Saturday, 19 April 2025
POLITICS NEWS

‘สส. ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ ย้ำ “ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี” หลังถูก ‘สนธิญาณ’ โพสต์โจมตี ด้านอินฟลูฯ เดือด! อัดคลิปแจงแทน

(3 มี.ค. 68) จากกรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย อดีตแกนนำ กปปส. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘สนธิญาณ story’ กรณีปรากฏภาพ สส.ปุ้ย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส. นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ยกมือไหว้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงานทำบุญที่อ.สิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุข้อความว่า อุดมการณ์ กปปส. รวมไทยสร้างชาติ เลขาพรรค เป็น พยาน คดี ๑๑๒ ส.ส.อดีตรัฐมนตรี ไหว้ทักษิณ อย่างนอบน้อม

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย - ไม่เหมาะสม แต่บางส่วนก็มองว่า สส.ปุ้ย อยู่ในฐานะเจ้าบ้าน และปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ อีกทั้งตัว สส.ปุ้ยเอง ก็เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด

ขณะที่ ทางด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ได้โพสต์ข้อความสั้น ๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้ Tiktok ชื่อบัญชี djchangtiktok ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมโพสต์คลิปบรรยากาศช่วงที่ สส.ปุ้ย ซึ่งถูกนายนัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เรียกหา เพื่อขึ้นเวทีมาทักทายพี่น้องประชาชนที่มาร่วมในงานบุญ เมื่อขึ้นมาถึง สส.ปุ้ย ก็ได้ยกมือไหว้ซ้ายทีขวาที แต่ทางด้านซ้ายมีนายทักษิณ ยืนอยู่พอดี และก็มีการยกมือรับไหว้ ทำให้เกิดการนำภาพนิ่งไปปั่นกระแสจนเป็นประเด็นขึ้นมา โดยเจ้าของบัญชี djchangtiktok ยังได้กล่าวด้วยว่า มีคนพยายามนำภาพดังกล่าวไปสร้างกระแสเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในตัว สส. ปุ้ย พร้อมกล่าวถึงคนที่พยายามทำเรื่องนี้ว่า ให้นำความจริงไปทำคอนเทนต์ อย่านำเรื่องที่ไม่จริงไปปั่นกระแส เพราะคนเค้ากินข้าวไปไม่ได้กินหญ้า

‘จิรายุ’ เผย!! เลขา สมช.-รองผบ.ตร.กลับถึงไทยแล้วเช้านี้ พร้อมส่งคลิป!! สรุป ‘ชาวอุยกูร์’ กลับมาตุภูมิ เรียบร้อย

(2 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช. ) และ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ เดินทางกลับถึงกรุงเทพมหานครเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาแล้ว โดยคณะทำงานจะสรุปรายละเอียดผลการดำเนินงาน รายงานต่อนายกรัฐมนตรีให้ทราบต่อไป ขณะที่ เช้านี้ คณะทำงานใน ภารกิจ “11ปีที่เป็นไปได้ในการกลับสู่บ้านเกิด“ (11 Year Mission possible ) ได้จัดทำคลิปวิดีโอความยาว 1.52 นาที เพื่อให้เห็นถึงขั้นตอนและวิธีในการทำงาน และผลของการส่งชาวอุยกูร์กลับสู่บ้านเกิด อย่างปลอดภัย

นายจิรายุ กล่าวว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้หารือกับคณะทำงาน โดยจะกำหนดวันและเวลาในการเดินทางกลับไปประเทศจีน มลฑลซินเจียง เพื่อติดตามตรวจสอบถึงสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกร์ู ที่ไทยส่งกลับบ้านเกิดตามที่รัฐบาลจีนได้ให้พันธสัญญาไว้กับไทยภายในเวลา 15 -30 วันนับจากนี้  โดยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้เสนอเพิ่มเติม มอบหมายเบื้องต้นให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ และมอบหมายให้ตนไปร่วมกันพิจารณาถึงกำหนดการที่จะเดินทางไปประเทศจีนและขอให้ประสานงาน เพื่อให้สามารถนำสื่อมวลชนของไทยร่วมสังเกตการณ์ด้วย

