Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

'พิชัย' ถกร่วมองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในเวทีอาเซียน ยืนยันไทยพร้อมร่วมใช้ AI จดสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาร่วม10ประเทศ ช่วย MSMEs แข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

(18 ก.ย. 67) รมว.พิชัย ร่วมประชุมหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศ ในประเด็นความร่วมมือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลร่วมกันในอาเซียน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ MSMEs ไทย ที่เป็นกลุ่ม Startup ในการใช้ AI ช่วยตรวจสอบในการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และช่วยปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตน รวมถึงการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

วันที่ 18 กันยายน 2567 เวลา 10.00 น. ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศ ได้ร่วมกันหารือกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในประเด็นความร่วมมือการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ การร่วมมือกันระหว่างอาเซียนสร้างมาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถของอาเซียนในเศรษฐกิจดิจิทัล และผลักดันการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสีฟ้า ทั้งยังส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ SMEs ที่ช่วยในการเข้าถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตนได้“

นายพิชัย กล่าวว่า ”ไทยจะร่วมผลักดันประเด็นความร่วมมือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ในการพัฒนาเสริมสร้างนวัตกรรม ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างระบบค้นหาข้อมูลการจดสิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้าอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาของทุกประเทศสมาชิกอาเซียนได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เยาวชน สตรี และผู้พิการ ในการนำทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ ไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้ง่ายและรวดเร็ว การปกป้องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตน และการเพิ่มมูลค่างานของตนในการได้รับความคุ้มครองจากการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลนี้ในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล การใช้นวัตกรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

โดยคาดว่าความร่วมมือดังกล่าวจะยกระดับขีดความสามารถด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายในภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความก้าวหน้าและสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ

สมุทรปราการ-บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด วางศิลาฤกษ์เดินหน้าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะแปรรูปขยะเป็นพลังงานเชื้อเพลิง

นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ โดยมี นายอาบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีอีพี กรุ๊ป พร้อมด้วย นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.สมุทรปราการ นางสาวมณิฐกานต์ บุญริ้ว สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร พนักงาน บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธี ณ มณฑลพิธีภายในศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชนแพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 

โดยมี นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ในฐานะผู้กำกับดูแลพื้นที่ ที่ตั้งโครงการบริหารจัดการขยะชุมชน ต.แพรกษาใหม่ กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการดังกล่าว

ภายในพิธีวางศิลาฤกษ์ได้ประกอบพิธีทำบุญเลี้ยงพระ โดยได้รับความเมตตาจากพระธรรมธร สมจิตร จิตฺตปญฺโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดแพรกษา ประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์ จำนวน 9 รูป ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาเจริญพระพุทธมนต์ 

สำหรับ บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด (MHG) ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) เริ่มก่อสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะชุมชนอีก 3 โครงการ เดินหน้ามุ่งสู่การเป็นผู้นำในด้านการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืนและแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) ซึ่งได้รับสัญญาให้สิทธิเอกชนดำเนินโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF โดยก่อสร้างและบริหารจัดการโรงไฟฟ้า จำนวน 3 โครงการ ร่วมกับเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ 

ที่มีเป้าหมายในการแปรรูปขยะชุมชนเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าและได้กำหนดจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โรงงาน และกำลังการผลิต 3.3 เมกะวัตต์ อีก 2 โรงงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้า จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 1 โรงงาน และดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ด้วยกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ตำบลแพรกษาใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการแล้ว โดยยึดมั่นดำเนินการผลิตไฟฟ้าตามมาตรฐานที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดไว้ทุกด้านการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน หรือ Waste to Energy เป็นแนวทางของการลดปริมาณขยะที่ยังคงสะสม จากปัญหาขยะล้นเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญ และมองว่าปัญหาขยะมูลฝอยสะสมเป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

โดยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ปี 2566 สถานการณ์ปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีประมาณ 26.95 ล้านตัน โดยมีอัตราการเกิดขยะมูลฝอยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรคิดเป็น 1.12 กิโลกรัม/คน/วัน และคาดว่าปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ในฐานะที่บริษัท EEP เป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างครบวงจรและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำขยะมูลฝอยชุมชนกลับมาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลชุมชนและสังคม ตามนโยบายของนายอบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่นำหลักการบริหารจัดการขยะแบบ 360 องศา มาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การนำเทคโนโลยีบ่อขยะกึ่งใช้อากาศ หรือ Semi-Aerobic Landfill โดยติดตั้งท่อระบายก๊าซ และนำวัสดุเสมือนดินมาใช้ปิดคลุมบ่อขยะพร้อมด้วยแผ่นพลาสติก เพื่อช่วยลดอัตราการเกิดก๊าซมีเทนและลดผลกระทบต่อการเกิดก๊าซเรือนกระจก การใช้เทคโนโลยีติดตามผลกระทบจากกลิ่น จากสถานีวัดกลิ่นออนไลน์ หรือ Electronic Nose (E-nose) โดยติดตั้งทั้งหมด 4 ทิศทางรอบบ่อขยะ และมีการติดตามผลกระทบตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบค่าความเข้มข้นของกลิ่นได้

เพื่อให้กลุ่มบริษัท EEP เดินหน้าสู่เป้าหมาย 'Zero Waste Zero Landfill' จัดการขยะให้หมดสิ้น ไม่ว่าจะส่งต่อเพื่อรีไซเคิล การนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ หรือแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน ไม่ให้มีขยะหลงเหลือ กลุ่มบริษัท EEP จึงดำเนินตามแผนธุรกิจในการลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ RDF โดยก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 โครงการ ภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด การสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย นอกจากนี้การดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ทั้ง 3 โครงการนี้ ยังได้รับการสนับสนุนและทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากการสนับสนุนของจังหวัดสมุทรปราการ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ และหน่วยงานราชการทุกภาคส่วนที่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เป็นผลทำให้โครงการนี้เป็นจริงและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเป็นอย่างดี

ไทยติดอันดับ 17 แดนสวรรค์ของวัยเกษียณทั่วโลก 'ความเป็นมิตร-สถานที่น่าอยู่-ระบบสาธารณสุขดีเลิศ'

(18 ก.ย. 67) ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต (U.S. News & World Report) เปิดเผยผลการจัดอันดับประเทศที่เหมาะใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด (Best Countries for a Comfortable Retirement) จาก 89 ประเทศ ปรากฏว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 1 ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากระบบบริการสุขภาพที่ดีและอัตราภาษีต่ำ ขณะที่ประเทศไทยติดอันดับที่ 17 ขยับขึ้นมาจากอันดับ 18 ในรายงานเมื่อปีที่แล้ว รั้งอันดับสูงสุดในอาเซียนและเอเชีย

ผลสำรวจดังกล่าวได้จากผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 17,000 คนทั่วโลก และผู้ตอบแบบสำรวจกลุ่มย่อยจำนวน 5,900 คนที่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 40 กลางๆ ขึ้นไป พิจารณาจากคุณลักษณะ 7 ด้าน ได้แก่ ราคาจับต้องได้, สภาพแวดล้อมด้านภาษีเอื้ออำนวย, ความเป็นมิตร, สถานที่น่าอยู่, ภูมิอากาศน่ารื่นรมย์, สิทธิในอสังหาริมทรัพย์ และระบบสาธารณสุขที่ดี 

สำหรับอันดับประเทศน่าอยู่ที่สุดสำหรับวัยเกษียณ 10 อันดับแรก ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, โปรตุเกส, ออสเตรเลีย, สเปน, แคนาดา, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และลักเซมเบิร์ก

ทรภ.1 โดย ศบภ.ทรภ.1 ร่วมหอการค้าจังหวัดระยอง และเครือข่ายเอกชน จัดรถบรรทุกลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย หนองคาย

พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 (ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศบภ.ทร.1) และคณะผู้บังคับบัญชาในศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมส่งขบวนรถบรรทุกสำหรับบรรทุกสิ่งของ เพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดหนองคาย รวมทั้งจัดกำลังพลในศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมลำเลียงถุงยังชีพจำนวน 2,000 ถุง สิ่งของบริจาค และนำ้ดื่ม ขึ้นรถบรรทุก ณ มูลนิธิสว่างพรกุศลจังหวัดระยอง 

