Saturday, 28 June 2025
NEWS FEED

'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูอุทกภัยภาคเหนือ คืบหน้ากว่าร้อยละ 80 ระดมทุกฝ่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งช่วยเหลือประชาชน วอนอย่าหลงเชื่อ 'ข่าวปลอม' ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเตือนภัยจากภาครัฐ

เมื่อวันที่ (29 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ( ศปช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และลำปาง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม และมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย พบว่ามีการดำเนินการแผนฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยเชียงรายดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลายพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองเชียงรายเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ตุลาคม 2567 พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.เมืองเชียงราย และ อ.แม่สาย จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ โดยมาตรการเร่งด่วนคือเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณโทรคมนาคม การฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนกลุ่มเปราะบาง การคืนสภาพเส้นทางสัญจร ซึ่งหลายพื้นที่มีความคืบหน้ากว่า 80% แล้ว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เบื้องต้นได้ดำเนินการตามที่มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 เห็นชอบให้อนุมัติกรอบวงเงิน 3,045 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ 3 อำเภอ (อ.เมืองเชียงราย แม่สาย ขุนตาล) จ.เชียงราย รวม 3,623 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 18,115,000 บาท

ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ศปช.ได้มีดำเนินการระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดและส่วนกลางติดตามรับมือสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที โดยในส่วนของกระทรวงดีอี ได้มอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาเฝ้าติดตามสภาพอากาศ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทันที หากมีแนวโน้นมการเกิดสถานการณ์ที่รุนแรง 

“ขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกับให้เฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบในทันที เพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาพบการเผยแพร่ข่าวปลอม เกี่ยวกับอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หรือเผยแพร่ข้อมูลอ้างถึงสถาการณ์ที่รุนแรง การเกิดพายุลูกใหม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมฯ จึงขอแจ้งเตือนประชาชน อย่าได้หลงเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน โดยควรตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Line OA ชื่อว่า 'HelpT (น้ำท่วม ช่วยด้วย)' เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างประชาชนกับหน่วยงานท้องถิ่นของจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ฯลฯ ในพื้นที่ 49 จังหวัด โดยประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือ อาทิ การขออพยพ การขออาหาร อุปกรณ์ส่องสว่าง กระสอบทราย ฯลฯ ซึ่งคำขอจากประชาชนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยการแอด LINE OA: @HelpT ส่งรูป ระบุพิกัด สามารถติดตามสถานะและผลการดำเนินการได้ นอกจากนี้ HelpT ยังมีการรวบรวมเบอร์โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานต่างๆ และให้ข้อมูลพยากรณ์ปริมาณฝนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากแพลตฟอร์ม FAHFON (ฟ้าฝน)

'ซูเปอร์โพล' เผย ปชช.ปลื้มปีติ 'โรงครัว-ถุงยังชีพพระราชทาน' พึงพอใจ 'ทหาร' ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมมากที่สุด

(29 ก.ย. 67) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง บททดสอบ ฝีมือรัฐบาล รับมือภัยน้ำท่วม กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น 1,002 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-28 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา 

พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.4 ความปลื้มปีติต่อโรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม 

รองลงมาคือร้อยละ 87.3 ความพึงพอใจอื่น ๆ ต่อหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ องค์กรต่าง ๆ ช่วยเหลือ เช่น อาหาร น้ำ ยารักษาโรค การอพยพ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.7 ความพึงพอใจอื่นๆ บุคคล/ภาคประชาสังคม จิตอาสา ร่วมบริจาคทั้งกำลังเงินและสิ่งของ

ที่น่าสนใจ คือ ความพึงพอใจต่อการทำงานของภาคประชาสังคมรับมือภัยน้ำท่วมในด้านต่าง ๆ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.3 มูลนิธิองค์กรทำดี รองลงมาคือร้อยละ 80.4 อาสาสมัครมูลนิธิหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.8 มูลนิธิต่าง ๆ เช่น สภากาชาดไทย มูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 อื่น ๆ ภาคประชาสังคม บุคคล จิตอาสา

