ฯ.เสร็จแล้ว
4.ลดอิทธิพลของนายทุนการเมืองและการทุจริตในระบบการเมืองฉ้อฉลโดย
หัวหน้าพรรคแต่งตั้งคณะกรรมการ001ทำหน้าที่รณรงค์ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอุดหนุนเงินภาษีให้พรรคประชาธิปัตย์เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง

5.เปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ของประชาชนตามนโยบายโอเพ่นเฮ้าส์(Open House)โดยเปิดพรรคจัดกิจกรรม“ลานพระแม่ ฟอรั่ม”และ“เดโมแครต ฟอรั่ม”ที่พรรคประชาธิปัตย์และในภูมิภาคด้วยระบบออนไลน์และอินไซท์
6.ยกระดับความเป็นสถาบันทางการเมืองด้วยการจัดตั้ง“เดโมแครต อะคาเดมี่”(Democrat Academy)โดยเริ่มโครงการหลักสูตรผู้บริหารการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การเมืองที่สุจริตมีประสิทธิภาพและก้าวหน้าทันสมัยจะเริ่มต้นรุ่นแรกในเดือนตุลาคมนี้

สุดท้ายเป็นประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลมีการวิเคราะห์คาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน

คำตอบอยู่ที่มติของที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.พรรค จนถึงวันนี้ยังไม่มีการประชุมใด ๆ สำหรับวันข้างหน้าไม่ว่าพรรคจะมีมติอย่างไร ผมและสมาชิกพรรคถือปฏิบัติเช่นเดียวกับท่านชวนคือเคารพมติพรรคไม่ว่าจะมีความเห็นพ้องหรือเห็นต่างเมื่อมีมติพรรคก็จบ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพรรคของเรา

อลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์
22 สิงหาคม 2567“

สคอ.-สสส. และเครือข่าย ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภา ช่วยเร่งจัดการความเสี่ยงลดเจ็บ-ตายจากอุบัติเหตุทางถนน ชี้ประเทศไทยควรมีนโยบายและปฏิบัติตามแผนต่อเนื่อง เชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบ-วางรากฐานวินัยจราจรตั้งแต่เด็ก

โดยสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนไทย พบอุบัติเหตุทางถนนกว่าร้อยละ 80 เกิดในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 45 ส่งผลต่อการเจ็บและตาย หากเข้มข้นจริงจังให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น จะช่วยลดความสูญเสียและเพิ่ม GDP ของประเทศในระยะยาว 

วันที่ 22 ส.ค.67 - ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ- ในการประชุมบูรณการความร่วมมือสื่อและเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ได้มีเวทีเสวนา “พลังสื่อและเครือข่าย จะร่วมผลักดันนโยบายเพื่อความปลอดภัยทางถนนได้อย่างไร?” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางหนุนเสริมการทำงานสร้างความปลอดภัยทางถนนร่วมกัน ผู้ร่วมเสนา ได้แก่ นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา นางสาวประสพสุข จุรุทา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนสมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ และนายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) พร้อมได้ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภาเพื่อช่วยนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนและเร่งผลักดันให้นโยบาย เรื่องความปลอดภัยทางถนนเกิดขึ้นจริงในวุฒิสภาและรัฐบาลต่อไป โดยมี นายสุทนต์ กล้าการขาย และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้รับมอบข้อเสนอดังกล่าว  

นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์  ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.
กล่าวว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน และบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ-เอกชน รวมถึงภาคประชาชน ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยทางถนนและลดความสูญเสียลงทั้งชีวิต-ทรัพย์สิน-จิตใจ รวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลที่รัฐต้องจ่ายในแต่ละปีมากกว่า 4 พันล้านบาท และมี 2 ประเด็นสำคัญที่ควรขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งประเทศ คือ 1) สื่อสารประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นระบบและสร้างความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางถนน รวมถึงวินัยจราจรตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงผู้ใหญ่ โดยเน้นส่งเสริมให้ระดับพื้นที่และอำเภอค้นหาแนวทางและนวัตกรรมการสื่อสารเพื่อทำให้ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น เน้นแข่งขันกันในเชิงบวกและสนับสนุนโล่ห์รางวัลและให้กำลังผู้ปฏิบัติงานในระดับอำเภอ และรายงานผลการสวมหมวกนิรภัยมายัง ศปถ. และ 