เพื่อแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือ กับหน่วยงานภายนอก รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยในภาวะปัจจุบันตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ 

ตลอดจน เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือต่อประชาชน โดยขบวนรถบรรทุกฯ จะออกเดินทางไปยังหอการค้าจังหวัดหนองคาย ในวันที่ 18 กันยายน 2567 

2 ช่างซ่อมจิตอาสา ขับมอเตอร์ไซค์กว่า 700 กม. มาจากกรุงเทพฯ เพื่อช่วยซ่อมรถจักรยานยนต์ให้ผู้ประสบอุทกภัยที่เชียงราย

(17 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยในตัวเมืองเชียงรายเริ่มคลี่คลาย และหน่วยงานกู้ภัยต่างพื้นที่เริ่มถอยตัวออกจาก จ.เชียงราย เพื่อเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจุดอื่น แต่ภายในจังหวัดเชียงรายก็ยังคงมีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน จิตอาสา ที่ยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่

โดยที่บริเวณริมถนนพหลโยธิน ฝั่งขาล่อง ห่างจากห้าแยกพ่อขุนมาประมาณ 200 ม. ได้มีจุดบริการซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งทางมูลนิธิสยามเชียงรายสำนักงานใหญ่และช่างซ่อมรถจิตอาสาได้ร่วมมือกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย 

ด้าน นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ จากมูลนิธิสยามเชียงรายสำนักงานใหญ่ เผยว่า มูลนิธิสยามเชียงราย ร่วมกับช่างซ่อมรถจิตอาสาจากหลายที่ มาร่วมกันตั้งจุดบริการซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบภัย โดยไม่คิดค่าบริการ แต่หากมีอะไหล่ชิ้นไหนเสียหาย เจ้าของรถก็สามารถซื้อมาให้ช่างเปลี่ยนให้ได้ ตั้งมาแล้วประมาณ 3 วัน ก็มีคนเอารถมาซ่อมไม่ต่ำกว่า 100 คันต่อวัน แต่ตอนนี้มีปัญหาใหญ่ เนื่องจากระบบประปาในตัวเมืองยังใช้การไม่ได้ จึงไม่มีน้ำสะอาดที่จะใช้ล้างทำความสะอาดรถ

ทั้งนี้ ในจุดดังกล่าว ได้พบว่า มีช่างซ่อมจิตอาสา ที่พากันขับขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจากเขตประเวศ กทม. เพื่อมาช่วยซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบภัย ด้วย ได้แก่ นายอภิวัฒน์ เรืองโรจน์ อายุ 36 ปี ช่างซ่อมจิตอาสา ที่เล่าว่า ตนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ มาพร้อมกับน้องชายคือ นายสุวิทย์ ขวัญแก้ว อายุ 31 ปี เดินทางมากว่า 700 กม. เพื่อร่วมซ่อมมอเตอร์ไซค์ให้ผู้ประสบภัย โดยตอนแรกไปซ่อมร่วมกับช่างของยามาฮ่าที่ด้านในตัวเมือง แต่ตอนนี้ก็ย้ายมาทำร่วมกับทางมูลนิธิสยามเชียงราย

นายอภิวัฒน์ เผยต่อว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันที่ กทม. ก็จะทำกิจกรรมแบบนี้อยู่ตลอด เมื่อรู้ว่าที่เชียงรายมีน้ำท่วมก็เลยชวนน้องชายมาด้วยกัน โดยบรรทุกอุปกรณ์ใส่กล่องรัดไว้ด้านหลังมอเตอร์ไซค์ ทีแรกกลัวว่าจะมาไม่ถึง เพราะระยะทางไกล และน้ำหนักอุปกรณ์ที่บรรทุกมาด้วยก็เยอะ แต่พอมาถึงก็ได้ช่วยซ่อมรถไปแล้วกว่า 100 คัน และคาดว่าจะอยู่ช่วยงานจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

'ม.เกษตรฯ' แจ้งระวัง!! 'มิจฉาชีพ' อ้างชื่อ 'คณะฯ-มหา’ลัย' จัดกิจกรรมรูดทรัพย์ หลอก!! จะมี 'แต้มต่อ' ในการเข้ามหาวิทยาลัยในรอบ TCAS1

(17 ก.ย. 67) ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเตือน ระบุว่า...

