Saturday, 28 June 2025
NEWS FEED

ข่าวดี MOU สกสค.-ธอส.จัดใหญ่ ปรับลดดอกเบี้ยพัฒนาคุณภาพชีวิตครู จากร้อยละ 6-7 บาท/ปี เหลือ 1.71 บาท/ปี

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดแชมเปญใหญ่ โครงการสวัสดิการเพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากอัตราร้อยละ  6-7 บาทต่อปี เหลือเพียง 1.71 บาทต่อปี

ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ในการร่วมกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหาร หรือวางแผนทางการเงินและการออม 

เพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อ เพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา และผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้หารือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จนมีความเห็นและแนวทางร่วมกันในการจัดสวัสดิการการออม สวัสดิการผู้เกษียณอายุ และแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วยการลดดอกเบี้ยสูงจากอัตราร้อยละ  6 - 7  บาทต่อปี เหลือ 1.71 บาทต่อปี เพื่อให้ครูมีเงินได้รายเดือนเหลือมากขึ้น จนมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้มีสวัสดิการ รวมทั้งมีบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ ทั้งด้านการออมและสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครูและนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า สกสค. และ ธอส. ร่วมมือกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหารหรือวางแผนทางการเงิน และการออมเพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาทางการเงินและกฎหมายแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 

ซึ่งมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอื่น และมีความประสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร และความร่วมมือในการการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อเพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย

1)โครงการโรงเรียนการเงิน เงินฝากประจำสะสมทรัพย์ 24 เดือน เพื่อส่งเสริมการออมอย่างยั่งยืน สม่ำเสมอ ในวงเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.7% ต่อปี เมื่อฝากครบ 24 เดือนติดต่อกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1% ตั้งแต่ต้น, 

2) โครงการสวัสดิการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา Refinance In เพื่อลดค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยสูง 6 – 7 % เหลือ 1.71 % โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่นมา Refinance ปรับโครงสร้างหนี้กับ ธอส. ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อเดือนคงเหลือเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และ 3) โครงการสวัสดิการเกษียณสุขสำราญ Reverse Mortgage ให้ผู้เกษียณได้มีรายได้เพิ่มเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยให้ผู้เกษียณแล้วอายุระหว่าง 60 – 75 ปี ที่มีบ้านปลอดภาระจำนอง ได้เข้าโครงการกู้เงินในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับเงินกู้เป็นรายเดือนโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้ถึงอายุ 85 ปี”

ด้าน ดร. พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะเป็นการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Line OA : สกสค. 'ศูนย์ปรึกษาทางการเงิน' ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรงศึกษาธิการมีนโยบาย 'เรียนดี มีความสุข' เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถพัฒนาการศึกษาของชาติให้บรรลุเป้าหมาย  การจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้นการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่าง สกสค. กับ ธอส. จัดใหญ่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.71 บาทต่อปี จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครู และบุคลากรให้ดีขึ้น ที่จะเป็นการหนุนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอน และการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

ทัพเรือภาคที่ 1 ส่ง 'เรือหลวงเทพา-เรือตรวจการณ์' ดูแลน่านน้ำ 'จันทบุรี-ตราด' ลั่น!! เฝ้าดูแลอธิปไตยของชาติทางทะเล 'อย่างสุดกำลัง'

(28 ก.ย.67) 'เสียงจากทหารเรือ' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ทัพเรือภาคที่ 1 ส่ง เรือหลวงเทพา พร้อม เรือตรวจการณ์ อีก 3 ลำ สับเปลี่ยนกำลัง หมู่เรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 ดูแลชายแดนทางทะเลตะวันออก

โดย เรือหลวงเทพา พร้อมด้วย เรือ ต.997 เรือ ต.264 และ เรือ ต.265 พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางสับเปลี่ยนกำลังทางเรือ รับหน้าที่ หมู่เรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 ซึ่งจะรับผิดชอบ ปกป้องอธิปไตย ดูแลความมั่นคงของชาติ รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมถึง การช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยในทะเล ในพื้นที่รับผิดชอบ ชายแดนทางทะเลตะวันออกจังหวัดจันทบุรี และ จังหวัดตราด รวมถึงการดูแลพี่น้องประชาชนทางบกในพื้นที่รับผิดชอบอีกด้วย โดยจะขึ้นการบังคับบัญชาทางยุทธการ กับ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และมีที่ตั้งอยู่ที่ ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 เวลา 15.30 น. นาวาเอก อโศก ศรีสวัสดิ์ ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในพิธีส่งเรือไปปฏิบัติหน้าที่ หมู่เรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 พร้อมทั้งให้โอวาทแก่กำลังพล เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานอีกด้วย

