Saturday, 28 June 2025
NEWS FEED

งานแถลงข่าว การจัดกิจกรรม โครงการเดิน-วิ่ง การกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 'Police Run II 2024'

(26 ก.ย. 67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ได้ร่วมกันแถลงข่าว งานแถลงข่าว การจัดกิจกรรมโครงการเดิน-วิ่งการกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 “ Police Run II 2024 ” ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรายละเอียดการจัดกิจกรรม ดังนี้

สมาคมตำรวจ กำหนดจัดกิจกรรมโครงการเดิน-วิ่งการกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 “ Police Run II 2024 ” ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 เวลา 04.00-08.00 น. 
โดยมีระยะทางการแข่งขันทั้งสิ้น 3 ระยะทาง 

1) ฮาล์ฟ-มาราธอน 21 กม. ค่าสมัคร 800 บาท จำนวน 700 คน 
2) มินิ-มาราธอน 10.5 กม. ค่าสมัคร 600 บาท จำนวน 1,000 คน  
3) เดินวิ่งเพื่อสุขภาพ 5 กม. ค่าสมัคร 500 บาท จำนวน 800 คน 
4) ประเภทวีไอพี ค่าสมัคร 2,000 บาท  

โดยมีจุดเริ่มต้นและเส้นชัย ณ ลานอเนกประสงค์สะพานพระราม 8 (ฝั่งธนบุรี) เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างตำรวจ และประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน มอบให้แก่

1.โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลน
2.สมาคมตำรวจ
2.1 เป็นกองทุนสำหรับการสงเคราะห์ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศ ข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บสาหัส ทุพพลภาพ
2.2 เป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ถูกฟ้องร้องในทางอาญา อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
2.3 เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับบุตรธิดาข้าราชการตำรวจที่มีฐานะยากจน

ทั้งนี้ ผู้ที่มีความประสงค์จะให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมการแข่งขันครั้งนี้ 
สามารถบริจาคเงินแบบไม่เข้าร่วมกิจกรรมได้  โดยสามารถโอนเงินตรงได้ที่  “ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาโรงพยาบาลตำรวจ ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์” บัญชีเลขที่ 981-0-80457-1 และผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน สามารถดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Police Run II 2024 https://www.facebook.com/policerunbangkok/ และสมัครออนไลน์ได้ที่ https://www.regis.run/race/policerun2024/ ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 ตุลาคม 2567

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม 'โครงการอาสาตาจราจร'

(26 ก.ย.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณชลทิชา สัตยมานะ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนกรกฎาคม 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 10 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการอาสาตาจราจร เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีผลประจักษ์ชัด ได้รับความสนใจจากภาคประชาชน ร่วมส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มโครงการ ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง 

สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด 

เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร  รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง  ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน เรื่องการปรับเป็นพินัยที่เกี่ยวข้องกับการจราจร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายจราจรมีการเปลี่ยนแปลง 2 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรกคือ อายุความของใบสั่งจราจรเปลี่ยนแปลงจากเดิมอายุความ 1 ปี เปลี่ยนเป็นอายุความ 2 ปี มีผลกับใบสั่งฯที่ออกตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ประเด็นที่สอง ผู้ที่ได้รับใบสั่งแล้วไม่ชำระเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องนำใบสั่งนั้นทำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาลทุกราย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทุกท่านปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้อง

‘กลุ่มไทยออยล์’ ร่วมผลักดันวงการกีฬาคนพิการสู่ระดับสากล มอบเงินสนับสนุน ‘สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย’

(26 ก.ย. 67) กลุ่มไทยออยล์ โดยคุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ เป็นตัวแทนมอบเงินสนับสนุนให้กับสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโอกาสงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ที่ผ่านการแข่งขันมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 17 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่อาคารอเนกประสงค์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีคุณไมตรี คงเรือง นายกสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาคนพิการไทย

การสนับสนุนในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งในความตั้งใจของกลุ่มไทยออยล์ในการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจต่อสังคม ผ่านการสนับสนุนโอกาสทางการกีฬาแก่นักกีฬาผู้พิการไทย และพัฒนาศักยภาพนักกีฬาคนพิการให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ตามวิสัยทัศน์องค์กร ‘สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน’

ชลบุรี-ศุลกากรแหลมฉบัง จับกัญชา กว่า 1.4 ตัน เลี่ยงภาษีส่งออกมูลค่ากว่า 25 ล้าน

(26 ก.ย. 67) นายดิเรก คชารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการเร่งป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า ส่งออก นำผ่าน สินค้าผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องสังคมและเพื่อภาพลักษณ์ทางการค้าในเวทีการค้าโลก ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมศุลกากร เข้มงวดกวดขันเรื่องดังกล่าว โดยนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการลักลอบ - หลีกเลี่ยงศุลกากร เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง โดยบูรณาการด้านการข่าวอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศ อาทิ โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติด ในพื้นที่ท่าเรือ (SeaportInterdiction Task Force : SITF) โครงการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ (UNODC-WCO Container Control Programme: CCP) หน่วยงานกิจการพรมแดนแห่งสหราชอาณาจักร (UK Border Force) เป็นต้น

นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีฯ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานในกำกับดูแล มีมาตรการในการป้องกันและปราบปรามสกัดกั้นสินค้าผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบอย่างเคร่งครัด นายดิเรก คชารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เปิดเผยว่า จากการประสานงานกับโครงการความมือระหว่างประเทศและหน่วยงานในต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและตาม สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลใบขนสินค้าขาออก พบของต้องสงสัยสุ่มเสี่ยงที่จะส่งออกสินค้าผิดกฎหมาย ระบุปลายทางสหราชอาณาจักร จำนวน 2 ฉบับ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการแจ้งกักสินค้าเพื่อทำการเปิดตรวจสอบ ก่อนส่งออกไปนอกราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่ฯ ร่วมกับตัวแทนผู้ส่งออก เปิดตรวจสอบสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก ฉบับที่ 1 สำแดงชนิดสินค้าเป็นพื้นยางสำหรับใช้ในฟิตเนส จำนวน 3 พาเลท ตรวจสอบพบกล่องไม้ตัดแปลงภายในสินค้าทั้ง 3 พาเลท บรรจุช่อดอกกัญชา จำนวน 153.30 กิโลกรัม มูลค่า 5 ล้านบาทต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่ฯ ร่วมกับตัวแทนผู้ส่งออก เปิดตรวจสอบสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก ฉบับที่ 2 สำแดงชนิดสินค้าเป็นถุงมือผ้า จำนวน 4 ลังไม้ ตรวจสอบพบกัญชาและช่อดอกกัญชาอัดแท่ง ช่อดอกกัญชา และกัญชามวน น้ำหนัก 1.3 ตัน มูลค่า 20 ล้านบาท

กรณีนี้ เป็นการพยายามส่งของที่กำลังผ่านพิธีการศุลกากร ออกไปนอกราชอาณาจักร โดยสำแดงชนิดของ ปริมาณ น้ำหนักและประเภทพิกัดเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด อันเป็นความผิดฐานแสดงข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วนและฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัดตามมาตรา 202 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 อนึ่ง "พืชตระกูลกัญชา" จัดเป็นสมุนไพรควบคุม โดยผู้ใดประสงค์จะศึกษาวิจัย ส่งออก หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า จะต้องได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และในกรณีนี้ สำหรับสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นประเทศปลายทาง "กัญชาจัดเป็นยาเสพติด" (Class B drups) ดังนั้น การครอบครอง จำหน่าย ผลิต นำเช้าหรือส่งออกกัญชา ถือเป็นความผิด กรณีครอบครอง มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่จำกัดจำนวนวน หรือทั้งจำทั้งปรับส่วนกรณีจำหน่าย ผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีโทษจำคุกคุกสูงสุด 14 ปี ปรับไม่จำกัดจำนวน หรือทั้งจำทั้งจำทั้งปรับ

