Saturday, 28 June 2025
NEWS FEED

‘นายกฯ’ กดปุ่ม ‘30 บาทรักษาทุกที่’ ตั้งเป้าปีนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ ย้อนความช่วง ‘ทักษิณ’ นั่งนายกฯ ชาวบ้านปลื้มผ่าตัดโรคหัวใจฟรี

(27 ก.ย. 67) ที่ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร และกล่าวปาฐกถา หัวข้อ ‘จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สู่ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า’

ทั้งนี้ มีนายภูมิธรรม เวชชัยรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี), นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, น.ส. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย, น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

นายชัชชาติ กล่าวว่า ในนามของกรุงเทพมหานครดีใจที่รัฐบาลมาสานต่อนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้าในพื้นที่กรุงเทพฯ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นหัวใจของการลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากหากประชาชน เจ็บป่วยก็ไม่สามารถทำงานหารายได้ได้ ก็จะเป็นวงจรให้เกิดความเหลื่อมล้ำ 

ทั้งนี้ กทม.มีโรงพยาบาลชั้นดีจำนวนมาก แต่ก็มีประชากรแฝงถึง 10 ล้านคน ขณะที่ ปัญหาสาธารณสุขไม่ได้น้อยกว่าจังหวัดอื่น หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นโครงการนี้สำคัญมาก ๆ โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ 

1. ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยง 
2. การเชื่อมโยงข้อมูลโรงพยาบาล
3. ระบบปฐมภูมิที่เข้มแข็ง อาทิ มีหน่วยสาธารณสุขนวัตกรรม ร้านขายยาที่ใกล้บ้าน ทำให้ประชาชนไม่ต้องตื่นมาตี 3 ตี 4 เพื่อไปรอคิวการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลใหญ่ นี่คือหัวใจของ 30 บาทซึ่งที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เป็นหัวใจที่จะสร้างความมั่นคง ความสะดวกและประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน นี่คือหัวใจพื้นฐาน ถ้าประชาชนมีสุขภาพดีจะช่วยกันในการพัฒนาประเทศต่อไป 

ขณะที่นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่มีเป้าหมายยกระดับบริการสุขภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้คนไทยได้รับบริการที่ดีครอบคลุมมีคุณภาพมีมาตรฐานที่ดีขึ้นการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยระยะแรกเดือนม.ค.2567 นำร่อง 4 จังหวัดระยะที่ 2 เดือนมี.ค.2567 เพิ่มเติม 8 จังหวัดและระยะที่ 3 เดือนพ.ค. 2567 เพิ่มเติมอีก 33 จังหวัดและวันนี้กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่ 46 ที่จะเริ่มนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ 

โดยกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายที่จะขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดภายในปีนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทั้งประเทศการคิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่  เพื่อช่วยให้ประชาชนในกรุงเทพฯไม่ว่าจะมีสิทธิ์บัตรทองที่จังหวัดใดเพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้าถึงการรับบริการสุขภาพได้ทั้งที่หน่วยบริการประจำตามเขตและหน่วยบริการระดับปฐมภูมิทุกแห่ง ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 19 แห่งศูนย์บริการสาธารณสุขสาขา 77 แห่งคลินิกชุมชนอีก 280 แห่ง รวมถึงสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการนวัตกรรมปฐมภูมิที่มีตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่

สำหรับหน่วยบริการนวัตกรรมปฐมภูมิ ได้แก่ ร้านยาคุณภาพคลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรมอบอุ่น คลินิกพยาบาลอบอุ่น เทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น

ด้านนายกฯ กล่าวว่า พูดถึง 30 บาทรักษาทุกโรคก็ทำให้เกิดภาพมากมาย ตนได้ยินนโยบายนี้มาตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบและไม่ว่าจะไปที่ไหน ๆ ผ่านมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี ก็ยังมีคนขอบคุณและพูดถึงนโยบายนี้เสมอ ซึ่งดิฉันเองมีประสบการณ์ดี ๆ หลายอย่าง ขอยกตัวอย่างสั้น ๆ วันหนึ่งคุณพ่อตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้กลับมาที่บ้านทานข้าวเย็นกันปกติ คุณพ่อบอกว่าไปต่างจังหวัดมามีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาหาและเปิดเสื้อมีแผลยาวตั้งแต่ด้านบน ถึงช่วงท้อง และบอกว่าได้ผ่าตัดหัวใจมาด้วยบัตร 30 บาทซึ่งคุณพ่อเล่าด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก ซึ่งวันนั้นคุณพ่อเป็นหัวหน้ารัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรี

