Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

'อลงกรณ์' พอใจ 'เอฟเคไอไอบิสซิเนส ฟอรั่ม' ประสบความสำเร็จเชื่อมโยงธุรกิจไทย-เกาหลี บรรลุข้อตกลงจับคู่ธุรกิจการลงทุนกิจการเทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมพร้อมขยายความร่วมมือกับโกลบอลESG

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์( FKII Thailand)เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานเปิดงาน FKII Global Business Forum : THAI - KOREA COLLABORATION และบรรยายพิเศษเรื่อง อนาคตความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เกาหลี (Thailand - Korea Collaboration Outlook)ซึ่งจัดร่วมกับสถาบันทิวา โดย นายชยดิฐ หุตานุวัตรและการบรรยายพิเศษเรื่องการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเกาหลีในเอเซีย (Korea-Asia Economic Cooperation)โดย อดีตรัฐมนตรี ดร.ลี นัมคี ( Dr. Lee Nam Kee ) ประธานสมาคมโคเอก้า( Korea-Asia Economic Cooperation Association : KOAECA) ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์

งานดังกล่าว เปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการเกาหลีในนามสมาชิก KOAECA ได้นำเสนอ Profile ของบริษัทและสิ่งที่ต้องการในการเชื่อมโยงธุรกิจกับไทย และแนะนำผู้ประกอบการไทยโดย คุณชนานนท์ นรภูมิพิภัชน์ CEO บริษัท ทิวา แคปิตอลคอนซัลแทนซี่ จำกัด อีกทั้งมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเกาหลีและไทย 4 ฉบับ ได้แก่ 1) N-Biotek กับ TVA Capital Consultancy Ltd. 2) KNJ Engineering & Health กับ EnvitechLtd. 3) Mealbon Inc. กับ Neo Venture Solutions Ltd. และ 4) Global ESG Association กับ TVA Instituteโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเช่น

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษาเอฟเคไอไอ. ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันสร้างชาติ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานเอฟเคไอไอ. นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ดร.กนก อภิรดี อดีตผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย นายปรพล อดิเรกสาร อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ศจ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง โอกาสการลงทุนในประเทศไทย(Investment Opportunity in Thailand)โดย นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และได้รับเกียรติจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้ส่งคุณคิมมินเฮ (Ms. Kim Minhye) ที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ (Commercial Attache) มาร่วมงาน

FKII Thailand (Field for Knowledge Integration and Innovation) เป็นองค์กรความร่วมมือเพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และนวัตกรรม ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non- Profit Organization) ในรูปของวิสาหกิจเพื่อสังคม 100% โดยมี คุณอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นประธานคณะกรรมการและมี คุณชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้บริหารสถาบันทิวา เป็นผู้อำนวยการ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคีภาคส่วนต่าง ๆ ทางด้านการพัฒนาโดยองค์ความรู้ นวัตกรรมและเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ FKII Thailand มีพันธกิจมุ่งเน้นจะสร้างเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy)

ติดตาม FKII Thailand
FB: FKIIThailand https://shorturl.at/87OHy
LineOA: FKIIThailand https://lin.ee/BgPCPvd
 
FKII Thailand มุ่งมั่นสร้างสรรค์ ความร่วมมือ ร่วมทุน ร่วมค้า ระหว่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจที่มีประสิทธิภาพ

(17 ก.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 ให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์นโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในเรื่องศักดิ์ศรี ขวัญกำลังใจ คุณภาพชีวิต สวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว จึงมอบหมายให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของสำนักงกงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจ มีลักษณะเด่น คือ มีความรู้ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมาย ด้านนิติเวชศาสตร์ และด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยมอบหมายให้โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1-3 และเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 

โดยในปี 2529 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือให้โรงพยาบาลตำรวจเป็นโรงพยาบาลสมทบ ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติทางคลินิกให้กับนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาแพทย์ ตรงตามข้อกำหนดของแพทยสภา ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 สถาบัน ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงจะได้เป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และให้การสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ตำรวจ ชั้นปีที่ 1-3 คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต่อไป