2) ส่งเสริมให้มีการใช้ระบบเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมการสวมหมวก อาทิ การติดตามการสวมหมวกนิรภัยจากกล้องวงจรปิดและคืนข้อมูลต่อประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและทำให้เกิดการบังคับใช้เชิงบวกเสริมไปกับการบังคับใช้กฎหมายจราจร เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถจักยานยนต์โดยตรง 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า ในการยื่นข้อเสนอครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนยังไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร อาจเพราะติดขัดในหลายด้านที่ไม่สามารถขยับได้ และการแก้ปัญหาอุบัติเหตุก็เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานองค์กร รวมถึงรัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน 

ซึ่งในวันนี้ทางเครือข่ายได้จัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นให้กับสมาชิกวุฒิสภา นำไปขับเคลื่อนสร้างความปลอดภัยทางถนนและเสนอต่อไปยังรัฐบาลต่อไป ได้แก่ 1. ระดับนโยบาย : ควรออกกฎหมายและนโยบายเรื่องความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม มีการติดตามประเมินผลและรายงานต่อคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) อย่างต่อเนื่อง 

ระดับอำนวยการ : ควรมีการประสานการดำเนินงานกลไก 5 เสาหลัก ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน

ระดับปฏิบัติการ  : ควรมีการจัดเวทีสังเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยง ส่งต่อและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการแก้ไข 

2. ควรใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 

3. ส่งเสริมให้องค์ปกครองท้องถิ่นทุกระดับเป็นเจ้าภาพหลักในการปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมด้านความปลอดภัยทางถนนของแหล่งท่องเที่ยว ชุมชน ให้เกิดความปลอดภัย 

4. วางรากฐานความมีระเบียบวินัยจราจรอย่างเป็นระบบที่ต่อเนื่อง และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้เป็นต้นแบบความปลอดภัยทางถนน

นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ยินดีที่จะรับข้อเสนอที่ทางเครือข่ายได้ยื่นมาในวันนี้ เพราะตนเองเป็นผู้ที่เคยทำงานร่วมกับเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนมาอย่างยาวนาน จึงรับรู้ปัญหาและผลกระทบจากการความสูญเสียอันเกิดจากอุบัติเหตุทางถนนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันอังคารหน้าที่จะถึงนี้ ตนจะนำเรียนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้รับทราบและร่วมขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนนได้อย่างแท้จริงต่อไป

เลื่อนจนเลิก!! 'เอเชียนอินดอร์เกมส์' สร้างแรงเสื่อมเสียต่อความเชื่อมั่น ทลายเกียรติภูมิทางด้านกีฬาของไทยที่สะสมมาอย่างยาวนาน

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘TNP Sports’ รายงานว่า หลังจากที่สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) มีหนังสือยกเลิกสิทธิ์ จัดการจัดการแข่งขันกีฬา เอเชียน อินดอร์ และ มาร์ เชียลอาร์ตเกมส์ ของประเทศไทย จากปัญหาเรื่องงบประมาณที่ล่าช้า และกระชั้นชิดเกินไปสำหรับการจะจัดการแข่งขันในเดือน พ.ย.นี้

ล่าสุด คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย แถลงระบุเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเป็นการเสื่อมเสียต่อความเชื่อมั่น เกียรติภูมิทางด้านกีฬาของไทยที่สะสมมาอย่างยาวนาน
ตามที่สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) ได้ยกเลิกสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอินดอร์มาเชียลอาร์ตเกมส์ ระหว่างวันที่ 21 - 30 พฤศจิกายน 2567 หลังเลื่อนการแข่งขันฯ ตั้งแต่ปี 2021 รวม 4 ครั้ง จนเหลือระยะเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ยังไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่ OCA กำหนดได้จนเป็นเหตุให้ต้องถอนสิทธิ์ ประเทศไทย นั้น

ในส่วนของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาได้เป็นตัวกลางในการช่วยประสานงานระหว่างคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ กับสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) ในการดำเนินการ ตลอดจนการขอเลื่อนการแข่งขันมาโดยตลอด เพื่อรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงและเกียรติภูมิทางด้านกีฬาของประเทศไทย

กระทั่งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา OCA ได้จัดประชุมพิเศษคณะผู้บริหาร OCA เกี่ยวกับการถอนสิทธิ์ของประเทศไทย คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ถึงสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) ขอให้ชะลอการพิจารณาออกไปก่อน เนื่องจากจะมีการประชุมคณะกรรมการ จัดการแข่งขันของไทย เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 นี้ ซึ่งสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) ได้ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำร้องขอจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ และ สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) มีหนังสือถึง คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ และคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ว่าจะรอความคืบหน้าทางฝั่งไทย จนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2567 เวลา 17:00 น. โดยมีเงื่อนไขว่าทางไทย ต้องมีความชัดเจนใน 9 ประเด็น ประกอบด้วย