“แต่เบื้องหลังการทำงานยังมีคนอื่นอีกมากมายที่ทำให้นโยบายนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ รวมถึงให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ 30 บาท ไม่ต้องล้มละลาย ไม่ต้องจ่ายเงินมากมาย กู้หนี้ยืมสินมาตั้งแต่ที่พรรคไทยเป็นรัฐบาลในวันนั้น จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยในวันนี้ เรามีความภูมิใจอย่างมากกับนโยบายที่สร้างความภาคภูมิใจอย่างที่สุดให้กับเรา ฉะนั้นมาถึงวันนี้ถึงเวลาแล้วเราจะต่อยอด 30 บาทรักษาทุกโรคให้เป็น 30 บาทรักษาทุกที่” นายยกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า เวลาผ่านไปมีนวัตกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เราได้เก็บตัวอย่างทั้งข้อดีและข้อเสียพร้อมที่จะปรับปรุง อย่างที่บอกผ่านมาแล้วตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ 23 ปีวันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่มาถึงกรุงเทพฯ ต้องลองถามพี่น้องคนกรุงเทพฯ เวลาเจ็บป่วยไปหาหมอที่ไหนกันบ้าง เวลาเจ็บป่วยเอาแค่ตัวร้อน ปวดท้องบางทีต้องเสียเวลาทั้งวันไปรอในโรงพยาบาลรัฐใหญ่ ๆ ถ้าพูดถึงบางคนที่มีทุนทรัพย์ไม่อยากไปรอทั้งวันก็ไปโรงพยาบาลเอกชนทั้งนี้ เรื่องสาธารณสุขสำคัญมาก คนที่มากรุงเทพฯไม่มีทางเลือก ไปที่ไหนก็ต้องไปโรงพยาบาลที่ต้องรอนาน บางทีไม่ได้รอ แค่ตัวเองคนเดียวญาติหรือคนที่พามาจะต้องเสียเวลาไปด้วยทั้งวัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นและพร้อมที่จะแก้ไขในโรงพยาบาลส่งเสริมในจังหวัดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ให้มีสาธารณสุขที่ได้ปรับปรุง ไปถึงจุดที่ค่อนข้างมากไม่ต้องมีโรงพยาบาลใหญ่เป็นทางเลือกเท่านั้น แต่สามารถจะไปลงโรงพยาบาลที่ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลได้ตามต่างจังหวัดที่มีถึง 7,000 แห่งและมีโรงพยาบาลประจำชุมชนและอำเภอมากกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ 

นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ถือว่ากรุงเทพฯ ยังขาดแคลนในเรื่องของบริการสาธารณสุขระดับต้นและระดับกลางมากกว่าต่างจังหวัด ซึ่งตอนนี้กรุงเทพฯ ควรมีศูนย์บริการสาธารณสุข 500 แห่ง และโรงพยาบาลชุมชน 50 แห่ง หากเราป่วยขั้นพื้นฐานและสามารถเข้าในคลินิกหรือร้านขายยาควรที่จะได้รับการรักษาในแบบเดียวกัน นั่นคือการได้รับยาที่มีคุณภาพ เพื่อที่สามารถดูแลตัวเองและเฝ้าระวังระยะการป่วยที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาที่โรงพยาบาลใหญ่ และบุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อเวลาที่เราป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูแลทั้งหมดเท่ากัน เพราะโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เองเหมาะสำหรับโรคที่เป็นเฉพาะทางและโรคที่ร้ายแรงอย่างเช่นโรคมะเร็ง หัวใจ หรือไต ต่อไปนี้คนเจ็บป่วยเล็กน้อยในกรุงเทพฯสามารถไปร้านขายยาใกล้บ้าน คลินิกเวชกรรมใกล้บ้าน ทันตกรรมใกล้บ้าน รถโมบายตรวจเลือดที่บางครั้งอาจจะมีการเข้าไปถึงชุมชน และเวลาขอเบิกยาหมอสามารถออนไลน์ถามอาการได้ เพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพกลับบ้านเช่นกัน 30 บาทรักษาทุกที่ให้บริการในทันที ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 

ทั้งนี้การดำเนินงานตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา 30 บาทรักษาทุกที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากและมีผลงาน 1 ใน 4 ของผู้ป่วยเลือกใช้บริการที่คลินิกเอกชนใกล้บ้านแทนการมาโรงพยาบาล เพื่อลดความแออัดลดระยะเวลาการรอตรวจ ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่สำคัญลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยเฉลี่ย 160 บาทต่อครั้งลดระยะเวลาในการรอถึง 50% จากเฉลี่ย 2 ชั่วโมงเหลือประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อรักษาใกล้บ้านก็จะลดภาระการขาดงานของผู้ป่วยและญาติที่มาด้วยกัน

“ที่สำคัญพี่น้องประชาชนผู้เข้ารับบริการกว่า 98% พึงพอใจกับนโยบายนี้อย่างมาก 30 บาทรักษาทุกที่เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยตอนแรกเริ่มใน 4 จังหวัดนำร่องและขยายนโยบายครอบคลุมเพิ่มเติมไปอีก 41 จังหวัดรวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดและวันเดียวกันนี้ จะเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ทางด้านสาธารณสุขไทยที่ต้องบันทึกไว้ว่าเราทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐและรัฐบาลสภาวิชาชีพทางการแพทย์ หน่วยบริการภาคเอกชนและประชาชน ได้ร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้กรุงเทพฯอยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่” น.ส.แพทองธาร กล่าว

