Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

'ปราชญ์ สามสี' ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ เหตุใดการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ

(19 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่บทความเรื่อง ‘บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ’ มีเนื้อหาดังนี้ 

ที่ข้าพเจ้าเอาบทความทางทหารมาเล่าให้ฟังบ่อยขึ้น ๆ นั้นก็เพราะต้องการให้ ทุก ๆ ท่านตระหนัก ‘ให้ชัดเจน’ ประเทศไทยของเรากำลังใกล้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า สงครามขนาดใหญ่ที่เข้ามาประกบเราซ้ายขวาหน้าหลังเวลานี้ นับวันจะยิ่งส่อเค้าว่าจะหลบหนีไปจากสงครามเป็นไปได้ยากอีกด้วย เนื่องจาก ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยนั้น กำลังจะกลายเป็น รัฐกันชนกับสงครามใหญ่โต ระหว่าง จีนและสหรัฐฯ

และลองคิดดูสิว่า ในปี 2567 ถ้าหากประเทศเรามีกองทัพที่ไม่เข้มแข็ง ไม่พร้อมปกป้องบ้านเมือง ตอนที่มีศัตรูมารุกรานจะเป็นอย่างไร? คำตอบมันชัดเจนมาก: ประเทศจะเสี่ยงที่จะล่มสลาย ดังนั้น นี่คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่มันยังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยครับ
นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ

ในปี 2567 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยสงครามที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนได้ขยายอิทธิพลทางทหารในพื้นที่ทับซ้อน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาททางทะเล ระหว่างหลายประเทศ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่าง ประเทศจีน และ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา

การมีพื้นที่สงครามทางทะเลแปซิฟิกบริเวณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับเป็นทางออกทะเลทางเดียวของประเทศจีน จึงไม่แปลก ที่ จีนจำเป็นจะหาทางออกทางทะเล แห่งใหม่ เพื่อหลบ หรือ ซ่องสุมอำนาจกองกำลังทางทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีน 

ดังนั้น การสนับสนุน กัมพูชา และ พม่า เพื่อจัดสร้างระบบการขนส่งทางราง และ แม่น้ำ รวมไปถึงการพัฒนาฐานทัพเรือสำคัญ ๆ ให้สามารถรองรับ เรือดำน้ำ และเรื่องบรรทุกเครื่องบิน ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำหรับจีน ในการการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรสำคัญ และ เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ระหว่าง พม่าและกัมพูชาก็อาจกลายเป็นสมรภูมิในสงครามระหว่างสองมหาอำนาจนี้

ขณะเดียวกัน เราชาวไทยก็กำลังพบเจอกับปัญหาอีกเรื่องเกิดจากแนวโน้มสงครามภายในพม่าทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอ็นจีโอ และฝ่ายการเมืองพยายามกดดันฝ่ายความมั่นคงไทยด้วยการกดดันให้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยล้นทะลักเข้ามา ซึ่งหากเกิดจริงสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามานี้อาจเป็นชนวนของความไม่พอใจภายในประเทศ คล้ายกับเหตุการณ์ ‘อาหรับสปริง’ ที่เคยเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการประท้วงที่เกิดจากความไม่พอใจในระบบการจัดการและความไม่เท่าเทียม หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น

จากทั้งสองปัจจัย เราจะเห็นได้ว่า มันกำลังจะเป็นสงครามที่ระเบิด จากภายใน และ ภายนอก ในเวลาไล่เลี่ยกัน ... ดังนั้นสิ่งที่เขียนอยู่นี่ ทุกคนจะต้องตั้งสติให้ดี ๆ นะครับ

ข้าพเจ้าขอตัวอย่างที่อยากให้ลองฟังกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายถึงสถานการณ์บ้านเมือง จึงขออนุญาต ยกข้อคิดมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาอำนาจใหญ่ที่เคยผ่านวิกฤติการณ์ลักษณะคล้าย ๆ กันนี้มาแล้ว

หากต้องพูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย สิ่งที่จะต้องรู้คือ รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นชาติที่มี ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนกับที่ใครบางคนเข้าใจว่า ‘เชื้อชาติรุส’ (Rus) เป็นต้นกำเนิดของชนชาติรัสเซีย เพราะ ข้อเท็จจริงแล้ว รัสเซีย เป็นดินแดนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็น สลาฟ, ตาตาร์, เชเชน และอื่น ๆ เขารวมกลุ่มคนหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศไทยของเราเลยครับ

ทำไมชาติรัสเซียถึงยิ่งใหญ่?

ในศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของ ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) และ แคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปยังยุโรปตะวันออก, เอเชียกลาง, และไซบีเรีย การขยายอาณาเขตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ให้กับรัสเซีย แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายเช่น ชนกลุ่มคอเคซัส, ตาตาร์, ชาวเติร์ก และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ การรวมชาติของเขามีความเข้มแข็งมากเพราะแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่กลับมีวัฒนธรรมร่วมที่แข็งแรงมาก เช่นการใช้ ภาษารัสเซีย เป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้สื่อสารได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน จึงทำให้ความหลากหลายนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน หัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการสร้างชาติรัสเซีย นั้นก็คือ ความรักชาติ (Patriotism) ที่ปลูกฝังในคนรัสเซีย ท่ามกลางพวกเขาภูมิใจในความเป็นรัสเซียและพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องชาติ ไม่ต่างจากไทยที่เราต้องปลูกฝังความรักชาติในทุกคน เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีจุดสูงสุดก็มีต่ำสุด ช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 1991 ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำในยุคนั้นอย่าง มิคาอิล กอบาเชฟ ทำให้กองทัพอ่อนแอ กองทัพโซเวียตสูญเสียพลังและงบประมาณจนไม่สามารถรักษาความมั่นคงของประเทศได้ และสุดท้ายก็เกิดการล่มสลายของรัฐยิ่งใหญ่นั้น นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเรียนรู้

แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง?

ประเทศไทยก็มีบทเรียนแบบเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ การที่กองทัพไทยเคยเข้มแข็งและปกป้องประเทศจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน ทำให้เราสามารถคงอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่นึกดูสิว่าถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้กองทัพของเราอ่อนแอลง เราจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่า

ความเสี่ยงจะตามมา เช่น ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ ที่มีโอกาสใช้ อ่าวไทย และ พื้นที่ตลอดชายแดนอาจเป็นสมรภูมิได้

คิดดูนะว่า ถ้าประเทศเราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต

แล้วไทยจะทำยังไงต่อ?

สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากรัสเซียสอนเราว่า ความเข้มแข็งของกองทัพและความรักชาติ (Patriotism) เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ หากเราละเลยสิ่งเหล่านี้ อนาคตเราอาจจะเป็นเหมือนโซเวียตในอดีตก็ได้ ความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพที่แข็งแกร่งจะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจว่า การมี กองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม แต่เป็นการรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคและป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ถ้าเราอ่อนแอ ประเทศอื่นอาจใช้โอกาสนี้ในการแทรกแซง ดังนั้น การสนับสนุนกองทัพและปลูกฝัง

ความรักชาติในทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติเรา

สรุปคือ การทำให้กองทัพอ่อนแอ ก็คือการทำลายประเทศนั่นเอง

เปิดกล้องวงจรปิดถึงกับขนลุก!! พนักงานเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวให้ใคร ด้านชาวเน็ตแซว!! ลูกค้าจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้หรือยัง?

จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก @aunudon โพสต์คลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิด จับภาพขณะที่เด็กเสิร์ฟคนนึงกำลังให้บริการลูกค้า โดยพนักงานคนอื่นต่างงุนงงกันว่าเสิร์ฟใครกัน? เพราะที่โต๊ะนั้นทุกคนไม่เห็นใครเห็นคนนั่งอยู่ พร้อมระบุแคปชันว่า “เห็นอยู่คนเดียว” นั้น 

ล่าสุด (18 ก.ย. 67) คุณพลอย พนักงานเสิร์ฟในคลิปดังกล่าว ได้เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ ระบุว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ถึง 15.00 น. ของวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นช่วงชุลมุนของร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี โดยตอนนั้นมีพนักงานอยู่ในร้านทั้งหมด 4 คน ตนซึ่งเป็นหนึ่งในนั้น เห็นลูกค้าผู้หญิงคนนึง ใส่เสื้อสีขาว ทรงเซอร์ ๆ หน่อย อายุประมาณ 40 ปีต้น ๆ เดินเข้ามาในร้านตามปกติ แต่ลูกค้าคนดังกล่าวไม่พูดไม่จาอะไร เพียงแค่กวักมือเรียกพนักงาน ตอนนั้นตนกำลังก้มปิดแก๊สอยู่ ก็แปลกใจว่าทำไมพนักงานคนอื่นที่นั่งอยู่ข้างกันถึงไม่ไปรับออเดอร์ ราวกับว่าไม่มีใครเห็นลูกค้าคนนี้ มีแค่ตนเห็นคนเดียว