พล.ต.อ.สราวุฒิฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติตกลงทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒยินดีเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้แก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และจะให้การสนับสนุนการศึกษาเพื่อผลิตแพทย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทั้งสองฝ่าย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตามการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือนี้ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาทางการแพทย์ งานวิชาการ งานวิจัยและด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาด้านการเรียนการสอนด้านการแพทย์อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

'ผบ.ตร.' เป็นประธาน มอบโล่เกียรติคุณด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชน ที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด

(17 ก.ย. 67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นประธานเป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ

ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชนที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.นิรันดร์ เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ร่วมงาน ตามที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการใช้หลัก “การลดความต้องการการใช้ยาเสพติด และลดปริมาณยาเสพติดรวมทั้งดำเนินการกับ ผู้ค้ายาเสพติด อย่างเด็ดขาด” ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรต่างๆ และภาคประชาชน จึงต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเต็มกำลัง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงมีนโยบายเน้นหนักด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในทุกมิติอย่างเป็นระบบ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบขับเคลื่อนการปฏิบัติ ด้านการป้องกันยาเสพติด ได้ดำเนินการนําผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาในสถานพยาบาล และการบำบัดด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน การเสริมสร้างให้ประชาชนและชุมชนเข้าใจ และรับรู้ปัญหายาเสพติดที่มีผลกระทบต่อตนเอง ครอบครัวชุมชน ส่วนด้านการปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการจับผู้ค้ารายย่อยในชุมชน การขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้าทุกระดับ เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทหาร และที่สำคัญคือการได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ซึ่งทำให้มีผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับวันนี้ มีหน่วยงานที่ได้รับรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ดีเด่น 12 รางวัล ได้แก่ ระดับ บช. ดีเด่นอันดับ 1 คือ ภ.4, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.8, ดีเด่นอันดับ 3 คือ ภ.1 / ระดับ บก. ดีเด่น อันดับ 1 คือ ภ.จว.นครศรีธรรมราชดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.สมุทรปราการ, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.กาฬสินธุ์/ ระดับ สน./สภ. สถานีตำรวจระดับใหญ่ ดีเด่น สภ.ชะอวด ภ.จว.นครศรีธรรมราช, สถานีตำรวจระดับกลาง (ผกก.) ดีเด่น สภ.ทองแสนขัน ภ.จว.อุตรดิตถ์, สถานีตำรวจระดับกลาง (สวญ.) ดีเด่น สภ.ห้วยไร่ ภ.จว.แพร่, สถานีตำรวจระดับเล็ก ดีเด่น สภ.หนองซอน ภ.จว.มหาสารคาม และ หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน (บก.สส. และกก.สส./กก.สายตรวจ) ได้แก่ บก.สส. ดีเด่น คือ บก.สส.ภ.5 และ กก.สส. ดีเด่น คือ กก.3 บก.สส.ภ.5  ในส่วนของรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันยาเสพติด แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการชุมชนบำบัดอย่างยั่งยืน และตำบลที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นต้นแบบ ได้แก่ สภ.จัตุรัส ภ.จว.ชัยภูมิ, ระดับดีมาก ได้แก่ สภ.บางละมุง ภ.จว.ชลบุรี, สภ.วังสะพุง ภ.จว.เลย, สภ.หนองแค ภ.จว.สระบุรี และ ระดับดี ได้แก่ สภ.โคกโพธิ์ ภ.จว.ปัตตานี, สภ.ฝาง ภ.จว.เชียงใหม่, สน.ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร, สภ.บางสะพานน้อย ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์, สภ.หล่มสัก ภ.จว.เพชรบูรณ์ และ สภ.หลังสวน ภ.จว.ชุมพร รวม 22 รางวัล, กลุ่มที่ 2 ข้าราชการและบุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ จำนวน 18 รางวัล รวมทั้งสิ้น 42 รางวัล