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สุขภาพดีเริ่มที่ใกล้บ้านได้สำเร็จ ทำให้ 30 บาทรักษาทุกที่ ขยายเป็น 46 จังหวัดเรียบร้อย อยากขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยมั่นใจได้ว่าภายในปี 2567 รัฐบาลจะสามารถขยาย 30 บาทรักษาทุกที่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วบนประเทศไทย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ดูแลและขอย้ำอีกครั้ง สำหรับคนกรุงเทพฯ สามารถดูสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่และเข้าไปใช้บริการได้ทันที

จากนั้นนายกฯเยี่ยมชมบูธเกี่ยวกับสุขภาพ ภายในงาน โดยนายกฯ เน้นย้ำขอให้ดูแลกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษในพื้นที่น้ำท่วม

'ศปช.' ยัน!! ไม่มีพายุใหญ่ถล่มไทย ทำน้ำท่วมหนักซ้ำปี 54 เผย!! หลายพื้นที่ของไทย เตรียมเข้าปลายฝนต้นหนาวแล้ว

(27 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) กล่าวว่า ตามที่มีข่าวลือผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า อีก 5 วันจะเกิดพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ที่รุนแรงกว่า ‘ยางิ’ และจะเคลื่อนตัวเข้าเวียดนาม ผ่านลาว เข้าไทย และจะส่งผลให้กรุงเทพฯ จะเจอน้ำท่วมหนักกว่าปี 54 ถึงสองเท่านั้น

ศปช. ได้ตรวจสอบข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา และส่วนราชการอื่น ๆ ใน ศปช.แล้ว ยืนยันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีพายุขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย มีเพียงพายุโซนร้อน ชื่อ ‘ซีมารอน’ (CIMARON) ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นและอ่อนกำลังลง ไม่มาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน โดยฝนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงนี้เกิดจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุม จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะแรก ๆ จากนั้นจะลดลงและเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวในประเทศไทย

ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหาและเยียวยาพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยนั้น นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้รวดเร็ว ลดขั้นตอน โดยได้รับรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า จะสามารถจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ จ.ลำปาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบภัยลำดับต้น ๆ ได้ในช่วงสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนก่อน ซึ่งหากมีความเสียหายอื่น ๆ ก็จะเร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีบ้านพังเสียหายทั้งหลัง จะได้รับเงินช่วยเหลือ 230,000 บาทต่อหลัง และในกรณีเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือ 50,000 บาท

“ที่ประชุม ศปช.ได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความช่วยเหลือที่รวดเร็วเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด” นายจิรายุ ระบุ

ผู้ประกอบการไนท์บาซาร์ครวญ น้ำท่วมทำเจ็บหนัก เซ็ง!! หน่วยงานรู้ว่าจะท่วมแต่ไม่เห็นช่วยป้องกัน

(27 ก.ย. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 26 ก.ย. หลายพื้นที่ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงถูกน้ำท่วมเนื่องจากน้ำในแม่น้ำปิงล้นตลิ่ง แม้ว่าระดับน้ำในแม่น้ำปิงจะเริ่มค่อย ๆ ลดลงแล้ว หลังจากที่ขึ้นสูงสุด 4.93 เมตร เมื่อเวลา 02.00 น. โดยที่ย่านไนท์บาซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการค้าสำคัญ ที่ถูกน้ำไหลเข้าท่วมตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้นั้น ในวันนี้น้ำยังคงท่วมสูง 50-80 เซนติเมตร ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้าและร้านอาหาร รวมทั้งโรงแรมที่พักกว่า 200 ราย ที่ส่วนใหญ่ต่างจำเป็นต้องปิดร้านและหยุดให้บริการชั่วคราว

ทั้งนี้ผู้ประกอบการหลายราย สะท้อนปัญหาว่า แม้จะมีการแจ้งเตือน แต่การช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ จากหน่วยงานรัฐยังไม่ดีพอ โดยตั้งข้อสังเกตว่าในเมื่อคาดการณ์ว่าน้ำจะไหลเข้าท่วมย่านไนท์บาซาร์ แต่ทำไมถึงไม่ได้มีการเตรียมการป้องกันใด ๆ อย่างเช่นนำกระสอบทรายมาช่วยสนับสนุนเพื่อให้วางกั้นป้องกันไว้ล่วงหน้า เพราะน้ำท่วมในครั้งนี้แต่ละร้านต่างต้องดูแลตัวเองและต้องไปรับกระสอบทรายที่มีการตั้งจุดเตรียมไว้ห่างไกล โดยหลังจากน้ำลดแล้วอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย เพราะไม่เพียงต้องขาดรายได้จากการปิดร้าน แต่ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมฟื้นฟูร้านอีกด้วย

