Saturday, 28 June 2025
NEWS FEED

คำถามชวนถก "ผู้บริโภคคิดอย่างไร? คิดค่าจอดรถหน้าเซเว่น-เก็บค่าถุงพลาสติก" ทัวร์ลงฉ่ำ!! เป็นสิทธิของเจ้าของที่และทุกค่าถุงจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อน

(25 ก.ย. 67) จากกรณีเพจ 'สภาองค์กรของผู้บริโภค' ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า "ผู้บริโภคคิดอย่างไร คิดค่าจอดรถหน้า 7-11 ก่อนหน้านี้ ไม่ให้ถุงพลาสติกเพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ปัจจุบันมีถุงพลาสติกขายให้ผู้บริโภค" นั้น

ล่าสุดโลกโซเชียลที่ได้พบเห็นข้อความดังกล่าว ก็มีความเห็นเป็นมติเอกฉันท์ถึงเรื่องนี้ อาทิ...

- "บางทีก็สมควร เพราะเห็นบ่อยมากพวกจอดรถที่เซเว่นแล้วไปธุระที่อื่น"

- "15 นาทีแรกสำหรับคนมาจอดรถฟรี ก็ถ้าคนซื้อของจริง ๆ ใครมันจะเดินเล่นในเซเว่นเป็นชั่วโมงล่ะฮิ อยากด่าเขาก็หามุมที่เข้าท่ากว่านี้หน่อยเหอะ"

- "พื้นที่จอดรถก็เป็นของเอกชนเขา ถ้าไม่ซื้อของเขา ก็ควรถูกเก็บเงินบ้าง ไม่แปลกอะไร ส่วนเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ก็โอเคกันนะ ต่างประเทศเขาก็ทำกัน"

- "ถุง 1 บาท เค้าจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อนนะ"

- "คนไทยพอเจอกฎเกณฑ์ ก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้"

- "ที่เขาทำแบบนี้ เพราะบางคนจอดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน ลูกค้าจะเข้าไปซื้อของแต่ไม่มีที่จอด ในห้างใหญ่ ๆ เขาก็ทำกัน"

- "ถ้าจะไม่พอใจการกระทำของ 7-11 คุณลองไปดูสถานที่ราชการที่เก็บค่าจอดรถบ้างครับ เช่นที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองหลังเก่า นำเอาที่ลานจอดรถมาบริการให้ประชาชนไปจอด แต่เก็บค่าที่จอดรถคิดเป็นรายชั่วโมง ประเด็นมันคือ สถานที่ราชการที่นำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ควรจะบริการประชาชนฟรี แล้วนี่กลับเก็บเงินค่าที่จอดรถกับประชาชนอย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้องครับ ส่วนของ 7-11 นี้ ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขานะครับ เพราะที่ดินนั้นมันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เขาจะดำเนินการอย่างไรก็แล้วแต่เขา เขามีเหตุผลของเขาครับ"

- "คาบ้าน มติเอกฉันท์"

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’ ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียว มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2032

(25 ก.ย. 67) ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ นายอริณชย์ ทองแตง (น้องอิน) และ ด.ญ.อริสา ทองแตง (น้องเอม) สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในน้ำ’ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังให้รัก ห่วงแหน และเห็นความสำคัญของธรรมชาติ โดยเริ่มต้นโครงการ ‘Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)’ เชิญชวนทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 70% 

จากนั้นก็เริ่มมีโครงการที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Net Zero @อัมพวา: บอกลาคาร์บอน กู้วิกฤตโลกร้อน โครงการปลูกกล้า ป้องแผ่นดิน ปลูกต้นโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ที่จังหวัดสมุทรสงคราม และ โครงการ ‘ปะ ปลา ยูน หญ้า @เกาะหมาก’ จ.ตราด เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา น้องอิน น้องเอม และพวกพ้อง กลุ่ม Below the Tides ได้เข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ หลังได้รับเกียรติร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Corban Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของรัฐสภา และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ที่ห้องประชุมมนา B1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ และ Live Stream ผ่านระบบอินทราเน็ตสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ก่อนเริ่มงาน นายวันนอร์ กล่าวว่า “เราจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดคาร์บอน และแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกที่กำลังเดือด ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยประเทศไทยเห็นชัด ฉะนั้น ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ทำให้โลกสีเขียวเป็นเรื่องสำคัญ โดยวันนี้เราจะประกาศเจตนารมณ์ของสภาฯ ที่จะให้เป็นสภาฯ สีเขียว”