สำหรับนักเรียนที่กำลังทำ Port อยู่นะ

ช่วงนี้ เห็นแล้วเศร้าใจ มีคนพยายามสร้างกระแสกันว่า การไปร่วมกิจกรรมของคณะที่เราสนใจ เช่น อบรม แคมป์ จะมี 'แต้มต่อ' ในการเข้ามหาวิทยาลัยในรอบ TCAS1 โดยมีการเรียกเก็บเงินการเข้าร่วมกิจกรรมหลายพันบาท ขอบอกว่า คณะต้องการคนที่มีความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ความสนใจที่หลากหลายจากการเข้าร่วม ซึ่งแต้มน้อยมาก

วิธีการง่าย ๆ อันนึงของคนเหล่านั้น คือ...
- ไปเช่าสถานที่ของคณะยอดฮิต เพื่อจัดกิจกรรม เพื่อจะได้ใช้ชื่อ และทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าคณะจัด
- เชิญอาจารย์บางท่านของคณะนั้นมาบรรยาย ซึ่งท่านก็อาจมาบรรยายโดยสุจริต
- ขอแปะโฆษณาภายในมหาวิทยาลัย
- แอบใส่ Logo และมหาวิทยาลัย ในโครงการ เช่น อ้างว่าเป็นอาจารย์ที่ไหน หรือนิสิตเรียนที่ไหน ใช้ภาพถ่ายอาคารหรือสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย

- อาจมีแจกประกาศ แต่ออกให้โดยองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ มหาวิทยาลัย
- ใบเสร็จไม่ใช่ของมหาวิทยาลัย
- อ้างว่าเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยนั้น แต่ไม่ได้ทำงานกับมหาวิทยาลัย

ซึ่งจะดูเนียนเหมือนว่าคณะนั้นจัด แต่คณะก็แค่ให้เช่าสถานที่อบรม และการตรวจสอบเจตนาแฝงมันดูยาก

ที่แย่คือ คนอาจคิดว่า คณะหิวเงินโดยทำโครงการที่มี Conflict of interest 

ที่แย่กว่านั้น ก็คิดไปไกลว่า พยายามสร้างช่องรับ 'แป๊ะเจี๊ยะ'

โครงการดีๆ ก็มีเยอะแยะนะครับ แต่ข้อสังเกตที่สำคัญคือ...
- จะต้องเขียนชัดๆ เลยนะว่า 'จัดโดย คณะ... มหาวิทยาลัย...' ไม่ใช่บอกแค่ว่าจัดที่นั่น
- โครงการอาจมีค่าใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่เขาจะจัดเอาแค่คุ้มทุน ไม่แพงมาก
- ถ้าสงสัย สอบถามโดยตรงจากคณะ (ไม่ใช่ไปถามที่โครงการนั้นนะ) เลยว่า คณะเกี่ยวอย่างไร มีผลต่อ TCAS มากน้อยเพียงใด เดี๋ยวนี้ คณะมีช่องทางออนไลน์ให้ติดต่อกันทั้งนั้นแหละ อย่างเช่นที่นี่เลย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

มีลูกหลานก็ฝากแชร์ด้วยครับ สงสารเด็กๆ #dek67 #dek68 #dek69 #dek70

'รศ.ดร.นงนุช' ชี้!! หากนำเงินไปฝากแบงก์-ได้ดอกเบี้ย = ผู้ฝากเงินเป็นเจ้าหนี้ สะท้อนมุม 'เงินสด' ไม่ใช่หนี้-อยู่ฝั่งสินทรัพย์ ส่วน 'หนี้' ก็ไม่มีทางเป็นรายได้

(17 ก.ย. 67) รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ และ Visiting Academic, School of Electronics & Computer Science, University of Southampton ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'เงินสดคือหนี้ เงินกู้คือรายได้….จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด' ระบุว่า...

