Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

‘Honda Civic Minorchange’ เปิดตัวในงาน ‘BIG Motor Sale’ เน้น!! ขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รับประกันแบตเตอรี่นานถึง 10 ปี

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 67) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของฮอนด้า ซีวิคใหม่ ไอคอนยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดานของฮอนด้ายกระดับความคุ้มค่าด้วยราคาใหม่ทั้งระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEVรุ่น e:HEVEL+ พร้อมข้อเสนอพิเศษ อาทิดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น0.99%*พร้อมรับ ฮอนด้า เอ็กซ์คลูซีฟ แคร์ ได้แก่ ฟรีประกันภัย 1 ปี ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง และค่าอะไหล่ตามตารางการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ฟรีฮอนด้าอัลติเมท แคร์ ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน นอกสถานที่ 24 ชั่วโมง อีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงก่อน) พิเศษ เฉพาะรุ่น e:HEV เท่านั้น และเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ครั้งนี้มาพร้อมการยกระดับที่หลากหลาย เพื่อสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานในทุกมิติ และตอบสนอง ทุกความต้องการได้ลงตัวยิ่งขึ้น อาทิ ปรับโฉมดีไซน์ภายนอก เพิ่มฟังก์ชันและเทคโนโลยีล้ำสมัยให้ครบครัน พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ซึ่งซีวิค จะไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์ที่ดีเยี่ยมคันหนึ่งเท่านั้น แต่จะมอบประสบการณ์ที่ดีตลอดการใช้งาน โดยจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนชีวิตคุณไปสู่ ทุกความสำเร็จ และทำให้คุณภูมิใจในการเป็นเจ้าของอย่างสูงสุด

ภายนอกดีไซน์ใหม่
- กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ดีไซน์สปอร์ตขึ้น
- ไฟท้าย LED รมดำ ใหม่
- ในรุ่น e:HEV RS มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว Matte Black ดีไซน์ใหม่
- ในรุ่น EL+ เพิ่มขนาดล้ออัลลอยเป็น 17นิ้ว
- สำหรับรุ่น EL+ และ e:HEV EL+ มาพร้อมสีใหม่ สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก)

ภายในห้องโดยสาร
- ในรุ่น e:HEV RS มาพร้อมเบาะที่นั่งลายใหม่ Prime smooth ด้วยวัสดุเบาะหนังกลับและหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงอีกทั้งตกแต่งแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านข้างสีแดงสไตล์สปอร์ต
- ในรุ่น EL+ และ e:HEV EL+มาพร้อมวัสดุเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำ
- ช่องปรับอากาศผู้โดยสารตอนหลังในทุกรุ่นย่อย
- เบาะที่นั่งด้านหลัง แยกพับแบบ 60:40 ในทุกรุ่นย่อย
- ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- Google built-in แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัวในทุกรุ่นย่อย
- ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ช่อง โดยแบ่งเป็น2 ช่องด้านหน้า และ 2 ช่องด้านหลัง ในทุกรุ่นย่อย
- ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto(TM) แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ในทุกรุ่นย่อย
- ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ในทุกรุ่นย่อย

เครื่องยนต์ EL+
- ขุมพลังเทอร์โบ 1.5 ลิตร
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC TURBO
- ประเภทน้ำมัน E85
- ความจุ (ซีซี.) 1,498
- กำลังสูงสุด 131 กิโลวัตต์ 178 แรงม้า / 6,000 รอบต่อนาที
- แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร / 1,700-4,500 รอบต่อนาที
- อัตราการประหยัดน้ำมัน 17.2 กิโลเมตร/ลิตร