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในจุดต่าง ๆ นั้น ยังคงขยายวงกว้างไหลเข้าท่วมในจุดลุ่มต่ำรัศมีกว่า 1 กิโลเมตรจากแนวริมตลิ่งแม่น้ำปิง โดยที่บริเวณสถานีรถไฟเชียงใหม่ถูกน้ำท่วมเช่นกัน แต่ยังคงให้บริการผู้โดยสารด้วยการจัดรถบัสรับจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานีลำปาง เนื่องจากทางรถไฟช่วงระหว่างลำพูน-ลำปาง ถูกน้ำป่าซัดขาดเมื่อหลายวันก่อนจนต้องปิดเส้นทางช่วงดังกล่าวชั่วคราว ซึ่งหากผู้โดยสารรายใดที่ซื้อตั๋วไว้แล้วและต้องการยกเลิก ทางการรถไฟจะคืนเงินให้เต็มจำนวน

ด้านนายอัฏฐวิชย์ นาควัชระ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 กล่าวว่า หาก วันนี้ (27 ก.ย. 67) ไม่มีฝนตกลงมาเพิ่ม จะสามารถระบายมวลน้ำที่เอ่อท่วมในบางพื้นที่ของตัวเมืองเชียงใหม่ กลับลงไปในแม่น้ำปิงได้แล้ว เพราะมวลน้ำก้อนใหญ่ได้ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ไปแล้ว ส่วนมวลน้ำที่ล้นอาคารระบายน้ำล้นฉุกเฉินของเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ซึ่งขณะนี้ล้นออกไปแล้วประมาณ 30 เซนติเมตร จะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำปิงอย่างแน่นอน เนื่องจากระดับน้ำจากต้นน้ำในอำเภอแม่แตงและอำเภอเชียงดาวลดลงไปมากแล้ว

'ทูตจีน' แจง TEMU กำลังจดทะเบียนจัดตั้งในไทยอย่างเป็นทางการ วอนเชื่อมั่น!! จีนไม่นิ่งเฉย เพื่อความร่วมมือการค้า 'ไทย-จีน' เชิงบวก

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และคณะ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาแนวทางการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ไทย-จีน

โดยได้มีการหารือถึงความกังวลในเรื่องของสินค้าจีน ที่ทะลักเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งทางจีนรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยหารือกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรปล่อยไว้ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่าไม่อยากให้รู้สึกว่าจีนเป็นผู้ร้าย และหลังการอภิปราย ตนได้ติดต่อกับทางสถานทูตจีน

ตนได้ติดต่อกับทางสถานทูตจีน ซึ่งจีนรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกัน เพื่อหาทางออก และหาทางขยายความร่วมมือทางการค้า และการลงทุนระหว่างกันให้ได้เพิ่มขึ้น เพราะไทย และจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และจะต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์จีนเองก็คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะยิ่งโตมากขึ้น ไทยจึงต้องร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ของสองประเทศ

“ไม่อยากให้รู้สึกว่าจีนเป็นผู้ร้าย ซึ่งไทย และจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ถ้าเรามีช่องทางที่ดีเขายินดีให้ความร่วมมือ อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และกับทุกประเทศที่เข้ามา เราจะมีมาตรฐานในการตรวจสอบสินค้า ทั้ง มอก. / อย. ซึ่งจะใช้บังคับกับทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะจีน ทางจีนยินดีทำตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลสุขภาพความปลอดภัยของประชาชนคนไทย” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอให้ทางจีนนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดการขาดดุล ซึ่งในรายละเอียดการนำเข้าสินค้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนที่เราเอาไปผลิต และขายต่อ เป็นสัดส่วนหลายแสนล้าน ซึ่งเราอยากเห็นการลงทุนจากจีนใน EEC มากขึ้น ขณะนี้ทางจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดแซงญี่ปุ่น และได้เชิญชวนให้มาลงทุนในไทย โดยเฉพาะสินค้าประเภท เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) มากขึ้น จะเกิดการจ้างงานอีกเป็นจำนวนมาก ช่วยยกระดับรายได้คนไทย

รวมทั้งขอให้จีนเปิดช่องทางให้สินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์ม e-Commerce จีนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีการจัดงาน International Live Commerce Expo 2024 ‘มหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซนานาชาติ 2567’ ที่นำอินฟลูฯ จีน มาไลฟ์ขายสินค้าไทย ที่สามย่านมิตรทาวน์ 25 - 29 ก.ย.67 นี้ เมื่อวานวันเดียวขายได้ถึง 320 ล้านบาท คาดว่าจะทะลุ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงการค้าของโลก และไทยก็จะเพิ่มปริมาณอินฟลูฯ ในการขายสินค้ามากขึ้น เพื่อขายสินค้าไปจีน และได้หารือเรื่องการลงทุน และการท่องเที่ยวที่ผ่านมา 7-8 เดือนแรกปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยแล้วถึง 5 ล้านคน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีปริมาณถึง 8 ล้านคน เป็นรายได้หลักของไทย