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

'สมัชชาคนพิการแห่งชาติ' จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ภายใต้แนวทาง "ร่วมกันสร้างพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ"

เมื่อวันที่ (23 ก.ย.67) ณ ห้องประชุมเรสซิเดนซ์ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ได้มีพิธีเปิดงานสมัชชาคนพิการแห่งชาติและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ภายใต้แนวทาง "ร่วมกันสร้างพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ" โดยมี นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมบริหารสมาคมฯ เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ และมีการแสดงพิธีเปิด

- ชุดแสดง 'เภรีมีชัย' โดยวงดนตรีอรุณจันทรา สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม(ไทย)
- ชุดแสดง 'แตร๊ดตรึง' และ 'การแสดงละครหุ่นยนต์ โรงงานมหาภัย มหาสนุก' โดยสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย
- กิจกรรมรำลึกนายมณเฑียร บุญตัน อดีตนายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย โดยสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และรับฟังบทเพลง 'แสงเทียนนำทาง' โดยศูนย์พัฒนาดนตรีคนตาบอด

กิจกรรมการอภิปรายแลกเปลี่ยน "การร่วมกันเสริมพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ" และรับฟังความเห็น 

กิจกรรมเสวนาเรื่อง 'ผลการดำเนินงานของสภาคนพิการทุกประเภทประจำจังหวัด' โดยผู้แทนสภาคนพิการทุกประเภทประจำจังหวัด 77 จังหวัด 

สำหรับในวันที่ 24 กันยายน  2567 ณ ห้องประชุมเรสซิเดนซ์ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ  สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยได้จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 โดยได้มีการเลือกตั้งนายกและคณะกรรมการบริหาร รวมถึงกรรมการอำนวยการของสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย มีการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี 

ทั้งนี้ นายวิทยุต บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และมีกรรมการบริหาร ซึ่งมาจากองค์การคนพิการทุกสมาคม จำนวน 30 คน โดยได้ผ่านการรับรองจากประธานสภาคนพิการจังหวัดในงานสมัชชาคนพิการแห่งชาติในครั้งนี้ด้วย

‘พิพัฒน์’ ระดมทีมช่างฝีมือแรงงาน ทั่วภาคเหนือ ซ่อมฟรี! ระบบใช้ไฟฟ้าในบ้าน มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยบรรเทาผู้ประสบอุทกภัยเชียงราย

เมื่อวันที่ (25 ก.ย. 67) เวลา 10.30น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และนางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงราย เจ้าหน้าที่เครือข่ายแรงงาน ได้มีโอกาสลงพื้นที่ หมู่3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ในชุมชนทวีรัตน์นี้ มีประมาณ 720 ครัวเรือน ที่ผ่านมาประสบอุทกภัยน้ำท่วมสูงกว่า 2เมตร ซ้ำร้ายกว่านั้นยังมีดินโคลนจำนวนมากไหลเข้าสู่บ้านเรือน และยังคงตกค้าง เมื่อสถานการณ์น้ำลดลงแล้ว ทำให้ ระบบไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ ยังคงได้รับความเสียหาย กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่ยังคงต้องประกอบอาชีพ ดูแลครอบครัว ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งในวันนี้ ผมได้นำทีมช่างฝีมือของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ภาคเหนือในจังหวัดลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ บูรณาการร่วมกับเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่เชียงราย วางแผนการช่วยเหลือในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งเบื้องต้นได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่ประชาชน พร้อมทั้งซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า และให้ความรู้เบื้องต้นสำหรับการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องทุกคน ซึ่งตั้งเป็นศูนย์แจ้งรับซ่อมฟื้นฟูจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 5 แห่ง ตลอดเดือนตุลาคม2567 ในจังหวัดเชียงราย

