Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

เชียงใหม่-ทึ่ง!!คนแห่เที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่ ยอดรายได้ทะลุ 1.4 ล้านบาท

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาววันพืชมงคล 3 วัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวได้เข้าชมสวนสัตว์เชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เก็บรายได้มากถึง 1,400,000 บาท เพียง 3 วันเท่านั้น สูงสุดในรอบ 15 ปีซึ่งเฉลี่ยปีละ 550,000บาท ในช่วงวันพืชมงคลของทุกปี จากการสอบถามผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ทราบว่า สวนสัตว์ฯได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวหลาก หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสัตว์มากขึ้น 

เช่น มีการจำหน่ายคูปองเพื่อนำคูปองไปรับอาหารสัตว์ตามจุดที่กำหนดได้แก่ ฮิปโปโปเตมัส สัตว์แอฟริกา  สัตว์ตระกูลกวาง และช้างพัง 3 เชือก มีการจัดทัวร์รอบสวนสัตว์ให้กับนักท่องเที่ยวมีผู้นำชมเสมือนไปทัวร์ต่างประเทศ และกิจกรรมทัวร์หลังบ้านให้อาหารฝูงเพนกวินที่น่ารัก ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความชื่นชอบและมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วงนี้สวนสัตว์เชียงใหม่ได้ทำการเปิดสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ทะเลบนดอย กับความหลากหลายของสายพันธุ์ปลานานาชนิด ตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของสัตว์น้ำต่างๆ คลายร้อนที่สโนว์บัดดี้วินเทอร์แลนด์ สัมผัสอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส ภายในสวนสัตว์ยังมี กิจกรรมต่างๆ ให้บริการอีกมาก ชม การแสดงพฤติกรรมสัตว์ multi animal behavior 

ที่น่ารักของสัตว์ สักการะพระนวพุทธมหาบารมี พระศรีสักยมุนีสัตตะบุรีลวบูชา ที่โบราณสถาณวัดกู่ดินขาว อายุมากกว่า 1,000 ปี ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ภายใต้การจัดภูมิทัศน์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่อีกด้วย สวนสัตว์เชียงใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยคุณภาพทุกด้านเพื่อยังคงเป็นสวนสัตว์ฯ ลำดับต้นๆของเมืองไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ และยังคงเป็น“สวนสัตว์แห่งความสุขของทุกชีวิต“ ด้วยกิจกรรมหลากหลายราคาประหยัด"คนมีความสุข สัตว์สุขภาพดี” ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวทิ้งท้ายและขอบพระคุณนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน ที่มาเยี่ยมชม ในครั้งนี้

นภาพร/เชียงใหม่

สตูล จัดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ร่วมกับโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน”

ที่โรงเรียนบ้านแประ-ใต้ หมู่4 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานพิธีเปิดโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” และโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.จังหวัดสตูล โดยมีนายชัยวุฒิ บัวทอง ปลัดจังหวัดสตูล นางสาวธัญรัศม์ ไตรพันธ์รัชตะ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น แพทย์ พยาบาล สมาชิก พอ.สว. และสมาชิกเหล่ากาชาดสตูล ร่วมให้บริการประชาชนกันอย่างพร้อมเพรียง โดยมี นายหร่ออ๊บ มุเส็มสะเดา นายอำเภอท่าแพ พร้อมด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และผู้นำท้องที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

โอกาสนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และคณะ ได้ร่วมมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ตลอดจนคนพิการในพื้นที่ จากนั้นเดินเยี่ยมชมกิจกรรมในบูธของส่วนราชการต่างๆ และร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 2 ราย ซึ่งได้มอบถุงยังชีพเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อการดำรงชีพและเงินปัจจัยจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และลงพื้นที่พบปะผู้นำศาสนาในพื้นที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ อีกด้วย โครงการจังหวัดเคลื่อนที่ เป็นโครงการที่จังหวัดสตูลจัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในเชิงรุก โดยให้ส่วนราชการต่างๆ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่มาเพื่อให้บริการและเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในด้านต่างๆ และได้รับทราบถึงปัญหาในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ถูกต้อง ซึ่งภายในกิจกรรมมีบริการตลาดนัดแก้หนี้ ด้านการเกษตร แรงงาน ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การฝากเงินออม การเลือกใช้พลังงานทางเลือก การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจำหน่ายสินค้าราคาถูก และแจกพันธุ์กล้าไม้ฟรีแก่ประชาชนที่สนใจ รวมถึงหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ร่วมออกให้บริการดูแลรักษา แนะนำการตรวจสุขภาพด้วยตนเอง เช่น มะเร็งเต้านม การตรวจรักษาโรคทั่วไป และตรวจรักษาทันตกรรม เป็นต้น