ตนจึงเป็นคนเดินเอาเมนูไปวางที่โต๊ะให้ลูกค้าคนดังกล่าว ระหว่างรอให้เขาเขียนเมนู ตนก็เดินไปเอาของข้างหลังร้าน พอกลับมาที่หน้าร้านอีกที ก็ยังคงไม่มีใครเอาน้ำมาเสิร์ฟ ลูกค้าก็ไม่พูดอะไรแต่เอามือจิ้มว่าต้องการน้ำเก๊กฮวย ตนจึงไปเสิร์ฟให้ ในตอนนั้นพนักงานอีก 3 คนก็เริ่มงงว่าตนเสิร์ฟให้ใครแต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไร คิดว่าลูกค้าคงไปเข้าห้องน้ำอยู่

จากนั้นตนก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ เมื่อคิดว่าลูกค้าคงเขียนเมนูเสร็จแล้ว จึงเดินไปรับเมนู เห็นว่าลูกค้าติ๊กเมนูเป็นเส้นเล็กน้ำ ตนก็ไปทำออเดอร์มาเสิร์ฟให้ตามปกติ แต่กลับมาอีกที ลูกค้าไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว ตนก็คิดแค่ว่า ทำไมเขาไม่มากินสักที เส้นจะอืดไหม

หลังจากนั้นตนก็เริ่มถามคนอื่นกันว่า ลูกค้าไปไหน ลูกค้าเข้าห้องน้ำหรือเปล่า แต่พอหาที่ห้องน้ำไม่เจอ ตอนนั้นตนเริ่มรู้สึกทะแม่งเพราะพนักงานคนอื่นยืนยันว่าไม่เห็นลูกค้าคนดังกล่าวตั้งแต่แรก ตนจึงคิดแล้วว่าลูกค้าคนนี้คงไม่ใช่คน พอเอาเมนูมาดูอีกที เมนูที่เห็นว่าติ๊กสั่งตอนแรกก็ว่างเปล่า ตนจึงให้เถ้าแก่ที่ร้านลองเปิดกล้องวงจรปิดดู ปรากฏว่าไม่เห็นมีใครนั่งที่โต๊ะดังกล่าวเลย มีเพียงตนที่ยืนพยักหน้ารับออเดอร์อยู่คนเดียว

คุณพลอย เล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยเจอเหตุการณ์ลี้ลับแบบนี้ในรูปแบบเสียงเฉย ๆ เพิ่งเคยเจอแบบเป็นตัวเป็นตนมาหาโดยตรงขนาดนี้ครั้งแรก ซึ่งในวันนั้นก็เป็นวันโกนด้วย แต่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวันปกติ ลูกค้าคนอื่นก็อยู่เยอะ ตนคิดในแง่ดีว่าเขาคงจะมาให้โชค เหมือนเขาหิวข้าวมาขอข้าวกิน และเขาก็มาดีไม่ได้มาทำร้ายอะไรเรา ตนก็เหมือนได้ทำบุญไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีทั้งคนที่มองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ บ้างก็ว่าพนักงานเสิร์ฟคนดังกล่าวเป็นผู้มีบุญ เขาถึงมาขอให้ช่วยบรรเทาความหิว ส่วนชาวเน็ตอีกกลุ่มก็มีการแซวตามประสา เช่น เค้าได้จ่ายเงินให้ไหม อยากเห็นตอนรับเงิน

แฉ!! 'ผอ.กศน.' ในสุรินทร์ ไม่เข้าทำงาน นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน ถ้ามีงาน ก็ใช้ลูกน้องหอบแฟ้มเอกสารไปให้เซ็นถึงบ้านพัก

(18 ก.ย. 67) จากเพจ 'ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน' ได้โพสต์ข้อความถึงพฤติกรรม ผอ.ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) หรือ กศน.เดิม รายหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ที่ไม่เข้าทำงาน นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน แถมใช้ลูกน้องหอบแฟ้มเอกสารไปให้เซ็นถึงบ้านพัก จนชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น ว่าคนแบบนี้เป็นภาระต่อองค์กร ดังนี้...