- เรื่องงบประมาณที่มีหลักฐานว่าคณะกรรมการจัดการแข่งขันมีงบประมาณเรียบร้อยแล้ว
- เรื่องสัญญาการจ่ายเงินในการเช่าสถานที่แข่งขันต่าง ๆ
- เรื่องการวางมัดจำโรงแรมที่พักและหลักฐานการจ่ายเงิน
- เรื่องการจ่ายเงินจัดจ้างระบบขนส่งต่าง ๆ
- การดำเนินการด้านสารต้องห้าม
- การจัดจ้างอาสาสมัครและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในการดำเนินงาน
- เรื่องการจัดจ้างบริษัทฯ ที่รับผิดชอบระบบ IT ของการแข่งขัน
- เรื่องของการจัดซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการแข่งขัน
- สัญญาการจัดจ้างบริษัทจะจะปรับปรุงสนามแข่ง

รรท.รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงาน ศพดส.ตร. ลงพื้นที่ป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ภาคประมงในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร

ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร. ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

วันนี้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ ผอ.ศพดส.ตร. เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ รูปแบบแรงงานประมงในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ณ  ห้องสาครบุรี ชั้น 4 อบจ.สมุทรสาคร เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ แนวทางป้องกันและปราบปราม และข้อขัดข้องเกี่ยวกับการดำเนินการด้านค้ามนุษย์ของภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานภาครัฐ โดยมี พล.ต.ท.สรไกร พูลเพิ่ม ที่ปรึกษา ศพดส.ตร. พล.ต.ต.พิพัฒน์ ชุ่มมณีกูล รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.สุระพรรณ นาทวรทัต ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร นายไพฑูรย์ มหาชื่นใจ ปลัดจังหวัดสมุทรสาคร นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ.สมุทรสาคร นายกมล ไกรวัตนุสสรณ์ รองนายกสมาคมการประมงสมุทรสาคร ผู้แทนหน่วย ภ.7, บก.รน., บก.ปคม., ตม.จว.สมุทรสาคร และ สันติบาล จว.สมุทรสาคร, พมจ., กอ.รมน., ศร.ชล., สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานฯ, จัดหางานฯ, เจ้าท่าฯ, ประมงฯ, PIPO, แรงงานฯ และผู้ประกอบการภาคเอกชน รวมกว่า 30 ราย

พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้เน้นย้ำความสำคัญของปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ เด็ก สตรี แรงงานในพื้นที่ และแรงงานภาคประมง เนื่องด้วยมีผลต่อการจัดระดับ Tier ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Tip Report) จากสหรัฐอเมริกา อีกทั้งได้หารือ รับฟังปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ จว.สมุทสาคร เพื่อเป็นข้อมูลนำเสนอ ตร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

จากนั้นได้ร่วมกับผู้แทน ภ.7, ภ.จว.สมุทรสาคร, บก.รน., บก.ปคม., ตม.จว.สมุทรสาคร, ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จว.สมุทรสาคร, สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จว.สมุทรสาคร และ สนง.เจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจสภาพการจ้างงานในเรือประมง เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย ณ องค์การสะพานปลา จว.สมุทรสาคร

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลัง ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วน ในการเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงจะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล เสริมสร้างความเสมอภาค เท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อยสืบไป

ประชาชนแจ้งเบาะแส ตชด.23 ตรวจยึดยาบ้ากว่า 1,000,000 เม็ด

เมื่อวานนี้ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 น. ที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23, กองกำลังสุรศักด์มนตรี, ปลัดอำเภอเรณูนคร และสภ.เรณูนคร แถลงข่าวตรวจยึดยาเสพติด จำนวน  1,000,000 เม็ด 