สำหรับพื้นที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 26 กิโลเมตร ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน และลูกจ้างภาคการเกษตร ซึ่งได้รายงานประเด็นปัญหาและความต้องการของประชาชนพื้นที่คือ ประชาชนขาดแคลนน้ำใช้อุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง , ปัญหาการปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่องสว่าง หมู่ที 1-6 และปัญหาสภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อไม่สะดวกในการสัญจร เป็นต้น โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำไปพิจารณาวางแผนและกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป
นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

‘ดร.ธรณ์’ สวนกระแสแสงเหนือ แชร์ภาพหาดูยาก ‘ทะเลขึ้นรา’ ชี้!! ผลจากก๊าซเรือนกระจก-น้ำทะเลร้อน ทำปะการังฟอกขาว

(13 พ.ค. 67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า…

“ภาพแสงเหนือขึ้นเต็มฟีด ขอผมลงบ้าง นี่คือภาพหาดูยากยิ่ง ‘ทะเลขึ้นรา’ จะเกิดเมื่อก๊าซเรือนกระจกสะสมอยู่เต็มฟ้า อุณหภูมิโลกสูงทะลุขีดจำกัด น้ำทะเลร้อนเกินเส้นวิกฤต ปะการังฟอกขาวเห็นชัดแม้บินสูงเท่านก ก่อเกิดเป็นปรากฏการณ์ทะเลขึ้นรา จากนั้นทุกอย่างก็ตายหมดสิ้น โลกลุกเป็นไฟ ตายหมดท้องทะเล”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่ายเดินหน้าโครงการ “อาสาตาจราจร”มอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณแก่พลเมืองดี ส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ช่วยคนดีชี้คนผิด

วันนี้ (13 พ.ค. 2567) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท. นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ คุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 30 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 150,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย

นพ.แท้จริงฯ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง  สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยประชาชนเรื่องการเมาแล้วขับ โดยสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากฐานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน พบว่าผู้ขับขี่ที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ เป็นสาเหตุของความสูญเสียจากอุบัติเหตุ 1 ใน 5 อันดับที่เกิดสูงสุด ตามกฎหมายผู้ขับขี่ที่ดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมีโทษทั้งจำคุก และโทษปรับ หากกระทำผิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 ในระยะ 2 ปีจากครั้งแรก จะได้รับโทษที่สูงขึ้นเป็นปรับสูงสุด 1 แสนบาท และจำคุกไม่เกิน 2 ปี รวมถึงอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ได้ ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ดังนั้น หากรู้ว่าตนเองมีอาการมึนเมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง โดยให้ใช้บริการรถสาธารณะ หรือให้อาศัยการเดินทางกับเพื่อน หรือคนในครอบครัวแทน จะทำให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเองและผู้ใช้ถนนโดยส่วนรวม ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจรกับผู้ที่ดื่มแล้วขับทุกพื้นที่อย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง

‘ชาวบุรีรัมย์’ เข้าป่าหาเห็ด พบภาพแกะสลักหินโบราณรูปสตรี คาด!! เป็น ‘พระนางสิริมหามายา’ ล่าสุดรอเจ้าหน้าที่รุดตรวจสอบ

(13 พ.ค.67) ถือเป็นอีกหนึ่งการค้นพบโดยบังเอิญที่ชวนทึ่งไม่น้อย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ประมูล กองกระโทก’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ไปเก็บเห็ดเจอสิ่งนี้ค่ะอยู่มานานเพิ่งรู้บ้านเรามีสาธุๆๆๆ

สำหรับสิ่งที่พบเจอคือภาพแกะสลักหินโบราณรูปสตรีมีใบหน้าสมบูรณ์ ซึ่งหลังจากนั้นได้ผู้มาโพสต์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สถานที่พบภาพหินแกะสลักดังกล่าวอยู่ที่ บนเขากระเจียว ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Supachai Nong’ ได้ออกมาโพสต์ถึงการค้นพบภาพแกะสลักหินดังกล่าวว่า

สรุปเป็นตามที่คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็น ‘พระนางสิริมหามายา’ ขณะเหนี่ยวกิ่งสาละ (อยากเห็นรอบๆ รูปสลักนี้มากๆ) ส่วนศิลปะยุคไหนก็คงต้องรอกรมศิลป์

อย่างไรก็ตาม การค้นพบโดยบังเอิญครั้งนี้ หลังจากนี้คงต้องให้กรมศิลปากร นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบค้นต่อไป ว่าเป็นศิลปะในยุคสมัยใด มีอายุเก่าแก่ประมาณเท่าใด?