ในการนี้...พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เน้นย้ำ หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน อยู่เสมอ สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ ของ หมู่เรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 จะต้องมีความเสียสละ มุ่งมั่น ตั้งใจ และ พร้อมปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเทศชาติ และ พี่น้องประชาชน ตามที่ได้กล่าวมา

'วิทยุการบินฯ' โชว์วิสัยทัศน์องค์กรใหม่ มุ่งสู่การเป็น 'Aviation Hub' ของภูมิภาค

วิทยุการบินฯ ประชุมกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงาน ปี 2568 พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งเน้น 'การเป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค' ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการบินในอนาคต

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวในการสัมมนาฝ่ายจัดการประจำปี 2567 ว่า “บวท. ได้ปรับวิสัยทัศน์การดำเนินงานขององค์กร “เป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค” 

เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค โดย บวท. ให้ความสำคัญด้านสร้างบุคลากรด้านการบินให้กับประเทศ โดยจะยกระดับความสามารถและคุณภาพของบุคลากรให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาบุคลากรด้านการบิน (NGAP - Digital transformation) ตามแนวทางของ ICAO เพื่อให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ 

นอกจากนี้ยังได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของปี 2568 เน้นการพัฒนาคน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป

ผบช.ตชด.บินด่วน เยี่ยม ตชด.บาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 

(28 ก.ย.67) พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เดินทางมายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเยี่ยมและติดตามอาการของ ตชด. 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับที่ตั้ง จ.ชุมพร หลังจากเสร็จภารกิจในพื้นที่ จ.นราธิวาส ปัจจุบัน ตชด. ทั้ง 4 นาย มีอาการปลอดภัย แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

1.จ.ส.ต.ขจรพล เพชรกูลง รู้สึกตัวดี ได้รับบาดเจ็บ บริเวณหัวเข่าซ้าย มีแผลฉีกขาดจากสะเก็ดระเบิด แพทย์ให้การพยาบาล และรอผลX-rays
2.ส.ต.ท.ศุภวิชญ์ ป้องแก้ว รู้สึกตัวดี ศีรษะบริเวณด้านขวาแตก เบื้องต้นแพทย์ได้ทำการเย็บแผลแล้ว และสังเกตอาการต่อ
3.จ.ส.ต.ดำเนินยุทธ สง่าปู รู้สึกตัวดี เเขนขวาได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีแผลฉีกขาดบริเวณแขนขวา แพทย์ให้การรักษาพยาบาลและรอผล X-rays 
4. ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ (พลขับ) ซึ่งส่งต่อจากโรงพยาบาลปัตตานี มารักษาต่อที่ รพ.มอ.เมื่อช่วงเช้า มีอาการสาหัสและแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ปัจจุบันรอเข้ารับรักษาในห้อง ICU และการผ่าตัด

ผบช.ตชด.กล่าวว่า การปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ต้องมีความพร้อมและมีสติอยู่เสมอ ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็ได้นำความห่วงใยจาก ผบ.ตร. มาถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสียขวัญ ทั้งนี้ได้นำเงินสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตลอดจนเงินบำรุงขวัญของตนเองมามอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และญาติ เป็นจำนวนกว่า 200,000 บาท

'อาจารย์อุ๋ย' ชี้!! แจกเงินหมื่น เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ห่วง!! รัฐไร้แผนระยะยาว โดยเฉพาะการแก้หนี้ครัวเรือนไทย

(28 ก.ย.67) จากกรณีที่รัฐบาลได้ดำเนินการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทให้ประชาชนแล้วกว่า 3 ล้านคน นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรือ 'อาจารย์อุ๋ย' นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นว่า