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานส่งมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่มกว่า 90,000 ขวด ข้าวสาร อาหารแห้ง เวชภัณฑ์ บรรจุถุงยังชีพ นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว ทั้งภาคเหนือ และ ภาคอีสาน  ซึ่งยังคงเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งสิ่งของและความรู้ในการซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้น ประชาชนที่ประสงค์ขอความช่วยเหลือซ่อมแซมอุปกรณ์   ขอให้แจ้งหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัด ได้ทันที 

ด้านของนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงรายจัดตั้งจุดบริการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสอบถามจุดบริการเพิ่มเติมได้ที่  053152043

สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะฯ ทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์

เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.67) ที่ผ่านมาที่อาคารรัฐสภาฯ นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา ,รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาฯ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ แก่นายโกสินธุ์ จินาอ่อน ( บก.เบียร์ ) ผู้ผลิตรายการ โฟกัสผู้นำรายการเปิดฟ้าช่อง5 บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ๔ เหล่าทัพ 

โดยในวันนี้โกสินธ์ จินาอ่อน(บก.เบียร์)เข้าเยี่ยมคารวะแสดงความยินดีกับท่าน สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม ที่ได้รับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภา พร้อมคณะที่ปรึกษาฯ สว. ร่วมเป็นสักขีพยานฯ ในการนี้ สว.สรชาติ (กล่าวว่า) รู้สึกดีใจที่ได้ทีมงานที่มีพร้อมที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน และขอให้ทำงานสุดความสามารถโดยขอมอบหมายให้ทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ ในด้านนโยบายและกิจกรรม ในทุกๆ ด้าน กับส่วนที่เกี่ยวข้อง ของวุฒิสภาและทางกรรมาธิการฯ ยังความปลื้มปิติแก่นายโกสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับมอบหมายให้ปฎิบัติหน้าที่และภารกิจนี้

คำถามชวนถก "ผู้บริโภคคิดอย่างไร? คิดค่าจอดรถหน้าเซเว่น-เก็บค่าถุงพลาสติก" ทัวร์ลงฉ่ำ!! เป็นสิทธิของเจ้าของที่และทุกค่าถุงจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อน

(25 ก.ย. 67) จากกรณีเพจ 'สภาองค์กรของผู้บริโภค' ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า "ผู้บริโภคคิดอย่างไร คิดค่าจอดรถหน้า 7-11 ก่อนหน้านี้ ไม่ให้ถุงพลาสติกเพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ปัจจุบันมีถุงพลาสติกขายให้ผู้บริโภค" นั้น

ล่าสุดโลกโซเชียลที่ได้พบเห็นข้อความดังกล่าว ก็มีความเห็นเป็นมติเอกฉันท์ถึงเรื่องนี้ อาทิ...

- "บางทีก็สมควร เพราะเห็นบ่อยมากพวกจอดรถที่เซเว่นแล้วไปธุระที่อื่น"

- "15 นาทีแรกสำหรับคนมาจอดรถฟรี ก็ถ้าคนซื้อของจริง ๆ ใครมันจะเดินเล่นในเซเว่นเป็นชั่วโมงล่ะฮิ อยากด่าเขาก็หามุมที่เข้าท่ากว่านี้หน่อยเหอะ"

- "พื้นที่จอดรถก็เป็นของเอกชนเขา ถ้าไม่ซื้อของเขา ก็ควรถูกเก็บเงินบ้าง ไม่แปลกอะไร ส่วนเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ก็โอเคกันนะ ต่างประเทศเขาก็ทำกัน"

- "ถุง 1 บาท เค้าจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อนนะ"

- "คนไทยพอเจอกฎเกณฑ์ ก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้"

- "ที่เขาทำแบบนี้ เพราะบางคนจอดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน ลูกค้าจะเข้าไปซื้อของแต่ไม่มีที่จอด ในห้างใหญ่ ๆ เขาก็ทำกัน"

