Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

รัฐช่วยบ้านเสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย เคาะ!! ได้รับเงินหลังละ 2.3 แสนบาท

(20 ก.ย. 67) จากที่มีข้อมูลออกมาเกี่ยวกับรัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น ‘เป็นข้อมูลจริง’

โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการลดขั้นตอนทางเอกสาร ที่สมัยก่อนต้องเอาเอกสารไปเสนอ แต่ตอนนี้จะให้ส่วนราชการทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงไปดูและสรุปให้รวดเร็วที่สุด ถ้าบ้านเรือนไหนที่เสียหายเกิน 70% จะได้รับเงินเยียวยาหลังละ 2.3 แสนบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือ โทร. 02-618-2323

'ดร.สุวินัย' มอง!! กระแสต้าน 'พระอาจารย์ต้น' แพร่ธรรมละยึดโยงพระไตรปิฎก ชี้!! สิ่งที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก สิ่งที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด "นี่คือธรรม"

(20 ก.ย. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'การแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าตามแนวทางพระพุทธศาสนา' ระบุเนื้อหา ดังนี้...

๑. ตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน หรือระลึกทั้งวันก็ได้ ด้วยบทระลึกถึงพระรัตนตรัยว่า...

“พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
สังโฆ เม นาโถ พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า” 

>> ให้ 'ระลึก' ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ไว้เรื่อย ๆ อยู่เสมอ
>
๒. หากมีอารมณ์ใดเกิดกระทบจิตในแต่ละครั้ง ให้ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ ไปเลย เช่น หากเกิดความเครียดขึ้นมาให้ทักว่า...

“นี่คือความเครียด 
ความเครียดกำลังเกิดขึ้นกับจิต 
จิตกำลังมีความเครียด 
ความเครียดมีอยู่ในจิต 
จิตกำลังถูกความเครียดปรุงแต่ง 
ความเครียดกำลังปรุงแต่งจิต”  

>> ให้ฝึก 'ทักอารมณ์' อยู่บ่อย ๆ

๓. หากอาการซึมเศร้าเกิดขึ้นมามากจนควบคุมไม่ได้ ก็ให้ทักอาการซึมเศร้านั้นตรง ๆ ว่า...

“นี่คืออาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้าเกิดขึ้นกับจิต 
จิตมีอาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้ามีอยู่ในจิต 
จิตถูกอาการซึมเศร้าปรุงแต่ง 
อาการซึมเศร้ากำลังปรุงแต่งจิต” 

>> ทักอาการซึมเศร้าไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะคลายไป หากเกิดอีกก็ให้ทักอีกอยู่เรื่อย ๆ

๔. ให้แผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน 

๕. สวดพระปริตร ๒ บทคือ รัตนปริตรกับอาฏานาฏิยปริตร ทุก ๆ วัน

~ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)

*********

เหตุที่ กรรมฐานนี้ได้ผลในการแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้ เพราะ...

(1) กรรมฐานนี้สอนให้ 'เจริญสติ' ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหัดตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวันทุกวัน

เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็น 'อกุศลจิต'  ขณะที่การระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็น 'กุศลจิต' ... กรรมฐานนี้คือ อุบายใช้ 'น้ำดี' (กุศลจิต) เข้ามาแทนที่ 'น้ำลาย' ในจิตนั่นเอง แม้จะเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ก็ตาม อุปมาดั่งสภาวะจิตที่อยู่ในความมืด (อุกศลจิต) แล้วทำการจุดเทียน (กุศลจิต) ส่องความสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพื่อมาแทนความมืดชั่วคราวนั่นเอง

หัวใจจึงอยู่ที่การทำได้บ่อย ๆ เพื่อให้จิตที่ซึมเศร้าได้สัมผัสแสงสว่างบ้าง และบ่อยขึ้น มากขึ้น นานขึ้น จนกระทั่งจิตที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากลับมาสู่จิตปกติของปุถุชนที่ทุกข์น้อยลงจากโรคซึมเศร้า