เงินหนึ่งหมื่นบาทนั้น เมื่อเทียบกับค่าครองชีพในยุคปัจจุบัน รวมกับภาระหนี้ครัวเรือนที่ประชาชนต้องแบกรับอยู่ขณะนี้ ผมคาดว่าใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ เงินที่ได้รับมาก็คงหมดลง เงินหนึ่งหมื่นบาทก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ที่ไม่นานก็จะละลายหายไป ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่า รัฐบาลจะมีแผนระยะยาวอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น เพราะปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยในเชิงโครงสร้าง ซึ่งสั่งสมมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศที่ถดถอย สังคมผู้สูงอายุ และที่สำคัญคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะในระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งทำให้อัตราการจับจ่ายใช้สอยหดตัวลงในระดับรุนแรง โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2566 ครัวเรือนทั่วประเทศ มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนทั้งสิ้นครัวเรือนละ 197,255 บาท และในสิ้นปี 2567 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแตะระดับ 91.4% ต่อ GDP และที่น่าห่วงคือ คือ 2 ใน 3 ของบัญชีหนี้ครัวเรือนไทยเป็น ‘สินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้’ กล่าวคือ เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล 39% และบัตรเครดิต 29% ซึ่งเป็นหนี้เพื่อการอุปโภค ใช้แล้วหมดไป ไม่ช่วยให้มีรายได้เพิ่มหรือมีชีวิตดีขึ้นในอนาคต

ปัญหาในขณะนี้คล้ายกับปี 40 ตรงที่ว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับการขาดสภาพคล่อง ขาดเงินทุนหมุนเวียน เพียงแต่คราวนี้ไม่ได้เกิดกับบริษัทการเงิน แต่เกิดกับพี่น้องประชาชนในระดับกลางถึงระดับรากหญ้า แม้เม็ดเงินอาจจะไม่มากเท่าปี 40 แต่กระจายตัวเป็นวงกว้างและลึกกว่า จนส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจระดับบน ดังนั้นหนทางแก้ปัญหาประการหนึ่งคือ ต้องเปิดทางให้ลูกหนี้ในระดับบุคคลธรรมดาที่มีหนี้ไม่มาก (เช่น ไม่เกิน 1 ล้านบาท) ยื่นคำขอฟื้นฟู เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยใช้หลักการเดียวกับการยื่นขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นิติบุคคลและ SME 

ซึ่งหลักการสำคัญของการฟื้นฟูกิจการหรือฟื้นฟูหนี้ครัวเรือนสำหรับบุคคลธรรมดาก็คือ การกำหนด ‘สภาวะพักชำระหนี้’ (automatic stay) ให้อำนาจลูกหนี้จัดการสินทรัพย์ตัวเองต่อไปได้ จัดทำแผนฟื้นฟูหนี้สินเพื่อยื่นต่อเจ้าหนี้ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าวันไหนจะถูกเจ้าหนี้รายไหนมาฟ้องร้องหรือบังคับคดี ซึ่งปัจจุบันลูกหนี้ประเภทบุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่ SME ยังไม่มีสิทธิดังกล่าว ซึ่งกระบวนการนี้อาจจะต้องมีการตั้งองค์กรเชิงสถาบันขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนสำหรับหนี้ครัวเรือนโดยเฉพาะ

และเมื่อลูกหนี้สู่กระบวนการฟื้นฟูหนี้สินแล้ว ก็จะมีเวลาหายใจ ลืมตาอ้าปาก มีกำลังใจทำงาน เพราะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ที่ต้องก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และสุดท้ายแล้วกำลังซื้อในระดับกลางและล่างก็จะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน 

ผมจึงขอฝากท่านนายกแพทองธารให้เร่งผลักดันมาตรการนี้โดยเร็วครับ ด้วยความปรารถนาดี

นย.เปิดศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพล และครอบครัว 'Family space Center' แบบครบวงจร

พล.ร.ท.สมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ผบ.นย.) พร้อมด้วย ดร.ศิวัสสา จันโท ประธานชมรมภริยานาวิกโยธิน เปิดโครงการ ศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลและครอบครัว หน่วยบัญชาการ นาวิกโยธิน กองทัพเรือ (Family space Center) แบบครบวงจร

ตามที่ ชมรมภริยานาวิกโยธิน โดย ดร.ศิวัสสา จันโท ได้เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและเพิ่มสวัสดิการให้กับกำลังพลในสังกัด นย. และครอบครัว รวมถึงกำลังพลของหน่วยราชการกองทัพเรือ ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จึงได้จัดโครงการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลและครอบครัว หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ 'Family space Center' ขึ้น ด้วยการจัดทำแผนพัฒนา จัดสรรพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างในความรับผิดชอบของ นย. 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Co-working space ประกอบด้วย ห้องสมุดสมาคมภริยาทหารเรือ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และพื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้งและในร่ม ปรับปรุงอุปกรณ์ เครื่องเล่น สนามเด็กเล่นให้สวยงาม ปลอดภัยและมีพื้นที่ออกกำลัง

และในส่วนของพื้นที่สุดท้าย ได้แก่ พื้นที่ The MARINES family space and Cafe ซึ่งประกอบด้วย ร้านชมรมภริยานาวิกโยธิน (วางจำหน่ายสินค้าของกำลังพลและครอบครัว ทร.) พื้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ทหารนาวิกโยธิน และร้านเครื่องดื่มเพื่อสวัสดิการกำลังพลของ นย. 