ทั้งนี้ สำหรับ ‘พระนางสิริมหามายา’ หรือ ‘มายาเทวี’ เป็นพระมารดาของพระโคตมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ และเป็นพระเชษฐภคินีของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา

เอกสารทางพุทธศาสนาระบุว่า พระนางสิริมหามายาสวรรคตหลังประสูติการพระโคตมพุทธเจ้าได้เพียง 7 วัน เพราะสงวนครรภ์ไว้แด่พระโพธิสัตว์เพียงพระองค์เดียว หลังจากนั้นพระองค์จึงจุติบนสวรรค์ตามคติฮินดู-พุทธ ส่วนพระราชกุมารนั้นได้รับการอภิบาลโดยพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระขนิษฐาที่ต่อมาได้เป็นอัครมเหสีในพระเจ้าสุทโธทนะ

‘ตุ๊กตุ๊ก-รถแดงเชียงใหม่’ โอด!! ใกล้วิกฤต หลังแอปฯ ต่างชาติเกลื่อนเมือง ชี้!! รายได้หด-รายจ่ายเท่าเดิม ฟาก ‘ชาวเน็ต’ ซ้ำ!! “ทำตัวเองล้วนๆ”

(13 พ.ค.67) กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์จำนวนมาก หลังจากที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่ม “กลุ่ม เชียงใหม่108 CM108” ที่มีสมาชิกมากกว่า 1.4 หมื่นคน โดยระบุว่า... 

“ตุ๊กตุ๊ก รถแดงเชียงใหม่ ตอนนี้ใกล้ถึงทางตันพอหมดฤดูกาลท่องเที่ยวแทบจะขายรถ รายที่เช่าก็ต้องคืนรถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางครอบครัว ตกงาน ส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยเกษียณ

สาเหตุหลักก็คือ แกร๊บต่างชาติเกลื่อนเมือง ซึ่งตอนนี้เยอะมากในเมืองเชียงใหม่ เทียบกับสมัยก่อนที่ยังไม่มีแกร๊บเข้ามาตุ๊กตุ๊ก รถแดงพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่ตอนนี้หน้ามือเป็นหลังมือ

ถึงทางตันไปต่อไม่ได้ อนาคตคงเหลือแต่ภาพถ่ายและอนุสรณ์ตั้งโชว์หน้าร้านอาหาร อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ

อยากวิงวอนหลายฝ่ายให้ช่วยกันกู้ชื่อเสียงตุ๊กตุ๊ก รถแดงของบ้านเรากลับคืนมาดังเดิมจะดีมากก่อนที่มันจะสายไปครับ”

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

- “ก่อนอื่นปรับปรุงที่คนขับรถก่อนเลย เจอมากับตัว รถแดงจากกาดสวนแก้วมาขนส่งช้างเผือก อู้เมือง 20.- พูดไทย 50.- จากกาดสวนแก้วไปเชียงใหม่แลนด์ 80.- ขากลับนั่งอีกคันมา 50.- รอบสุดท้ายที่ตัดสินใจบ่นั่งรถแดงอีกเลย มากัน 5 คน ขึ้นหน้าธนาคารปากซอย ตวด.มาปั๊มเชลข้างกาดสวนแก้ว บอกจะเอาคน 50.- ตัดสินใจพากันเตวมาเอาเจ้า ตั้งแต่หั้นมาก่บ่ขึ้นอีกเลยรถแดง”

- “ทำตัวเองครับ ผมมาจากเชียงใหม่ครั้งแรกนั่งตุ๊ก ๆ ไปธุระตกลงราคาเรียบร้อยขับไประหว่างทางตอนช่วงดึกเขาไปเจอฝรั่งกำลังยืนอยู่ข้างทางอยู่ดี ๆ ก็เบรครถแล้วหยุดไปถามไถ่แล้วไล่ผมลงตรงนั้นเอาฝรั่งไปแทนผมก็จำไม่ลืมจนทุกวันนี้ 7 ปีมาแล้วที่ไม่เคยกลับไปนั่งตุ๊ก ๆ ส่วนรถแดงผมขึ้นจากแยกไนท์พลาซ่าแล้วมาลงหน้าโรงพยาบาลราชเวชเรียกเก็บเงินผมเป็นร้อยแต่คนอื่นลงจุดเดียวกันและนั่งมาไกลกว่าผมจ่ายแค่ 40 บาทรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบไหมครับนั่งระยะทางมาสั้นกว่าเขาแต่เราเรียกเขาแล้วเขาจอดรับกลับมาเรียกเก็บเรา 100 บาทเพียงเพราะว่าเป็นคนต่างถิ่น”