(2) กรรมฐานนี้สอนให้ 'ดูจิต' 'ดูอารมณ์' โดยตรง โดยใช้วิธี 'ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ' ... การทักอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตตรง ๆ เช่น ความเครียดกับอาการซึมเศร้า ... มันคือการทำให้จิต 'รู้ตัว' และหลุดออกจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นได้ชั่วคราว ครั้งพออารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นกลับมาใหม่อีก ก็ให้ "ทักอารมณ์" นั้นอีกเรื่อย ๆ ทุกครั้งไป เมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้ง อุศลจิตที่ว่าจะตั้งอยู่ไม่ได้ มันจะคลายอำนาจการครอบงำจิตได้น้อยลงหรืออ่อนแรงลง  เพราะจิตเป็นอนิจจัง

ผมจะไม่พาดพิงเรื่องที่ มติเถรสมาคมสั่ง 'พระอาจารย์ต้น' (ผู้สอนกรรมฐานข้างต้นเพื่อแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้า) ให้แก้ไขแนวคิด-การเผยแพร่ว่าต้องยึดพระไตรปิฎก ... เพราะผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว และผมเองก็ไม่ได้สนใจติดตามคำสอนของพระอาจารย์ต้นมาก่อนจนกระทั่งเกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็น 

เวลาจะให้คำตอบในเรื่องนี้เอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

อะไรที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก  ... นี่คือธรรม
อะไรที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด ... นี่คือธรรม
สิ่งที่สอนถูก ไม่สามารถเอามาหักล้างสิ่งที่สอนผิดได้ ... นี่คือธรรม

"พระไตรปิฎกบกพร่อง 20% ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ยังมีความโกรธอยู่ ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการนั่งคิดทั้งคืน ...จริงหรือไม่?"

เวลาจะให้คำตอบเอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

ด้วยความปรารถนาดี

ความปลอดภัยไซเบอร์ไทย พัฒนาก้าวกระโดด ‘ประเสริฐ’ เผยผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 โดย ITU ไทยขึ้นอันดับ 7 ของโลกด้าน Cyber Security จาก 194 ประเทศ  พุ่งจากอันดับ 44 ในการจัดอันดับครั้งที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานแถลงข่าวความสำเร็จการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 (GCI) โดย International Telecommunication Union (ITU) ในปี 2024 ซึ่งประเทศไทยก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 7 จากผลการประเมินของ 194 ประเทศทั่วโลก ว่า จากนโยบายการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน ‘The Growth Engine of Thailand’ หรือเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศจะให้ความสำคัญใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 

1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) 
2. การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital) และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะพัฒนารัฐบาลให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล และนโยบายรัฐบาลประการที่ห้าที่รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น ควบคู่กับการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ 

โดยการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ GCI ในปี 2024 ประเทศไทยได้คะแนนอยู่ที่ 99.22 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 ของโลกจากจำนวน 194 ประเทศ ซึ่งก้าวกระโดดจากลำดับที่ 44 ในการจัดลำดับในครั้งที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ประเทศชั้นนำใน Tier 1 ซึ่งหมายถึงการเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็น role models ด้านไซเบอร์ของโลก จากรายงาน Global Cybersecurity Index (GCI) 2024 ของ ITU ที่วัดผลสัมฤทธิ์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศต่าง ๆ ผ่าน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย (Legal) ด้านเทคนิค (Technical) ด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) ด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) และด้านความร่วมมือ Cooperation) 

“ผลคะแนนในดัชนีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาและเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ในหลาย ๆ ด้าน โดยผลคะแนนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ร่วมผลักดันงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบุคคล องค์กร ภาคส่วน และในระดับประเทศ ตลอดจนพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รายงานอาจแสดงถึงจุดที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Child Online Protection หรือการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิคในการรับมือภัยคุกคามที่ทันสมัยขึ้นต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว 

ขณะที่ พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการยกระดับด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การยกระดับด้านกฎหมาย (Legal) ประเทศไทยมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัลหลายฉบับเช่น การกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์  เช่น การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและกำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บ ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่เน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 