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ กองทัพเรือและสมาคมภริยาทหารเรือ ที่ให้ความสำคัญต่อสวัสดิการและความเป็นอยู่ของกำลังพล และครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุกโครงการ นย. ได้ตอบรับและตอบสนองทุก ๆ โครงการ เช่น

โครงการ Green Navy Green Marines , Well being Well Marines รวมถึงโครงการปรับปรุงบ้านพักข้าราชการชั้นประทวน เป็นต้น และโครงการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลฯ นี้ สมาชิกครอบครัวใน ทร. ของ นย. และหน่วยข้างเคียงทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ที่อยู่ในพื้นที่สามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ นับว่าเป็นโครงการที่สนองต่อนโยบาย ด้านสวัสดิการของกองทัพเรือ อย่างแท้จริง

จึงขอเชิญชวน กำลังพล และครอบครัว ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนถิ่นทหารเรือสัตหีบ ได้เข้าเยี่ยมชม ร้านกาแฟดี ๆ ใน นย. พร้อมเบเกอรี่รสชาติแบบสุด ๆ ร้าน The MARINES family space and Cafe ณ บริเวณลานมารีน ค่ายกรมหลวงชุมพร หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

'มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ' คว้ารางวัลต้นแบบองค์กรยั่งยืน Shaper Award 2024 สะท้อน 50 ปี แห่งความมุ่งมั่น พัฒนาโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อสืบสานและต่อยอดพระราชปณิธานตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ‘ช่วยให้เขา ช่วยตัวเขาเอง’ มากว่า 50 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพคนเป็นศูนย์กลาง (Human-centric) จนกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่องนั้น

ล่าสุด ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัล SX Shaper Award 2024 จากคณะกรรมการจัดงาน Sustainability Expo 2024 เพื่อเชิดชูทางมูลนิธิฯ ที่ได้ดำเนินโครงการสำคัญ ๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการต่าง ๆ ในภาคเหนือ, โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เชื่อว่า ‘คน’ คือต้นเหตุและทางออกของปัญหาในการยกระดับชีวิตของชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เพราะ “ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่ที่เขาไม่ดี เพราะขาดโอกาสและทางเลือก”

ยกตัวอย่าง โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2531 เพื่อเป็นการให้แนวทางการพัฒนาตามตำราแม่ฟ้าหลวงคือการ 'ปลูกป่า ปลูกคน' ซึ่งตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ฟื้นฟูป่าได้ประมาณ 90,000ไร่ สร้างอาชีพที่ดีแก่ประชาชนกว่าหนึ่งหมื่นคน

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังร่วมกับภาคีทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้ดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปีนี้ มีความร่วมมือในป่าชุมชนรวม 129 แห่งใน 9 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 194,850 ไร่ ผลิตคาร์บอนเครดิตได้ 500,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า 25,082 ครัวเรือน  ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตั้งเป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันภายในปี 2570

อีกความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือ การจัดการขยะ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เริ่มลงมือจัดการขยะจากต้นทางอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2555 จนกระทั่งปลายปี 2561 ประสบความสำเร็จในการทำให้ขยะถูกส่งไปบ่อฝังกลบเป็นศูนย์ และยังขยายแนวคิดนี้ไปยัง 29 หมู่บ้านใน อ.แม่ฟ้าหลวง

ปัจจุบัน มี 24 หมู่บ้านที่สามารถคัดแยกขยะได้อย่างถูกวิธี ดอยตุงไม่มีของเหลือทิ้ง เพราะที่นี่ดำเนินธุรกิจแบบ Zero Waste และตั้งใจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับโลก โดยทำให้ทุกขั้นตอนการผลิตไม่สร้างขยะด้วยการรีไซเคิล

ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำพลาสติก กากกาแฟ เปลือกแมคคาเดเมีย เศษผ้าจากการทอผ้า น้ำที่ใช้ในการย้อมก็ยังสามารถบำบัดได้ และหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ พร้อมทั้งพัฒนาการออกแบบดีไซน์เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์หลักอีกด้วย