เครื่องยนต์และแบตเตอรี่ e:HEV EL+ , e:HEV RS
- มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว
- พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
- ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI
- ประเภทน้ำมัน E20
- ความจุ (ซีซี.) 1,993
- กำลังสูงสุด 104 กิโลวัตต์ / 6,000 รอบต่อนาที
- แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร / 1,700-4,500 รอบต่อนาที
- อัตราการประหยัดน้ำมัน 25 กิโลเมตร/ลิตร วิ่ง 800 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี
- สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น EL+ และ e:HEV EL+)
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
- สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
- สีดำคริสตัล (มุก)
- สีขาวแพลทินัม (มุก)
พร้อมภายในสีดำและสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมบูทฮอนด้าและสัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ พร้อมด้วยรถยนต์หลากหลายรุ่นได้ที่เทศกาลแสดงยานยนต์ประจำปี BIG Motor Sale 2024 ณ บูทฮอนด้า (A17) ฮอลล์102ศูนย์นิทรรศการและ การประชุมไบเทคตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567 โดยมาพร้อมข้อเสนอพิเศษเดียวกันทั้งในงานและที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ  เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1สิงหาคม 2567 – 1กันยายน 2567(สำหรับ ซีวิค ใหม่ เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 30 พฤศจิกายน 2567)

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมทั้งในงานฯ และโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

‘อ.สุวินัย’ โพสต์เฟซ ‘วิทยุฉุกเฉิน’ ใช้การได้จริง ลุงตู่!! เคยแนะนำ แต่โดนด้อยค่าจาก ‘ขบวนการเสี้ยม’

(24 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย นักเขียนชาวไทย และอดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับวิทยุ ว่า …

น้ำท่วมเสาสัญญาณโทรศัพท์ ไฟฟ้าโดนตัด ชาร์จมือถือไม่ได้ การสื่อสารเป็นอัมพาต ... สมัยเป็นนายก ลุงตู่เคยบอกให้หาวิทยุทรานซิสเตอร์เผื่อไว้ จำได้ว่าตอนนั้นแกโดนถล่มยับทางสื่อโซเชียล เพราะมีขบวนการด้อยค่าลุงตู่ทั้งประเทศจากการถูกปั่นถูกเสี้ยม

แต่ประชาชนที่มีสติมีปัญญาจะหา ‘วิทยุฉุกเฉิน’ แบบมานี้ติดบ้านไว้ตั้งแต่ที่ลุงตู่แนะนำ ...สิ่งนี้เป็นทั้งวิทยุ/ไฟฉาย/มีที่เสียบชาร์จโทรศัพท์ได้
ตัวมันเองชาร์จด้วยไฟฟ้า, พลังแสงอาทิตย์/มือหมุนปั่นไฟฉุกเฉินจึงไม่ต้องกลัวไฟหมด

คนที่สนใจ...ในรูปที่แนบสามารถสั่งมาจากแอพส้มได้ ให้พิมพ์ค้นหาว่า ‘วิทยุฉุกเฉิน’ ได้เลย

‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ อวดโฉมในงาน ‘BIG MOTOR SALE’ เผย!! ขับสนุก-เร้าใจ-วิ่งไกล น้ำมันถังเดียว ขับได้มากกว่า 800 กิโลเมตร

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย นำทัพยนตรกรรมหลากหลายขุมพลังขับเคลื่อนมาให้สัมผัส และทดลองขับในงาน BIG MOTOR SALE 2024 โดยชู ALL NEW MG3 HYBRID+ ไฮบริดเจนใหม่ล่าสุดเป็นแม็กเน็ต หลังได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม พร้อมส่งมอบความคุ้มค่าด้วยข้อเสนอพิเศษครบทุกรุ่น ณ บูธ เอ็มจี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567

หลังการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างยิ่งใหญ่ทั่วทุกภูมิภาค เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์กลุ่มพลังงานทางเลือกเป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของเทคโนโลยีไฮบริดยุคใหม่ที่ผู้ขับขี่จะได้รับทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ขับสนุก เร้าใจ ด้วยกำลังขับเคลื่อน 194 แรงม้า ให้พละกำลังสูงสุดเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกัน ทั้งยังมาพร้อมความประหยัด จากบทพิสูจน์บนเส้นทางจริงโดยการขับขี่ของสื่อยานยนต์เมืองไทย น้ำมัน 1 ถัง สามารถทำระยะทางได้มากกว่า 800 กิโลเมตร ALL NEW MG3 HYBRID+ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลแห่งความภาคภูมิใจของ เอ็มจี ที่จะส่งมอบทั้งเทคโนโลยี ความทันสมัย และความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค ด้วยราคาพิเศษช่วงแนะนำเริ่มต้นเพียง 559,900 บาท สำหรับลูกค้า 1,000 คนแรก และเตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกจากโมเดลไฮไลท์อย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ เอ็มจี ยังมียนตรกรรมอีกหลายรุ่น หลายขุมพลังขับเคลื่อนที่นำมาจัดแสดงทั้งกลุ่มรถ อีวี พรีเมี่ยม กับ e-MPV แบบ 7 ที่นั่งรุ่น NEW MG MAXUS 9 ตามด้วยอีวีขวัญใจคนไทยอย่าง NEW MG4 ELECTRIC โดยอีวีทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ตลอดอายุการใช้งาน หรือ Lifetime Warranty ให้ขับขี่ได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้ยังมีสปอร์ตตี้ ไฮบริดเอสยูวี อย่าง NEW MG VS HEV ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัยทั้งภายนอก ภายใน และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก ให้การตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนรถยนต์กลุ่มเครื่องยนต์สันดาปเอ็มจีนำรุ่น NEW MG5 PRO ที่ได้รับการยกระดับดีไซน์สปอร์ตใหม่รอบคัน เท่ โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น โดยทุกรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อรถภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

พบกับยนตรกรรม ‘เอ็มจี’ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน BIG MOTOR SALE 2024 ณ บูธ เอ็มจี หมายเลข A02 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567 และยนตรกรรม เอ็มจี รุ่นอื่นๆ ได้ที่โชว์รูม และศูนย์บริการคุณภาพของเอ็มจีกว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศ

'สภาฯ' ประกาศ!! มุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 เดินหน้าต้นแบบหน่วยงานภาครัฐใช้พลังงานที่ได้มาจากธรรมชาติ

(23 ส.ค.67) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานขับเคลื่อนไปสู่รัฐสภาสีเขียว (Green Parliament) พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 (พ.ศ. 2575) 

ถือเป็นต้นแบบของหน่วยงานภาครัฐของประเทศสำหรับการใช้พลังงานที่ได้มาจากธรรมชาติ ทำให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนจากต่างประเทศ และนำมาสู่การท่องเที่ยว 

ทั้งนี้ การลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว ไม่ได้เป็นแค่เรื่องการป้องกันภัยพิบัติเท่านั้น แต่เป็นการสร้างโอกาสให้กับคนไทยในด้านอาชีพใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า สภาพอากาศ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่สูงขึ้นทั่วโลก ปัญหาไฟป่า ปัญหาฝุ่น หมอกควัน ปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดย เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกแถลงการณ์ว่า ยุคโลกเดือดมาถึงแล้ว หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญในประเด็นนี้เป็นอย่างมาก และประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รัฐสภาไทย ในฐานะเป็นศูนย์กลางฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ ได้กำหนดแผนการดำเนินงานของส่วนงานรัฐสภา โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ประกาศนโยบายสิ่งแวดล้อม 'รัฐสภามีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาสู่การเป็นรัฐสภาสีเขียว' (Green Parliament) ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทย เริ่มขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเป็นรัฐสภาสีเขียว โดยตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางและการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งด้านนโยบาย การบริหารจัดการด้านการลดปริมาณการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจก และด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

บัดนี้ 'แผนแม่บทการขับเคลื่อนไปสู่ รัฐสภาสีเขียว (Green Parliament) ค.ศ. 2025 - 2032' ดำเนินการจัดทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปสู่การจัดงานสัมมนาที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 ก.ย. 67 ณ อาคารรัฐสภา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนา ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว

‘เพจดัง’ เผยเรื่องราว ‘ครูบอย’ ไม่ละทิ้ง ‘ลูกศิษย์’ ช่วยหาทุนจนมีโอกาสเรียน หลังเด็กเขียนจดหมายลา ขอไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยบาท

(23 ส.ค.67) เมื่อการศึกษาต้องเข้าถึงทุกคน จึงกลายเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียไม่น้อย หลัง ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน เจ้าของเพจเฟซบุ๊กดัง ‘หมอแล็บแพนด้า’ ได้โพสต์ข้อความและรูปจดหมายที่เขียนเรื่องเล่าของเด็กชายรายหนึ่ง ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างที่ใจหวัง ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท

โดยข้อความระบุว่า “โอย อยากให้ลองอ่านจดหมายฉบับนี้ครับ เป็นเรื่องราวของ ‘แดง’ เด็กชายบ้านนาเกียนที่ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท และไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเรียนอีกรึเปล่า

แต่ครูบอย พอได้อ่านจดหมายของลูกศิษย์แล้ว ครูไม่เคยทิ้งเด็กชายแดงเลย พยายามตามกลับไปเรียน และช่วยแนะนำทุนการศึกษา จนแดงได้รับทุนเสมอภาค จนถึงชั้น ม.3 และทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาทำให้แดงได้เรียนต่อ ปวส. สาขาช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคโนโลยีเทคนิคโปลิลานนา เชียงใหม่

พอแดงมีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็เลยทำให้แดงมีแรงบันดาลใจที่จะสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ชีวิตของแดง คือดอกผลที่มีชีวิต เป็นการลงทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่แสนคุ้มค่า

การศึกษาต้องไม่เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เพราะเด็กทุกคนมีศักยภาพ โอกาสการศึกษาต้องไปให้ถึงทุกคน!!! โดยไม่มีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอะไรทั้งนั้น

แต่เชื่อมั้ยครับ แดงยังโชคดีมีครูบอยคอยช่วย เพราะข้อมูล กสศ. ชี้ว่าเด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคน หลุดออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ

ซึ่ง BigData ข้อมูลของเด็กกลุ่มนี้ ทางเลือกการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตเด็กทุกคน และความร่วมมือกับทุกภาคส่วน จะเป็น Game Changer ตัวเปลี่ยนเกม ที่ช่วยให้โอกาสการศึกษาไปให้ถึงเด็กทุกคน

นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่เค้าจะมีการแลกเปลี่ยนในงานมหกรรม All For Education : Education For All รวมพลังนักสร้างการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อเด็กทุกคน จัดขึ้นวันที่ 23-25 สิงหาคมนี้ ที่ IMPACT Forum เมืองทองธานี

เด็กทุกคนควรได้เรียนนะครับ”

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับคอมเมนต์จากประชาชนหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมครูบอย ที่ได้คอยช่วยเหลือและเพจที่เป็นกระบอกเสียงให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อาทิ ขอบคุณครูบอยมากนะคะ ขอให้โลกนี้ มีคนแบบครูบอยเยอะ ๆ เลย, คุณครูสุดยอดมากค่ะ, ครูแบบนี้ควรยกย่องมาก ๆ ค่ะ..ต้นแบบที่ดี, อยากให้มีครูแบบนี้หลาย ๆ คน ฯลฯ

‘เจ้าของคาเฟ่’ จ.น่าน เปิดใจหลังร้านโดนน้ำท่วม เกือบมิดหลังคา ชี้!! ข้าวของเสียหาย ทุกอย่างที่รัก ตอนนี้พังหมดภายใน 1 คืน

(23 ส.ค.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Suthida Wongrattana โพสต์เหตุการณ์ ร้านคาเฟ่ที่ จ.น่าน โดนน้ำท่วม จนข้าวของทุกอย่างเสียหายหมด พร้อมระบุว่า “ในชีวิตนี้ไม่เคยเจออะไรหนักเท่านี้เลย ร้านที่เราฝัน ที่เรารัก เราทำมันสำเร็จ แต่ตอนนี้มันพังหมดภายใน 1 คืน จุกไปหมด”

ล่าสุดวันนี้ คุณก้อย เจ้าของร้านคาเฟ่ที่ จ.น่าน เปิดใจกับข่าวสดออนไลน์ ระบุว่า ร้านของตนเคยน้ำท่วมมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา น้ำท่วมถึงแค่สนามหญ้าและน้ำก็ลดเร็ว แต่น้ำตรงแม่น้ำน่านยังไม่ค่อยลดเท่าไหร่ เวลามีฝนตก ตนก็กังวลว่ามันจะท่วมอีกรอบหรือเปล่า