2.การยกระดับด้านเทคนิค (Technical) มีการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) และการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หรือ Sectoral CERT รวมถึงยังมีการดำเนินการทางเทคนิคด้านอื่น ๆ ได้แก่ การขึ้นทะเบียน ThaiCERT กับองค์กร CERT ระดับสากล ได้แก่ First.org และ The Asia Pacific Computer Emergency Response Team (APCERT) การฝึกเพื่อทดสอบขีดความสามารถทางไซเบอร์ในระดับประเทศ (Thailand’s National Cyber Exercise) และระดับภาคส่วน การจัดตั้งระบบแพลตฟอร์มสำหรับการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Malware Information Sharing Platform : MISP) และการแจ้งเตือนภัยคุกคามทางไซเบอร์และช่องโหว่ของระบบ
.
3. การยกระดับด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) โดยมีการจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 - 2570) เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมี สกมช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการจัดตั้งประชาคมไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวคิดให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบายและแผนปฏิบัติการฯ รวมถึงนโยบายการบริหารจัดการ ประมวลแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

4.การยกระดับด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) สกมช. ได้ดำเนินโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Intensive Cybersecurity Capacity Building Program) ระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งนี้ สามารถพัฒนาบุคลากรได้มากกว่า 5,000 คน การจัดกิจกรรม Thailand Cyber Top Talent เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เข้าร่วมการแข่งขัน มากกว่า 6,000 คน  การจัดกิจกรรม Thailand National Cyber Week เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 การจัดตั้งสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยที่ผ่านมาได้มีการสร้างการตระหนักรู้ ให้ประชาชนไปแล้วมากว่า 1,000,000 คน

5. การยกระดับด้านความร่วมมือ (Cooperation) สกมช. มีการทำ MOU กับหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศ ร่วมแล้วมากกว่า 34 ฉบับ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน อิสราเอล Microsoft Fortinet Huawei Gogolook AIS กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมสุขภาพจิต สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นต้น การขับเคลื่อน ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Centre ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2561 ถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาบุคลากรในอาเซียน ตลอดจนการริเริ่มแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์กลุ่มเด็กหรือเยาวชน ในการผลักดันการปกป้องเด็กบนโลกออนไลน์ (Child Online Protection) โดยออกมารูปแบบของโครงการมากมาย

นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน ส่งผลให้ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ เช่น ASEAN Cyber Coordinating Committee (ASEAN Cyber – CC) และ ASEAN-EU Statement on Cybersecurity Cooperation เป็นต้น

'มาริษ' จับเข่าคุยทูตกลุ่มประเทศ ACMECS 5 ประเทศหารือแนวทางการร่วมแก้ปัญหาแม่น้ำโขงท่วม-น้ำแล้ง ยืนยันประเทศไทยพร้อมเป็นหัวหอกระดมกำลังเสริมสร้างความสามารถการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน

'นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือร่วมกับเอกอัครราชทูตกลุ่มสมาชิกยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS (แอ็กเม็กส์) จำนวน 5 ประเทศประจำประเทศไทย ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย เพื่อริ่เริ่มความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ แสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ ที่ได้รับผลกระทบต่อแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด 

นายมาริษ ยืนยันว่า ประเทศไทย พร้อมเป็นหัวหอก ในการระดมสรรพกำลัง ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศ โดยจะใช้กรอบความร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาค ACMECS เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งของแม่น้ำโขงในระยะยาว รวมถึงใช้กลไกสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง หรือ Mekong Institute) และคณะกรรมการแม่น้ำโขง หรือ Mekong River Commission : MRC ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า การขุดลอกแม่น้ำ การพัฒนาพื้นที่รับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงต่อไปในอนาคต

“ขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิก ACMECS ประจำประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนาม ที่มาร่วมหารือพร้อมตอบรับข้อริเริ่มในการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขงในวันนี้ เพราะความทุกข์ของพี่น้องประชาชนรอไม่ได้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้ผมแสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด” นายมาริษ กล่าว