“เรียก…ไม่มีแบ่งแยกคนเชียงใหม่คนต่างจังหวัดราคาเท่ากัน นักท่องเที่ยวไม่ใช่โง่ เทศกาลก็ฉวยโอกาสขึ้นราคาโขกสับคนไทยด้วยกัน แต่…คงราคาเดิมอาจจะเพิ่มนิดหน่อยแต่ยอมรับได้ แล้วใครเขาจะไปใช้รถแดง ส่วนตัวนั่ง… บริการดีพูดจาดีนี่กดทิปให้ด้วย”

“ล่าสุด จะเหมากลับสันกำแพง…เจอรถแดงบอก 500 กด… จ่ายแค่ 215 บาท เป็นคุณจะเลือกอะไรครับ คิดแต่ให้คนอื่นกู้ชื่อเสียง แต่รถแดงกลับไม่คิดจะกู้ชื่อเสียงตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองเป็น ‘สัญลักษณ์’ ของเชียงใหม่แล้วมาบอกให้คนอื่นมาอุ้มครับ รถแดงเป็นเอกชนครับ ไม่ปรับตัวตามโลกก็ดับหายไป”

“สองแถวที่กรุงเทพ ต้องแข่งกะอะไรบ้าง แต่ที่สุดแล้ว ราคาเขาชัดเจน ไม่โขกราคา เขาถึงว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน รับสภาพไปจ้าววว”

“คอมเม้นเป็นเอกฉันท์ ที่วิกฤตเพราะตัวเองทั้งนั้น”

“นี่ไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ หรือตีมึนแล้วไปโทษแต่…”

“ล่าสุดไปเที่ยวแถว Zoey กลับดึกเรียกรถในแอพไม่มีสักคัน เจอตุ๊ก ๆ ผ่าน เราก็บอกจะไปรวมโชค นางบอก 500 ครับ (กูนี่โบกมือบ๊ายบายเลย)”

“จอดรถให้มันถูกที่ให้เป็นก่อน เกะกะมาก อยากจอดไหนจอด”

“โลกมันคือการแข่งขัน คุณแค่ต้องปรับตัวสู้กับเค้า ไม่ใช่มางอแง… หรือสู้เค้าไม่ได้ ก็แค่เข้าร่วม…มันจะไปยากอะไร”

“พฤติกรรมนำพาชะตาชีวิต”

‘วราวุธ’ กำชับ!! ศรส.ปทุมธานี รุดช่วยยายวัย 67 ปี หลังนอนจมอุจจาระ-ปัสสาวะ ในห้องเช่าเพียงคนเดียว

(13 พ.ค. 67) นางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคุณยายอายุ 67 ปี ด้วยการงัดห้องเช่า เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ที่ จังหวัดปทุมธานี ว่า ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนและศูนย์กลางการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ได้สั่งการให้ ศรส.จังหวัดปทุมธานี ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายโดยด่วน หลังได้รับการประสานงานจากเทศบาลตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า วันที่ 12 พ.ค. 67 ศรส.จังหวัดปทุมธานี , กันจอมพลัง , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคุณยาย โดยได้งัดห้องเช่า พบว่า คุณยายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว มีสภาพอิดโรย นอนจมอุจจาระและปัสสาวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อ 2 เดือนก่อน โดยจะมีเพื่อนบ้าน อสม. อพม. คอยเข้ามาช่วยดูแล แต่มีน้องสาวทำงานที่กรุงเทพฯ จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ด้วยการส่งเงินเป็นรายเดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง จึงไม่สามารถรับพี่สาวไปดูแลได้ 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า ได้นำคุณยายไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาการอาการป่วยในเบื้องต้น อีกทั้งจะดำเนินการติดตามหาญาติพี่น้องของคุณยายเพิ่มเติม อีกทั้ง เมื่อโรงพยาบาลได้สิ้นสุดการรักษาคุณยายแล้ว ศรส.จังหวัดปทุมธานี จะรับตัวเพื่อเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จังหวัดปทุมธานี อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง หรือประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ขอให้รีบโทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่าน สายด่วน พม. 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' แชร์บทเรียนชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ผ่านมรสุมชีวิตมาได้ถึงวันนี้ เพราะพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 

(13 พ.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' โดยคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ได้แชร์บทเรียนจริงของครอบครัวช่วงที่ต้องพบเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ไว้ว่า...