ทางด้าน สองพี่น้องอิน-เอม กล่าวว่า Below the Tides ได้รับเกียรติให้เป็นเยาวชนกลุ่มเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อรัฐสภาไทยประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ภายในปี 2032 พวกเราได้รับโอกาสอันทรงเกียรติในการนำเสนองานของเราต่อผู้แทนที่มีเกียรติหลายท่าน รวมถึงประธานรัฐสภา ท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ และผู้แทนถิ่นของ UNDP ประจำประเทศไทย คุณเนียมห์ คอลเลียร์-สมิธ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย 

“นอกจากนี้ เรายังรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่มูลนิธิพอเพียง ซึ่งมีเครือข่ายนักเรียนกว่า 10 ล้านคน แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับเรา มาร่วมกันทำความดีและสร้างความเปลี่ยนแปลงกันเถอะ” สองพี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ กล่าว

'เด็กจุฬาฯ' 3 นิ้ว ติดป้ายป่วนมหาลัยฯ กล้องพร้อมจับภาพนิ่ง-เคลื่อนไหว หลังหนังสือโจมตี 'กองทัพ' ถูกสั่งห้ามจัดงานเปิดตัวในรั้วมหาลัยฯ

(25 ก.ย. 67) จากกรณี กอ.รมน.ออกมาท้วงติง หนังสือที่มีชื่อว่า 'ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย' ที่เขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เพราะมีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด พิจารณาเรื่องการละเมิดข้อบังคับจริยธรรม ของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

งานนี้สะเทือนถึงต้นสังกัด อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องออกมาเคลื่อนไหวทันที โดยล่าสุด รศ.ดร.พวงทอง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ดิฉันได้รับทราบจากท่านคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ จัดงานเปิดตัวหนังสือ 'ในนามความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมไทยของกองทัพ' โดยไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 66

ส่วนคณะรัฐศาสตร์ ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในการจัดงานครั้งนี้ และภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังยินดีเป็นเจ้าภาพจัดงานต่อไป จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม คณะรัฐศาสตร์ไม่สามารถให้ใช้สถานที่ได้ เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถือว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมดในรั้วจุฬาฯ สอนเรื่องกระจายอำนาจการปกครองไปทำไม

รศ.ดร.พวงทอง ระบุอีกว่า ขอขอบพระคุณอย่างสูง ต่อผู้บริหารของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ยินดีให้พื้นที่เสรีภาพแก่งานวิชาการ ที่ตกเป็นเป้าของอำนาจรัฐ ทั้ง ๆ ที่รับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่ ที่แสดงความยินดีให้เราใช้สถานที่ได้ แต่เราติดต่อกับทางบ้านจิมเรียบร้อยก่อนแล้ว และการเดินทางมาบ้านจิม ก็ค่อนข้างสะดวก จึงขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มา ณ ที่นี้ด้วย ย้ายแค่สถานที่ แต่เวลาเดิม ศุกร์ที่ 27 กันยายน 15.30-17.30 น. แล้วพบกันค่ะ รศ.ดร.พวงทอง ทิ้งท้ายด้วยว่า ประเทศที่เสรีภาพทางวิชาการ เป็นเรื่องตลก
.
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไท ได้เปิดเผยว่า ช่วง 11.20 น. ที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 1 คน ได้ทำกิจกรรมแปะป้ายเรียกร้องเสรีภาพวิชาการ ในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่คณะรัฐศาสตร์ หน้าอาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยไม่ให้ใช้สถานที่จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มดังกล่าว