ต่อมาวันที่ 20 ส.ค. มีฝนตกเกือบทั้งวันและหยุดตกตอนเวลาหลัง 18.00 น. จนเมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืน วันที่ 21 ส.ค. ฝนตกหนักอีกครั้งตลอดทั้งคืนยันเช้า ซึ่งร้านก็ยังเปิดตามปกติ เพราะไม่คิดว่าน้ำจะขึ้นเร็วขนาดนี้ แต่พอช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. เห็นน้ำเริ่มขึ้นก็ทยอยเก็บของ ยกขึ้นที่สูงกว่าที่น้ำเคยท่วมรอบก่อน พวกเฟอร์นิเจอร์ก็แขวนไว้ที่หลังคา

หลังจากฝนเริ่มเบาลง ตอนนั้นตนยังชะล่าใจ คิดว่าน้ำไม่น่าท่วมสูงเกินที่คาดไว้ จึงไม่ได้ขนของอะไรออกมา จากนั้นก็รีบออกมาจากพื้นที่ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 18.00 น. แม้ฝนจะหยุดแล้วแต่น้ำก็ยังคงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าไปเอาของไม่ได้

คุณก้อย กล่าวว่า น้ำหนุนขึ้นมาเยอะมากจากทางน่านตอนเหนือที่ฝนตกหนักมาก่อน เริ่มท่วมจากทางทุ่งช้าง เชียงกลาง ปัว ท่าวังผา แล้วเข้าเมือง การที่น้ำท่วมสูงอย่างรวดเร็วแสดงว่าน้ำจากทางเหนือมันเยอะมากแล้วไล่ระดับลงมา

ตอนที่คนในพื้นที่เริ่มบอกกันว่าน้ำมันจะท่วมสูงประมาณตอนปี พ.ศ. 2554 นะ ตนก็เข้าไปเอาของออกไม่ทันแล้ว น้ำท่วมสูงจนทำให้ตนไม่สามารถเข้าไปเอาของออกมาได้ทัน รถก็เข้าไปไม่ได้แล้ว พายเรือไปก็ไม่ได้เพราะน้ำเริ่มเชี่ยว

โดยตอนเวลาประมาณ 22.00 น. ไฟยังไม่ตัด ตนดูกล้องวงจรปิดเห็นว่าน้ำเริ่มเข้าร้าน พบว่าน้ำท่วมครั้งนี้สูงกว่าที่เคยเจอมาจากปีอื่น ๆ ที่เคยเจอ และไฟก็เริ่มตัดไป น้ำยังคงท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยันเช้าของวันที่ 22 ส.ค. ตนตื่นออกมาดูน้ำในพื้นที่ก็พบว่าน้ำท่วมเกือบมิดหลังคาร้าน

ร้านคาเฟ่ของตนเป็นร้านเบเกอรี่ที่เปิดเป็นร้านกาแฟด้วย อุปกรณ์ของทำเบเกอรี่ วัตถุดิบ เครื่องทำกาแฟ เครื่องสกัดกาแฟ เครื่องบดต่าง ๆ ถูกล็อกแช่อยู่ในร้านทั้งหมด รวมไปถึงของตกแต่งร้านและเฟอร์นิเจอร์ที่ยกสูงแล้วก็ยังหนีน้ำไม่พ้น

ตอนเช้าที่ตื่นมาเจอน้ำท่วมเกือบมิดหลังคาร้าน ตนรู้สึกทั้งช็อกและจุก เพราะของตนอยู่ในนั้นทั้งหมดเลย ไม่คิดว่าน้ำมันจะท่วมสูงขนาดนี้ มันคือการเริ่มใหม่ทั้งหมด คาเฟ่ของตนมีแมชชีนและของครบทุกอย่าง

แม้กระทั่งการแต่งสวนหน้าร้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็โดนน้ำท่วมไปหมด และยิ่งจิตตกตอนย้อนกลับไปดูรูปภาพตอนร้านยังสวย แล้วกลับมาดูสภาพปัจจุบัน ทำให้ตอนนี้สภาพจิตใจไม่ค่อยโอเค ซึ่งตนไม่ใช่คนน่าน ย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ของแฟน เขาก็บอกว่าน้ำไม่เคยท่วมสูงขนาดนี้