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS ริเริ่มในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปี 2546 และเป็นกรอบความร่วมมือที่ประเทศไทย เป็นประเทศผู้ประสานงาน โดยกรอบความร่วมมือนี้มาจากแม่น้ำสำคัญ 3 สายในภูมิภาคที่ไหลผ่านประเทศสมาชิก ได้แก่ แม่น้ำอิรวดี ที่ไหลผ่านประเทศเมียนมา, แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านประเทศไทย และแม่น้ำโขง ไหลผ่านประเทศไทย, สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยที่ประเทศไทย เห็นโอกาสในการสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาประเทศได้ดีขึ้นตามนโยบาย 'prosper-thy-neighbour' หรือ การทำนุบำรุงเพื่อนบ้านให้เจริญ เพราะหากทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะเกื้อหนุนประโยชน์แก่ประชาชนร่วมกันได้มาก 

'พล.ต.ท.ประจวบฯ' ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญตำรวจในพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดพะเยา กำชับระวังป้องกันอาชญากรรมซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน และมอบหมวกนิรภัยขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567

(20 ก.ย.67) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จว.พะเยา ณ ภ.จว.พะเยา โดยมี พล.ต.ต.พิทักษ์ นาสมวาส ผบก.ภ.จว.พะเยา, พ.ต.อ.พรเทพ น้องการ รอง ผบก.ภ.จว.พะเยา, ผกก.ในสังกัด ภ.จว.พะเยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รอรับการตรวจเยี่ยม และรับมอบสิ่งของบำรุงขวัญและหมวกนิรภัย 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลัน มีข้าราชการตำรวจในสังกัดได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย จำนวน 49 นาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใย จึงเดินทางมาตรวจเยี่ยมมอบสิ่งของบำรุงขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบให้พ้นวิกฤต และเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย 

รวมทั้งกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราป้องกันเหตุอันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อำนวยความสะดวกและจัดระบบการจราจรในพื้นที่ที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ และยานพาหนะ เพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567 สรุปผลการดำเนินการประเภทหน่วยงาน ภ.จว.พะเยา ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่ 1 ของตำรวจภูธรภาค 5 ประกอบกับ ภ.จว.พะเยา ร่วมกับจังหวัดพะเยา จัดทำโครงการ รณรงค์กวดขันมีวินัย สวมหมวกนิรภัย 100% เพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนได้รับความปลอดภัยในการสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว 

เพื่อเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่อย่างเคร่งครัด ได้มอบหมวกนิรภัยให้กับข้าราชการตำรวจ จำนวน 50 นาย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมเน้นย้ำให้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลและ ตร. อย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกนายมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ปฏิบัติภารกิจด้วยความระมัดระวัง และพึงระลึกเสมอว่าทุกคนนั้นคือกำลังสำคัญ ที่ปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป

ผู้ใหญ่ใจดี!! ‘คุณย่าอุไรวรรณ’ มอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม

(20 ก.ย. 67) นับว่าเป็นเรื่องราวดีดีที่ธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ถึงแม้น้ำจะลดแล้วแต่ผู้ประสบภัยก็ยังต้องการการช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลด 

ล่าสุดเพจดังอย่าง 'เจ๊มอย 108' ได้นำเรื่องราวดีดีมาแชร์ มีการเปิดเผยว่า คุณย่าอุไรวรรณ คุณแม่ของ 'น็อต' วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ สามีของนางเอกตัวแม่ 'ชมพู่' อารยา เอ ฮาร์เก็ต

โดยทางเพจดัง 'เจ๊มอย 108' ได้เผยข้อมูลจาก 'รายการทุบโต๊ะข่าว' ระบุข้อความว่า "พี่กันจอมพลัง ลงพื้นที่ฟื้นฟู แม่สาย เชียงราย ทีมจิตอาสาที่ไปช่วย บอกว่าไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้า พี่กันจึงโทรศัพท์ไปหาคุณย่าอุไรวรรณ เพื่อขอติดต่อสั่งซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าลอตใหญ่ในราคาพิเศษ”