โดยมีการนำป้ายกระดาษที่ระบุข้อความว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ = Fake News ผลิตโดยจุฬาฯ’ / ‘เสรีภาพทางวิชาการกี่โมง’ / ‘ผู้บริหารจุ เป็นอะไรกับทหาร’ ติดที่ป้ายคณะรัฐศาสตร์ แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อพนักงานมหาวิทยาลัย ได้รีบเข้ามาดึงป้ายกระดาษดังกล่าวออกไปทันที พร้อมนำโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของนิสิตดังกล่าวที่มาทำกิจกรรมป่วน และสอบถามว่าอยู่คณะอะไร แต่เจ้าตัวไม่ฟัง และยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยได้ไปติดป้ายกระดาษที่อาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งระหว่างการติดป้ายข้อความดังกล่าว จะเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถ่ายภาพตลอดเวลา ส่วนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอ

นิสิตคนดังกล่าว อ้างว่า ที่ทำกิจกรรมนี้ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่เพราะว่ามหาวิทยาลัย ควรจะเป็นสถานที่จะจัดงานวิชาการแบบนี้ได้ จุฬาฯ ไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเสรีภาพการแสดงออก แล้วเธอก็ยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ก่อนหน้านี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ออกมาแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมจะต้องให้มีอิทธิพลเหนือผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่คณะรัฐศาสตร์ก็ยังอนุญาตให้จัดได้ แต่ทำไมทางมหาวิทยาลัย กลับเข้ามาแทรกแซงการทำงานของคณะ

ทั้งนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่า รศ.ดร.พวงทอง ได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์คลิปข่าวดังกล่าวของประชาไท พร้อมระบุแคปชันว่า “ขอบคุณนิสิตมากๆ ค่ะ ด้วยความนับถือ”

อย่างไรก็ตาม เพจ 'นักเรียนดี' ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ด้วยว่า "ล่าสุด!! จุฬาฯ ไฟเขียวให้ใช้พื้นที่จัดงานเสวนาหนังสือ ฟ้าเดียวกัน 'ในนามของความมั่นคงภายใน' ได้ อธิการบดีจุฬาฯ ยันมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพ"

‘สุริยะ’ เผย!! รถไฟเส้นทางสายเหนือเปิดให้บริการแล้ว หลังเร่งเข้าซ่อมแซมเส้นทางที่เสียหายตลอด 24 ชม.

(25 ก.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้การรถไฟฯ เข้าดำเนินการซ่อมแซมทางรถไฟที่ได้รับความเสียหายอย่างเร่งด่วน เพื่อกลับมาให้บริการแก่ประชาชนให้สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุดนั้น ล่าสุดทางการรถไฟฯ สามารถซ่อมแซมทางที่เสียหายได้สำเร็จ และพร้อมกลับมาเปิดเดินรถเส้นทางสายเหนือตั้งแต่สถานีลำปาง-เชียงใหม่ได้ตามปกติแล้ว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การรถไฟฯ เร่งระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรเข้าดำเนินการซ่อมแซมทางรถไฟที่ได้รับความเสียหายอย่างเร่งด่วนตลอด 24 ชั่วโมง โดยทำการปักรางเหล็ก เพื่อป้องกันดินสไลด์เพิ่มเติม พร้อมนำดินและหินมาเกลี่ยอัดลงใต้พื้นทางให้เต็มจนเสมอระดับทาง จากนั้นจะใช้หน่วยรถบีบอัดหินอีกครั้ง เพื่อเสริมความมั่นคงของทางรถไฟ พร้อมกับทำการตรวจสอบสภาพทางเพื่อความปลอดภัย ก่อนกลับมาเปิดให้บริการเดินรถในเส้นทางสายเหนือได้ตามปกติอีกครั้ง

ขณะที่นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ประกาศงดเดินขบวนรถ ระหว่างสถานีลำปาง-เชียงใหม่เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุดินสไลด์บริเวณหน้าปากทางเข้าอุโมงค์ขุนตาน และน้ำป่าเซาะหินรองรางระหว่างสถานีแม่ตานน้อย-ขุนตาน-ทาชมภู นั้น ขณะนี้พร้อมกลับมาเปิดเดินรถได้ตามปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมดูแลการเดินทางของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ และเตรียมแผนป้องกัน ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางรถไฟเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถด้วย 

สำหรับผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง

‘คนไทย’ ขอบคุณรัฐ จัด ‘เงินหมื่น’ ยื่นโอกาสกระตุ้นจับจ่าย พร้อมใจแห่กดเงินหน้าตู้ ด้าน ‘ผู้สูงอายุ’ ตื่นเต้นจนเป็นลม