ที่น่าพิจารณาคือ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการ กระทรวงต่าง ๆ พบว่า มากที่สุด หรือร้อยละ 71.5 พอใจทหาร รองลงมาคือร้อยละ 67.5 พอใจตำรวจ ร้อยละ 66.2 พอใจระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร้อยละ 60.3 พอใจกรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และร้อยละ 59.3 พอใจอื่น ๆ กระทรวงต่าง ๆ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

จากรายงานผลสำรวจของซูเปอร์โพล สรุปได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความปลื้มปิติและพึงพอใจในหลายด้านที่มีการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เช่น โรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม , การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี, การเข้าถึงการช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และยารักษาโรค รวมถึงการอพยพ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ก็สูง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุข้อเสนอแนะในการเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศ สามารถดำเนินการได้ด้วยหลายแนวทางที่มุ่งเน้นทั้งด้านการจัดการและการสื่อสาร ต่อไปนี้คือรายละเอียดของแต่ละแนวทาง

1.การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ

- พัฒนาและปรับปรุงแผนการจัดการภัยพิบัติ ทบทวนและอัปเดตแผนป้องกันและการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ

- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความสามารถในการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือที่มีประสิทธิผล

- การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถจัดส่งไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

2.การสื่อสารและการให้ข้อมูลที่ชัดเจน

- การประชาสัมพันธ์แผนการรับมือภัยพิบัติ ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับแผนการรับมือภัยพิบัติกับประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม

- การสื่อสารในระหว่างเกิดภัยพิบัติ มีการอัปเดตสถานการณ์และการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ใช้ช่องทางสื่อสารหลากหลายและชัดเจน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์

3.การมีส่วนร่วมของชุมชน

- การสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อการรับมือภัยพิบัติ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการรับมือและการฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองและชุมชน

- การจัดตั้งทีมอาสาสมัคร สนับสนุนการจัดตั้งทีมอาสาสมัครภายในชุมชนเพื่อทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมในการรับมือกับภัยพิบัติ

4.การวางแผนและการใช้เทคโนโลยี

- การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและการเตือนภัย การใช้ระบบ GIS และดาวเทียมเพื่อการตรวจสอบสภาพอากาศและการเตือนภัยล่วงหน้า

- การใช้โดรนและเทคโนโลยีอื่น ๆ ใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่เสี่ยงและการประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ

ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศได้

กองทัพเรือ จัดงานพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุ ประจำปี 2567

(29 ก.ย. 67) พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุราชการประจำปี 2567 และผู้ขอลาออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

สำหรับในปีนี้ มีผู้ครบเกษียณอายุราชการจำนวน 1,284 นาย เป็นชั้นนายพลเรือ 83 นาย นายทหารสัญญาบัตรต่ำกว่าชั้นนายพลเรือ 1,016 นาย นายทหารประทวน 84 นาย ลูกจ้างประจำ 236 นาย และพลอาสาสมัคร 4 นาย ผู้ขอลาออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด จำนวน 139 นาย รวม ทั้งสิ้น 1,423 นาย โดยนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ที่ครบเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ 2567 อาทิ พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย พลเรือเอก โกวิท อินทร์พรหม ประธานที่ปรึกษากองทัพเรือ พลเรือเอก ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา ศรชล. พลเรือเอก สุทิน หลายเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ พลเรือโท สมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหนังสือประกาศเกียรติคุณพร้อมของที่ระลึกแก่ นายพลเรือและ ตัวแทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ครบเกษียณอายุราชการ และตัวแทนผู้ที่ขอลาออกตามโครงการฯ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ในนามผู้แทนข้าราชการกองทัพเรือ มอบหนังสือประกาศเกียรติคุณพร้อมของที่ระลึกให้แก่ ผู้บัญชาการทหารเรือ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวสดุดีให้แก่ผู้เกษียณอายุราชการ โดยได้ชื่นชมกำลังพลทุกนาย ที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ และมีความเสียสละจวบจนอายุราชการ ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่ายิ่งของ กองทัพเรือ การจัดงานพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุราชการ กองทัพเรือ ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อตอบแทนคุณงามความดีของผู้ครบ เกษียณอายุราชการ ที่ได้อุทิศกำลังกายกำลังใจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังสติปัญญาและความสามารถ อันเป็นผลให้กองทัพเรือ มีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