“คุณย่าอุไรวรรณ : มาเอาที่ฉันนี่ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนเลย อยากได้เท่าไร จะช่วยทั้งหมด ซึ่งคุณย่าตั้งใจช่วยแต่แรก ตั้งแต่เห็นข่าว โดยเตรียมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทุกอย่างไว้ก่อนนี้อยู่แล้ว เพื่อจะส่งไปช่วยชาวบ้านที่ประสบภัย แล้วพี่กันโทรติดต่อมาพอดี เลยบอกให้พี่กันเอารถมาขนไปได้เลย เตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ต้องจ่ายให้สักบาท ซึ่งมีหลอดไฟ สายไฟ อุปกรณ์ติดตั้งทุกอย่างครบจบ!! ทีมพี่กันเตรียมแค่ช่างไฟไปติดตั้งแค่นั้น"

งานนี้ทำเอาชาวเน็ตต่างเข้ามาชื่นชมน้ำใจของ คุณย่าอุไรวรรณ และครอบครัว รังษีสิงห์พิพัฒน์กันยกใหญ่และร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ประทานพระคติธรรม ‘วันเยาวชนแห่งชาติ’ ขอให้เยาวชนไทย หมั่นเจริญสมาธิ จดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม

(20 ก.ย. 67) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ ความว่า…

“สังคมโลกทุกวันนี้ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว ตัวชี้วัดความสำเร็จเชิงวัตถุเริ่มหลากหลายไกลห่างเกินจะบรรลุได้ เป็นภาวะที่สวนทางกับความสงบ เรียบง่าย และสามัญธรรมดา ทำให้มนุษย์ในยุคใหม่ มีใจหวั่นไหวคลอนแคลนง่ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๔ คู่ กล่าวคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เผลอหลงยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมเหล่านั้นว่าเป็นของตน พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายไม่น่าพอใจ ก็เร่าร้อนนอนทุกข์ อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ พ้นไป พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจ ก็ยึดติดหลงใหล อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ ยังอยู่หรือเข้ามาบังเกิดแก่ตน ภาวะเช่นนี้ทำให้สุขภาวะของผู้คนในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนค่อย ๆ เสื่อมถอยลงทุกขณะ…

“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอบรมสั่งสอนให้มนุษย์แสวงหาความสุขที่เรียบง่ายอันเกิดจากความสงบ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ มุ่งสร้างสรรค์สุขให้บังเกิดได้ง่าย ๆ ด้วยการนำจิตตนเองไปจดจ่อต่อสิ่งดีงาม จึงขอฝากข้อคิดให้เด็กและเยาวชน หันมาสนใจอบรมเจริญสมาธิ ทำใจให้สงบ ฝึกระงับจิต ข่มความคิด ให้ทุเลาความฟุ้งซ่าน ปล่อยวางความหวือหวา วางเฉยต่อความรวดเร็วปุบปับฉับไวของกระแสข่าวสาร สมัยนิยม ความหลงใหล ความรักใคร่ และความชิงชัง ผ่อนพักจากความเครียดต่าง ๆ ที่รุมเร้า แล้วหันไปจดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม เช่น การศึกษาเล่าเรียน การทำงานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ การอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น การทำบุญกุศล การช่วยงานอาสาสมัคร ฯลฯ เพื่อให้เกิดสุขภาวะทางใจ อันจะเกื้อกูลให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคต…

“ขออนุโมทนาความดีที่เด็ก เยาวชน และผู้ทำประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนได้บำเพ็ญด้วยดีตลอดมา ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและกุศลธรรมจริยาที่ท่านทั้งหลายได้สั่งสมไว้ ดลบันดาลให้ท่านมีสรรพกำลังพรั่งพร้อม ในอันที่จะบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของสังคมประเทศชาติสืบไป เทอญ”

แม่สายจมโคลน บางบ้านสูงถึงชั้น 2 ตักยังไงก็ไม่หมด-จ้างไม่ไหว หลายคนเริ่มคิดสั้น 'หลังหมดตัว-หมดใจ' วอนภาครัฐเข้าช่วย

(20 ก.ย. 67) เพจ 'เรียนหมอ' โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์แม่สายเชียงรายหลังน้ำลด แต่ชาวบ้านกำลังประสบกับปัญหาใหญ่จากน้ำหลากที่จากไปเหลือไว้แต่โคลนตมที่ทับถมบ้านเรือนอย่างหนัก ระบุว่า...