ผอ.กศน. นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน ที่ทำงานไม่เข้า ทำงานตามอัธยาศัย ผอ.ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) อำเภอศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ หรือ กศน.เดิม นอนกินเงินเดือนสวัสดิการอยู่บ้าน ที่ทำงานแทบไม่เข้า เข้าทีก็เฉพาะตอนประชุมหรือมีงานสำคัญ เดือนละครั้งสองครั้ง

เวลามีเซ็นเอกสารก็ใช้ลูกน้องหอบแฟ้มไปให้เซ็นถึงบ้านพักในตัวเมือง ห่างไปเกือบ 60 กม. งานกิจกรรมนิเทศนักศึกษาใหม่ก็ให้ครูไปทำกันเอง รักษามาตรฐานนี้มาตั้งแต่ช่วงโควิดปี 2019 จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังโพสต์เพิ่มเติมถึงกรณี ผอ.รายนี้ อีกว่า "เป็นคนสปอร์ต เวลานาย ๆ มาตรวจดูแลปรนนิบัติดี ทำถึง เหล้ายา ปลาปิ้งไม่อั้น เป็นน้องรักของบรรดานาย ๆ แบ็คดีก็เลย WFH ไม่อั้น ผอ.กศน. ...... จ.สุรินทร์" และ "สมัยอยู่ประจำสำนักงาน ก็กระทำเป็นสหายสุราในที่ทำงานและบ้านพัก ลูกน้องไม่อยากร่วมวงก๊งแก้ว ก็มีกริ้วมีแกล้ง"

‘นายกฯ’ ชื่นชมกองทัพ เป็นที่พึ่งของประชาชนยามทุกข์ยาก พร้อมส่งกำลังใจให้กำลังพลปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย

(18 ก.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชื่นชมกองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยเฉพาะยามเกิดภัยพิบัติกองทัพได้นำกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างทุ่มเท เต็มกำลังความสามารถและอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า กองทัพอยู่เคียงข้าง ไม่ทอดทิ้งประชาชน

นายกฯ กล่าวว่า จากรายงานกองทัพได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนสถานการณ์คลี่คลายทั้งในพื้นที่ จ.เชียงราย, น่าน, หนองคาย, เลย, บึงกาฬ, นครพนม, ราชบุรี, อุบลราชธานี และ จ.กาฬสินธุ์ โดยได้ทำการช่วยเหลือประชาชน ดังนี้... 

1.ช่วยเหลือประชาชนล้างทำความสะอาด ดินโคลน (บ.เล่าลิ่ว ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย) 

2.ลาดตระเวนป้องกันอาชญากรรม เฝ้าระวังความปลอดภัยดูแลทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (แม่สาย เชียงราย) 

3.ติดตั้งชุดประปาสนาม ผลิตน้ำประปาชั่วคราว 4 แห่ง ให้ประชาชนเชียงรายคลายความเดือดร้อน

4.ฟื้นฟู/ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย (รร.บ้านปอน ต.ปอน อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน) 

และ 5.ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่หนองคาย กรอกกระสอบทราย และนำกระสอบทรายไปวางเพื่อเสริมแนวกั้นป้องกันมวลน้ำโขง เพื่อจัดทำพนังกั้นน้ำ (บ้านปากมาง ม.12 ต.กองนาง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย)

“ขอเป็นกำลังใจให้กองทัพและกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง บนพื้นฐานความไม่ประมาท คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก” นายกฯ เน้นย้ำ 

'สาว' โพสต์!! 'น้องชาย' ไม่ผ่านทดลองงาน เหตุใส่เสื้อสีส้มและใช้ภาษาอีสานในที่ทำงาน

(18 ก.ย. 67) จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Ployly Pornprapha Linlaphat' ได้โพสต์ข้อความ ว่า "น้องชายเราไม่ผ่านการทดลองงาน ตอนนี้ดิ่งมาก งานก็หายาก" โดยมีการแนบแชตระบุเนื้อหาบทสนทนาของน้องชายกับฝ่ายบุคคลด้วย ว่า...