'ทูตนอกแถว' แจง ACD เป็นกรอบความร่วมมือสำคัญรวมประเทศในเอเชียทั้งหมด มั่นใจไทยแสดงบทบาทเชื่อมโยงประเทศสมาชิก สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงได้

(29 ก.ย. 67) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ หรือ ทูตนอกแถว ชี้แจงถึงกรณีที่มีรายการวิเคราะห์ข่าวบางรายการ เผยแพร่ข้อมูลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย: Asia Cooperation Dialogue หรือ ACD SUMMIT ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคมนี้ คาดเคลื่อนทั้งระดับความสำคัญ และความเป็นมาของ ACD โดยย้ำว่า ACD ถือเป็นกรอบการประชุมแห่งเอเชียกรอบเดียว ที่รวมประเทศสมาชิก 35 ประเทศ และรวมเอาภูมิภาคย่อยต่าง ๆ ของเอเชียทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน

นายรัศม์ ยังมั่นใจว่า การเข้าร่วม ACD จะเป็นโอกาสของไทยในการแสดงบทบาทนำ และสร้างสรรค์ ในฐานะผู้เชื่อมการทำงานกับประเทศสมาชิก เพื่อเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบันที่เหล่าประเทศในเอเชียกำลังประสบอยู่ ซึ่งจะรวมถึงการหาแนวทางเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง ทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียด้วย

'ชาวต่างชาติ' กร่าง!! บุกยิงปืน-ทุบกระจกร้านอาหาร ใน จ.ภูเก็ต โชคดี!! ไม่มีผู้บาดเจ็บ ตำรวจท้องที่เร่งตรวจสอบ จับตัวคนทำผิด

(29 ก.ย. 67) น.ร.ต.อ.หญิงกัลย์สุดา แก้วก่า รอง สว.(สอบสวน) สภ.เชิงทะเล จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุจากที่รปภ.ของร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในซอย อบต. ต.เชิงทะเล ว่า มีชายชาวต่างชาติ ทำลายกระจกร้านแตก ซึ่งคาดว่า น่าจะใช้อาวุธปืนยิง จนกระจกภายในร้านแตก 

หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบนายกอเฉม ผู้แจ้ง ผู้เห็นเหตุการณ์ ได้ให้การว่า เวลาประมาณ 02.18 น. มีชายชาวต่างชาติขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ยินเสียงดังคล้ายอาวุธปืน 1 นัด มีกระจกที่ร้านแตก ก่อนผู้ก่อเหตุจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

ต่อมาเวลาประมาณ 02.58 น. ได้มีคนร้ายเป็นชายชาวต่างชาติ อีกบุคคลหนึ่ง เข้ามาทุบกระจกที่ร้านอาหารเเห่งเดิมซ้ำ และหลบหนีไป จึงได้เเจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ 

หลังทราบเรื่องทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ตเข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พร้อมให้ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามตัวคนร้ายต่อไป

ล่าสุดช่วงเช้า ตำรวจสภ.เชิงทะเล พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ต เข้าตรวจสอบและเก็บรายละเอียดบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อติดตามตัวคนก่อเหตุ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายกอเฉม (สงวนนามสกุล)  รปภ.ที่เห็นเหตุการณ์เผยว่าคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดที่หน้าร้านแล้วใช้ปืนยิงแล้วเข้าไปในร้านแล้วกระจกแตก คนที่ยิงคือคนต่างชาติหลังจากยิงเสร็จ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนี

กระทั่งผ่านไปประมาณ 10 นาที ก็มีมอเตอร์ไซค์อีกคัน ขับเข้าไปดูเหตุการณ์ และลงมือทุบกระจกที่แตกอยู่แล้วซ้ำ จากนั้นได้ก่อเหตุทุบกระจกร้านเสริมสวยที่อยู่ใกล้เคียง เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ 4 คน ขับรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน

นายกอเฉม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า รปภ.อีกราย ที่เข้าเวรกลางวัน เล่าให้ตนฟังว่าตอนเย็นมีชาวต่างชาติทะเลาะกันอย่างรุนแรงก่อนจะแยกย้ายกันไป 

ด้านเจ้าของร้านเองก็คาดว่าคนลงมือก่อเหตุจะเป็นกลุ่มเดียวกัน ตนยังอยู่ในอาการตกใจ เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งตนทำงานเป็นรปภ.มาเกือบ 20 ปีแล้ว

โซเชียลชื่นชม 'เอก บางแสน' ช่วยเหลือคุณยายวัย 79 ใช้ชีวิตลำพัง ไร้ลูกหลาน เจ้าตัวเผย!! "ผมเกลียดความจน แต่ไม่เคยรังเกียจคนยากจน"

(29 ก.ย. 67) 'เอก บางแสน' พ่อค้าออนไลน์ ที่ขายกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง มานานกว่า 10 ปี ได้โพสต์คลิปโมเมนต์ใจฟู ที่ดูแล้วทำเอาน้ำตาคลอ หลังไปช่วยเหลือ คุณยายวัย 79 ปีท่านหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ตามลำพัง ไม่มีญาติ และลูกหลานคอยอยู่ช่วยดูแล 

ซึ่งคุณยายคนนี้มีอาชีพเก็บของเก่าขาย อยู่ในจังหวัดชลบุรี และได้เจอกับ 'เอก บางแสน' โดยบังเอิญ และเห็นว่าคุณยายคนนี้น่าสงสาร เพราะอยู่ลำพังคนเดียว และหาเลี้ยงชีพตัวเองเท่าที่ทำได้ โดยไม่ได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากใคร

ในคลิปวิดีโอดังกล่าว เอก บางแสน ได้นำเอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปมอบให้คุณยาย รวมถึงที่นอนใหม่ เพราะเบาะรองนอนของยายชิ้นเก่า แทบจะไม่เหลือสภาพที่จะสามารถนอนได้แล้ว นอกจากนั้น ยังมอบเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ยายไว้ใช้ยังชีพตัวเอง

ส่วนอีกคลิปหนึ่งที่ดูแล้วใจฟู คือ คลิปที่พายายคนดังกล่าว นั่งรถหรู Lamborghini (ลัมโบร์กีนี) ไปทานข้าวที่ร้านอาหาร ซึ่งขณะนั่งทานข้าว อยู่ ๆ ยายก็ร้องไห้ออกมา เพราะซึ้งใจ ที่ยังมีบุญวาสนา มีคนใจดี คอยช่วยเหลือขนาดนี้ ที่สำคัญ ตอนแรก คุณยายจะไม่ยอมมากับ เอก บางแสน เพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลาไปเก็บของเก่าขายและขาดรายได้ วันนี้ เอกบางแสน จึงออกเงินค่าจ้างให้ยายมาร่วมทานข้าวในวันนี้ด้วย

เอก บางแสน ตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ลำบาก ด้วยการนำเงินรายได้ที่ได้จากการขายกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง มาช่วยเหลือผู้คน เพราะในสมัยเด็ก ชีวิตของเอก บางแสนนั้นลำบากมาก จนบางวันไม่มีเงินกินข้าว จึงเข้าใจความยากลำบากนี้ดี

โดยเอก บางแสนได้แสดงความคิดเห็นใต้คลิปของตัวเองว่า "ผมเกลียดความจนครับ❗️แต่ผมไม่เคยรังเกียจคนจนครับ บนโลกใบนี้ไม่มีใครอยากเกิดมาจนหรอกครับ ✌️🥰"