ทำให้โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรวงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับมาตรฐาน G Green Production ประเภทเซรามิก ระดับดีเยี่ยม และประเภทสิ่งทอ ระดับดีเยี่ยม ปี 2562 จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ส่วนโครงการการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน (Sustainable Alternative Livelihood Development – SALD) เป็นแนวทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากพระปรัชญาและพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการช่วยเหลือพัฒนาผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม

โดยเน้นการพัฒนาคนอย่างมีบูรณาการ เป็นขั้นเป็นตอน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และนำวิธีคิดและวิธีบริหารจัดการเชิงธุรกิจมาปรับใช้ เช่น ผลิตของที่ตลาดต้องการ มุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดจากต้นทุนที่ต่ำที่สุด ด้วยกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน อีกทั้งศึกษาความเป็นไปได้ก่อนทำโครงการเพื่อลดความเสี่ยง หรือวัดผลเพื่อปรับปรุงการทำงานอยู่ตลอดเวลา

“เพราะความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน” ที่จะมาร่วมกันเปลี่ยนโลกใบนี้ให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมมากมาย พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด และไอเดียสุดเจ๋งด้านความยั่งยืนกับวิทยากรชื่อดัง ศิลปิน และเหล่าไอดอลจากทุกแวดวง ตื่นเต้นไปกับสุดยอดนวัตกรรมกอบกู้โลกให้คุณได้เรียนรู้ และพร้อมปรับตัว เพื่อความอยู่รอดในวิถีชีวิตประจำวันยุคโลกเดือดได้อย่างมีความสมดุล

สำหรับงาน Sustainability Expo (SX2024) ได้จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial ตลอดจนร่วมกิจกรรมมากมายเพื่อโลก ด้วยกันที่ Sustainability Expo 2024: Good Balance, Better World

เชียงใหม่- สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแถลงข่าวการแข่งขันบาสเกตบอล 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024'

 

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.67) เวลา 13.00 น. สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแถลงข่าว การแข่งขันบาสเกตบอลชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อม เงินรางวัล ในรายการ 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024'โดยมี คุณจาง หย่า จิ้ง ผู้แทนกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมด้วยคุณศิโรรัตน์ ชัยศิริ นายกสมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน คุณวิภาส ยาวุฒิ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน และผู้มีเกียรติร่วมแถลงข่าว จับสลากแบ่งสายการแข่งขัน ชี้แจงกติกาการแข่งขัน ณ ห้องรวงข้าว โรงแรมสมายล์ล้านนา เชียงใหม่

สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแข่งขันบาสเกตบอลรายการ 'ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2024' ชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อม เงินรางวัล กว่า 500,000 บาท ในระหว่างวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2567 ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างและกระชับความสัมพันธ์อันดี ระหว่างหมู่บ้านที่เป็น สมาชิกในสมาคม ฯ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ จังหวัดตาก รวมทั้งพี่น้องประชาชนทั่วไป ในจังหวัดเชียงใหม่ จะได้รู้จักสมาคมชาวเชียงใหม่ เชื้อสายยูนนาน มากขึ้น พร้อมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมเยาวชนให้เล่นกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

การแข่งขันบาสเกตบอล ในรายการ 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024' แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ประเภททีม ประชาชนชายทั่วไป (เฉพาะทีมหมู่บ้าน) , เยาวชนชายอายุไม่เกิน 15 ปี , เยาวชนชายอายุไม่เกิน 18 ปี , ทีมประชาชนชายทั่วไป และ ทีมอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป  ทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด  แบ่งเป็น ประเภท ประชาชนชาย (หมู่บ้าน) จำนวน 8 ทีม , ทีมเยาวชนชายอายุไม่เกิน 15 ปี จำนวน 8 ทีม , ทีมเยาวชนชายอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 16 ทีม , ทีมประชาชนชายทั่วไป จำนวน 10 ทีม และ ทีมอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป จำนวน 4 ทีม กติกาและการตัดสิน จะใช้กติกาการแข่งขัน ซึ่งสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กำหนดใช้ในปัจจุบัน หรือ ตามที่ฝ่ายจัดการแข่งขัน เป็นผู้พิจารณา

การแข่งขัน บาสเกตบอลรายการ “ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2024” กำหนดพิธีเปิดการแข่งขัน ในวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. และกำหนดปิดการแข่งขันวันวันที่ 13 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00 น. ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ 