นอกจากนี้ได้ขอให้ทางจีนช่วยรับซื้อสินค้าเกษตรจากไทย เพราะประชากรจีนเยอะสามารถรองรับสินค้าเกษตรจากไทยได้มาก ซึ่งทางจีนยินดี อยากให้ทางจีนช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลในไทยรองรับเทคโนโลยีด้วย และช่วยส่งเสริมนโยบายของรัฐเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เช่น ภาพยนตร์ ล่าสุดเรื่อง หลานม่า ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และจีน

นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้ประชาชนชาวไทยมองเห็นได้ว่าความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย จะนำมาซึ่งโอกาสการพัฒนาให้กับคนไทย ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้น ซึ่งจีนยินดีที่จะแบ่งปันโอกาสการพัฒนา และผลประโยชน์ให้กับคนไทย ยินดีให้ไทยใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ไปจำหน่ายสินค้าไทย

เรื่องการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย ทางจีนกับไทยเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พยายามหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม หามาตรการมาควบคุมจัดการ ไม่อยากให้ไปเหมารวมความร่วมมือการค้าการลงทุนในเชิงลบ ทำลายผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และขอชื่นชมรัฐบาลไทย และกระทรวงพาณิชย์ที่มีท่าทีถูกต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา คำนึงภาพรวมการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน

ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์ TEMU นั้น ขณะนี้ บริษัท TEMU ได้รับทราบกฎระเบียบ และข้อร้องต่าง ๆ ทาง TEMU กำลังประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทย และกำลังจัดตั้งบริษัท และลงทะเบียนอย่างเป็นทางการที่ไทย ยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมให้ถูกต้องตามมาตรฐาน และกฎหมายของไทย

'สคบ.' ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด ร้านทองออนไลน์ 'หลอกลวงประชาชน' ด้าน 'ผู้ค้าออนไลน์-อาหารเสริม' งานเข้าด้วย!! จ่อถูกขยายผล

(26 ก.ย. 67) กลุ่มผู้เสียหายกรณีซื้อทองออนไลน์ แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ เข้าพบขอความเป็นธรรมกับ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  

ด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า สคบ.มีหน้าที่ กำกับดูแลเรื่องสินค้าและบริการ กรณีของการซื้อทอง ที่พบว่านำทองไปขายที่อื่นแล้วไม่ได้ราคา และมีผู้มาร้องเรียน ว่าได้รับความเสียหายจำนวนมาก ทาง สคบ. จึงตั้งคณะทำงาน และลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านทอง ตรวจฉลากและเก็บตัวอย่างทองไปตรวจ โดยส่งไปที่สถาบันอัญมณี ว่าเป็นไปตามโฆษณาว่าเป็นทอง 99.99% หรือไม่ และจะทราบผลภายใน 3 วันนี้ หากทราบผลแล้วไม่ตรงตามที่โฆษณา ก็จะมีความผิด ขอให้ผู้เสียหายทุกคนมั่นใจว่า เราตรวจสอบเข้มข้น หากพบผิดไม่ละเว้น โดย สคบ. ทำงานร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดูแลเรื่องการเยียวยาหรือคืนทอง และบังคับใช้กฎหมายให้รัดกุม ยืนยันว่า สคบ.ทำงานเต็มที่ และพร้อมดูแลทุกคน และเปิดพื้นที่รับฟังผู้เสียหายและ ประเด็นอื่นที่เกิดในโลกออนไลน์   

น.ส.จิราพร กล่าวว่า นอกจากนั้นจะตรวจสอบการขายสินค้าชนิดอื่นของแม่ค้าคนดังกล่าวด้วย เพราะ สคบ. ต้องดูเรื่องฉลากและการโฆษณา ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และอาจจะไม่ใช่ดูแค่รายนี้ ต้องดูรายอื่นที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขอให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาร้องต่อ สคบ.ได้ และทาง สคบ. ได้เชิญเจ้าของร้านมาให้ข้อมูลในวันที่ 27 กันยายนนี้ รอการตอบรับกลับมา และในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เสียหายมาให้ข้อมูลอีกครั้ง และสั่งการไปแล้วว่าให้เรื่องนี้จบโดยเร็วที่สุด  

"ไม่ต้องกลัว เพราะเรามีทั้ง ปคบ. ตำรวจ ยินดีที่จะดูแลคุ้มครองประชาชน หากพบว่ามีความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และถึงที่สุด" น.ส.จิราพร กล่าว 