'กรณ์' ให้มุมมอง #เงินสดคือหนี้ หลังกลายเป็นไวรัลแพร่สะพัด ชี้!! 'ค่าเงิน' แม้ลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็มิใช่การเป็นหนี้ใคร

เมื่อวานนี้ (16 ก.ย. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมไม่รู้เจตนาของผู้โพสต์ แต่ข้อดีของโพสต์ไวรัล '#เงินสดคือหนี้' คือ การฉุดให้คนคิดเรื่องเงิน เรื่องหนี้ เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องการลงทุน เรื่อง compound interest ฯลฯ

ซึ่งจริง ๆ จะเรียกเงินสดเป็นหนี้มันไม่ถูกอยู่แล้ว อย่างเก่งคือ การถือเงินสดคือ การสูญเสียโอกาส ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราเป็นหนี้ใคร

หากมีคน 100 คนเห็นโพสต์ไวรัลนี้ แล้วมี 80 คนงง ๆ แล้วก็ไถผ่านไป (พร้อมด่าอยู่ในใจ) แต่มี 20 คนที่หยุดคิด และจาก 20 คน มีสัก 2 คนที่มีคำตอบให้ตัวเองในเรื่องค่าของเงินที่จะลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อ (ถ้าเราถือมันไว้เฉย ๆ) และความจำเป็นที่จะต้องแปลงเงินสดเป็นอย่างอื่นที่มีผลตอบแทน (เช่นเงินฝาก พันธบัตร หรือเงินลงทุน)...แค่นี้โพสต์นี้ผมถือว่าทำประโยชน์แล้ว!

'วัดราชบพิธฯ' แถลง!! ไม่อนุญาตให้ 'ถ่ายพรีเวดดิ้ง-จัดพิธีมงคลสมรส' ในพระอาราม อนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.67) เพจ 'สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช' ออกแถลงการณ์ระบุว่า...

ประกาศ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
เรื่อง การใช้สถานที่ในเขตพระอาราม

สืบเนื่องจากมีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์อันก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอนุมัติของเจ้าพระคุณ เจ้าอาวาส จึงออกประกาศกำชับอีกคำรบ ดังนี้...

1. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามอนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยให้ขออนุญาตตามระเบียบที่วัดกำหนด

2. วัดไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีมงคลสมรสในพระอาราม แต่อนุญาตเพียงบุญพิธี กล่าวคือ การทำบุญถวายสังฆทานหรือเจริญพระพุทธมนต์ ตามข้อ 1.โดยต้องไม่มีการจดทะเบียนสมรส การสวมแหวน การรดน้ำสังข์ หรือพิธีส่วนผนวกใดที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน หากมีกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามแนวทางนี้ ถือเป็นการกระทำโดยพลการ วัดมิได้เห็นชอบหรือมีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวโดยประการใด ทั้งนี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนหรือผู้อื่น จากผู้มาบำเพ็ญกุศลโดยเด็ดขาด

3. ไม่อนุญาตให้ใช้พระอารามเป็นสถานที่ถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือทำการอื่นใด เพื่อแสวงหาประโยชน์เชิงธุรกิจ หากมีการกระทำในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เอื้อเฟื้อต่อความสงบเรียบร้อย วัดจักขออารักขาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบให้ช่วยเหลือในการจัดการ 

ทั้งนี้ การเข้าภายในเขตพระอารามสาธุชนพึงแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมแก่สถานที่ตามวิถีประชาและธรรมเนียมประเพณีไทยในการเข้าวัด ตลอดจนพึงสำรวม สังวร และรักษากิริยาอาการให้เหมาะสมแก่การอยู่ในบริเวณศาสนสถาน งดแสดงกิริยาอาการไม่เหมาะสม เช่น การปีนป่าย หรือการใช้ปูชนียสถานเป็นฉากประกอบการนำเสนอกิริยาอาการของคู่สมรส หรือเพื่อความบันเทิงอื่น ๆ จนรบกวนการบำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรหรือการปฏิบัติธรรมของสาธุชน

4. วัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานใดในการรับจัดพิธีทางศาสนา พิธีมงคลสมรส หรือการอันเอื้อเฟื้อต่อความยินดีในเชิงที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน การแอบอ้างหรือบิดเบือนอันจะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความเสียหายซึ่งได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว และหากพบว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

5. หากพบผู้ที่แอบอ้างหรือเรียกรับประโยชน์ หรืออาจทำให้เสื่อมเสียโดยประการใด หรือพบการกระทำที่ผิดไปจากประกาศนี้ สามารถรายงานเรื่องได้ที่ กลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected]

ประกาศ ณ วันที่ 15 กันยายน 2567

กระจ่าง!! เหตุใด ‘หน่วย SEAL’ ต้องฝึกโหดและหนัก

(17 ก.ย. 67) ครั้งหนึ่ง พ.อ.นายแพทย์ ภาคย์ โลหารชุน หรือ 'หมอภาคย์' นายแพทย์ใหญ่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี จบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (มนุษย์กบ) SEAL/UDT รุ่นที่ 34 เคยให้มุมมองในช่วงหนึ่งของ Woody Live เมื่อปี 2562 เกี่ยวกับการฝึกหนักของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ หรือที่ทั่วไปเรียก ซีล (SEAL) หรือ 'มนุษย์กบ' ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ สังกัดกองเรือยุทธการ ของกองทัพเรือไทย ที่ฝึกหนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของทุกเหล่าทัพไทย ว่า...

หลายคนมองว่าทำไมหน่วย SEAL ถึงต้องฝึกโหดหรือฝึกหนักอะไรขนาดนั้น 

ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเลยว่า ทำไมเราต้องฝึกมาขนาดนั้น

เพราะการฝึกหนัก ทำให้เรามีความพร้อม

พร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ที่มันหนักหนาสาหัส ที่ไม่คาดคิดมาก่อน แต่เราก็ต้องทำ เพราะมันเป็นภารกิจ

นี่คือเป้าหมายของการฝึกหนักครับ

ตัวอย่าง เช่น ภารกิจ ถ้ำหลวง ที่ผ่านมา การดำน้ำทุกห้วงเวลา มีภาวะเสี่ยงกับชีวิตได้ตลอด

เสี่ยงที่จะสูญเสีย เสี่ยงที่จะเสียชีวิต

ความกลัว มีแน่ กลัวว่าจะตายหรือเปล่า มีแน่ มันแว่บขึ้นมาในหัวตลอด

แต่เราไม่หันหลัง เพราะนี่คือผลลัพธ์จากการฝึกของหน่วยซีล

'BOI' ส่งเสริม หม้อแปลง Low Carbon ลดสัดส่วนการลงทุน 50% ตอบโจทย์อุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ ด้านการประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)

(17 ก.ย. 67) นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าว โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน (BOI) ส่งเสริมหม้อแปลงไฟฟ้า Low Carbon ทดแทนระบบเดิมเพื่อการประหยัดพลังงาน ลดค่าพลังงานไฟฟ้า ลดคาร์บอนเครดิต ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรทำให้ใช้งานได้นานขึ้น

นวัตกรรมหม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงาน ด้วยโปรแกรม Energy Management System ของคนไทยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA ภายใต้โครงการ 'Low Carbon Transformer ระบบจัดการ หม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาด อย่างมั่นคง' (Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response) และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าไฟฟ้า ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ และอนุรักษ์พลังงาน ได้สูงสุดถึง 22.16% มีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา 2-5 ปี

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและ ผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า ขอขอบพระคุณในความร่วมมือของทุกฝ่ายที่ทำนวัตกรรมพลังงานสะอาดของหม้อแปลง Low Carbon จะช่วยประหยัดพลังงาน อนุรักษ์พลังงาน ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน ลดก๊าซเรือนกระจก สร้างระบบไฟฟ้ามั่นคงปลอดภัย Low Carbon