‘ธนกร’ ห่วง ศก.ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แนะ รัฐบาลจัดสรรงบฯอัดฉีด ฟื้น!! ‘คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน’ หวังปลุกท่องเที่ยวโตต่อเนื่อง

(2 มี.ค. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังฝ่ายค้านเปลี่ยนใจยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงนายกรัฐมนตรีคนเดียว โดยอ้างว่าเป็นเพราะข้อสอบรั่วเพราะก่อนหน้านี้เตรียมซักฟอกถึง 10 รัฐมนตรี ว่า ตนไม่แน่ใจว่าพรรคฝ่ายค้านกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ มองว่าถ้าตั้งใจจะให้มีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง ก็ควรเดินหน้าตามที่เตรียมข้อมูลมาอย่างดีแล้ว แต่เมื่อ ข้อมูลรายชื่อ 10 รัฐมนตรีหลุดออกไปกลับเปลี่ยนแผนอภิปรายแค่นายกฯคนเดียว ตนจึงอดมองไม่ได้ว่า ความจริงอาจไม่ใช่เป็นเพราะข้อสอบรั่ว แต่เป็นเพราะมีข้อมูลไม่หนักแน่นเพียงพอหรือไม่ ที่จะอภิปรายรัฐมนตรีรายบุคคลได้ จึงได้เปลี่ยนใจกระทันหันแบบนี้  ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว วันเดียวนั้นยังไม่ค่อยเกิดขึ้นนักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายสมัยที่ผ่านมา จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านโชว์ฝีมือการอภิปรายอย่างเต็มที่สร้างสรรค์และตรงประเด็น ไม่ใช้วาทกรรมโจมตีทางการเมืองเพียงอย่างเดียว

เมื่อถามว่าในฐานะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล มีข้อเสนอแนะใดที่นายกฯควรจะต้องเร่งเครื่องแก้ปัญหา นายธนกร กล่าวว่า ตนเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาทะลุเป้า กว่า 35.5 ล้านคนแล้วก็ตาม แต่การท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอย อัตราการบริโภคภายในประเทศยังไม่มากเท่าที่ควร จึงขอเสนอแนะให้รัฐบาลรื้อฟื้นโครงการ “คนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาใช้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคและกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทยให้เที่ยวภายในประเทศบูมมากยิ่งขึ้น และควรออกมาตรการกระตุ้นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสงกรานต์และต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้เม็ดเงินและเศรษฐกิจหมุนเวียนเติบโตในประเทศมากยิ่งขึ้น

“นโยบายนี้ประสบความสำเร็จในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ พบว่า พี่น้องประชาชนชื่นชอบเป็นอย่างมากและมีการจับจ่ายซื้อของ มีการเข้าใช้บริการจองโรงแรมที่พักในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ มากเป็นเท่าตัว ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงนั้นก็เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงเห็นว่าหากเป็นนโยบายที่ดีไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน ก็ควรใช้โมเดลที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ มาต่อยอดทำให้ดียิ่งขึ้นได้“ นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘ชวน’ อัด!! ‘ทักษิณ’ ขอโทษเรื่องไฟใต้ไม่พอ สอนมวยลิ่วล้อ นายกฯ ตอบกระทู้เป็นหน้าที่

(2 มี.ค. 68) ที่ห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วัน ปทุมวัน กทม. นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาฯ ร่วมงาน “แนวหน้า TALK ครั้งที่ 2” พร้อมกล่าวในหัวเรื่อง “เมื่อคมมีดโกนโบกสะบัด” ตอนหนึ่งว่า ก่อนอื่นตนขอแสดงความเสียใจด้วยความจริงใจ กรณีรถบัสทัศนศึกษาคว่ำที่ จ.ปราจีนบุรี มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตวูบเดียวจำนวนมาก ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของบ้านเรา เป็นตัววัดเรื่องความไม่มีวินัย ความย่อหย่อนในการบังคับใช้กฎหมายบ้านเมือง แล้วเรามักพูดว่า ขอให้เป็นกรณีสุดท้าย แต่ก็มีเกิดขึ้นตลอด ทำให้เห็นว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ ลามไปถึงการเมือง ความสงบเรียบร้อย ส่วนเรื่องน่ายินดีที่ยังพอมี ท่ามกลางความยากลำบากของบ้านเมือง นั่นคือการที่แต่ละฝ่ายยังคงดำรงความเชื่อมั่นในความดีความถูกต้อง