- "ถ้าจะไม่พอใจการกระทำของ 7-11 คุณลองไปดูสถานที่ราชการที่เก็บค่าจอดรถบ้างครับ เช่นที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองหลังเก่า นำเอาที่ลานจอดรถมาบริการให้ประชาชนไปจอด แต่เก็บค่าที่จอดรถคิดเป็นรายชั่วโมง ประเด็นมันคือ สถานที่ราชการที่นำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ควรจะบริการประชาชนฟรี แล้วนี่กลับเก็บเงินค่าที่จอดรถกับประชาชนอย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้องครับ ส่วนของ 7-11 นี้ ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขานะครับ เพราะที่ดินนั้นมันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เขาจะดำเนินการอย่างไรก็แล้วแต่เขา เขามีเหตุผลของเขาครับ"

- "คาบ้าน มติเอกฉันท์"

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’ ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียว มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2032

(25 ก.ย. 67) ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ นายอริณชย์ ทองแตง (น้องอิน) และ ด.ญ.อริสา ทองแตง (น้องเอม) สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในน้ำ’ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังให้รัก ห่วงแหน และเห็นความสำคัญของธรรมชาติ โดยเริ่มต้นโครงการ ‘Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)’ เชิญชวนทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 70% 

จากนั้นก็เริ่มมีโครงการที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Net Zero @อัมพวา: บอกลาคาร์บอน กู้วิกฤตโลกร้อน โครงการปลูกกล้า ป้องแผ่นดิน ปลูกต้นโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ที่จังหวัดสมุทรสงคราม และ โครงการ ‘ปะ ปลา ยูน หญ้า @เกาะหมาก’ จ.ตราด เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา น้องอิน น้องเอม และพวกพ้อง กลุ่ม Below the Tides ได้เข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ หลังได้รับเกียรติร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Corban Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของรัฐสภา และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ที่ห้องประชุมมนา B1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ และ Live Stream ผ่านระบบอินทราเน็ตสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ก่อนเริ่มงาน นายวันนอร์ กล่าวว่า “เราจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดคาร์บอน และแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกที่กำลังเดือด ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยประเทศไทยเห็นชัด ฉะนั้น ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ทำให้โลกสีเขียวเป็นเรื่องสำคัญ โดยวันนี้เราจะประกาศเจตนารมณ์ของสภาฯ ที่จะให้เป็นสภาฯ สีเขียว”

ทางด้าน สองพี่น้องอิน-เอม กล่าวว่า Below the Tides ได้รับเกียรติให้เป็นเยาวชนกลุ่มเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อรัฐสภาไทยประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ภายในปี 2032 พวกเราได้รับโอกาสอันทรงเกียรติในการนำเสนองานของเราต่อผู้แทนที่มีเกียรติหลายท่าน รวมถึงประธานรัฐสภา ท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ และผู้แทนถิ่นของ UNDP ประจำประเทศไทย คุณเนียมห์ คอลเลียร์-สมิธ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย 

“นอกจากนี้ เรายังรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่มูลนิธิพอเพียง ซึ่งมีเครือข่ายนักเรียนกว่า 10 ล้านคน แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับเรา มาร่วมกันทำความดีและสร้างความเปลี่ยนแปลงกันเถอะ” สองพี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ กล่าว

'เด็กจุฬาฯ' 3 นิ้ว ติดป้ายป่วนมหาลัยฯ กล้องพร้อมจับภาพนิ่ง-เคลื่อนไหว หลังหนังสือโจมตี 'กองทัพ' ถูกสั่งห้ามจัดงานเปิดตัวในรั้วมหาลัยฯ

(25 ก.ย. 67) จากกรณี กอ.รมน.ออกมาท้วงติง หนังสือที่มีชื่อว่า 'ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย' ที่เขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เพราะมีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด พิจารณาเรื่องการละเมิดข้อบังคับจริยธรรม ของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

งานนี้สะเทือนถึงต้นสังกัด อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องออกมาเคลื่อนไหวทันที โดยล่าสุด รศ.ดร.พวงทอง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ดิฉันได้รับทราบจากท่านคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ จัดงานเปิดตัวหนังสือ 'ในนามความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมไทยของกองทัพ' โดยไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 66