(25 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานที่บริเวณหน้าตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย สาขาท่ามะเขือ-คลองขลุง ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ประชาชนกลุ่มแรกที่ได้รับเงินหมื่น ได้เดินทางมารอกดเงินสด 10,000 บาท กันตั้งแต่เช้าโดยเงินก็ทยอยเข้าบัญชีของผู้พิการและผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกันอย่างต่อเนื่อง โดยบางรายยังสับสนอยู่ว่าตนเองได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับธนาคารใดกันแน่ ก็ขับรถวนไปวนมาเพื่อเช็กยอดเงินในแต่ละธนาคาร ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำอยู่หน้าธนาคาร 

ทั้งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินในวันนี้ ต่างพากันดีใจที่รัฐบาลทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ โดยส่วนใหญ่จะนำไปซื้อข้าวสารอาหารแห้ง จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ พร้อมนำเงินไปซ่อมแซมต่อเติมบ้านที่ชำรุด และนำเงินไปใช้หนี้ที่หยิบยืมมา นับว่าเป็นวันโชคดีของหลายคนที่ได้เงินครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่บอกว่าจะกดเงินทั้งหมดออกจากบัญชีเพื่อไปใช้จ่ายทันที โดยบางรายตื่นเต้นจนเป็นลมต้องหยิบยาดมขึ้นมาดมระหว่างรอกดเงินหน้าตู้ ATM

นางจำเนียร เงินงาม อายุ 50 ปี ผู้พิการชาวบ้าน ม.4 ต.วังบัว อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า เมื่อตนได้เงินแล้วจะนำไปซื้อของใช้ในครัวเรือนตุนเก็บไว้ในบ้านตนดีใจมากที่รัฐบาลได้แจกเงิน 10,000 บาทครั้งนี้

นางแมค วงษ์มี อายุ 64 ปี ผู้พิการ ชาวบ้าน ม.4 ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า หลังจากที่ตนได้เงินแล้วจะนำไปซื้อข้าวสารและหม้อหุงข้าวเนื่องจากหม้อหุงข้าวเสียพอดี โดยจะกดเงิน 10,000 บาทออกจากบัญชีทั้งหมด ซึ่งสามีก็ป่วยติดเตียงก็ได้รับเงินเช่นเดียวกันดีใจมากที่ได้เงินจากรัฐบาลที่ให้สัญญาไว้

นางบุญ สาระอุม อายุ 74 ปี คนพิการชาวบ้าน ม.1 ต.วังยาง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า หลังจากได้เงินแล้วตนจะนำไปซื้อข้าวสาร ของใช้ในบ้านที่จำเป็น จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าปุ๋ย รู้สึกดีใจมากที่ได้เงินจากรัฐบาลก้อนนี้ ซึ่งก็จะกดเงินทั้งหมดทันที โดยวันนี้ตนได้มารอตั้งแต่เช้าและขอให้คนอื่นช่วยกดเงินให้

นางฉะลอ คำสิงค์ อายุ 61 ปี คนพิการชาวบ้าน ม.2 ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า ตนให้ลูกสาวพามาต่อแถวกดเงินที่หน้าตู้ตั้งแต่เช้า ซึ่งหากได้เงินแล้วจะนำไปต่อท่อประปาภายในบ้านและซ่อมแซมต่อเติมบ้านที่ชำรุด ซึ่งตนตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้เงิน 10,000 บาท จนเป็นลมเมื่อเช้าที่บ้านไป 1 รอบ ไม่คิดว่าจะได้เงินจากรัฐบาลก้อนนี้จริง ๆ ดีใจอย่างมากจนเป็นลมรอบ 2 หน้าธนาคาร อยากขอบคุณนายกฯ อุ๊งอิ๊งที่เข้ามาช่วยเหลือคนยากคนจนคนพิการครั้งนี้