ด้านตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย กล่าวว่า อยากให้ สคบ. ช่วยเข้ามากำกับดูแลการขายของออนไลน์ ทั้งเรื่องของการกำหนดราคา และน้ำหนักของทอง เนื่องจากคนที่ไปซื้อต้องการเก็บไว้เพื่อขายในอนาคต แต่กลับนำไปขายไม่ได้ รวมถึงให้ดูแลเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องการออมทอง และการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนเชื่อถือ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีทำให้ประชาชนหลงเชื่อ เพราะผู้ซื้อบางคนก็อาจจะไม่ทันกับเทคโนโลยี ในระหว่างที่มีการขายออนไลน์ และขอฝากถึงประชาชนให้ป้องกันสิทธิ์ของตัวเอง ออกมาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เพื่อให้คนที่ทำความผิดหรือเอาเปรียบผู้บริโภค ควรต้องคืนสิทธิ์ให้กับประชาชน

'กัน จอมพลัง' เผย!! รถขุดช่วยน้ำท่วม โดนจับด่านชั่งน้ำหนัก โดนค่าปรับ-มีคดีติดตัว ตัดพ้อ!! ต่อไปใครจะกล้าช่วย

(26 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊กของ กันจอมพลัง ช่วยสู้ ได้โพสต์เรื่องราวน่าเห็นใจหลังจากที่ ‘รถขุด’ ดินโคลนที่เดินทางไปช่วยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ล่าสุดได้โพสต์ภาพและข้อความว่า…

"Fc ทักมาขอให้ผมช่วยพี่รถขุด ที่เดินทางไปช่วยขุดดินที่เชียงราย ระหว่างเดินทางกลับถูกด่านชั่งน้ำหนักจังหวัดพะเยา ของกรมทางหลวงจับกุม ฐานรถน้ำหนักเกิน พร้อมส่งดำเนินคดีและถ้าจะประกันตัวและรถต้องใช้หลักทรัพย์กว่า 320,000 หลังจากประกันต้องไปศาลต่อเพื่อจ่ายค่าปรับและมีคดีติดตัว เคสนี้ผมรับปากช่วย ผมจะจ่ายค่าปรับให้เอง ส่วนรถขุดคันอื่น ๆ ที่มาช่วยขุดดินออกจากเชียงรายแล้ว ขากลับโดนจับน้ำหนักเกิน ผมจะช่วยจ่ายค่าปรับให้ทั้งหมด

สิ่งที่ผมห่วงต่อไป ใครจะกล้ามาช่วยเชียงรายช่วยแล้วต้องมีคดีติดตัวแล้วขากลับรถขุดจะกลับกันยังไง

(เคสนี้ไม่ใช่ตำรวจที่เป็นต้นจับนะครับ กรมทางหลวงของกระทรวงคมนาคม เป็นคนจับมาส่งครับแล้วข้างรถก็แขวนป้ายช่วยน้ำท่วมอยู่ก็ยังโดน) " 

กัน จอมพลัง ยังบอกอีกว่า "ผมอยู่หน้างานทุกวัน ผมโคตรสงสารคนทำงานเลย ทุกคนเต็มที่ทุ่มเทจริง ๆ แต่นี่หรอคือสิ่งตอบแทนที่คนมาช่วยได้รับ สงสารคนช่วย สงสารชาวบ้าน "

'ดร.ธรณ์' โพสต์!! รอให้ทางการวิเคราะห์และพยากรณ์มาก่อน หลังข่าวว่อนเตือน อีก 5 วัน พายุใหญ่ ซัดกทม.ท่วมหนักกว่า ปี 54

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'เดชา นฤนารท' ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือน ระบุว่า อีก 5 วันจะเกิดพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ ถล่มไต้หวันแบบชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรุนแรงมาก แรงกว่าพายุยางิถึงสองเท่า และหากพายุลูกนี้เคลื่อนตัวเข้าเวียดนามและเข้าประเทศไทยทางฝั่งภาคเหนือตอนบน อาจจะลุกลามมาถึง กรุงเทพฯ จนอาจเกิดน้ำท่วมหนักกว่าปี 54 ถึงสองเท่านั้น

ล่าสุด (26 ก.ย.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า...

"หลายท่านสอบถามมา ขออธิบายว่า พายุยังไม่ได้เกิดเลย เกิดแล้วแรงแค่ไหนก็ไม่รู้ ไปทิศทางไหนก็ยังบอกไม่ได้ รอให้หน่วยงานเป็นทางการวิเคราะห์และพยากรณ์มาก่อน ค่อยมาพูดคุยกันนะครับ ยุคโลกเดือดสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ต้องใจเย็นและรับฟังข่าวสารให้ดีครับ"

‘BCPG’ ชวนน้องๆ ร่วมกิจกรรม ‘มือเปื้อนโคลน เพื่อป่าชายเลน ปี 2’ เพิ่มแหล่งดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ บรรเทาปัญหาโลกร้อน