ย้อนกลับไปปี 2540 ทำไมประเทศไทยถึงต้องเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ต้นเหตุ มันไม่ได้มีแค่การไร้ความสามารถของรัฐบาล หรือการฝืนต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การบริหารงานที่ผิดพลาดมันเหมือนไปกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ของปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ทั้งการเติบโตแบบไร้ทิศทาง เงินเฟ้อสูงเรื้อรัง ค่าแรงพุ่งจนทำให้ศักยภาพแข่งขันอ่อนลง การปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของสถาบันการเงิน การเปิดเสรีการเงิน (BIBF) ของรัฐบาลก่อนหน้า เปิดช่องให้เอกชนกู้เงินต่างประเทศ จนหนี้ระยะสั้นมีสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 เท่า ขณะที่ธนาคารกลางคงค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นช่องรูโหว่ใหญ่ให้ จอส โซรอส ถล่มค่าเงินบาท ทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหลอ เกิดหนี้เสียในระบบการเงินมากมายและลุกลามต่อเนื่องจนประเทศต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลาย 

เศรษฐกิจไทยพังพินาศ รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือการเงินจาก IMF ดัชนีตลาดหุ้นไทยดำดิ่ง 2539-2540 ร่วงไป -90% บริษัทต่าง ๆ พากันปิดกิจการ ต้องตัดขายสินทรัพย์ให้บริษัทข้ามชาติในราคาแสนถูก คนตกงานมากมายจนต้องพากันมาเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด

ครอบครัวของผมก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ความทรงจำในตอนนั้น คือความสงสัย เหตุใด ครอบครัวเราที่ขยันทำมาหากินอยู่ดี ๆ ต้องลำบากมากขึ้น สินค้าที่นำเข้ามาขายต้องจ่ายในราคาแสนแพง (เพราะเชื่อผู้นำประเทศตอนนั้นว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท) แต่ต้องขายต่อในราคาแสนถูกเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ การเค้าซบเซาและขาดทุนหนัก ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อแม่มาสารภาพบอกว่าเงินทุนการค้าไปจมสูญไปในตลาดหุ้นและที่ดิน แถมมีหนี้ก้อนมหาศาลที่แม่หยิบยืมมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเพื่อเอามาใช้จ่ายและหมุนเวียนทำการค้า (เงินการค้าเอาไปเล่นหุ้น)

ผมจำภาพวันที่ผมกลับจากโรงเรียนมาถึงหน้าบ้าน พี่สาวรีบวิ่งมาเปิดประตูแล้วบอกผมว่า พ่อจะฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะให้ครอบครัวได้เงินประกันชีวิต

นั่นคือความอ่อนแอของพ่อ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ตอนนั้นผมเข้าใจพ่อเป็นอย่างดี ทำงานมาด้วยความเหนื่อยยาก 20 กว่าปี สุดท้ายนอกจากจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังต้องติดลบหนักอีกต่างหาก

พ่อผมเริ่มตั้งสติ และค่อย ๆ วางแนวทางแก้ไขปัญหา พ่อต้องเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารอีกครั้ง (พ่อเพิ่งปลดบ้านจากธนาคารได้ไม่นาน) พ่อดึงบัญชีจากแม่มาคุมเองทั้งหมด พ่อเลิกจ้างคนงาน และให้ลูกทุกคนช่วยงานหนักขึ้น (ปกติก็ช่วยงานหนักอยู่แล้ว) พ่อสั่งให้ทุกคนประหยัด ประหยัดในที่นี้คือประหยัดสุด ๆ อาหารในแต่ล่ะมื้อจากที่เคยกินกันอิ่มหมีพีมัน ต้องกินแบบเผื่อเหลือในมื้อต่อไป ข้าวสวยจากข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวแข็งๆและไม่อร่อยสุด ๆ (ทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินข้าวสวยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้) ยามนอนต้องประหยัดไฟ เปิดได้แค่พัดลมหากใครอยากนอนแอร์ต้องมานอนห้องทำงานพ่อ (พ่อนอนในห้องทำงาน)

ครอบครัวผมไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านกันอีกเลยตั้งแต่เกิดวิกฤติ ผมต้องกินแต่ข้าวบ้านกับข้าวที่โรงเรียน กินอย่างประหยัดจำเจวนไปเวียนมา พ่อผมบอกว่าถ้าแม่ไม่ทำพังเราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ (กินภัตตาคาร) คำพูดนั้นฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้