ทั้งนี้ เมื่อคลิปเผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

-ขอบคุณนะคะที่ดูแลคุณยาย ความดีทำแล้วมีความสุขมีความภาคภูมิใจในตัวเรา คะ ใครจะไม่มองเห็นหรือใครไม่ทราบซึ้งก็ไม่เป็นไร แต่หัวใจของเรา นั้นอิ่มเอมในหัวใจและจิตใจของเราตลอดกาล ความรักและความเมตตาสงสาร เห็นใจ ช่วยเหลือให้กับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้มีความสุขและ เป็นกำลังใจ ช่วยเหลือ ความทุกข์ นั้นหมดไป.คุณคือคนที่สังคมต้องการ เพราะว่าคนเราทุกวันนี้ ขาดแคลนความมีเมตตากรุณา และผู้เสียสละ คะ หากมีคนอย่างคุณในจำนวนที่มาก คนบนโลกนี้คงมีความสุขมากกว่านี้คะ💕🌈💐😘😘🔋🌼🍀🌏🏡💕💕

-คุณยายคงดีใจมากๆ เพราะยายคงรู้สึกโดดเดี่ยวและลำบากมานาน พอคุณเอกมาช่วยเหลือแบบนี้ยายคงใจฟูและมีกำลังใจมากขึ้น ขอบคุณที่มาเติมเต็มให้คุณยายมีความสุขนะคะ

-น้ำตาคลอตามคุณยายเลยค่ะ อาหารมื้อนี้คุณยายต้องอร่อยมากๆ ปลื้มแทนคุณยาย ไม่ใช่ลูกหลานยังแวะมาหามาดูแล จากที่คุณเอกให้คุณยายไป ไม่ว่าเงินรึสิ่งของ ขอให้ผลบุญนั้นกลับคืนให้คุณเอกเป็นพันล้านแสนล้านเลยนะคะ 🥰❤️

-ปลื้มใจขอให้น้องเจริญๆๆๆนะครับเหมือนเมวดามาโปรดยายนะ บุญของยายด้วยนะ

สามารถติดตาม คลิป โมเมนต์ใจฟูได้ที่ : https://www.facebook.com/share/v/9T4Vjc5KgANjRToS/?mibextid=ox5AEW 

https://www.facebook.com/share/v/NcAHWLYsh36cEiUa/?mibextid=ox5AEW

'ดร.ธรณ์' ชี้ 'โลกร้อน-ทะเลเดือด' ทำให้เกิด 'ซอมบี้เฮอริเคน' เข้าฝั่งแล้วอ่อนแรง แต่เด้งลงทะเล เร่งความแรงแล้วกลับเข้ามาใหม่

(29 ก.ย. 67) เฟซบุ๊ก 'Thon Thamrongnawasawat' หรือ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ระบุข้อความว่า...

“โลกร้อนทะเลเดือดทำให้เกิดซอมบี้เฮอริเคน 

'zombie herricane' เป็นศัพท์ทั่วไป ใช้อธิบายถึงพายุที่ไม่ยอมตาย เข้าฝั่งแล้วอ่อนแรง แต่เด้งลงทะเลและเร่งความแรงกลับเข้ามาใหม่ เฮอริเคนจอห์น ที่เพิ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักให้เม็กซิโก คือพายุซอมบี้ล่าสุด พายุหมุนเกิดในทะเล ได้พลังจากความร้อนของผิวน้ำ น้ำทะเลที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิด 2 ปรากฏการณ์ของพายุในยุคโลกร้อน

ข้อแรกคือพายุทวีความแรงขึ้นอย่างเร็ว ยางิใช้เวลา 48 ชม. จากโซนร้อนเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น จอห์นที่เป็นแค่ดีเปรสชั่นในบ่ายวันที่ 22 กลายเป็นเฮอริเคนระดับ 3 ในวันที่ 24 ก่อนเข้าฝั่งเม็กซิโกด้วยความเร็วลม 195 กม./ชม. แต่จอห์นยังมีข้อ 2 ข้อสองคือจอห์นไม่ยอมสลายทั้งที่เข้าฝั่งแล้ว บางส่วนของพายุกลับไปสู่ทะเล น้ำที่ร้อนจัดทำให้กลายเป็นเฮอริเคนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ก่อนเข้าฝั่งเป็นหนสอง