(26 ก.ย. 67) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) โดยคุณชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการลงทุน พี่ ๆ อาสาบีซีพีจี พร้อมด้วยน้อง ๆ จากโรงเรียนโคกสำโรงวิทยา จังหวัดลพบุรี โรงเรียนในพื้นที่โรงไฟฟ้าของบริษัทฯ จำนวนรวมกว่า 80 คน ร่วมปลูกป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว แหล่งดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไชด์ให้กับโลก ลดความรุนแรงของปัญหาโลกร้อน ในกิจกรรม ‘มือเปื้อนโคลน เพื่อป่าชายเลน ปี 2’ ณ อำเภอคลองโคน จังหวัดสมุทรสงคราม

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและชะลอผลกระทบที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง การจัดกิจกรรม ‘มือเปื้อนโคลน เพื่อป่าชายเลน ปี 2’ เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อีกทั้งป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ยังสามารถเสริมสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน และส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงยุทธการ 'ปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า' ระดมกำลังตำรวจไทย 16 วัน รวบผู้ต้องหากว่า 2,000 คน

(26 ก.ย.67) ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ซึ่งนโยบายข้อที่ 9 กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์” 

ปัจจุบันคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ 'คดีออนไลน์' มีสถิติการรับแจงความประมาณ 1,000 เรื่องต่อวัน คนร้ายมีการพัฒนารูปแบบและกลโกงที่แปลกใหม่และหลากหลาย ส่งผลใหประชาชนได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จากสถิติในระบบรับแจ้งความออนไลน ห้วงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 สิงหาคม 2567 (รวม 2 ปี 6 เดือน) มีผู้เสียหายแจงความประมาณ 6 แสนเรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยคดีประเภทหลอกลวงซื้อขายสินคา เป็นคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) จัดทำ “โครงการสืบสวนหาข่าวในยุทธการปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า” โดยระดมกำลังตำรวจทั้งนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , ตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการระดมกวาดล้างจับกุมผู้องหาตามหมายจับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10-27 กันยายน 2567 (รวม 18 วัน) ตามนโยบายของรัฐบาล 

วันนี้ (26 กันยายน 2567) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. จึงได้เรียกประชุมหน่วยงานในสังกัด ตร. เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ , ธนาคารแห่งประเทศไทย , ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และร่วมแถลงผลการปฏิบัติร่วมกัน ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังในทุกมิติ ทั้งด้านการปRองกันปราบปราม การสืบสวนสอบสวน การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไข ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ Anti Online Scam Operation Center หรือศูนย์ AOC) ซึ่งบูรณาการการทำงานแบบ One Stop Service และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย รวมทั้งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง สำหรับการระดมกวาดล้างในยุทธการ 'ปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า' สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิด ในความผิด 3 ประเภท โดยมีผลการระดมกวาดล้างจับกุมในห้วงวันที่ 10-25 กันยายน 2567 (รวม 16 วัน) สรุปได้ดังนี้

- ความผิดในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีประเภทต่างๆ จับกุมได้รวม 874 ราย 
- ความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า จับกุมได้รวม 544 ราย 
- ความผิดการพนันออนไลน์ จับกุมได้รวม 690 ราย 
สำหรับซิมผี และบัญชีม้า ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่คนร้ายใช้ในการหลอกลวงและรับโอนเงินจากเหยื่อ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ตรวจสอบการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัญชีธนาคารของตนเองอย่างจริงจัง ดังนี้

หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ขอให้ท่านตรวจสอบว่า หากเคยลงทะเบียนใช้งานไว้ แต่ไม่ได้ใช้งาน หรือเคยให้ผู้อื่นนำไปใช้ หรือสงสัยว่าจะมีผู้อื่นนำไปใช้ ขอให้รีบไปแจ้งยกเลิกการใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวกับศูนย์บริการเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์ หากไม่แนใจหรือจำไม่ได้ว่าท่านใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ไว้กี่เลขหมาย ขอให้ไปแจ้งกับศูนย์บริการ ว่าท่านขอใช้เฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ที่อยูกับตัวท่าน และใช้งานจริงอยูในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนหมายเลขอื่นๆ ที่มีชื่อท่านเป็นผู้ลงทะเบียนแต่ท่านไม่ได้ใช้งาน ขอให้ศูนย์บริการยกเลิกการให้บริการหมายเลขดังกล่าวทั้งหมด

บัญชีธนาคาร ขอให้ทำการตรวจสอบในลักษณะคล้ายกัน คือ หากเคยเปิดบัญชีธนาคารไว้แตไม่ได้ใช้ หรือเคยให้ผู้อื่นนำไปใช้ หรือสงสัยว่าจะมีผู้อื่นนำไปใช้ ขอให้รีบไปปิดบัญชีดังกล่าวกับธนาคารเจ้าของบัญชี สาขาที่ท่านสะดวก หากไม่แนใจหรือจำไม่ได้ว่าท่านได้เปิดบัญชีไว้กี่บัญชี ขอให้ไปแจ้งกับธนาคารว่าท่านขอใช้เฉพาะบัญชีธนาคารที่อยู่กับตัวท่าน และใช้งานจริงอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น สวนบัญชีอื่น ๆ ที่อาจจะมีชื่อท่านเป็นเจ้าของบัญชีแต่ไม่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขอให้ธนาคารปิดบัญชีดังกล่าวทั้งหมด