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ชุดปฏิบัติการข่าว กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 235 และ 236 ได้รับแจ้งจากสายลับว่ากระบวนค้ายาเสพติด จะลำเลียงยาเสพติดจากริมฝั่งแม่น้ำโขง พื้นที่ อำเภอบ้านแพง จว.นครพนมเข้าสู้พื้นที่ตอนใน จึงได้วางแผนสะกดรอยติดตาม แต่เป้าหมายรู้ตัวจึงได้นำยาเสพติดไปทิ้งแล้วหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ ว่าพบวัตถุต้องสงสัยพบถุงดำจำนวน 5 ถุง คาดว่าจะเป็นยาเสพติดถูกวางไว้ที่ป่าหญ้าริมถนนเส้นทางระหว่างบ้านนางาม - บ้านนายอน้อย หมู่ 13 ตำบลนางาม อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม จึงได้ประสานการปฏิบัติกับ นปส.นครพนม, เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, สภ.เรณูนคร, อำภอเรณูนคร และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ วางกำลังดักซุ่มรอ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. จนถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 21 สิงหาคม ไม่พบผู้มารับสิ่งของ จึงได้ร่วมกันตรวจยึด และประสานพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนครพนมเข้าเก็บหลักฐานและตรวจสอบของกลาง เบื้องต้นพบว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนประมาณ 1,000,000 เม็ด จึงได้นำส่ง สภ.เรณูนคร ดำเนินการคดีตามกฎหมายต่อไป 

พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองกำลังสุรศักดิ์มนตรีในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วน โดย  พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบช.ตชด. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงแนวชายแดนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดยุทธการ"พิทักษ์ริมน้ำโขง" เพื่อกวาดล้าง และปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด รวมถึงอาชญากรรมอื่นๆ ในพื้นที่แนวชายแดน โดยมอบหมายให้กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 โดย พล.ต.ต.กิตติศักดิ์  ปลาทอง ผบก.ตชด.ภาค 2 เป็นหน่วยปฏิบัติ  

การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นที่สังเกต ได้รับข่าวสารจากมวลชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเน้นหนักการปฏิบัติงานด้านมวลชนสัมพันธ์ของหน่วยงานความมั่นคง เพื่อสร้างเครือข่ายประชาชนในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยงานความมั่นคง เริ่มได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนในการให้เบาะแสมากขึ้น ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณประชาชน และขอความร่วมมือ ให้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 สร้างเขี้ยวเล็บด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เสริมทักษะความชำนาญเฉพาะทาง

เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 (บก.สอท.3) ณ ห้องประชุม เดอะกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม 2567 มีข้าราชการตำรวจในสังกัด บก.สอท.3 จำนวนทั้งสิ้น 160 นาย เข้ารับการฝึกอบรม

พล.ต.ต.สถิตย์ฯ กล่าวว่า บก.สอท.3 มีหน้าที่และอำนาจความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และกฎหมายอื่นอันเป็นความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน 

ปัจจุบันในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ข้าราชการตำรวจจำเป็นต้องมีความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือพิเศษ ที่เป็นความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การเก็บหลักฐานพยานของกลางในระบบดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการสืบสวนสอบสวน รวมถึงการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีนโยบายให้ดำเนินการโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของ บก.สอท.3 ในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมนำความรู้ความสามารถ และทักษะต่างๆ ที่ได้จากการฝึกอบรม ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชน สร้างความสงบสุขแก่สังคม ให้ปราศจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

‘กมธ.อุตฯ’ ติดตาม ‘เรือขนฝุ่นเหล็กแดง’ ใกล้ชิด หลังลือเข้าไทย วอนทุกหน่วยงานตรวจเข้ม ยึดความปลอดภัย ปชช. มาอันดับแรก

(21 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้แถลงข่าวถึงแนวทางการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของฝุ่นแดงจากการถลุงเหล็กซึ่งเป็นกากของเสียอันตราย

นายอัครเดช เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวว่าจะมีเรือขนฝุ่นแดง หรือฝุ่นเหล็ก ซึ่งเป็นของเสียจากการถลุงเหล็ก กากของเสียอันตรายบรรทุกขึ้นเรือขนส่งเอกชนรายใหญ่ใส่ตู้คอนเทนเนอร์เกือบ 100 ตู้น้ำหนักรวมประมาณ 816 ตัน ต้นทางจากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าปลายทางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ตามกำหนดจะถึงไทย โดยได้มีหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติในเรื่องนี้ได้แจ้งเตือนมานั้น

กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องของการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกากแคดเมียม หรือ กากของเสียอุตสาหกรรมอื่น ๆ 

ในวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ และกรมศุลกากร เข้ามาให้ข้อมูล 

โดยข้อมูลเบื้องต้นนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งว่า ฝุ่นแดงเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ไม่สามารถขนย้ายข้ามประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้ 

หากจะมีการขนย้ายเข้ามาในประเทศจะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่าในกรณีดังกล่าวไม่มีการอนุญาตให้ขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศ และไม่เคยอนุญาตให้มีการขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศมาก่อน 