รถดูดโคลนต้องเข้าแม่สายแล้ว โคลนหนามาก บางบ้านถึงชั้น 2 หลายคนร้องไห้ไปตักโคลนไป ตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที จะจ้างทำก็แสนแพง เงินก็ไม่มี

ที่แม่สายหนักมากค่ะ ตามถนนหลาย ๆ ที่โคลนยังหนา จะเอารถไปแจกของก็ยาก คนออกมาเอาก็ลำบาก

ในบ้านเรือนโคลนหนามาก ๆ ถ้าเป็นคนแก่คงทำไม่น่าไหว 

หลายคนพูดถึงความคิดจะคิดสั้นขึ้นมา คือมันหมดตัวไม่พอ ยังต้องมาตักโคลนที่สูงมาก ๆ ๆ อีก ซึ่งตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที 

เข้าใจเค้านะคะ คือ หมดตัวอยู่แล้ว ยังต้องมาตักโคลนที่แบบหนา ๆ สูง ๆ ทุกวัน ๆ มันดิ่งนะคะ คือสงสารมาก

หน่วยงานก็พยายามช่วยกันแต่ว่ามันเยอะมาก ๆ

ถ้าช่วยกันหลาย ๆ คน หลาย ๆ ฝ่าย น่าจะหนักเป็นเบาขึ้น

รถดูดโคลนสักกำเนอะจ้าวว ดูด ๆ ๆ ๆ

ความเดือดร้อน มันรอกันไม่ได้ 

คือใช่ เราต้องช่วยตัวเองก่อนที่จะขอคนอื่นมาช่วย  แต่ดูทรงละ งานหนักงานช้างมันทุกบ้าน ทุกหลัง ทุกคนกระทบหมด

ต้องใช้เครื่องจักรมาช่วยละ

ขณะที่โลกโซเชียล ก็ช่วยกันออกมาช่วยแชร์เรื่องนี้ พร้อมกับคอมเมนต์ที่เข้าใจผู้ประสบภัยด้วยว่า...

- "โคลนขนาดนั้นคนหนุ่มสาวก็ทำไม่ไหวค่ะหมอ มีแต่ยอดมนุษย์นั่นแหละค่ะที่จะทำได้แบบไม่ต้องร้องไห้ไปด้วย รัฐบาลควรเข้ามาจัดการเรื่องโคลนที่อยู่ในบ้านประชาชนอย่างเร่งด่วนเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ"

- "ตอนนี้เริ่มโฟกัสความช่วยเหลือไปที่ภาคอีสานเพราะกำลังจะเจอพายุ น่าจะหนักหน่วงอยู่ ภาพทางเชียงรายเลยแทบหายไปจากสื่อ ต้องกลับมาช่วยกันสื่อสารทั้งภาพทั้งการขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แรงงาน เครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์อะไรบ้าง บางคนนึกไม่ออกจะส่งแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้าไปแค่นั้นมันจะเยอะเกินความจำเป็น เพราะบ้านยังไม่เคลียร์เลย"

- "อันดับแรกเอาโคลนออกจากถนนก่อน แล้วโคลนในบ้านก็เอามากองข้าง ๆ ถนน ไว้ให้รถมาเก็บไปทิ้งเป็นส่วนรวมอีกที แบบการจัดการขยะ ไม่งั้นจะจัดการยาก ต้องทำซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะหมด แต่ใครจะช่วยละ เจ้าของบ้านคงไม่ไหว บทเรียนราคาแพงที่คนตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้รับความเดือดร้อนนี้ น้ำพาโคลนมา น้ำแห้งระเหยได้ แต่โคลนนี้สิไม่ไปไหนเลย สู้ ๆ ครับ"

- "รัฐต้องระดมเครื่องจักรจากทุกหน่วยงานของทางราชการที่มีอยู่ทั้งในตัวจังหวัดเองและจังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาช่วยรวมทั้งภาคเอกชนด้วย เพราะดูจากสภาพแล้วปริมาณดินมากมายมหาศาลลำพังแรงคนไม่ไหวแน่ และที่สำคัญน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะใช้ในการนี้รัฐต้องอุดหนุนอย่างเต็มที่"

ขณะที่ด้าน ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tiger Cm' ก็ได้โพสต์คอมเมนต์ถึงกรณีด้วยว่า...