สมุทรปราการ - AOT ระดมกำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัย จัดทีมจิตอาสาดูแลครบวงจร

(17 ก.ย. 67) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ระดมเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัยน้ำท่วมแบบฉับพลัน ประกอบด้วย เด็ก คนชรา ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงผู้พิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในบริเวณชุมชนโดยรอบท่าอากาศยานและพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัด

นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พร้อมกำชับให้ทีมจิตอาสาทุกคนดูแลความปลอดภัยของตนเองและของผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นสำคัญ ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ซึ่งที่ผ่านมาพนักงาน ทชร.ได้ร่วมกันลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยด้วยการนำเรือกู้ภัยทางน้ำเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมออกจากพื้นที่ การนำรถบรรทุกน้ำ (น้ำสะอาด) เข้าไปแจกจ่ายชุมชนโดยรอบ ตลอดจนการแจกจ่ายน้ำดื่มให้แก่ผู้ประสบภัย โดยกำลังพลจิตอาสาของ ทชร. ประกอบด้วย พนักงานส่วนดับเพลิงและกู้ภัย ส่วนบำรุงรักษา รวมทั้งส่วนรักษาความปลอดภัย

ทั้งนี้ AOT มุ่งสู่การดำเนินการและการจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก รวมทั้งดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิดการเป็นสนามบินที่เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของชุมชน (Corporate Citizenship Airport)

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

CEO กุลพรภัสร์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน คว้ารางวัล ISB Award

(16 ก.ย. 67) บริษัท ดับเบิ้ล พี แลนด์ นิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้ สร้างเศรษฐกิจชุมชน ดันโครงการทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น คว้ารางวัล ISB Award จาก การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดโครงการยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สู่เกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ กนอ. ในปี 2567 เพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการธุรกิจที่มีศักยภาพ คำนึงถึงความสมดุลเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้าสู่การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางสังคมตามมาตรฐานสากล

โดยบริษัท ดับเบิ้ล พี แลนด์ จำกัด (Double P Land) ภายใต้การบริหารงานของ นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานบริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทราบลูเทคซิตี้ ที่ได้ดำเนินโครงการ "ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน" มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่รอบข้างได้นำความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ปราชญ์ชุมชน มายกระดับพืชในท้องถิ่นให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แก่ 3 วิสาหกิจชุมชน สร้างอาชีพกว่า 120 คน ปลูกต้นไม้เพิ่ม 15,000 ต้น จนได้รับการยอมรับว่าเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนของการพัฒนาสังคม ชุมชน อาชีพ ได้อย่างแท้จริง

สำหรับโครงการดังกล่าว ได้ผ่านเกณฑ์การตรวจรับรองการประเมินผลของ กนอ. ที่ขึ้นทะเบียนเป็น I-EA-T Sustainable Business List 2024 พร้อมรับมอบประกาศนียบัตรในงาน ISB  Forum & Awards 2024

ทั้งนี้ ซีอีโอ กุลพรภัสร์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เรามุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคม เพิ่มคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน ให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างมีความสุขและยั่งยืน

กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม แถลงข่าววัน ”โอโซนสากล ประจําปี 2567 “

วันที่ 16 กันยายน 2567 เนื่องในวันโอโซนสากล ประจําปี 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดงานแถลงข่าว วันโอโซนสากล ประจําปี 2567 โดยมีนางอลิสรา รังษีภโนดร ผู้อํานวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กล่าวรายงาน  นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดี กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้แถลงข่าว และตอบข้อซักถาม ต่อสื่อมวลชน ณ.โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ 