เปิดเวที ชำแหละ แก้ไข พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551

(25 ก.ย. 67) กมธ.ภาคสังคม ค้านตัวแทนธุรกิจแอลกอฮอล์เป็นกรรมการนโยบาย ถ้าให้โฆษณาได้ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ดันเพิ่มรับผิดทางแพ่งขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ย้ำมุ่งเศรษฐกิจและท่องเที่ยว ได้ไม่คุ้มเสีย  ทำลายนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ท้ายสุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป ด้านบอร์ด สสส.เผย ทีดีอาร์ไอชี้ชัดรายได้เพิ่มจากภาษี 150,000 ล้านไม่คุ้มกับต้นทุนทางสังคมที่เสียไป 170,000 ล้านบาท  

เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 25 กันยายน 2567 ณ ห้องบุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมยอรัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมการ์ตูนไทย เครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมเสวนาหัวข้อ "ชำแหละแก้ไข พ.ร.บ.แอลกอฮอล์...ก้าวหน้าหรือล้าหลัง" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)  นายธีรภัทร์  คหะวงศ์  ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง ผู้ดำเนินรายการ The Leader Insight FM 96 เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ประธานเปิดการประชุมกล่าวถึง ความชุกของการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยที่สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจทุก 3 ปีว่า ข้อมูลล่าสุดในปี 2564 พบว่าประชากรวัย 15 ปีขึ้นไปจำนวน 15.96 ล้านคนหรือร้อยละ 28.0 เป็นนักดื่ม โดยเพศชายดื่มมากสุดจำนวน 12.77 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ46.46 และพบว่าวัยทำงานตอนต้นอายุ 25-44 ปีคิดเป็นร้อยละ 36.53 เป็นนักดื่มประจำ ส่วนนักดื่มหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปีมีจำนวน 1,381,449 คน คิดเป็นร้อยละ 5.95 เมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นแล้วแม้จะน้อยกว่าแต่ถ้าเราไม่ป้องกันหรือทำให้ลดจำนวนลงนักดื่มหน้าใหม่เหล่านี้จะกลายเป็นนักดื่มประจำและดื่มหนักต่อไปในอนาคต

บอร์ดสสส.กล่าวต่อว่าการผลักดันของพรรคการเมืองในการเสนอแก้ไขร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551ที่จะกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในเดือนตุลาคม 2567 นี้ จะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ทั้งป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าที่เป็นนักดื่มหนัก ตัวเลขจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI ระบุว่าปี 2565 ธุรกิจแอลกอฮอล์สร้างรายได้จำนวน 600,000 ล้านบาท ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากแอลกอฮอล์มากถึง 150,000 ล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็สร้างต้นทุนทางสังคมทั้งเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ อาชญากรรมถึง 170,000 ล้านบาท กลายเป็นว่าจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่างบประมาณที่นำแก้ปัญหาผลกระทบถึง 20,000 ล้านบาท  ดังนั้นการแก้กฎหมายเปิดช่องให้ขายและดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นจึงเป็นความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์แน่นอน จึงหวังว่านักวาดการ์ตูนที่มาร่วมงานวันนี้เมื่อรับรู้ข้อมูลแล้วจะช่วยกันสื่อสารสู่สังคมเพื่อป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าไปพร้อมกัน

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. กล่าวว่า ร่างกฎหมายที่รับหลักการมี 5 ร่าง รวมทั้งร่างที่ตนกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 92,978 คน เป็นผู้เสนอ สาระสำคัญคือจะแก้ไขให้เหลือคณะกรรมการระดับชาติเพียงชุดเดียว มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีความพยายามเพิ่มฝ่ายธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นกรรมการด้วย ส่วนคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดจะมีทั้งในกทม. และระดับจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีการเพิ่มสัดส่วนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาเด็กและเยาวชนในจังหวัด มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจในบางเรื่องไปที่คณะกรรมการจังหวัด ส่วนเรื่องการควบคุมนั้น มาตรา 29 ห้ามขายให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และคนเมาที่ครองสติไม่ได้ โดยเพิ่มการตรวจบัตร เพิ่มการรับผิดทางแพ่งหากขายให้คนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและผู้นั้นไปก่อเหตุให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย มาตรา 30 อาจพิจารณาให้ขายผ่านเครื่องขายอัตโนมัติที่สามารถยืนยันตัวผู้ซื้อได้ และมาตรา 31 การควบคุมสถานที่ดื่มส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ

ส่วนประเด็นการควบคุมการโฆษณานั้นนายธีรภัทร์ กล่าวว่า ตามมาตรา 32 ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่เป็นการกระทำโดยผู้ผลิตผู้นำเข้าหรือผู้ขาย เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด โดยอย่างน้อยต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาดังต่อไปนี้ หนึ่ง การให้ข้อมูลข่าวสารความรู้หรือประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ มาตรฐาน ส่วนประกอบหรือแหล่งกำเนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่มีลักษณะการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สอง เป้าหมายต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี สาม ใช้ช่องทางการสื่อสารที่แพร่หลายหรือประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้โดยสะดวก สี่ ไม่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณอันเป็นเท็จ เกินความจริง หรือทำให้เข้าใจผิดในสรรพคุณของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ ห้า กำหนดให้มีข้อความคำเตือน

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)กล่าวว่าก่อนที่ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551 ประเด็นแอลกอฮอล์ไม่มีการควบคุมธุรกิจการโฆษณาได้เต็มที่  ไม่มีพื้นที่ห้ามขาย เกิดอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับสูงมาก จุดเปลี่ยนคือ ในปี 2548 มีความพยายามนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์เกิดกระแสต่อต้าน รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจึงให้กระทรวงสาธารณสุขยกร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมาแต่ก็เกิดการรัฐประหาร จากนั้นเครือข่ายภาคประชาชนจึงร่วมกันผลักดันกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจนมีผลบังคับใช้ แต่ด้วยผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาทของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นทุนผูกขาดรายใหญ่เพียง 2 รายมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายการเมืองและชนชั้นนำ 16 ปีของกฎหมายฉบับนี้จึงต้องต่อสู้กับผลประโยชน์ กลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยล การบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มข้น  ทำให้อัตราการดื่มเฉลี่ยของประชากรไทยลดลงเพียง 2 % ส่วนประชากรในกลุ่มวัยรุ่นคือกลุ่มเดียวที่ยังเป็นปัญหา อัตราการดื่มทรงตัว ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนต่อปียังอยู่ที่ 7 ลิตร หากไม่มีกฎหมายควบคุมเชื่อว่าจะพุ่งสูงถึง 10 ลิตรต่อคนต่อปี
ผู้ประสานงานครปอ.กล่าวต่อว่าสิ่งที่น่ากังวลมากๆคือมุมมองทางนโยบายของภาครัฐ  ที่เชื่อว่าการให้ ค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เสรีมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับภาครัฐมากขึ้น นำมาซึ่งนโยบายการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง รวมไปถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ที่มีเป้าหมายเพื่อลดทอนการควบคุมลง สวนทางกับงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศซึ่งชี้ชัดว่ารายได้ทุก 1 บาทที่เราได้มาจากแอลกอฮอล์ ประเทศจะสูญเสียไปถึง 2-2.5 บาท ในทุกมิติ ดังนั้นความสมดุลในมิติสุขภาพกับเศรษฐกิจจึงทดแทนกันไม่ได้เลยเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย และที่สำคัญปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งด้านสุขภาพและสังคม จะทำลายนโยบายด้านสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกทีของรัฐบาลและในท้ายที่สุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป.

สมุทรปราการ-ผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา เข้ารับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง” ( Local Award 2024) ประจำปี 2567

ขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารของทาง เทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติ โดยได้รับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” ประจำปี 2567

โดยในวันพุธที่ 25 กันยายน  2567 ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และคณะกรรมการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษ

พร้อมคณะผู้บริหารเดินทางไปยังอาคาร ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ห้องวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์  แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

เพื่อเข้ารับรางวัลที่ได้จากการคัดเลือกของจังหวัดและ อปท. ให้ได้รับรางวัลท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงประจำปี 2567 ( Local Award 2024)

จากผลงานอันโดดเด่นและรูปแบบแผนการพัฒนาท้องถิ่นของทางเทศบาลตำบลแพรกษา ทำให้ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ นับได้ว่ารางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” (Silver) ลำดับที่ 17 ของประเทศนั้น เป็นรางวัลอันทรงเกียรติ จึงขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารทุกท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

อุตรดิตถ์-บรรยากาศประชาชนเดินทางมารับเงินโอนตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ อย่างคึกคัก 