ตนรู้สึกว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ก็จะมีแต่ชาวบ้านด้วยกันเองที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือดูแลกันเอง หรือได้รับความช่วยเหลือแค่ในระดับ อบต. ที่คอยหาเรือ ข้าว อาหาร มาช่วยคนที่ออกจากพื้นที่ไม่ได้ หรือเพจน่าน ที่คอยช่วยประชาสัมพันธ์แจ้งคนหายต่าง ๆ

แต่เท่าที่ตนเห็น ยังไม่มีหน่วยงานระดับสูง ๆ ลงพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลเลย อาศัยการพึ่งพากันเองมากกว่า ตนก็ต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนท่าวังผา กลุ่มของคนในพื้นที่ หรือฟังประกาศจากผู้ใหญ่บ้าน ประกาศอย่างเป็นทางการ เท่าที่ตนทราบยังไม่มี

แต่ทั้งนี้ตนไม่โทษใครอยู่แล้วเพราะเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติ แค่อยากเตือนทุกคนจากประสบการณ์ตัวเองว่า ถ้าน้ำมาอย่าชะล่าใจ ขนอะไรได้ก็ขนให้หมด อยู่ในพื้นที่สูง ๆ หรือออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

'สุริยะ' สั่งเปิดศูนย์ภัยพิบัติคมนาคม ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

(23 ส.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัย (น้ำท่วมฉับพลัน) น้ำป่าไหลหลาก และดินสไลด์ในภาคเหนือที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นั้น กระทรวงคมนาคมมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มอบหมายและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผล กระทบจากอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งสั่งเปิด ‘ศูนย์ Command Center ภัยพิบัติกระทรวงคมนาคม’ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ สั่งการ รับแจ้งเหตุ ประสานข้อมูลการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงฯ เพื่อบูรณาการการรายงานผลในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดเตรียมถุงยังชีพ และของใช้จำเป็น เพื่อแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่คอยดูแล และอำนวยความสะดวกการสัญจรบนเส้นทางการจราจรต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย นอกจากนี้ ยังได้ให้ทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้าและความเคลื่อนไหวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันที เพื่อเตรียมแผนรับมือและช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วม และดินสไลด์ในโครงข่ายทางหลวง (ณ วันที่ 22 ส.ค.67) ได้รับผลกระทบใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย น่าน พะเยา เชียงราย และแพร่ รวม 13 แห่ง 8 สายทาง การจราจรสามารถผ่านได้ 3 แห่ง และผ่านไม่ได้อีก 10 แห่ง ทั้งนี้ ในทุกจุดที่เกิดเหตุนั้น มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สถานการณ์การสัญจรกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และให้ประชาชนที่ใช้เส้นทางมีความปลอดภัยระดับสูงสุด ขณะเดียวกัน ทล. ได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ และเครื่องจักร เพื่อลงพื้นที่เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชม. ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งมาที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 ฟรีตลอด 24 ชม.

ขณะที่ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้รายงานว่าขณะนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าลงพื้นที่โดยทันที เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ ป้ายเตือน หลักนำทาง สะพานเบลีย์ และยานพาหนะให้มีความพร้อมรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับเส้นทางการสัญจรภายใต้การดูแลนั้น การจราจรสามารถสัญจรได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่มีน้ำท่วมและเกิดเหตุดินสไลด์ 6 สายทาง และยังไม่สามารถใช้สัญจรได้ 13 เส้นทาง ซึ่งทุกจุดนั้นมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเส้นทางเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รายงานว่า จากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มนั้น ท่าอากาศยานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้จัดเตรียมแผนการรองรับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและบริหารจัดการน้ำภายใน ทชร. โดยการขุดลอกระบบระบายน้ำแบบเปิด ซึ่งเป็นคูระบายน้ำโดยรอบพื้นที่ท่าอากาศยาน และจัดเตรียม เครื่องสูบน้ำด้านทิศเหนือที่ใช้บริหารจัดการน้ำภายใน ทชร. ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และมีการตรวจสอบประตูน้ำว่าสามารถใช้งานได้ปกติ 

นอกจากนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบกายภาพ และติดตามสถานการณ์น้ำท่วมโดยรอบพร้อมประเมินสถานการณ์และรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค รวมถึงยารักษาโรคใน ‘ถุงยังชีพ’ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่ ขณะเดียวกันท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นำอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นในการยังชีพ แจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการยังชีพในเบื้องต้น และหลังจากนั้นจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