ต่อไปนี้จะเป็นคำอธิบายจากคนที่อยู่กับเศรษฐศาสตร์มาปีนี้ ปีที่ 30 เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่ทำทั้ง Macro Economic Model, Policy and Research มา 20 ปี และทำงานที่เกี่ยวกับสายการเงินการธนาคารมาตั้งแต่ปี 1998 ทั้งสอน วิจัย และทำงานตั้งแต่ฝึกงานยันบริหารทีม

📌 เวลาสอนวิชาการเงิน (Finance) 

เงินสด (Cash) คือ เงิน (Money) และเงินกู้ (Loan) คือ หนี้ (Debt)

📌 เวลาสอน Balance Sheet ให้กับคนเรียน Corporate Finance

เงินสด (Cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) ส่วนเงินที่ยืมเขามาใช้ดำเนินกิจการหรือลงทุน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินกู้ (Loan) หรือตราสารหนี้ (Debenture) เช่น หุ้นกู้ จะอยู่ฝั่งหนี้สิน (Liabilities) ค่ะ

📌 เวลาสอน Balance Sheet ให้กับคนเรียนสายธนาคาร Banking

เงินสด (Cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) เงินที่ธนาคารให้กู้ (Loans) ก็อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) ค่ะ ส่วนเงินฝาก (Deposits) หรือก็คือเงินที่ธนาคารยืมมาจากผู้ฝากเงินอยู่ฝั่งหนี้สิน (Liabilities)

📌 เวลาสอนหรือทำวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ (Economics) 

เงินสด (Cash: Currency and Notes) รวมเหรียญและธนบัตร คือ ส่วนหนึ่งของอุปทานเงิน (Money Supply)

เงินกู้ (Loan) คือ เงินที่ผู้มีความต้องการใช้เงินกู้ยืมจากผู้มีเงินส่วนเกิน โดยมีกำหนดจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ถือเป็นการตอบแทนการให้ใช้เงิน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของอุปสงค์ต่อเงิน (Money Demand)

เงินสดจึงไม่ใช่หนี้ เพราะผู้ถือเงินสด อยู่ในฝั่ง Money Supply ที่จะได้ดอกเบี้ยหากนำไปให้ผู้อื่นใช้ เช่น เอาเงินไปฝาก ก็ได้ดอกเบี้ยจากธนาคารค่ะ ผู้ฝากเงิน ถือเป็นเจ้าหนี้

ในขณะที่ผู้ที่ก่อหนี้ เป็นลูกหนี้ที่มีภาระจ่ายคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจะเอาหนี้ที่ก่อไปทำอะไร สร้างรายได้เพิ่มหรือผลาญเล่น มันก็อยู่ที่คนก่อหนี้ค่ะ…แต่ยังไงซะ หนี้ (Debt) ไม่มีทางเป็นรายได้ (Income) เป็นได้แค่ตัวที่อาจสามารถนำไปใช้เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ถึงเวลา ‘กองทุนน้ำมันฯ’ เก็บเงินชดเชยจากผู้ใช้ ช่วยติดลบน้อยลง เผย!! เก็บสูงถึง 3.59 บาทต่อลิตร ส่วนเกรดพรีเมียม 5.09 บาท

กองทุนน้ำมันฯ เรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลถึง 3.59 บาทต่อลิตร ขณะที่ดีเซลเกรดพรีเมียมถูกเรียกเก็บ 5.09 บาทต่อลิตร สูงสุดในรอบปี 2567 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เร่งรีดเงินเข้ากองทุนฯ ได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน เพื่อปรับฐานะกองทุนฯ ให้ติดลบน้อยลง และใช้คืนหนี้เงินกู้ก้อนแรกให้ทัน พ.ย. 2567 ปัจจุบันเงินกองทุนฯ ติดลบเหลือ 1.05 แสนล้านบาท

ไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติให้เรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลสูงถึง 3.59 บาทต่อลิตร เพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมกันนี้ยังได้เรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซล เกรดพรีเมี่ยม สูงถึง 5.09 บาทต่อลิตร ส่งเข้ากองทุนฯ เช่นกัน ซึ่งนับเป็นการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราสูงที่สุดของปี 2567

โดยปัจจุบันมียอดการใช้น้ำมันดีเซลถึง 68.06 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้มีเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันกลุ่มดีเซลรวมประมาณ 213.96 ล้านบาทต่อวัน  โดยราคาจำหน่ายดีเซลยังคงไว้ที่ 32.94 บาทต่อลิตร