รางวัลการแข่งขัน 'บาสเกตบอล ยูนนานคัพ 2024'
1. ประชาชนชายเฉพาะทีมหมู่บ้าน
รางวัลชนะเลิศ 50,000.-(ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 30,000.-(สามหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

2. รุ่นเยาวชนชาย อายุไม่เกิน 15 ปี
รางวัลชนะเลิศ 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 5,000.-(ห้าพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

3. รุ่นเยาวชนชาย อายุไม่เกิน 18 ปี
รางวัลชนะเลิศ 50,000.-(ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 2,000.-(สองพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

4. ประชาชนชายทั่วไป
รางวัลชนะเลิศ 200,000.-(สองแสนบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 30,000.-(สามหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  2,000.-(สองพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

5. รุ่นอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป
รางวัลชนะเลิศ 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 7,000.-(เจ็ดพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 5,000.-(ห้าพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

'CAAT' เผย!! มีการแจ้งความดำเนินคดีหญิงชาวโปแลนด์แล้ว หลังข่มขู่ มีระเบิดบนอากาศยานขณะทำการบิน จนผู้อื่นตกใจ

(28 ก.ย.67) จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าสายการบินไทยเวียตเจ็ทไม่ได้มีการดำเนินคดีกับผู้โดยสารชาวโปแลนด์ที่ก่อเหตุขู่วางระเบิดเที่ยวบิน VZ961 เส้นทางดานัง- สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567  ซึ่งการขู่วางระเบิดในสนามบิน หรือในอากาศยาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 22

ล่าสุด สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้ว โดยผู้ควบคุมอากาศยานหรือนักบินในเที่ยวบินนั้นเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี จึงไม่ใช่สายการบิน ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นผู้แจ้งความ ตามที่ปรากฏในข่าว และทางตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ในข้อหาแจ้งข้อความหรือส่งข่าวสารซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ และการนั้นเป็นเหตุหรือน่าจะเป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานหรือผู้ที่อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินตื่นตกใจ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างการบิน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับคำพูดต้องห้ามที่ไม่ควรพูดทั้งในสนามบินและบนเครื่องบิน เช่น...

- ระเบิด Bomb
- อาวุธและวัตถุอันตราย ปืน Gun or Fire Arm
- การก่อการร้าย Terrorist
- โรคระบาดร้ายแรง

CAAT จึงขอแนะนำว่า ไม่ควรพูดคำต้องห้ามเหล่านี้ แม้จะเป็นการพูดเล่นกับเพื่อน หรือพูดเล่นกับเจ้าหน้าที่ เพราะอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความไม่สบายใจ ตื่นตระหนก หรือเกิดความเข้าใจผิดจนอาจจะนำมาสู่ความวุ่นวาย และผู้พูดอาจถูกดำเนินการตามกฎหมายได้

'มิ้นต์ ชาลิดา' โพสต์!! 'น้องชาย' ถูกฝรั่งเตะเสยคาง หวั่น!! เรื่องเงียบ คู่กรณีเตรียมบินกลับประเทศ

(28 ก.ย.67) นักแสดงสาวชื่อดัง 'มิ้นต์' ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว '@mint_chalida' ระบุข้อความว่า...

"เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับน้องชายแท้ ๆ ของมิ้นต์ เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลาประมาณตี 2 ทางพนักงานของร้านได้โทรมาขอความช่วยเหลือจากน้องชายของมิ้นต์ว่า มีชาวต่างชาติเข้ามาบุกรุกและทำร้ายร่างกายพนักงาน...

"น้องชายมิ้นต์เลยรีบขับรถไปที่ร้าน เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา แต่ชาวต่างชาติผู้ก่อเหตุกลับมาทำร้ายร่างกายน้องชายของมิ้นต์ ด้วยการเตะเข้าที่หน้า ครอบครัวมิ้นต์ต้องการให้ผู้ก่อเหตุมารับผิดชอบในสิ่งที่เค้าทำ ใครพอจะมีความรู้ทางด้านกฎหมายหรือทราบว่าเราต้องแจ้งหน่วยงานไหน ให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด ก่อนที่เค้าจะออกนอกประเทศในวันที่ 3 ตุลาคม 2024 นี้ *ตอนนี้ทางครอบครัวได้เข้าแจ้งความกับทางสถานีตำรวจห้วยขวางแล้ว" โดยที่ 'มิ้นต์ ชาลิดา' ได้โพสต์ภาพจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์ที่น้องชายของเธอโดนทำร้ายอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top