ส่วนแม่ของผม ด้วยพื้นเพนิสัยที่เป็นคนดีมีคุณธรรม ประหยัด ขยันทำงาน (แต่จัดการเงินไม่เป็น) ในสภาวะที่ย่ำแย่ แม่ไม่เลือกวิธี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’  แต่แม่เลือกที่จะเดินเข้าหาเจ้าหนี้ (เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่เอ็นดูแม่) บอกถึงความจำเป็น ขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกคนรู้จักนิสัยแม่ดี ทุกคนยอมไม่คิดดอกเบี้ย และให้เวลาแม่ในการผ่อนชำระ

แม่เป็นคนประหยัด ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่แม่ไม่ใช่คนขี้งก แม่สปอร์ตกับลูก แม่ยอมจ่ายไม่ยั้ง ถ้าเป็นเรื่องการกินอยู่ การเรียน และการรักษาพยาบาลของลูก ความที่แม่อยากให้ลูกอยู่สบายไม่ลำบาก มันทำให้ลูกทุกคนไม่รู้ตัวว่า ไอ่ที่กินใช้อยู่นี่มันคือเงินที่มาจากหนี้

พ่อและแม่ สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นพนักงานบริษัท พ่อเป็นพนักงานขาย ส่วนแม่เป็นเสมียนและทำบัญชี พอทั้งคู่แต่งงานกัน จึงออกมาทำการค้า ความที่ไม่มีทุน จึงต้องเริ่มต้นการค้าด้วยการกู้เงินจากผู้ใหญ่ที่รู้จักต่าง ๆ

ก่อนวิกฤติในยามที่เศรษฐกิจดี กิจการขยายตัว มีรายได้มากขึ้น แต่ต้องมาหมุนเวียนกับการค้าและการชำระดอกเบี้ย หนี้สินจึงไม่เคยลดลง ผมและพี่น้องเกิดมาเมื่อพ่อแม่มีกิจการแล้ว แม้ต้องช่วยงานที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก แต่เรามีกินมีใช้ไม่เคยขาด เราคิดกันไปเองว่าเราเป็นชนชั้นกลางในสังคม

เมื่อเกิดวิกฤติ เราถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เราแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ และไม่มีทรัพย์สินที่เป็นของเราจริงๆเลย

แม่ผมต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน จากที่เคยนั่งคุมบัญชีการค้าอยู่ที่บ้าน ต้องขับมอเตอร์ไซด์ เป็นเซลล์ขายสินค้าของกิจการ และพยายามหารายได้เพิ่มด้วยการขายถุงพลาสติกให้กับร้านอาหารข้างทางต่าง ๆ (ทุกวันนี้ผมจะชอบไปทานร้านเหล่านั้นเพื่อขอบพระคุณที่ช่วยแม่ผมในยามยากลำบาก)

ในความมืดมนของประเทศ และของครอบครัวผม วันหนึ่งผมนั่งรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน ในระหว่างที่ผมเหม่อลอย ครุ่นคิดว่า เราจะลำบากไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เราจะมีวันสบายอีกครั้งได้ไหม ผมเห็นป้ายขนาดใหญ่มีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และข้อความที่เขียนถึงเศรษฐกิจพอเพียง

“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่โลภอย่างมาก ไม่สุดโต่ง คนเราก็อยู่เป็นสุข”

“การกู้เงินที่นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ได้ อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ”

พระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เมื่อ 4 ธ.ค.2540 และ 4 ธ.ค.2541

ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกวันนั้นอย่างไร ในวันที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ป้ายของในหลวง คือป้ายแห่งความหวังจริง ๆ ป้ายที่บอกต้นตอของปัญหาและชี้ให้เห็นว่าทางออกควรต้องไปทางไหน

นับจากตอนนั้น ผมยึดคำสอนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ปี 2542 ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยไม่กู้ กยศ. ผมไม่อยากเรียนจบ และเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นหนี้  ผมเชื่อว่าหากผมกู้ กยศ. มา ชีวิตผมจะมีวังวนแบบเดิมเหมือนที่ครอบครัวเคยเป็นมา คือกู้เงินมาใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลิน ผมเห็นเพื่อนที่กู้ กยศ. ใช้จ่ายเหมือนเงินได้มาง่ายๆฟรีๆ เครื่องคิดเลขสำหรับวิศวกรรมสมัยนั้น casio ราคา 3,500 บาท ถือว่าแพง มาก ๆ แล้ว แต่เพื่อนผมกลับใช้เงิน กยศ. ซื้อเครื่อง Texas ซึ่งแพงกว่าเกือบ 2 เท่า

ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมมีบทเรียนของครอบครัวมาแล้ว การใช้จ่ายด้วยเงินกู้ของคนอื่น มันคือการเป็นทาส ผมเลือกที่จะสอนพิเศษแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเทอม และใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ผมตระเวนนั่งรถเมล์สอนทั่วกรุงเทพมหานคร ทั่วซะจนไม่มีเขตไหนในกรุงเทพที่ผมไม่เคยไปสอน

วันเวลาผ่านไป ความอดทน พยายามต้องสู้ของทุกคนในครอบครัวของผมเริ่มออกผล พ่อสามารถไถ่ถอนบ้านจากธนาคารในปี 2544 และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต้นปี 2545 พ่อผมต้องป่วยหนักกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แม่และพี่สาวได้มาช่วยกันดูบัญชีต่าง ๆ ที่พ่อทำเอาไว้

นอกจากบ้านที่พ่อไถ่ถอนออกมาได้แล้ว ผลจากการประหยัด ผลจากการที่ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างยากลำบาก พ่อมีเงินสดในบัญชี 3 ล้านกว่าบาท ขณะที่ยังมีหนี้สินค้างอยู่ 12 ล้านบาท แม่ผมได้ใช้เงินนั้นทำการค้าต่อด้วยความระมัดระวังจนเคลียร์หนี้สินได้หมด เจ้าหนี้ทุกคนได้รับเงินครบทุกบาทในปี 2553

ครอบครัวผมได้ประกาศเป็นไท แม่ผมได้สัมผัสถึงอิสรภาพครั้งแรกในวัย 60 ปีพอดิบพอดี ส่วนผมตอนนั้นอายุ 30  สนใจแต่เรื่องทำงานหนัก ไม่อยากเป็นหนี้อะไรทั้งนั้น ไม่มีความต้องการรถคันงามหรือบ้านหลังใหญ่ มีแต่อยากจะเติบโตในหน้าที่การงาน อยากเป็นสุดยอดนักวิเคราะห์ของประเทศนี้ ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ

ทุกวันนี้ผมขอบคุณพระเจ้า บทเรียนของครอบครัวในอดีต ได้ทำให้ผมมีฐานะทางการเงินในปัจจุบันที่ดี ผมมีอิสรภาพทางการเงิน ผมได้ภรรยาที่ดี เข้าใจเรื่องการเงิน และรู้คุณค่าของคำว่า ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ แม้เราจะมีเงินในบัญชี มีทรัพย์สินต่าง ๆ แต่เราไม่เคยใช้เงินเกินกว่าที่หามาได้ในแต่ล่ะเดือน กลับกันเราจะต้องกันเงินไปเก็บเพิ่มเสมอ เราไม่เคยประมาท และจะไม่มีวันประมาทเด็ดขาด

และไม่ใช่แค่ผมที่มีอิสรภาพทางการเงิน พี่สาวและน้องสาวของผม ทุกคนได้ประโยชน์จากบทเรียนในอดีต พี่สาวมีธุรกิจที่มั่นคงปลอดหนี้สิน เช่นเดียวกับน้องสาวที่ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้ใดๆทั้งนั้น

ขอบพระคุณคำสอนของในหลวง ร.9 เศรษฐกิจพอเพียง คือที่สุดของปรัชญาของการดำรงชีวิตในโลกทุนนิยม วันใดที่ผมได้นำคำสอนของในหลวงไปถ่ายทอดให้กับใครต่อใครฟัง ผมอยากบอกกับทุกคนว่า เศรษฐกิจพอเพียงช่วยพวกคุณได้ คุณควรเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินก่อนที่จะสายเกินไป คุณสามารถเปลี่ยนได้ในตอนนี้ด้วยความเข้าใจ มันจะดีกว่าถูกวิกฤติบังคับให้คุณจำใจต้องเปลี่ยน

คำพูดของพ่อผม ‘เราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ’ ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ผมยิ้มกับคำพูดนี้ได้แล้ว

‘เกลือ กิตติ’ โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ‘ข้าวที่ปลูกไว้เอง’ ชี้!! นี่คือ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่-ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ 

(12 พ.ค.67) กลายเป็นกระแสชื่นชม และมีการพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อ’ เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ นักแสดง พิธีกร นักเขียนบท และผู้กำกับ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ โดยระบุว่า … 

“ฉันผู้ซึ่งปลูกข้าวไว้กินเอง มีกิน มีใช้ เหลือพอแบ่งปัน #เกษตรทฤษฎีใหม่ #farmilyฟาร์มอีหลี #ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