ส่วนกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ กบน. ยังคงเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ในอัตราสูงถึง 4.90 บาทต่อลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 2.91 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 1.46 บาทต่อลิตร และเบนซินออกเทน 95 เรียกเก็บ 10.68 บาทต่อลิตร

โดยปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ 31.55 ล้านลิตรต่อวัน ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ากองทุนฯ รวม 134.26 ล้านบาทต่อวัน ทำให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าทั้งจากดีเซลและกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ รวม 348.22 ล้านบาทต่อวัน หรือ 10,446 ล้านบาทต่อเดือน

อย่างไรก็ตามการเรียกเก็บเงินดังกล่าวเนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับลดลง แต่ในส่วนของฐานะเงินกองทุนฯ ยังคงติดลบกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดย ณ วันที่ 8 ก.ย. 2567 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานว่าสถานะเงินกองทุนฯ ติดลบรวม -105,121 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -57,646 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,475 ล้านบาท

โดยกองทุนฯ จะต้องเร่งเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซล เพื่อจ่ายคืนหนี้เงินกู้ เนื่องจากกองทุนฯ นำเงินไปพยุงราคาดีเซลตั้งแต่ปลายปี 2564 ทำให้เงินกองทุนฯ เคยติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาทในปี 2565 และทำให้กองทุนฯ ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินถึง 105,333 ล้านบาท ในปี 2566  ซึ่งจะถึงกำหนดต้องชำระหนี้เงินต้นก้อนแรกในเดือน พ.ย. 2567 นี้ ดังนั้นการเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการเรียกเก็บในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกปรับลดลง แต่ยังไม่มีการปรับลดราคาจำหน่ายดีเซลให้แต่อย่างใด เพื่อให้ทันใช้หนี้สถาบันการเงินที่จะถึงนี้

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น  1.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 69.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 72.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ขณะที่ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 พบว่าค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาดถึง 5.39 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.63 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.38 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 1.42 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.82 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซล B20 อยู่ที่ 0.45 บาทต่อลิตร  ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าการตลาดตั้งแต่ 1-16 ก.ย. 2567 อยู่ที่ 2.5 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่ควรได้ที่ 1.50-2 บาทต่อลิตร)

เพจแซะ 'ดอยคำ' แจกข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองช่วยน้ำท่วม ถูกชาวเน็ตถามกลับ "ตัวเองเคยช่วยอะไรบ้าง?"

(17 ก.ย. 67) จากกรณี 'ดอยคำ' นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ โดยระบุว่าน่าจะเก็บไว้กินได้หลายวัน พร้อมโพสต์ภาพพนักงานดอยคำ กำลังช่วยกันห่อข้าวเหนียวใบตองอย่างขะมักเขม้น

ต่อมาพบว่าเพจหนึ่งในเฟซบุ๊กที่ชอบแซะถึงสถาบันได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองของดอยคำว่า...“โถ เอ็นดูดอยคำ นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตอง ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม น่าจะเก็บไว้กินได้หลายวันเลยนะคะ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์วิจารณ์และมองว่าเป็นการด้อยค่าความตั้งใจของ 'ดอยคำ' และทีมงานที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีชาวเน็ตส่วนหนึ่งได้เข้ามาคอมเมนต์ว่า...

“ก็แซะมันทุกอย่าง มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ โพสต์อื่นไม่เคยเมนต์แต่โพสต์นี้ไม่ไหว แซะให้ถูกเวลาหน่อยไม่ใช่แซะเอาสนุกปาก“

“ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม เอาจริง ๆ ข้าวเหนียวไก่ทอดหมูทอดพวกนี้ ได้เยอะและอิ่มกว่าพวกข้าวผัด หรือข้าวกล่อง ที่ใส่กล่องซะอีกค่ะ”

“เคยช่วยอะไรเขาบ้างละ มีแต่แซะ ให้จ้องตาอย่างเดียวมันจะอิ่มไหม ถ้าไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย”

“สำหรับภาคเหนือ ข้าวเหนียวห่อใบตองกับหมูทอดทานง่าย ไม่บูดง่ายมีน้ำพริกหน่อยอร่อยเลย เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานได้แถมไม่มีโฟมทำลายต่อสิ่งแวดล้อม”

“สวยน่าทาน กินง่าย อิ่มท้อง สะดวกแจก ตรงไหนที่ไม่ดี ???”

