‘ประสูติ – ตรัสรู้ – ปรินิพพาน’ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่พุทธบริษัททั้งหลาย จักได้ระลึกถึง
(11 พ.ค. 68) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึงพร้อมด้วย พระปัญญาคุณ คือความรู้รอบในสรรพสิ่ง ทรงค้นพบความจริงสี่ประการ ที่เรียกว่าอริยสัจ เป็นพลวเหตุให้ทรงถึงพร้อมด้วยพระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ บริบูรณ์ครบเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย การที่เราผู้เป็นปัจฉิมาชนตาชน ซึ่งแม้เกิดภายหลังพุทธปรินิพพาน แต่ยังมีบุญวาสนาได้พบพระพุทธศาสนาอยู่ จึงไม่พึงปล่อยโอกาสวิเศษแห่งชีวิตในชาตินี้ ให้ล่วงลับไปโดยไร้สาระ ขอจงตั้งตนเป็นสาวก ผู้มีกุศลฉันทะที่จะคอยสดับตรับฟังพระธรรม ตั้งปณิธานในหน้าที่ ที่จะอบรมพัฒนาตนให้เจริญขึ้นตามลำดับ ด้วยปัญญาอันถูกต้องถ่องแท้ และด้วยความเข้าใจเบื้องต้นว่า "ปัญญา" คือสภาพธรรมที่รู้ตามความเป็นจริง แต่สิ่งใดคือความจริง และการเข้าถึงความจริงนั้น มีกระบวนวิธีกระทำในใจให้แยบคายอย่างไร ผู้ปรารถนาความงอกงามในพระสัทธรรม จึงจำเป็นต้องเจริญศรัทธาปสาทะในพระปัญญาตรัสรู้อย่าได้เสื่อมคลาย แล้วหมั่นขวนขวายศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยความอดทน อย่าได้หลงทะนงตน เผลอคิดเอง พูดเอง และเข้าใจไปเองโดยด่วนสรุป โดยขาดการศึกษาพระพุทธานุศาสนี อันมีมาในพระไตรปิฎก ซึ่งดำรงอยู่เป็นหลักพระศาสนาสืบมาถึงปัจจุบัน ให้ถูกต้องถ่องแท้ ตามหลักสูตรและวิธีวิทยาอันชอบ เพื่อจักได้เป็นชาวพุทธผู้ไม่เดินหลงทาง ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ อันนับเป็นภยันตรายร้ายแรงทั้งในชาติปัจจุบันและในสัมปรายภพ
ดิถีวิสาขบูชาปีนี้ จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ ในอันที่จะพัฒนาตนเองตามหลักไตรสิกขา ให้มีศีลเป็นที่รัก ให้มีสมาธิตั้งมั่น และให้มีปัญญาแจ่มแจ้ง จงเป็นผู้เห็นชอบ คิดชอบ และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อเปิดโอกาสให้สันติสุขอันประเสริฐ มาสถิตมั่นในตนและในสังคม สมด้วยพระพุทธภาษิตที่ว่า "ปญฺญาชีวีชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ" ความว่า "ปราชญ์กล่าวชีวิตของผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่า ประเสริฐสุด" ด้วยประการฉะนี้
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม ธมฺเม โหนฺตุ สคารวา. ขอพระสัทธรรมจงดํารงคงมั่นอยู่ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลาย จงมีความเคารพในพระธรรมนั้น เทอญ."
ที่มา : MGROnline