>> น้องชาย: 
แล้วคะแนนประเมินส่วนไหนของผมที่ไม่ผ่านอ่ะครับ

>> ฝ่ายบุคคล: 
ที่เขาแจ้งมามี 2 ข้อค่ะ
1. คุณนัทชอบใส่เสื้อส้มมาทำงาน เชื่อว่ามีความคิดชังชาติ อาจมีพฤติกรรม ฝักใฝ่ฝ่ายล้มล้างการปกครอง อั้งยี่ ซ่องโจรได้ในอนาคต
2. คุณนัทมักใช้ภาษาอีสานในที่ทำงานกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาด

>> น้องชาย: 
ขอผมคุยกับพี่เลิศอีกทีได้ไหมครับ

>> ฝ่ายบุคคล: 
คงไม่ได้นะคะ เพราะพี่เลิศลงนามไปแล้วและเสนอให้ MD ไปแล้วค่ะ

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ทำให้เกิดคำถามในโลกโซเชียลว่า เป็นเรื่องจริงหรือแค่คอนเทนต์ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องร่วมงานกับองค์กรแบบนี้ ขณะเดียวกัน อีกมุมก็มองว่า นี่อาจเป็นการปั่นกระแส ด้วยการสร้างนิยายในอากาศ เพื่อหวังผลบางประการทางการเมืองหรือไม่?

‘4 นักเทนนิสสาว’ เรียนรู้วัฒนธรรมไทยอันงดงาม ผ่านกิจกรรม ‘ร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด’

(18 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวการแข่งขันเทนนิสอาชีพหญิงรายการใหญ่ที่สุดของอาเซียน ดับเบิลยูทีเอ 250 รายการ ‘แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 พรีเซนเต็ด บาย แคล-คอมพ์’ ชิงเงินรางวัลรวม 267,082 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 10 ล้านบาท ที่อารีน่า หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ล่าสุด ผู้จัดการแข่งขันฯ ได้จัดกิจกรรมพิเศษภายใต้การสนับสนุนของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้นักเทนนิสระดับโลกได้เรียนรู้ และสัมผัสวัฒนธรรมการร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด

โดย 4 นักเทนนิสสาวที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ นำโดยนักหวดชาวไทย ‘แต้ว’ ทรรศพร นาคหล่อ มือ 3 ของไทย และมือ 333 ของโลก, อารีน่า โรดิโอโนวา มือ 115 ของโลก จากออสเตรเลีย, อลิเซีย พาร์ค มือ 116 ของโลก จากสหรัฐอเมริกา และ ยาน่า เฟทท์ มือ 129 ของโลก จากโครเอเชีย ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมการร้อยพวงมาลัย ที่สนามหน้าห้อง แทมมาลีน บลูพอร์ต วิง ฝั่งตรงข้ามโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี สุวรรณา คุ้มเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดดอกไม้ ประจำโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดกิจกรรม นักเทนนิสทั้ง 4 คน ต่างสนุกและตื่นตาตื่นใจในการเรียนรู้การร้อยพวงมาลัยดอกมะลิ โดย แต้วที่แม้เป็นคนไทย ยังอดตื่นเต้นไปกับกิจกรรมนี้ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้ร้อยพวงมาลัยมาก่อน

นอกจากนี้ ในระหว่างกิจกรรม ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขัน ‘แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 พรีเซนเต็ด บาย แคล-คอมพ์’ ได้เดินทางมาร่วมชม พร้อมพูดคุยกับนักกีฬาทั้ง 4 คนอย่างเป็นกันเองด้วย และหลังจากใช้เวลาประมาณ 20 นาที นักเทนนิสทั้ง 4 คน สามารถร้อยพวงมาลัยได้เสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับได้พวงมาลัยที่เป็นงานฝีมือของตัวเองติดมือกลับไปด้วย

สำหรับการร้อยมาลัยถือเป็นอีกเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงศิลปะและวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีคุณค่าทั้งในด้านความสวยงาม ประณีต สื่อถึงความหมายไปในทางที่ดี อีกทั้งกิจกรรมนี้ยังช่วยสืบสานวัฒนธรรมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ และเป็นการฝึกสมาธิและจิตใจที่ดีอีกด้วย

'สนธิ' แฉแหลก!! แพลตฟอร์มปั้นไอดอลดูดทรัพย์คนไทยผู้ไม่มีจะกิน ล่อหลอกให้ส่งเปย์สติ๊กเกอร์ 'หัวใจครึ่งพัน-เรือยอร์ช 4 หมื่น'

(18 ก.ย. 67) จากช่องยูทูบ 'sondhitalk' โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เปิดฉากแฉขบวนการดูดทรัพย์แฟนคลับไทยผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม ว่า...