จอห์นจึงเป็นเสมือนซอมบี้ พายุไม่ยอมตาย เพื่อนธรณ์ลองดูภาพประกอบ จะเห็นจุดสีฟ้าเป็นแค่โซนร้อน ไล่เข้าไปหาฝั่ง กลายเป็นจุดสี หมายถึงเฮอริเคนระดับต่าง ๆ ชนฝั่ง พายุกลับออกมาเป็นโซนร้อน ก่อนเร่งเป็นจุดสี แปลว่ากลายเป็นเฮอริเคนอีกครั้ง ก่อนจะเข้าฝั่งในระดับ 1 

Acapulco คือเมืองที่โดนหนสอง เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง สร้างความเสียหายให้กับเมืองที่เพิ่งฟื้นจาก Otis เมื่อปีก่อน Otis คือพายุที่เร่งความแรงเร็วสุด ๆ จากโซนร้อนกลายเป็นเฮอริเคนระดับ 5 ถล่มเมืองแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยความเร็วลมถึง 266 กม./ชม. (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วครับ ปลายเดือนตุลา ปีก่อน)

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศบอกว่า ความร้อนที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 90% ถูกดูดซับโดยทะเล จนทะเลอั้นไม่ไหว ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด จะทำให้พายุผิดปรกติเกิดมากขึ้นในอนาคต 

ทั้งข้อ 1 และข้อ 2 น้ำทะเลที่ทำให้เกิดพายุซอมบี้จอห์น ร้อน 32 องศา Speedy Zombie และ Rain bomb คือศัพท์ใหม่ที่เราไม่อยากได้ยิน แต่มันจะมีมาบ่อยขึ้น เพราะเราหยุดก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ ขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียในเม็กซิโกครับ

วันนี้ผมจะไปเล่าให้ฟังเพิ่มที่ FM99 ตอนเที่ยงครึ่ง และก็ไปเล่าบนเวที SX (ศูนย์สิริกิติ์) บ่ายห้าโมง เพื่อนธรณ์สนใจติดตามได้ครับ”

รมว.กต.กล่าวถ้อยแถลง UNGA ครั้งที่ 79 ย้ำนโยบายรัฐบาลมี ปชช.เป็นศูนย์กลาง เน้นยั่งยืน - แนะ UN พร้อมรับมือความท้าทาย-แก้ความไม่สงบโลก - หวังไทยได้เข้าร่วม OECD และ BRICS

(29 ก.ย. 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ หรือ UNGA ครั้งที่ 79  ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก โดยได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทย ในการดำเนินนโยบายรัฐบาลแบบมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดแนวนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 

นายมาริษ ยังกล่าวถึงความสำคัญของการปฏิรูปสหประชาชาติ เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในโลกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างเสริมความเข้มแข็งของกระบวนการเพื่อสันติภาพ และความมั่นคง ให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในภูมิภาคทั่วโลก พร้อมยังยกตัวอย่างสถานการณ์ในเมียนมาที่ไทยให้ความสำคัญในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ทั้งการส่งเสริมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพในเมียนมาที่ควรเกิดขึ้นจากภายในเมียนมาเอง และไทยพร้อมสนับสนุนความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง

นายมาริษ ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs โดยไทยพร้อมสร้างสะพานเชื่อม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างโลกเหนือกับโลกใต้ ผ่านความตั้งใจที่จะเข้าเป็นสมาชิก OECD และ BRICS ซึ่งสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลก อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนและทุกประเทศทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงมนุษย์ พร้อมยังได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทย ที่จะปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสำหรับทุกคน ผ่านการผลักดันความยุติธรรมและความเท่าเทียมในสังคม โดยกล่าวถึงการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ HRC วาระปี ค.ศ. 2025-2027 ของไทยด้วย