กรีดลิ่วล้อตบมือชม “นายกฯ อิ๊ง” ตอบกระทู้ ทั้งที่เป็นหน้าที่

นายชวน กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นเรื่องแปลก เพราะนายกรัฐมนตรีเดินทางมาตอบกระทู้ถามในการประชุมสภาฯ ที่แปลกคือเมื่อนายกฯ ตอบกระทู้เสร็จแล้วมีการปรบมือกัน ไม่เคยปรากฏ ตนไม่เคยเห็น เหมือนสร้างวีรกรรมว่า มาตอบกระทู้แล้ว ทั้งที่กระทู้ได้มีการเตรียมกันมาแล้ว จริงๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ปกติของการทำงาน ไม่น่ากลัวอะไร จะน่ากลัวสำหรับคนโกง ทุจริต ที่กลัวว่าจะถูกซักถาม ส่วนที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า สมัยประชุมที่ผ่านมา การประชุมสภาฯ องค์ประชุมครบ ไม่ล่ม แต่ภายหลังมาทราบว่า สาเหตุที่องค์ประชุมไม่ล่มคือ พรรคการเมืองบางพรรคมีข้อบังคับให้ปรับเงินสมาชิกเป็นหมื่น หากไม่มาเป็นองค์ประชุม แต่ล่าสุดเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา องค์ประชุมรัฐสภาล่มในวาระการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และหมวด 15/1 ที่เขียนขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงทำให้สมาชิกหวั่นไหว ไม่กล้าเข้าประชุมไปลงมติ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ระบุโดยสรุปว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการทำประชามติ ถามประชาชนทั้งก่อนแก้ และหลังแก้รัฐธรรมนูญ จึงทำให้สมาชิกกังวลว่า จะไปทำอะไรที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการตามที่ศาลฯ กำหนด อาจจะมีความผิด

ย้ำ กฎหมายดีต้องได้คนดีเป็นผู้ใช้ด้วย

“บ้านเมืองเราปกครองด้วยรัฐธรรมนูญมา 93 ปีแล้ว ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ละฝ่ายโดยเฉพาะ 3 อำนาจคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการต่างมีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจตามที่กฎหมายกำหนด ช่วงหลังเกิดองค์กรอิสระขึ้นก็มีหน้าที่กำหนดไว้ตามกฎหมายโดยเด็ดขาดเช่นกัน ความสำคัญขององค์กรอิสระจึงมีมาก เป็นส่วนหนึ่งที่จะบอกว่าบ้านเมืองจะไปได้ไม่ได้ตามครรลองความชอบธรรมหรือไม่ รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ว่ากันว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด แต่ก็ถูกยึดอำนาจและล้มไปในปี 2549 ถ้ามันดีจริง ทำไมล้มไป กฎหมายดีอย่างเดียวไม่พอ ผู้ใช้ต้องดีด้วย สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมาใช้รัฐธรรมนูญปี 40 ต่อจากตนที่เป็นนายกฯ ก็มีปัญหา ถูกยึดอำนาจปี 49 ด้วย 4 เหตุผล 1.) ทุจริตคอร์รัปชั่นรุนแรง 2.) มีการแทรกแซงองค์กรอิสระจนปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ 3.) มีความแตกแยกสามัคคี และ 4.) มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนมีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ปี 50 ต่อมาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยได้เพิ่มข้อความในมาตรา 3 วรรค 2 ว่า องค์กรทั้งหลายต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักนิติธรรม เป็นการย้ำว่า ช่วงการใช้รัฐธรรมนูญปี 40 มีการละเมิดหลักนิติธรรม เป็นที่มาของปัญหาบ้านเมืองหลายเรื่องในขณะนี้ ดังนั้นต้องย้ำให้เคารพกฎหมาย” นายชวน กล่าว