คอนเทนต์ครีเอเตอร์กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ยอดนิยม เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง-รายได้ และยังเป็นใบเบิกทางสู่การทําธุรกิจได้อีกด้วย และบางคนที่ดังมาก ๆ ก็ยังก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็นขั้นอินฟลูเอนเซอร์ไลฟ์สดในระดับชั่วโมงหนึ่งได้เงินเป็นหลักล้านกันเลยทีเดียว

คุณสนธิ เผยอีกว่า ปัจจุบันคนไทยมีอัตราการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตประมาณ 90% หรือทุกครัวเรือนมีมือถือมีอินเทอร์เน็ตใช้กันหมด แล้วกว่า 50 ล้านคนเข้าถึงช่องทางโซเชียลมีเดียกันหมด หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย 71.5% ของประชากรทั้งประเทศ เรียกว่าติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกได้เลย

ภาพดังกล่าว ทำให้ประเทศไทย (คนไทย) กลายเป็น 'ดินแดนสวรรค์' ที่ทำให้ต่างชาติบางคนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เปลี่ยนชีวิตคนที่ปกติอยู่ประเทศตัวเองแล้วเป็นคนธรรมดา ๆ ให้กลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์รายได้มหาศาลที่ไทยได้ทันที ภายใต้ความเอ็นดูของคนไทย ที่หลายคนมักจะรู้สึกปลื้มใจถ้ามีคนต่างชาติหัดพูดภาษาไทยและทํากิจกรรมเงอะ ๆ งะ ๆ ซึ่งน่ารําคาญ แต่ยังถูกมองว่าน่ารัก

นอกจากนี้ ด้วยความที่คนไทยเป็นคนขี้สงสาร เหมือนกรณี 'แน็ก-ชาลี' มันก็เลยเกิดคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่าง 'กามิน' เข้ามากอบโกย ซึ่งเดี๋ยวผมจะอธิบายต่อว่า 'กามิน' ก็คือหนึ่งในตัวละครของ 'ขบวนการ' ที่เข้ามาสูบเงินสูบทองของคนไทยยังไงบ้างในวันศุกร์นี้ (20)

คุณสนธิ เผยต่ออีกว่า อันที่จริง กามิน เป็นแค่เพียงตัวละครเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะขบวนการดูดทรัพย์คนไทยนั้น ถูกเตรียมการผ่านคนแบบกามินไว้อีกเป็นจํานวนมากที่จะเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากระดับชาติ มันไม่ใช่ประเด็นเล็ก ๆ จากดรามาระหว่างดาราคู่จิ้นหนุ่มไทยกับสาวเกาหลีอีกแล้ว

คุณสนธิ แฉต่อว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไปสืบค้นข้อมูลมา และค้นพบว่าช่องทางโซเชียลมีเดียและติ๊กต็อกในปัจจุบันนั้นเป็นช่องทางในการดูดเงินจากแฟนคลับได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ผ่านฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า 'PK' (การแข่ง PK ใน TikTok ย่อมาจาก 'Player Kill' เป็นฟีเจอร์ไลฟ์สดบนติ๊กต๊อกที่ผู้ใช้สองคนสามารถแข่งขันกันเพื่อรับของรางวัลหรือเพื่อความสนุกสนาน โดยผู้ชมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครคือผู้ชนะ)

PK หรือ Player Kill เป็นแพลตฟอร์มสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อเปิดเอนเกจเมนต์ให้มีการแข่งขันกัน โดยผู้ไลฟ์จะแข่งกันสร้างฐานผู้ชม และเพื่อรับของขวัญจากผู้ชม จากนั้นชัยชนะจะถูกตัดสินผู้ไลฟ์คนไหนได้รับการเปย์ให้มากที่สุด

นี่เป็นเรื่องตลกแล้ว!! เพราะรู้ไหมว่าไอ้พวกที่เปย์ให้พวกคนแบบกามินหรือกลุ่มขบวนการที่ว่านี้นั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีเงินมีทอง เป็นคนที่มีเงินต้นเดือนไม่ชนปลายเดือน หรือว่ามีเงินอยู่เล็กน้อย แต่แทนที่จะเอาเงินไปทําประโยชน์ให้กับครอบครัวตัวเอง หรือไปทําบุญทําทาน กลับเอาเงินมาเปย์ให้คนเหล่านี้