"ข่าวดีคนเชียงราย...ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม. ได้ส่งรถดูดโคลน (เลน) มาช่วย 2 คัน รถตรวจการณ์ 1 คัน รถหน่วยซ่อมเคลื่อนที่เร็ว (BEST) 1 คัน รถบรรทุกติดตั้งเครนขนาด 65 ตัน 1 คัน รถไฟส่องสว่าง 1 คัน และรถตู้ 12 ที่นั่ง 1 คัน พร้อม จนท.กทม. ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เคยมีประสบการณ์การใช้รถดูดโคลนสมัยสึนามิมาด้วย"

'เจ้าของแผงตลาดบางบอน' โชว์ 'บัตรประชาชนไทย' ยันเป็นคนไทย 100% แต่โซเชียลยังเอ๊ะ!! สำเนียงแปลกๆ

(20 ก.ย. 67) จากรายการ 'เข้มข่าวค่ำ' ทาง PPTV HD 36 ได้ลงสำรวจพื้นที่ตลาดในเขตบางบอน และสัมภาษณ์เจ้าของร้านในย่านนั้น ภายหลังจากแม่ค้าคนไทยในตลาดบางบอนเริ่มเดือดร้อน หลัง สส.ไอซ์-รักชนก ได้จุดประเด็นให้สังคมเข้าใจผิดว่า เป็นตลาดพม่า ทั้ง คนซื้อ คนขายเป็นพม่าหมด ทำให้คนไม่กล้ามาเดินตลาด

ทั้งนี้แม่ค้าท่านหนึ่งชื่อ 'เหลงจวิง แซ่ลี้' เจ้าของร้านค้าในตลาดย่านบางบอนได้โชว์บัตรและบอกว่าเป็นคนไทย 100% แต่ก็ให้เหตุผลว่า ที่ร้านมีการจ้างลูกน้องชาวพม่ามาช่วย เพราะคนซื้อบางส่วนก็เป็นคนพม่า จะได้สื่อสารกันเข้าใจ ที่สำคัญผู้ซื้อส่วนใหญ่ก็มีบัตรเข้าเมืองมาทำงานถูกต้อง แต่พอ สส.ไอซ์ ตีข่าว ก็ทำให้ผู้คนทั่วไปไม่สบายใจและไม่กล้ามาจับจ่าย

อย่างไรก็ตาม แม่ค้าคนดังกล่าวพูดในส่วนของร้านตนเอง แต่ร้านอื่นไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ไม่สามารถตอบแทนได้ แต่จะเหมารวมว่าเป็น #ตลาดพม่า เลย คงไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หลังสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็มีชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าของร้านบางท่านเหมือนคนพม่าที่อยู่ไทยจนพูดภาษาไทยได้คล่อง แต่ก็ยังฟังสำเนียงออกว่าเป็นคนพม่า ขณะเดียวกันก็มีการมองว่า คนพม่าบางคนก็อยู่มานานจนได้บัตรประชาชนไทย และบ้างก็บอกว่าเจ้าของแผงตัวจริงอาจจะเป็นคนไทย แต่ไปปล่อยให้คนพม่าเช่าขายต่อ 

ส่วนกรณีว่ามีเรียกเก็บส่วยคนพม่าจากเจ้าหน้าที่หรือไม่นั้น บรรดาเจ้าของร้านไม่ยืนยัน

เปิดผลสอบ 'ปิยะโสภิชา' อันดับ 1 แทน 'ครูเบญ' ติด 1 ใน 400 สนามครูอาชีวะ รอเรียกบรรจุอีก 1 สนาม

จากกรณี ครูเบญ หรือ น.ส.เบญญาภา สอบติดครู ได้อันดับที่ 1 แต่ผ่านไป 3 วันชื่อหาย และมีสาวอีกราย ‘ปิยะโสภิชา’ นามสกุลใหญ่ ปรากฏชื่อ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงประกาศผลการสอบตำแหน่งพนักงานราชการ สพม.สระแก้ว และชื่อ ครูเบญ หายไป จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (20 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความและผลสอบจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยผลสอบของ ‘ปิยะโสภิชา’ ที่สอบได้อันดับ 1 ในการประกาศครั้งที่ 2 แทนที่ของ ครูเบญ

โดยระบุว่า “จากข่าว น้องคนหนึ่งสอบครูติด อันดับ 1 ผ่านไป 3 วัน ชื่อหาย ขออย่าเพิ่งด่า น้องคนที่มาเสียบแทน เพราะเอาชื่อน้องไปเสิร์ชในกูเกิล น้องคนนี้ก็เก่งระดับหัวกะทิ..