(25 ก.ย.67) ที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงไทย สาขา ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง จ.อุตรดิตถ์ และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์ ติดตามการโอนเงิน10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 วันแรก นอกจากนี้ยังได้โฟนอิน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังเปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของ จ.อุตรดิตถ์ คือ นางชัยศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ชาวบ้านหมู่ 5 ต.ท่าเสา อ.เมืองอุตรดิตถ์ ที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทเป็นที่เรียบร้อย โดยกล่าวว่าจะนำเงินดังกล่าวเป็นทุนต่อยอดการขายข้าวหมกไก่ ที่เปิดร้านอยู่ริมคลองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ดีใจและขอบคุณรัฐบาลที่มอบโครงการดีๆให้กับชาวบ้าน 

นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่าสำหรับ จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนที่ได้รับเงินในวันแรกมีโอกาสได้พูดคุย(โฟนอิน)กับท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 112,084 ราย และ ผู้พิการ 22,342 ราย จะมีการแบ่งทยอยโอน 4 วัน เข้าบัญชีพร้อมเพย์ และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ ระหว่างวันที่ 25-30 กันยายน 2567 

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับวันแรกนั้น เป็นในส่วนของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 0 และผู้พิการ ซึ่งกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้โอนจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567

'วรพล เพชรขุ้ม' โพสต์ขอบคุณ 'พีระพันธุ์-บิ๊กเล็ก-ผู้ใหญ่ใจดี' ช่วยตามติดจนสมหวัง ได้ประดับยศร้อยตรีที่รอคอย

หากย้อนไปเมื่อปีก่อน กรณี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมากล่าวถึงประเด็นร้อน เรื่องการบรรจุและดำรงตำแหน่งของ ร.ต.อ.หญิง แคท อาทิติยา เบ็ญจะปัก อายุ 27 ปี ฝ่ายเลขานุการด้านประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ ที่ผ่านหลักสูตร กอส. สามารถเลื่อนตำแหน่งจากชั้นประทวน ถึง ร.ต.อ.หญิง โดยใช้เวลาแค่ 4 ปี โดยระบุว่า ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว ผ่านการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ ใช้วิธีการคัดเลือกตามกฎ ก.ตร. อีกทั้งการเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.หญิง เป็นไปตามกฎ ก.ตร. ทุกประการนั้น

กลับกันในส่วนของอดีตฮีโร่กำปั้นทีมชาติไทย อย่าง ‘วรพจน์ เพชรขุ้ม’ เจ้าของเหรียญเงินจากโอลิมปิก ได้ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าว หลังจากตนได้เข้ารับราชการและทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ แต่แทบไม่ค่อยได้รับโอกาสเลื่อนยศเลย โดยในส่วนของ วรพจน์ ที่ตามประวัติแล้ว จบถึงปริญญาโท แต่ 25 ปีเต็ม ๆ ยศยังอยู่แค่ จ.ส.ต. ทั้งที่น่าจะเข้าข่ายตามกฎ ก.ตร. แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลอะไร

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (25 ก.ย. 67) นายวรพจน์ เพชรขุ้ม ก็ได้รับการประดับยศเป็น 'ร้อยตรี' เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้รับการติดตามและใส่ใจในเรื่องนี้จากผู้ใหญ่ใจดีของบ้านเมือง โดยงานนี้เจ้าตัวได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กขอบคุณทุกท่านด้วยว่า...

"ขอขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค และท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ (บิ๊กเล็ก) ได้ประดับยศให้, ท่านสามารถ มะลูลีม ที่ช่วยผลักดันให้ผมได้ติดดาว และ #เสธหิ หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ช่วยติดตามเรื่อง ขอขอบคุณผู้หลักผู้ใหญ่ทุก ๆ ท่านที่เป็นกำลังใจให้ผมครับ"

ปัจจุบัน ร.ต.วรพจน์ เพชรขุ้ม เป็นครูฝึกกองการพลศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า/ผู้หมวด วรพจน์ ฮีโร่เหรียญเงิน โอลิมปิก เอเธนส์ 2004 สอนวิชามวยไทยให้กับนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนการสอนศิลปะแม่ไม้มวยไทย