ส่วนคณะรัฐศาสตร์ ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในการจัดงานครั้งนี้ และภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังยินดีเป็นเจ้าภาพจัดงานต่อไป จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม คณะรัฐศาสตร์ไม่สามารถให้ใช้สถานที่ได้ เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถือว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมดในรั้วจุฬาฯ สอนเรื่องกระจายอำนาจการปกครองไปทำไม

รศ.ดร.พวงทอง ระบุอีกว่า ขอขอบพระคุณอย่างสูง ต่อผู้บริหารของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ยินดีให้พื้นที่เสรีภาพแก่งานวิชาการ ที่ตกเป็นเป้าของอำนาจรัฐ ทั้ง ๆ ที่รับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่ ที่แสดงความยินดีให้เราใช้สถานที่ได้ แต่เราติดต่อกับทางบ้านจิมเรียบร้อยก่อนแล้ว และการเดินทางมาบ้านจิม ก็ค่อนข้างสะดวก จึงขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มา ณ ที่นี้ด้วย ย้ายแค่สถานที่ แต่เวลาเดิม ศุกร์ที่ 27 กันยายน 15.30-17.30 น. แล้วพบกันค่ะ รศ.ดร.พวงทอง ทิ้งท้ายด้วยว่า ประเทศที่เสรีภาพทางวิชาการ เป็นเรื่องตลก
.
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไท ได้เปิดเผยว่า ช่วง 11.20 น. ที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 1 คน ได้ทำกิจกรรมแปะป้ายเรียกร้องเสรีภาพวิชาการ ในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่คณะรัฐศาสตร์ หน้าอาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยไม่ให้ใช้สถานที่จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มดังกล่าว

โดยมีการนำป้ายกระดาษที่ระบุข้อความว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ = Fake News ผลิตโดยจุฬาฯ’ / ‘เสรีภาพทางวิชาการกี่โมง’ / ‘ผู้บริหารจุ เป็นอะไรกับทหาร’ ติดที่ป้ายคณะรัฐศาสตร์ แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อพนักงานมหาวิทยาลัย ได้รีบเข้ามาดึงป้ายกระดาษดังกล่าวออกไปทันที พร้อมนำโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของนิสิตดังกล่าวที่มาทำกิจกรรมป่วน และสอบถามว่าอยู่คณะอะไร แต่เจ้าตัวไม่ฟัง และยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยได้ไปติดป้ายกระดาษที่อาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งระหว่างการติดป้ายข้อความดังกล่าว จะเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถ่ายภาพตลอดเวลา ส่วนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอ

นิสิตคนดังกล่าว อ้างว่า ที่ทำกิจกรรมนี้ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่เพราะว่ามหาวิทยาลัย ควรจะเป็นสถานที่จะจัดงานวิชาการแบบนี้ได้ จุฬาฯ ไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเสรีภาพการแสดงออก แล้วเธอก็ยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ก่อนหน้านี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ออกมาแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมจะต้องให้มีอิทธิพลเหนือผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่คณะรัฐศาสตร์ก็ยังอนุญาตให้จัดได้ แต่ทำไมทางมหาวิทยาลัย กลับเข้ามาแทรกแซงการทำงานของคณะ

ทั้งนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่า รศ.ดร.พวงทอง ได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์คลิปข่าวดังกล่าวของประชาไท พร้อมระบุแคปชันว่า “ขอบคุณนิสิตมากๆ ค่ะ ด้วยความนับถือ”

อย่างไรก็ตาม เพจ 'นักเรียนดี' ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ด้วยว่า "ล่าสุด!! จุฬาฯ ไฟเขียวให้ใช้พื้นที่จัดงานเสวนาหนังสือ ฟ้าเดียวกัน 'ในนามของความมั่นคงภายใน' ได้ อธิการบดีจุฬาฯ ยันมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top