บางคนที่เปย์ยังวิ่งเต้นทํางานพาร์ตไทม์ บางคนเป็นนักศึกษาแพทย์ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเกือบแสน 87,000 บาทบ้าง 81,000 บาทบ้าง ก็เข้าไปบ้าในฟีเจอร์ PK นี้

สำหรับหลักการของ PK ที่คุณสนธิ กล่าว คือ จะมีการส่งสติ๊กเกอร์ให้ผู้ไลฟ์ที่ชื่นชอบ ซึ่งสติ๊กเกอร์เหล่านี้ต้องใช้เงินจริงแลกมา ถ้ายังพอจําได้ก็คือเงินแบบกรณีของกามินที่เอาส่วนแบ่งค่าสติ๊กเกอร์ไปให้ 'แน็ก-ชาลี' 500,000 บาท และแน็กก็เอาไปทำบุญต่อนั่นเอง 

คุณสนธิ เผยด้วยว่า ตรงนี้เป็นรูปแบบกระบวนการจากเครือข่ายเกาหลีที่ปั้นทุกอย่างขึ้นมาทั้งสิ้น

ช่วงท้าย คุณสนธิ ยังเผยอีกว่า ตนรู้สึกแค้นใจที่มีคนหรือแฟนคลับไปตามสนับสนุนขบวนการเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังมีปัญหาด้านการเงิน ด้วยการส่งสติ๊กเกอร์กันตั้งแต่หลัก 10 บาทไปถึงแสนบาท อย่างเช่นส่ง 'บวก' ให้ 99 คอยน์ ก็ต้องแลกด้วยเงินไทย 207 บาท ส่งหัวใจให้ 199 คอยน์ เป็นเงิน 417 บาท คือ แค่กดสติ๊กเกอร์คุณต้องเสียเงินไปขนาดนี้ บางคนส่งสติกเกอร์เรือยอร์ช 20,000 คอยน์ เท่ากับเงินไทย 42,000 บาท และอื่น ๆ ที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นไปอีก มันบ้าไปแล้ว...

นี่คือความบ้าของผู้ชมที่มีสติ ตอนที่คุณเปย์ให้คนพวกนี้ร่ำรวย เขาก็ไม่ได้มาสนใจคุณ เขาและคุณใจฟูวันนี้ วันพรุ่งนี้เขาก็ลืมคุณ และเมื่อไม่อยากให้ลืม คุณก็ต้องเปย์ต่อ สุดท้ายเขารวยขึ้น ๆ ส่วนคุณจนลง ๆ

คุณสนธิ เสริมด้วยว่า เมื่อผมสืบประวัติและย้อนดูพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว กามิน ก็เป็นแค่หนึ่งในกระบวนการเกาหลีที่ขนคนมาหลอกเงินคนไทยและเมืองไทย เพราะเขามองว่าคนไทยหลอกง่ายเหมือนกันหมด

‘รัฐบาล’ เล็ง!! ยกระดับ ‘แอปทางรัฐ’ จ่ายเยียวยา-รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้

(18 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาแอปพลิเคชันทางรัฐของรัฐบาล ว่า ปัจจุบันแอปฯ นี้ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลมุ่งหวังให้แอปฯ นี้เป็นซูเปอร์แอปที่จะเป็นแอปฯ หลักรองรับการให้บริการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะให้บริการกับประชาชนอย่างครอบคลุมในเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ใช้เป็นครั้งคราวแต่ใช้ต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีในอนาคตก็จะมาใช้แอปฯ นี้ด้วย

“เรื่องการจะพัฒนาให้แอปฯ ทางรัฐ สามารถรองรับการจ่ายเงินให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยตามนโยบายนายกรัฐมนตรีนั้น สามารถที่จะทำได้ในระยะต่อไป เพราะในระบบนี้มีฐานข้อมูลที่ประชาชนลงทะเบียนไว้จำนวนมากกว่า 30 ล้านคน ถ้าในการจ่ายเงินและการเยียวยาหากสามารถเชื่อมโยงบัญชีได้ อาจจะใช้ในเรื่องของพร้อมเพย์เข้ามาช่วย” นายประเสริฐ กล่าว

อย่างไรก็ตามขึ้นกับการตัดสินใจของกระทรวงการคลังอีกครั้ง ตรงนี้ขอรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลัง แต่ว่าในเรื่องระบบนั้นทำไม่ยากเพราะสามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูลกันได้อยู่แล้ว 

'รศ.ดร.คมสัน' ชื่นชม 'น้องบีม' อีกหนึ่งคนเก่งที่น่าภาคภูมิใจจากรั้ว สจล. สร้าง ‘Revision Success’ แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน

(18 ก.ย. 67) รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Komsan Maleesee' ระบุว่า...