(สภา) กมธ.ปปง. ‘เลิศศักดิ์’ เร่งแก้ปัญหาระบบทุนต่างชาติ นำเข้าสินค้าถูกหลบภาษีแฝงนอมินีฟอกเงินเขย่าความมั่นคงของชาติ

(25 ก.ย. 67) ที่ห้องประชุม 407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภาเกียกกาย นายเลิศศักดิ์ พัฒนาชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ปปง.) ได้เรียกประชุมคณะ กมธ.ปปง. ครั้งที่ 36  พิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบขบวนการฟอกเงินข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน และการฟอกเงินข้ามชาติผ่าน Payment Gateway ซึ่งเป็นการ(พิจารณาต่อเนื่อง)จากการประชุม ครั้งที่ 35 ที่ผ่านมา ตามคำร้องเรียนสงสัยการนำเข้าสินค้า แฝงปัญหาการฟอกเงิน ”ครั้งนั้น“ มีผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นำข้อมูล กฏหมาย หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ กรณีนิติบุคคลหรือมีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างด้าว รวมถึงการถือหุ้นคนต่างด้าว ทำการค้าในระบบอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มหรือแพลตฟอร์มการทำธุรกิจจากต่างประเทศ เป็นข้อมูลประกอบคำร้องเรียน ครั้งนี้ได้เชิญ อธิบดีกรมศุลกากร และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่ได้ส่งผู้แทนเข้าให้ข้อมูล 

“ข้อมูลที่ได้จึงเป็นรูปแบบการหลีกเลี่ยงภาษีและการนำเข้าที่กระทบความมั่นคงของชาติ ผ่านเครือข่ายการขนส่งที่หลบเลี่ยงกฏหมาย (พ.ร.บ.ศุลกากร 2560) เกี่ยวพันทั้งทาง บก น้ำ และอากาศ ใน 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบ 1.อีคอมเมิร์ซ (ยกเว้นภาษี) 2. นำเข้าโดยสิทธิพิเศษ FTA  ยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ (ยกเว้นภาษี)3. การนำเข้าแบบปกติ คือการนำเข้าจ่ายภาษีปกติ รวมไปถึงการขนส่ง ที่ผู้รับจ้างขนส่งจะไม่รู้ว่าสินค้าที่นำส่งนั้นภายในตู้คอนเทนเนอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นหากนำส่งสินค้าที่มียาเสพติดหรือสินค้าที่ละเมิด ไม่เสียภาษี ผู้รับจ้างขนส่งก็จะตกเป็นจำเลยสังคมทันที ทุนต่างชาติใช้นอมินีในการเป็นตัวแทนทุนจีนข้ามชาติ ปัญหาจึงเด่นชัดที่ทุนจีนเข้ามาสร้างผลกระทบให้กับธุรกิจภายในประเทศไทย ที่ต้นทางคือการนำเข้าสินค้าก็คือด่านศุลกากร จนไปเกี่ยวพันปัญหาข้อสงสัยถึงการฟอกเงิน”

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ป.กมธ.ปปง. กล่าวว่า ข้อมูลที่ได้ทำให้รู้ว่ารูปแบบการค้าขายของกลุ่มทุนจีนหรือทุนต่างชาติ เข้ามากระทบเศรษฐกิจของคนไทย สินค้าราคาถูกทำให้นักธุรกิจไทยไม่สามารถแข่งขันได้ยังลามไปถึงปัญหาการนำเข้าของกรมศุลกากร ข้อมูลที่ได้จาก ผู้แทนศุลกากร และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย  ถือเป็นประโยนช์ในการตรวจสอบ จะมีการศึกษาแนวทางการแก้ไขต่อไปในอนาคตในส่วนกรณีข้อสงสัยไปถึงกระบวนการฟอกเงิน เรื่องนี้จะยังมีการพิจารณาเพื่อสรุปผลหาแนวทางการตรวจสอบอีกครั้ง ทั้งนี้ กมธ.ปปง. จะร่วมหาแนวทางการศึกษาเพื่อหาทางออกในมาตรการแก้ไขเพื่อความถูกต้องให้ลดปัญหาการเอาเปรียบของกลุ่มทุนต่างชาติเพื่อนักธุรกิจพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top