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดี กรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (United Nations General Assembly - UNGA) ได้กําหนดให้วันที่ 16 กันยายน เป็น วัน โอโซนโลก อย่างเป็นทางการในปี 1994 โดยวันที่นี้ถูกเลือกเพื่อระลึกถึงการลงนามใน พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วย สารที่ทําลายชั้นโอโซน ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ. 1987 โดยองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme - UNEP) เป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญในการจัดและส่งเสริมวันโอโซนโลกเพื่อสร้าง ความตระหนักและกระตุ้นการดําเนินการระดับโลกในการปกป้องชั้นโอโซนวันโอโซนโลก ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน ของทุกปี เป็นเหตุการณ์ระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการลดลงของชั้นโอโซนและ กระตุ้นให้มีการดําเนินการเพื่อปกป้องชั้นโอโซน

วันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการลงนามใน “พิธีสารมอนทรีออล” ซึ่ง เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการยุติการผลิตและการใช้สารที่ทําลายชั้นโอโซน ชั้นโอโซนเป็นส่วนสําคัญ ของบรรยากาศโลกซึ่งอยู่ในชั้นสตราโตสเฟียร์และมีบทบาทสําคัญในการปกป้องชีวิตบนโลกโดยการดดูซับรังสี อัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ หากปราศจากชั้นโอโซนนี้ รังสี UV ที่เพิ่มขึ้นจะเข้าสู่พื้นโลกมาก ขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดภาวะต้อกระจก และทําลายระบบนิเวศต่างๆ

พิธีสารมอนทรีออลถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี 197 ประเทศที่ร่วมกันลดการใช้สารที่ทําลายชั้นโอโซน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ตั้งแต่การบังคับ ใช้ พิธีสารมอนทรีออลทําให้ชั้นโอโซนเริ่มฟื้นตัว แต่ความร่วมมือระดับโลกยังคงเป็นสิ่งจําเป็นเพื่อให้ชั้นโอโซน กลับมาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ในแต่ละปี วันโอโซนโลกจะมีหัวข้อเฉพาะเพื่อเน้นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่อง และ กระตุ้นให้มีการปฏิบัติที่ยั่งยืนในการปกป้องชั้นโอโซนและสิ่งแวดล้อม 

พิธีสารมอนทรีออลนี้มีส่วนสําคัญในการ ปกป้องมนุษยชาติในมิติต่างๆที่สําคัญ ดังเช่น
1. ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศของโลกซึ่งสิ่งมีชีวิตอาจถูกทําร้ายถ้าหากไม่ได้รับการ ปกป้องจากรังสียูวี
2. ความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของเกษตรกร การสัมผัสรังสียูวีเกินไปจะทําลายระบบนิเวศ ส่งผล ต่อแมลงผสมเกสร ลดผลผลิตพืชและแหล่งปลาสัตว์น้ํา
3. การปกป้องชั้นโอโซนจะช่วยป้องกันความเสียหายต่อเกษตรกรรมประมงและวัสดุต่างๆมูลค่า ประมาณ 460 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1987 ถึง 2060
4. สุขภาพของมนุษย์หลีกเลี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังมากถึง2ล้านรายต่อปีภายในปี2030และป้องกัน ผู้ป่วยต้อกระจกรายใหม่หลายล้านคนทั่วโลก

ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกในอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอนทรีออลเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532 รวมทั้งให้สัตยาบันพิธีสารมอนทรีออลส่วนที่มีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติม อีก 5 ครั้ง โดยครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นที่ กรุงคิกาลี (The Kigali Amendment to the Montreal Protocol (2016)) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ที่ผ่าน มาโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมการผลติ การนําเข้าการ ใช้สารเคมีที่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และเป็นศูนย์ประสานงานในการติดต่อกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่ง สหประชาชาติเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามพันธกรณีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล 

โดยพิธีสารมอนทรีออลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี (Kigali Amendment) กําหนดขึ้นเพื่อควบคุม ยับยั้ง และรณรงค์ให้ลดการผลิตและการใช้สารทําลายชั้น โอโซนเพื่อรักษาชั้นบรรยากาศโอโซนที่ถูกทําลายจากการใช้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซนเหล่านี้ได้แก่สารคลอ โรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons: HCFCs) สารฮาลอน (Halons) และ สารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide: CH3Br) ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่ ค.ศ.1989 – 2023 ลงไปได้ถึง 1,460 ล้านตัน CO2 เทียบเท่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3,896 โรง หรือ การใช้รถยนต์ 387 ล้านคัน 