“เพราะน้องสอบผ่าน ภาค ก. ภาค ข. สนามอาชีวะ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยากกว่า สพม.ที่เป็นข่าวนี้ น้องติด 1 ใน 400 คน จาก 10,000 คน น้องก็ไม่ธรรมดา รอตรวจสอบให้แน่ชัด ถ้าน้องใช้เส้นสายจริงค่อยด่า”

เรามาวิเคราะห์คร่าว ๆ ถึงความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นี้ บรรยายใต้ภาพ

1.ทำไมชื่อน้องคนแรกหายไปเลย เป็นไปได้มั้ย หายเพราะประกาศชื่อผิด เพราะเลขลำดับผู้เข้าสอบของน้องสองคนติดกันเลย เลข ๑๐๐๔๐๐๒๐ กับ ๑๐๐๔๐๐๒๑ มีโอกาสที่จะคีย์เลขท้ายผิดโดยไม่ทวนรายชื่อ ส่วนลำดับที่ 2-10 รายชื่อครบ แต่สลับอันดับกัน ตามคำชี้แจงที่บอกว่าเฉลยข้อสอบผิด

2.นามสกุลน้องคนที่มาเสียบ นามสกุลเดียวกับ ผอ.โรงเรียน ภาพที่แชร์มา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นน้องน่าจะเป็นครูอัตราจ้าง ปัจจุบันน้องคนนี้ยังไม่รู้จะได้ลงที่โรงเรียนนี้รึป่าว

3.น้องคนที่มาเสียบ สอบติดสนามอาชีวะ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยากกว่า สพม. รอสัมภาษณ์ภาค ค 

4.ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ เคยโพสไว้ เมื่อ 6 กันยา ว่าสนามนี้ยาก คนที่สอบผ่านคือ ระดับหัวกะทิ 

5.วิทยาศาสตร์ทั่วไป น้องติด 1 ใน 400+ คน

ต่อมาเฟซบุ๊กดังกล่าว ยังได้โพสต์ข้อความระบุว่า “แชร์กันไปมั่งสิ อันที่น้อง ปิยะโสภิชา เค้าสอบติด ปี 67 นี้ สอบติดรอเรียกบรรจุ 1 สนาม รอเรียก สัมภาษณ์ครูผู้ช่วยอาชีวะอีก 1 สนาม…

“ไปแชร์แต่อันที่เค้าสอบไม่ติด สนามนี้ใครสอบผ่านคือหัวกะทินะ พี่ไม่ได้พูดเอง เพจศูนย์สอบธรรมศาสตร์เป็นคนพูด แชร์ไปให้ถึง #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #สพมสระแก้ว”

ทั้งนี้ ในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะนัดแถลงข้อสรุปกรณี น.ส.เบญ ร้องขอความเป็นธรรมเรื่องการสอบครู หลังสอบติดพนักงานราชการทั่วไปอันดับที่ 1 เอกวิทยาศาสตร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว แต่ผ่านไป 3 วัน ปรากฏว่าชื่อของเธอหาย นั้น

ล่าสุด ทาง สพฐ.ขอเลื่อนการแถลงข่าวผลการสืบข้อเท็จจริงออกไปก่อน เนื่องจาก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ.และเลขาธิการ กพฐ.ประสงค์ให้ ครูเบญ ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย สพฐ.จึงขอเลื่อนการแถลงข่าวในวันนี้ออกไปก่อน ทั้งนี้ เมื่อครูเบญมีความพร้อม จะได้นัดหมายการแถลงข่าวร่วมกัน ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top