‘ยายขาหัก’ อุ้ม ‘หลาน’ เดินส่งถึงมือหมอ ก่อนล้มพับหน้าห้องฉุกเฉิน พลเมืองดีเร่งช่วย ก่อนทราบบาดเจ็บหนัก เพราะมี ‘รถย้อนศร’ มาชนแล้วหนี

(12 พ.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก ที่ชื่อว่า ‘fffdduxxxtg’ ได้โพสต์คลิปเรื่องราวของยายหลานที่ถูกชนแล้วหนี ระบุว่า “ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยคนแก่ ชนแล้วหนี” โดยเรื่องราวนี้ถือว่าเป็นนาทีบีบหัวใจ เพราะเด็กไม่ได้สติแล้ว และคุณยายก็ร้องไห้จนสุดเสียง พร้อมทั้งอุ้มหลานไว้กับอก พอส่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินคุณยายก็ล้มพับไป เพราะด้วยความรักที่มีต่อหลาน เลยไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาหัก

ต่อมา คุณกุลธนันท์ หงษ์ทอง เจ้าของคลิปซึ่งเป็นพลเมืองดี พายายหลานส่งโรงพยาบาล ได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปทานข้าวกับลูกสาว กำลังขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นคนมุงอยู่เยอะมากที่ บริเวณถนนหน้าวัดขมงหัก ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 

ตนก็มองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นเป็นอุบัติเหตุ จึงได้ถอยรถกลับมา แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพลเมืองดีตรงนั้น บอกว่ามีรถชนแล้วหนี ผู้บาดเจ็บคือยายหลาน ในตอนนั้นเห็นว่าคุณยายร้องไห้หนักมาก เหมือนจะไม่ไหวแล้ว และเด็กก็คือตัวอ่อนไม่ลืมตาแล้ว ตนกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร ก็เลยพาขึ้นรถก่อน เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน

หลังจากนั้นจึงได้ให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยพยุงยาย และเด็กขึ้นรถ แล้วรีบพาไปส่งที่โรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาล น้องยังไม่ได้สติ และคุณยายก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองขาหัก เพราะความรักที่มีต่อหลาน จึงพยายามอุ้มน้องไปให้ถึงหมอก่อน ส่วนตัวเองนั้นไม่รู้เลยว่าขาหัก

พอส่งน้องให้คุณหมอแล้ว เมื่อคุณยายรู้ว่าตัวเองขาหัก ก็ล้มพับไปเลย เหมือนช่วยหลานให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจตัวเอง ซึ่งตอนแรกตนเองเห็นคุณยายก็นึกว่ามีแผลถลอกเล็กน้อยแค่นั้น พอไปเห็นอาการคุณยายที่โรงพยาบาล คือขาคุณยาย ‘ขยับไม่ได้แล้ว’

จากนั้นตนก็อยู่โรงพยาบาลช่วยประสานงาน ตามหาญาติของคุณยาย และตนก็ขับรถไปตามหาญาติให้มาที่โรงพยาบาล เพราะต้องเซ็นเอกสารอะไรหลายอย่าง และได้โพสต์ในเฟซบุ๊กให้คนกำแพงเพชรช่วยแชร์ตามหาญาติอีกทางหนึ่ง

คุณกุลธนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ทราบเลยเพราะตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการพูดคุย ทราบแค่ว่า มีรถย้อนศรมาชนคุณยายกับน้องแล้วหนีไป แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนก็ไม่ทราบแน่ชัด

ล่าสุดทางคุณแม่ของน้อง ได้โทรมาขอบคุณ จึงได้สอบถามอาการน้องไป ตอนนี้น้องก็ได้รับความกระทบกระเทือนที่หัวกะโหลกร้าว และคุณยายก็รักษาอาการขาหัก ทราบข่าวแค่นี้ก็ดีใจแล้วที่ทุกคนปลอดภัย ส่วนคู่กรณีตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ ยังหาตัวไม่เจอ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ตกใจมาก และลูกสาวที่ไปด้วยก็ตกใจ แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องช่วยก่อน ไม่ว่าจะเป็นจะตายก็ต้องช่วยก่อน ตนยอมถอยรถกลับมา แล้วรีบให้ขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุด ให้เขาปลอดภัยก่อน

และสุดท้ายนี้ ตนก็อยากฝากให้ทุกคนขับรถด้วยการระมัดระวัง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นตนไปกับลูกสาว ก็คุยกับลูกสาวว่าถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องรีบช่วย ต้องสงสารเขา เพราะว่าถ้าเกิดวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนอื่นก็จะได้ช่วยเราเหมือนกัน คุณกุลธนันท์ พลเมืองดีกล่าวปิดท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top