นายมาริษ ยังได้เน้นย้ำถึงการสร้างอนาคตร่วมกันของโลก โดยให้ทุกคนได้รับการปกป้อง และมีความเจริญรุ่งเรือง ผ่านความมุ่งมั่นทางการเมือง เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลกไปด้วยกัน และแสดงความพร้อมของไทยในการเป็นสะพานเชื่อม ส่งเสริมการเจรจาและความเชื่อใจระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ หรือ UNGA ครั้งที่ 79 นายมาริษ ยังได้พบปะผู้แทนสมาคมไทย ภาคธุรกิจ และภาคสื่อมวลชนไทยที่อาศัยอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยได้กล่าวถึงความสำคัญกับการต่างประเทศที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และชื่นชมชุมชนไทย ที่มีความเข้มแข็ง และมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในภารกิจของสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ ที่พร้อมรับฟังข้อคิดเห็น และประเด็นห่วงกังวลเพื่อหาแนวทางความร่วมมือ และการให้สนับสนุนต่อไป

'เพจดัง' แชร์ภาพแม่ตั๊กร่วมวงกินข้าวกับตำรวจหลายนาย อ้าง!! แบ็กดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ฟากชาวเน็ตหวั่นคดีไม่คืบหน้า

(29 ก.ย. 67) กรณีที่ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือแม่ตั๊ก เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและห้างเพชรทองเคทูเอ็น ถนนหทัยราษฎร์ เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ถูกลูกค้าที่ซื้อทองรูปพรรณออนไลน์โพสต์ลงโซเชียลฯ ว่านำทองที่ซื้อไปขายที่ร้านทองเจ้าอื่นแล้วไม่มีร้านไหนรับซื้อ เพราะไม่มีเปอร์เซ็นต์ทองและไม่มียี่ห้อ ทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่ซื้อทองออนไลน์เอาไว้เพื่อเก็งกำไรแห่เอามาขายคืนที่ร้าน เพราะเชื่อว่าเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ และยังมีลูกค้าส่วนหนึ่งแจ้งความกับตำรวจ แต่เมื่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เรียกไปให้ถ้อยคำ ปรากฏว่าแม่ตั้ก และนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ สามี หลบหน้า ขอเลื่อนให้ถ้อยคำเมื่อวันศุกร์ที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา อ้างว่าขอจัดการซื้อทองรูปพรรณคืนจากผู้เสียหายให้เรียบร้อยก่อน

ล่าสุด เฟซบุ๊ก 'อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ' โพสต์ภาพขณะที่แม่ตั๊กกำลังจิบไวน์กับผู้อื่น พร้อมข้อความระบุว่า...

"เป็นแม่ค้าออนไลน์ ที่มีตำรวจมาดื่มไวน์ถึงบ้าน แบ็คดีมีชัยกว่าครึ่ง ระดับบิ๊กใหญ่ใน ปคบ. ล่าสุดทำไมต้องซ่อนรูป ซ่อนโพสต์กันยกแก๊ง" 

และโพสต์อีกภาพระบุว่า "เจอบ่อยซะด้วย" 

ทำให้ชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะกระทบกับการทำสำนวนคดี เพราะมีผู้เสียหายรวมตัวแจ้งความเอาผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ขณะที่ตำรวจ บก.ปคบ.เตรียมออกหมายเรียกตัวมาแจ้งข้อหา และตำรวจ บก.สอท. จ่อดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึง ปปง. เตรียมเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สิน

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับนายตำรวจที่อยู่ในภาพ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือน ส.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในรูปเป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. ระดับรอง ผกก. สังกัดอยู่ที่ บก.ปอท. และ ร.ต.ต. (นรต.53) ประจำอยู่ที่ กก.4.บก.ปคบ. ส่วนอีกรายเป็นตำรวจสังกัดอยู่ บช.สอท. คาดว่าตำรวจทั้งหมดที่อยู่ในภาพน่าจะรู้จักกับแม่ตั๊ก ชวนกันไปกินข้าว

พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. กล่าวถึงกรณีมีเพจสื่อมวลชนลงภาพตำรวจนั่งกินข้าวกับแม่ตั๊ก ที่ห้องอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ระบุว่าเป็นตำรวจระดับสูง บก.ปคบ. และ บช.สอท. ว่า ได้สั่งการให้ตรวจสอบภาพข่าวจากเพจดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ตำรวจที่นั่งกินอาหารอยู่กับแม่ตั๊กนั้น ไม่ได้เป็นตำรวจระดับสูงของ บก.ปคบ. เท่าที่ทราบเป็นตำรวจระดับยศ พ.ต.ท. ตำแหน่งรองผู้กำกับการ ไม่ได้สังกัด บก.ปคบ. ส่วนในนั้นมี 1 ราย เป็นตำรวจยศ ร.ต.ต. อยู่ใน บก.ปคบ. แต่ไม่ใช่ กก.1.บก.ปคบ. ส่วนอีกรายเป็นตำรวจจากหน่วยงานอื่น ขณะนี้กำลังให้ตรวจสอบตำรวจที่อยู่ในรูป พร้อมทั้งให้ทำรายงานชี้แจงไปแล้ว

'แม่ค้า' โอด 'กินเจ 67' ผักแพง!! ผลจากน้ำท่วมหลายพื้นที่ ประชาชนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันซื้อ 'ผักจัดชุด' แทน

(29 ก.ย.67) ผู้สื่อข่าวได้ออกไปสำรวจราคาผักสดในตลาดสดเทศบาลเมืองศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบว่าหลังจากในพื้นที่หลายจังหวัดมีฝนตกหนัก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ส่งผลทำให้พืชผลทางการเกษตรประเภทผักสด ถูกน้ำท่วมจนได้รับความเสียหาย โดยพบว่าเทศกาลถือศีลกินเจในปีนี้ ผักแต่ละชนิดปรับราคาแพงขึ้นประมาณ 10 - 20 บาท ต่อกิโลกรัม

ด้านนางกรรณิกา ศิริวงษ์ แม่ค้าขายผักสดในตลาดเทศบาลเมืองศรีราชา กล่าวว่าในช่วงก่อนเทศกาลถือศีลกินเจในวันที่ 3-11 ต.ค.นี้ ช่วงนี้ราคาผักเริ่มขยับราคาขึ้นเป็นบางอย่างแต่ที่แพงสุดก็คงจะเป็นผักขึ้นฉ่าย ซึ่งตอนนี้พุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 180 บาท และคาดว่าราคาผักต่าง ๆ อาจจะขยับขึ้นอีก 5-10 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อถึงช่วงเทศกาลกินเจจริง ๆ สำหรับราคาผักแต่ละอย่างในตอนนี้

อาทิ ผักขึ้นฉ่ายราคา กก.ละ 180 บาท หัวไชเท้าราคา กก.ละ 35-40 บาท ผักกาดขาวราคา กก.ละ 45-50 บาท ผักกวางตุ้งราคา กก.ละ 35-40 บาท คะน้าราคา กก.ละ 40-50 บาท กะหล่ำปลีราคา กก.ละ 45-50 บาท ถั่วฝักยาวราคา กก.ละ 60-70 บาท มะระราคา กก.ละ 50 บาทผักบุ้งจีน 40-50 บาท 

ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทำให้ผลิตผลการเกษตรเสียหาย และต้นทุนการขนส่งเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลกินเจอีกด้วย ซึ่งในส่วนของผู้มาจับจ่ายเข้าใจในสถานการณ์ดังกล่าว ยังมาจับจ่ายกันเช่นเดิมแต่อาจลดจำนวนลงบ้าง

ประชาชนผู้บริโภคบอกว่ายิ่งใกล้กินเจ ราคาผักก็จะขยับขึ้นอีกเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกประสบปัญหาน้ำท่วมจึงต้องปรับลดในการซื้อ โดยปกติจะซื้อครั้งละครึ่งกก.และ 1 กก. แต่ตอนนี้ปรับลดในการซื้อโดยจะเลือกซื้อเป็นตะกร้าที่แม่ค้าจัดไว้ให้แล้ว โดยราคาตะกร้าละ 50-60 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top