ด้านกรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อ กมธ.การอุตสาหกรรม ว่า ในส่วนของเรือทั้ง 2 ลำที่ได้รับการแจ้งเตือนนั้น ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเรือลำแรกได้เดินทางออกจากท่าเรือในประเทศสิงคโปร์เดินทางสู่ประเทศจีนโดยไม่มีการจอดที่ประเทศไทย และสำหรับเรือลำที่ 2 ยังอยู่ที่ประเทศโมร็อกโกและยังไม่มีการเดินทางมายังทวีปเอเชีย 

จึงขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนให้สบายใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ขอให้กรมศุลกากรติดตามเรือทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิดต่อไป 

สำหรับการตรวจตู้คอนเทนเนอร์เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จของในตู้คอนเทนเนอร์นั้น ทางกรมศุลกากรแจ้งว่ามีการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ผ่านการ X-Ray และเปิดตู้คอนเทนเนอร์ แต่อย่างไรก็ดีอาจมีการเข้าสู่ประเทศผ่านการสำแดงเท็จอาจเกิดขึ้นได้ ทาง กมธ. จึงได้ขอให้กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป

นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ถลุงฝุ่นแดงในประเทศไทยทั้งสิ้น 8 โรงงาน ยังมีการดำเนินการอยู่ 5 โรงงาน โดยเป็นการถลุงเฉพาะฝุ่นแดงในประเทศไทยเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามทาง กมธ. ได้ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการลักลอบถลุงฝุ่นแดงจากต่างประเทศ

“คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ และขอยืนยันว่าจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนต่อไป”

“ภูมิธรรม” ล้อมวงคุย พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมมือทำงานเชิงรุก แก้ปัญหาประชาชน

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 14.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สนทนาร่วมกับพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ณ ห้องประชุมมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคในการทำงานและข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าภูมิภาค โดยนายภูมิธรรมได้เปิดโอกาสให้พาณิชย์จังหวัดแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้มีโอกาสมาพบกับทุกท่านอีกครั้ง ในรอบเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาซึ่งตนได้มีโอกาสลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจหลายจังหวัดทั้งในภารกิจของรองนายกรัฐมนตรีและภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พบกับพาณิชย์จังหวัดหลายท่านและมีการประชุมหารือและมอบหมายงานหลายครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ดำเนินการสำเร็จ ทั้งเรื่องราคาพืชผลการเกษตรที่ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการบริหารจัดการพืชเกษตรทั้งตัวหลักและพืชเกษตรตัวรอง ทำให้พืชเกษตรราคาดีทุกตัว เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประชาชน ขอให้ดำเนินการอย่างเข้มแข็ง และหลังจากนี้รัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป หากมีปัญหาติดขัดในการดำเนินการขอให้แจ้งมาที่ส่วนกลาง และตนจะช่วยผลักดันเต็มที่ ซึ่งการทำงานอยากให้ประสานพาณิชย์จังหวัดกับทูตพาณิชย์ เป็นทีมพาณิชย์ทำงานเชิงรุกและร่วมมือกับภาคเอกชน ประสานความร่วมมือในจังหวัด กลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ กลุ่ม YEC YSF และ Moc Biz Club ในจังหวัด ช่วยกันผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ อัตลักษณ์ของท้องถิ่น แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกร ขอให้ทุกคนปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ดีใจที่ได้ร่วมงานกัน และขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันทำงาน

น่าคิด!! ซีรีส์สไตล์ ‘เกาหลี-จีน-ญี่ปุ่น’ มุ่งพัฒนาเพื่อปรับพฤติกรรมคนในสังคม ส่วนไทยสไตล์ยังเวียนวน ‘ตบตี-ชิงผู้’ ร่วม 50 ปี บนเนินคิด เพื่อสะท้อนสังคม

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Suniti Kerdsongkran' ได้โพสต์มุมมองต่อแนวทางการสร้างหนังในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างค่านิยมใหม่ที่สร้างสรรค์ และปรับเปลี่ยนมุมลบบางอย่างทางสังคมให้กลายเป็นมุมบวก ระบุว่า...

ในประเทศเกาหลี สื่อเขาสร้างหนังที่พระเอกเป็นผู้ชายอบอุ่น โรแมนซ์ 

เพราะสังคมเขาผู้ชายที่แต่งงานแล้วถือว่า มีสิทธิ์เด็ดขาดในตัวภรรยา และบ้านเมืองเขา มีข่าวตบตีภรรยาในครอบครัวสูงมาก

เขาจึงใช้กลยุทธ์ของ Modeling Process สร้างค่านิยมใหม่ในสังคมให้ผู้ชายเป็นคนโรแมนติกมากขึ้น 

'นี่คือการสร้างหนังเพื่อปรับพฤติกรรม'

แม้กระทั่งในญี่ปุ่น เขาก็สร้างการ์ตูนผู้พิทักษ์ต่าง ๆ อุลตร้าแมน ฯลฯ เพื่อให้เด็กซึมซับความยุติธรรม การต่อสู้กับความชั่ว หรือในประเทศจีน ก็จะมีหนังในทำนองนี้เช่นกัน ...