หากทำการตรวจสอบกับศูนย์บริการเครือข่ายโทรศัพท์ หรือธนาคารแล้ว ยังไม่สามารถดำเนินการยกเลิกการใช้ หรือปิดบัญชีได้โดยเหตุต่างๆ ขอให้ท่านไปที่สถานีตำรวจที่สะดวก เพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า ท่านได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ และบัญชีธนาคารที่แท้จริงในปัจจุบันเป็นนหมายเลขหรือบัญชีใด เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันกระทำความผิดในข้อหาเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า และความผิดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และขอย้ำเตือนว่าอย่าได้หลงเชื่อผู้ให้ผลตอบแทนในการเปิดซิมผีและบัญชีม้า เพราะท่านอาจจะตกเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดและได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งมีอัตราโทษกำหนดไว้ดังนี้

ความผิดเกี่ยวกับ 'ซิมผี'   
- ยินยอมให้ผู้อื่นนำหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเองไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
 - เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อซื้อขายหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนผู้ใช้งานไว้แล้ว มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาทถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดเกี่ยวกับ 'บัญชีม้า'
- เปิดบัญชี หรือยินยอมให้ผู้อื่นนำบัญชีของตนเองไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 - เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อซื้อขาย ให้เช่า หรือให้ยืมบัญชี เพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า อย่างจริงจังต่อเนื่อง และจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกในเดือนต่อๆ ไป

ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ เพื่อรู้เท่าทันภัยออนไลน์ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาทิ www.เตือนภัยออนไลน์.com , เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ตำรวจไซเบอร์-บช.สอท. , ตำรวจสอบสวนกลาง, สืบนครบาล IDMB เป็นต้น และหากพี่น้องประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในคดีออนไลน์ หรือต้องการคำปรึกษา หรือสอบถามเกี่ยวกับคดีออนไลน์ ขอให้โทรติดต่อที่สายด่วน 1441 ของศูนย์ AOC ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทีมบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนพลอีกครั้ง..จัดทีม 'ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงใหม่'

(26 ก.ย. 67) พร้อมกระจายเครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทีมอาสาฯ 'ช่วยเหลือชาวลำปาง' !! และเปิดลานสักการะหลวงปู่ฯ ระดมเจ้าหน้าที่-จิตอาสาแพ็กถุงยังชีพฉุกเฉิน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ตามที่ในหลายจังหวัดของภาคเหนือยังคงเกิดอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดลำปางที่ทีมอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งกำลังอยู่ระหว่างการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ขณะนี้ ล่าสุดได้เกิดเหตุน้ำปิงล้นตลิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ บางพื้นที่รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ วานนี้ (วันพุธที่ 25 กันยายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมคณะกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เร่งสั่งการให้

นายวรพจน์ จรัสเศรษฐสิริ รักษาการผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ จัดกำลังทีมกู้ชีพ-กู้ภัย พร้อมอุปกรณ์ตอบโต้ภัยพิบัติ ยานพาหนะกู้ภัย กู้ชีพโฟวิล [4x4] โรงครัวเคลื่อนที่ เครื่องอุปโภคบริโภค ชุดยาสามัญประจำบ้าน ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวเชียงใหม่ในทันที โดยมี หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการ และโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุก ณ วัดกองทราย อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในขณะนี้ ทีมบรรเทาสาธารณภัย อยู่ระหว่างการอพยพประชาชน รวมถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในพื้นที่ประสบภัย อาทิ ตำบลท่าวังตาล และตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้แผนกอาสาสมัครมูลนิธิฯ ระดมสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคสมทบอาสาฯ กู้ภัย ซึ่งในขณะนี้ได้จัดกำลังพร้อมเรือท้องแบนลงพื้นที่จังหวัดลำปาง เร่งเข้าช่วยเหลืออพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2567 เป็นต้นมา และได้จัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ประกอบอาหารปรุงสุกบรรจุกล่องพร้อมน้ำดื่มนำแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

และในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2567) ที่ลานสักการะหลวงปู่ไต้ฮง ฝั่งสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ นำโดยนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย จัดระดมทีมเจ้าหน้าที่  และจิตอาสาหน่วยงานในเครือ เร่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค และชุดยาสามัญประจำบ้าน บรรจุถุงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  จัดเป็น “ถุงยังชีพฉุกเฉิน” เพื่อจัดส่งให้ทีมบรรเทาสาธารณภัยนำออกแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ  สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ  ทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และที่กองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป 

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่มีความประสงค์จะบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ แผนกบริจาคสัมพันธ์ รวมทั้ง ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org  เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/pohtecktungofficial

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรวมพลังส่งต่อธารน้ำใจสู้ภัยน้ำท่วม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top