ซึ่งพิธีสารมอนทรีออลส่วนที่มีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติม มีการปรับปรุงและแก้ไขเนื้อหาในประเด็น สําคัญ ดังนี้
1. การแก้ไขเนื้อหาพิธีสารมอนทรีออล (Amendment)
1.1เพิ่มสารควบคุมกลุ่มใหม่คือสารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน(HFCs)ในภาคผนวกF(AnnexF) โดย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
• กลุ่ม 1 จํานวน 17 ตัว ได้แก่ HFC-134, HFC-134a, HFC-143, HFC-245fa, HFC-365mfc, HFC-227ea, HFC-236cb, HFC-236ea, HFC-236fa, HFC-245ca, HFC-43-10mee, HFC-32, HFC-125, HFC-143a, HFC- 41, HFC-152, HFC-152a

• กลุ่ม 2 จํานวน 1 ตัว ได้แก่ HFC-23
1.2 เพิ่มข้อกําหนดในการควบคุมการผลิตและการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) และสําหรับ ประเทศกําลังพัฒนา (Article 5 Parties) กลุ่ม 1 เช่น ประเทศไทย เป็นต้น กําหนดให้ปี พ.ศ. 2567 เป็นปี เริ่มต้นควบคุมปริมาณ (Freeze) การผลิตและการใช้สาร HFCs โดยไม่ให้เกินค่าพื้นฐาน (ซึ่งค่าพื้นฐานจะ เท่ากับผลรวมของค่าเฉลี่ยของปริมาณการใช้สาร HFCs ในปี พ.ศ. 2563 - 2565 กับร้อยละ 65 ของ ค่าเฉลี่ยของปริมาณการใช้สาร HCFCs ในปี พ.ศ. 2552 - 2553)

• ปี พ.ศ. 2572 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 10% ของค่าพื้นฐาน                                                                  • ปี พ.ศ. 2578 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 30% ของค่าพื้นฐาน
• ปี พ.ศ. 2583 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 50% ของค่าพื้นฐาน
• ปี พ.ศ. 2588 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 80% ของค่าพื้นฐาน

1.3 รายงานปริมาณการใช้ และการผลิตสาร HFCs ประจําปี ตามมาตรา 7 ของพิธีสารมอนทรีออล เพิ่มเติม ซึ่งจากเดิมที่มีการรายงานประจําปีเฉพาะการใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons: HCFCs) สารฮาลอน (Halons) และสาร เมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide: CH3Br) ในภาคผนวก A, B, C และ E (Annex A, B, C และ E) ของพิธีสารมอนทรี ออล

1.4 จัดทําระบบการนําเข้าและส่งออก (Licensing System) ของสาร HFCs ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน หลังจากพันธกรณีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี มีผลบังคับใช้ในประเทศ ซึ่ง กรอ. ใช้ระบบการอนุญาตภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

2. การปรับปรุงข้อกําหนด (Adjustment)
เกี่ยวกับกําหนดระยะเวลาในการควบคุมการค้าขายสารควบคุมกับประเทศที่ไม่เป็นประเทศภาคี สมาชิก จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2576 ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลกระทบต่อประเทศไทยใน การให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี มีดังนี้