ย้อนกลับมามองประเทศไทย

ทำไมละครไทยถึงมีแต่เรื่องเดิม ๆ เป็นอยู่อย่างนี้มา 50 กว่าปี

พอไปถามผู้จัด ก็ได้รับคำตอบว่า ...

"เราสร้างละครเหล่านี้เพื่อสะท้อนสังคม"

เราจะไป 'สะท้อนสังคม' เพื่ออะไร?
เพราะเราสะท้อนมา กว่า 50 ปีแล้ว 
และเนื้อเรื่องมันก็วนเวียนอยู่แค่แย่งตบตีกันแค่นั้น

ทำไมเราไม่สร้างละคร 'เพื่อนำสังคม'
เพื่อจูงใจให้เกิดพฤติกรรมดี ๆ ล่ะ

มัวแต่ไปสร้างเพื่อสะท้อนสังคม มันก็ไม่เห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมเลยสักนิด 

ในทางจิตวิทยาแล้ว สื่อมีบทบาทสำคัญมาก ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านตัวแบบ ...

‘ประเสริฐ’ คุมเข้มข้อมูลรั่วไหล เผย ‘สคส.’ สั่งปรับเอกชน ‘7 ล้าน’ ปล่อยข้อมูลส่วนตัวประชาชนหลุดถึงมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อมูลรั่วไหลภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไปกระทำความผิดกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กระทรวงดีอีว่า คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ที่รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและอื่นๆ ได้มีคำสั่งปรับบริษัทเอกชนรายใหญ่ของประเทศที่มีการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่ปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากรั่วไหลไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด รวมถึงบริษัทดังกล่าวไม่มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) และละเลยไม่แจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลให้แก่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้มีคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองบริษัทดังกล่าวในอัตราสูงสุดรวมจำนวนทั้งสิ้น 7 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) บริษัทที่ถูกร้องเรียนได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมากกว่า 1 แสนราย  และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบธุรกิจหลักของบริษัท แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายกำหนด จึงทำให้เมื่อเกิดข้อมูลรั่วไหล บริษัทดังกล่าวไม่สามารถเยียวยาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเป็นกรณีดำเนินการที่ขัดต่อมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

2) ผู้ถูกร้องเรียนดังกล่าวไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด ทำให้ข้อมูลรั่วไหลจากบริษัทดังกล่าวไปยังกลุ่มมิจฉาชีพคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 37(1) แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

3) เมื่อเกิดเหตุข้อร้องเรียนจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการแก้ไข และแจ้งเหตุให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลล่าช้า ทำให้ไม่สามารถเยียวยาได้ อันเป็นความผิดตามมาตรา    37 (4) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ยังมีคำสั่งให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยที่ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลอีก รวมทั้งได้มีคำสั่งกำชับให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนดำเนินการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงเพิ่มเติมมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัย กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และมีหน้าที่ต้องแจ้งให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงมาตรการแก้ไขดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง

“คำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองดังกล่าว เป็นคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองฉบับแรกกับบริษัท เอกชนรายใหญ่ โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ตั้งแต่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปหรือ GDPR” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง DE ได้แถลงเพิ่มเติมว่าคำสั่งปรับดังกล่าวต้องการคุ้มครองประชาชนจากปัญหากรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลที่เป็นปัญหาหลักของประเทศในตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเป็นการแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชนที่มีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ให้ต้องดำเนินการแจ้งสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด โดยคำสั่งปรับทางการปกครองฉบับนี้จะใช้เป็นมาตรฐาน และบรรทัดฐานในการพิจารณาเรื่องข้อมูลรั่วไหลในภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีการร้องเรียนเข้าที่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป และผลจากการปรับครั้งนี้จะทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนตื่นตัวในเรื่องการเคร่งครัดและปฎิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้มากขึ้น รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการป้องปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดขึ้น จากการนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่มีอยู่มากในปัจจุบันไปใช้โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังช่วยในการเยียวยาบรรเทาความเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลจากเหตุดังกล่าวข้างต้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top