เพราะเด็กในวันนี้ คือ อนาคตของชาติในวันหน้า 

เเละ 'น้องบีม' คือ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจในรั้ว สจล. ครับ น้องบีม นักเรียน Grade 11 จากโรงเรียนสาธิตนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMIDS) ที่สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ‘Revision Success’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน

น้องได้รับรางวัลมากมาย และยังได้ไปเป็นวิทยากรสอนการใช้ Platform และ AI technology ให้โรงเรียนหลายแห่ง ทั่วประเทศ

ผมและพวกเรา สจล. ภูมิใจในตัวน้องมากครับ เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' รวมพลัง ส่งต่อธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม ระดมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และจิตอาสาหน่วยงานในเครือ เร่งบรรจุถุงยังชีพฉุกเฉิน เพื่อออกเดินทางสมทบช่วยผู้ประภัยน้ำท่วมเย็นนี้!

(18 ก.ย. 67) ตามที่ประเทศไทยได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดอุทกภัย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเสียหายเป็นจำนวนมาก อาทิ เชียงราย หนองคาย สุโขทัย ฯลฯ ซึ่งเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้น มูลนิธิฯ ได้จัดทีมกู้ภัย กู้ชีพ อาสาสมัคร พร้อมเรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ รถโฟวิล [4x4] รถพยาบาลขับเคลื่อน 4 ล้อ โรงครัวเคลื่อนที่ ถุงยังชีพ ชุดยาสามัญประจำบ้าน อาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้นทันที โดยขณะนี้ได้จัดตั้งกองอำนวยการ และโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุก ณ วัดท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

เช้าวันนี้ (วันพุธที่ 18 กันยายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นำทีมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครกู้ภัย อาสาสมัครบริการ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ นำโดย ดร.ปภัสรา เตชะไพบูลย์ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ และ นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ อาสาสมัครศิลปิน อาทิ นางสาวพรชดา วราพชระ (มะเหมี่ยว-พรชดา) เร่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค อาทิ อาหารสำเร็จรูป ไฟฉาย ผ้าอนามัย ถุงขยะดำ ทิชชู่เปียก ทิชชูแห้ง สบู่เหลว ยากันยุง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ชุดยาสามัญประจำบ้าน บรรจุถุงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 

จัดเป็น 'ถุงยังชีพฉุกเฉิน' เพื่อจัดส่งให้ทีมบรรเทาสาธารณภัยนำออกแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ในช่วงเย็นวันนี้เป็นต้นไป โดยมีคณะมิสไทยแลนด์เวิลด์ ร่วมทางบรรจุถุงยังชีพในวันนี้ ณ บริเวณลานสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ หน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการจัดเตรียม ชุดยาสามัญประจำบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมลำเลียงออกแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดวานนี้ (วันที่ 17 กันยายน 2567) ได้ระดมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ อาสาสมัคร และจิตอาสาหน่วยงานในเครือมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อาทิ คณะนักศึกษาจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมบรรจุชุดยาสามัญประจำบ้าน ณ บริเวณอาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ภายหลังจากทีมบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุอุทกภัย โดยเมื่อช่วงระหว่าง 19 สิงหาคม – 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้ว 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี ตราด พะเยา น่าน สุโขทัย แพร่ และเชียงรายในพื้นที่น้ำลดแล้วในขณะนั้น รวมงบประมาณฟื้นฟูหลังน้ำลดในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า 5.1 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และที่กองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดหนองคาย สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่มีความประสงค์จะบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม  หรือติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org  เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/pohtecktungofficial หรือ ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418

ทุกบาท ทุกสตางค์ ที่ท่านบริจาค สามารถร่วม ช่วยชีวิต รักษาชีวิต และสร้างชีวิต นับล้านชีวิต ขอขอบคุณ ในความ มีจิตกุศลของท่าน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top