ในส่วนของกรมเจ้าท่า (จท.) นั้น ได้ส่งบุคลากรเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งจัดเตรียมเรือตรวจการณ์ รถยนต์ และสิ่งของต่าง ๆ ไปมอบให้ผู้ประสบภัย และเข้าร่วมศูนย์ช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยของ ปภ. อำเภอเมือง และอำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนที่ประสบภัยในครั้งนี้ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี 

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง หรือต้องการความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชม.) สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193 ขณะที่สายด่วน ทช. โทร. 1146

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลายแห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่เสี่ยง ดังนี้ ภาคเหนือ 12 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ประกอบด้วย นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย ระนอง พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล

ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. และ นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย ปลื้ม 'ERDI-CMU' มช. สร้าง Platform การประหยัดพลังงาน 9% พร้อมแก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Demand Response และ Peak Demand ด้วย นวัตกรรมคนไทย NiA หม้อแปลง Low Carbon

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน   นครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ ดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ ต้อนรับคุณธีรภพ พงษ์พิทยาภา นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย และดร.เตชทัต บูรณะอัศวกุล ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงาน หม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System เพิ่มอายุการใช้งานให้กับ Energy Storage มากถึง 20 ปี ทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดความเสถียรภาพเกิดความมั่นคงด้านพลังงาน Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ประหยัดพลังงาน 9% ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและความมั่นคงระบบพลังงานไฟฟ้าสะอาด ของภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบการ, อาคารสถานที่, โรงพยาบาล โรงแรม เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติด้านพลังงานและด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า 

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี กล่าว เนื่องจากเร็วๆนี้ องค์กรภาครัฐ ส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงานรณรงค์ชวนปิดไฟ ให้โลกพัก ปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน Platform หม้อแปลง Low Carbon ตอบโจทย์ Demand Response Net Zero off Grid 100% ด้วยกราฟเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชื่นชมตำรวจในพื้นที่ทุกหน่วย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ ( 23 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะ โดยมี พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การท่องเที่ยวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ ซึ่งเมืองพัทยานับเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ดังนั้น การดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง มาตรการป้องกันเหตุและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติของสถานีตำรวจภูธรพัทยา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ มีแผนปฏิบัติและรายละเอียดที่ชัดเจน จึงขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกนาย 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจากการที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดี และการทำงานที่สอดประสานระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และสถานีตำรวจภูธรพัทยา เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพัทยา สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ได้รับความร่วมมือที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน และประการที่ 2 คือ ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน “ขวัญ เป็นอำนาจรบ ที่ไม่มีตัวตน” หากผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจและสวัสดิการที่ดีก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายถือปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากล ที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและสังคม

‘เนเน่-รัดเกล้า’ ร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ ‘อัตลักษณ์ภูษา พัสตราชาติพันธุ์’ เผยแพร่วิถีชีวิต-ภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ เทิดพระเกียรติพระพันปีหลวง

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ ผ่านการแสดงแฟชั่นโชว์ ‘อัตลักษณ์ภูษา พัสตราชาติพันธุ์’

ภายในงานมหกรรมแสดงผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชนและสินค้าราษฎรบนพื้นที่สูง เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ‘ใต้ร่มพระบารมี พระบรมราชชนนีพันปีหลวง’

งานดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘ใต้ร่มพระบารมี อัตลักษณ์วิถีชาติพันธุ์ วิสาหกิจชุมชนสร้างสรรค์ ผลักดันสวัสดิการยั่งยืน’ จัดโดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. 

ซึ่งงานดังกล่าวจะถึง 3 วัน ระหว่างวันที่ 22 - 24 สิงหาคม 2567 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไลฟ์ ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร 

โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นช่องทางในการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์กลุ่มชาติพันธุ์ของราษฎรบนพื้นที่สูง เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาด ช่วยสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ที่มั่นคงแก่ชุมชนบนพื้นที่สูง

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันโครงการดี ๆ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทุกคน ทุกชาติพันธุ์ อย่างเท่าเทียมกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top