2.1) ประโยชน์ที่จะได้รับ
- ประเทศไทยสามารถซื้อขายสาร HFCs กับประเทศภาคีสมาชิกได้ โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้สาร HFCs เช่น ภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้ตามบ้านเรือน ภาคอุตสาหกรรมผลิต เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในรถยนต์ ภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟม ภาคอุตสาหกรรมผลิตตู้เย็น ตู้แช่ เชิงพาณิชย์ เป็นต้น
- เนื่องจากสาร HFCs เป็นสารควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล และเป็นก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีค่า ศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนภายใต้ข้อตกลงปารีส ดังนั้น การลดการใช้สาร HFCs โดยการปรับเปลี่ยน กระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่มีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ํา จึงเป็นการสนับสนุนต่อการดําเนิน นโยบายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065
- ประเทศไทยจะสามารถขอรับเงินช่วยเหลือ รวมถึงความช่วยเหลือทางด้านนโยบายและด้านเทคนิค จากกองทุนพหุภาคี ภายใต้พิธีสารมอนทรีออล เพื่อนํามาดําเนินการลดการใช้สาร HFCs ซึ่งจะทําให้

ภาคอุตสาหกรรมของไทยไม่เสียโอกาสในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่เป็น เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และมีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ํา เป็นการยกระดับ ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น
- อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้สาร HFCs เช่น เครื่องปรับอากาศในบ้านเรือน เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในรถยนต์ ตู้เย็น ตู้แช่เชิงพาณิชย์ เป็นต้น ยังคงมีสารเพียงพอเพื่อการซ่อมบํารุงจนกว่าอุปกรณ์นั้น ๆ จะหมดอายุ การใช้งาน

2.2) ผลกระทบ
- ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สาร HFCs ของไทยจะถูกจํากัดปริมาณการใช้สาร HFCs อย่างไรก็ตามพันธกรณี ภายใต้พิธีสารมอนทรีออลได้ยืดระยะเวลาในการเริ่มการลดการใช้สาร HFCs ออกไป 5 ปี หลังจากพิธีสารฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ซึ่งเพียงพอต่อการลดการใช้สาร HFCs
- ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สาร HFCs จะต้องลงทุนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เพื่อไปใช้สารทดแทนใหม่ที่ไม่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และมีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ำ
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปฏิบัติตามพันธกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพิธีสารมอนทรอีอลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลีโดยไดจ้ัดทํากิจกรรมต่างๆมากมาย เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นการดําเนินการปกป้องชั้นโอโซนโลก อาทิเช่น
- ส่งมอบบัตรกํานัลสําหรับแลกซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์เพื่อใช้ในการฝึกอบรมช่างติดตั้งและซ่อมบํารุง เครื่องปรับอากาศให้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ ส่งมอบให้ศูนย์ฝึกอบรมในสังกัด สําหรับแลกซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์ แห่งละ 36 ฉบับ รวม 72 ฉบับ
- สนับสนุนงบประมาณการดําเนินโครงการฝึกอบรมให้แก่ช่างติดตั้งและซ่อมบํารุงเครื่องปรับอากาศ จํานวน 4,560 คน รวมทั้งสิ้น 30,408,000 บาท
- ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดฝึกอบรม จํานวน 110 ครั้ง ครั้งละ 20 คน จํานวนรวม 2,200 คน
- ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดฝึกอบรม จํานวน 118 ครั้ง ครั้งละ 20 คน จํานวนรวม 2,360 คน
- จัดกิจกรรม “Walk & Run for Ozone and Climate 2065 Net zero” กิจกรรมเดินวิ่ง จัดขึ้น 5 จังหวัด ได้แก่ ครั้งที่ 1 จ.ตรัง ครั้งที่ 2 จ.อุดรธานี ครั้งที่ 3 จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 4 จ.นครศรีธรรมราช และครั้งที่ 5 กทม.

โดยกิจกรรมที่ผ่านมาจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ( HCFCs) ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และเชิญชวนให้เกิดความสนใจในการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน รวมถึงการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ภายใต้พิธีสารมอนทรี ออลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี(KigaliAmendment) ซึ่งในปีที่ผ่านมากิจกรรมงานเดินวิ่งได้กระแสตอบรับที่ดีมากในปีนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ใน ระหว่างการดําเนินงานจัดเตรียมแผนงาน และจะทําการประชาสัมพันธ์ให้ทราบในโอกาสต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top