“อย่าลบโพสต์นะคะ เก็บไว้เป็นที่ระทึก”

“ในฐานะที่เคยเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยตัวเอง อันนี้ถือว่าดี น่ากินมาก เค้าไม่ต้องเก็บไว้หลายวันหรอกครับ พอได้รับก็กินได้เลย ข้าวเหนียวหมูทอด อยู่ท้องและไม่บูดง่าย คนเคยเจอน้ำท่วมเข้าใจดี”

โรงพยาบาลตำรวจ ใส่ใจสุขภาพประชาชน นำทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาวิชาชีพ 10 หน่วยงาน ตรวจสุขภาพฟรี ตามโครงการ ตำรวจรักษ์ประชาชน' ครั้งที่ 2 

(17 ก.ย.67) ณ โดมสนามกีฬาแฟลต 51-53 ชุมชนเคหะนครหลวงสาขาดินแดง2 ซอยประชาสงเคราะห์11 แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม.พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา ตรวจเยี่ยมมอบขวัญกำลังใจแก่คณะเเพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ 10 หน่วยงาน ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการตรวจสุขภาพให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่เข้ารับบริการตรวจสุขภาพฟรี อาทิ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo 2 เครื่อง, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG, ตรวจไขมันพอกตับ, ตรวจคัดกรองกระดูกพรุน, คัดกรองภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองในช่องท้อง, กายภาพบำบัด, ฝังเข็ม และเยี่ยมบ้านผู้ป่วย 3 ราย มอบของขวัญให้กำลังใจกับผู้ป่วยและครอบครัว 

พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าว ขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และ ทุกภาคส่วน ที่ให้ความสนับสนุนร่วมแรงร่วมใจ จัดกิจกรรมในครั้งนี้ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นภารกิจหลักของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ทั่วทุกพื้นที่

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า โครงการ 'ตำรวจรักษ์ประชาชน' เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการสานต่อเรื่องการดูเเลสุขภาพร่างกาย และจิตใจของข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชน โดยมีกลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ เป็นกลุ่มงานหลักในการดำเนินงาน นำอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยตรวจสุขภาพร่างกายฟรี อีกทั้งนำอาหาร เครื่องดื่ม ให้บริการด้วย เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้ร่วมกิจกรรมทุกคน เป็นการสร้างความรักความสามัคคีระหว่างตำรวจกับประชาชน

โรงพยาบาลตำรวจยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ส่งทีมแพทย์พยาบาล ลงพื้นที่ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ อีกทั้งมีสายด่วน ให้คำแนะนำปรึกษาสุขภาพจิตให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่เบอร์081-932-0000 และ เบอร์เฉพาะกิจ 081-352-4591 เวลา 8.00-18.00 น.

นอกจากนี้ ยังมีศิลปิน ดารา ที่มีชื่อเสียง อาทิ คุณเอส กันตพงศ์, คุณชมพูและปิง ฟรุ๊ตตี้, คุณจิตติมา เจือใจ, คุณอุมาพร บัวพึ่ง ,คุณสดใส รุ่งโพธิ์ทอง มาขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะร่วมกับวงดนตรีจิตอาสา 'PGH BAND' ของโรงพยาบาลตำรวจ 

การออกหน่วยครั้งนี้มีประชาชนร่วมกิจกรรม ประมาณ 600 กว่าราย ทุกคนมีรอยยิ้ม แห่งความสุข พร้อมขอบคุณโรงพยาบาลตำรวจ ที่นำทีมแพทย์พยาบาลมาตรวจสุขภาพให้ในครั้งนี้ และหวังว่าโครงการดีดีแบบนี้จะมีต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ข้าราชการตำรวจ, ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และประชาชน ที่มีความประสงค์ที่จะปรึกษา หรือเข้ารับการตรวจรักษา สามารถติดต่อไปยังโรงพยาบาลในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในพื้นที่ของท่านทั่วประเทศ หรือติดต่อมายังโรงพยาบาลตำรวจ ผ่านช่องทาง facebook Fanpage รวมถึงช่องทางให้คำปรึกษาสุขภาพจิตความรุนแรงในครอบครัว ที่สายด่วน 081-932-0000 และ เพจ Depress We Care , Because We Care ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top