ฟื้นปมกำปั้นเหล็กทุบ “โจรกระจอก” จุดไฟใต้

นายชวน กล่าวต่อว่า ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่นายทักษิณ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อช่วงวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา พร้อมกับออกมาขออภัยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงที่เป็นนายกฯ แล้วบริหารผิดพลาดจนเกิดความสูญเสีย ต้องบอกว่าตนลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตั้งแต่ตนยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนมาเป็นสส.สมัยแรก ตนให้ความสนใจกับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ติดตาม ศึกษาปัญหามาตั้งแต่ต้น และน่าจะเป็นผู้ที่อภิปรายเรื่องเหล่านี้ในสภาฯ มากที่สุด ที่นายทักษิณออกมาขอโทษ มันเกิดจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เปลี่ยนไปในวันที่ 7 เม.ย. 2544 สมัยนายทักษิณเป็นนายกฯ ใหม่ๆ เกิดเหตุระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ผู้เสียชีวิต ต่อมานายทักษิณลงพื้นที่ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ สูญเสียในวันที่ 8 เม.ย. 44 พร้อมกับประกาศนโยบายใหม่ กับวาทกรรมที่ว่า เหตุในภาคใต้เป็นเรื่อง “โจรกระจอก” โดยบอกว่า “โจรจริงมีเพียงตัวสำคัญอยู่ 18 คน จัดการเสียเดือนละ 10 คนก็หมด เชื่อว่าตำรวจทำได้ปัญหาทุกอย่างจะเรียบร้อยภายใน 3 เดือน” พร้อมส่งมือเก็บ ลงไปในพื้นที่ จึงเป็นนโยบายเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจนทุกวันนี้

ยุคทักษิณแก้ไฟใต้ 5 ปีเศษใช้ แม่ทัพถึง 7 คน

นายชวน กล่าวต่อว่า กระบวนการเก็บผู้เห็นต่างของรัฐบาล ทำให้เกิดกลุ่ม RKK ชุดลาดตระเวนขนาดเล็ก ที่ก่อตัวกันเพื่อก่อเหตุ จนมาถึงวันที่ 4 ม.ค. 47 เกิดเหตุปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส ถือเป็นเหตุปล้นปืนจำนวนมากที่สุด และที่ใหญ่ที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ จากนั้นนโยบายเริ่มไปกันใหญ่ เราเคยมีหน่วยงานที่ในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และนายกฯ ในขณะนั้นตั้งเอาไว้ ทั้งศอ.บต. สมช. เพื่อคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาในพื้นที่ แต่นายทักษิณไปเปลี่ยนนโยบาย และยกเลิกหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เหล่านี้ เพราะอ้างว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เหมือนจังหวัดชายแดนอื่นทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ถือเป็นความผิดพลาดในการบริหารอย่างมากจนเตลิดเปิดเปิง คนร้ายก่อเหตุ เจ้าหน้าที่เสียชีวิต นอกจากนี้ในยุคที่นายทักษิณเป็นนายกฯ ช่วงปี 44-49 รวมทั้งสิ้น 5 ปีเศษ มีการเปลี่ยนแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้มากถึง 7 คน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำงาน ถือเป็นนโยบายผิดพลาด วิธีบริหารก็ไม่ถูกต้อง จนเป็นที่มาทำให้ภาคใต้นองเลือด

ชี้คำขอโทษไม่พอ คนตาย 7.6 พัน บาดเจ็บ 1.4 หมื่นคน

“เมื่อนายทักษิณออกมาขอโทษ แต่ก็ไม่ค่อยบอกความจริงว่า มาจากอะไร ผมจึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานำเสนอ ผลเสียหายที่เกิดขึ้นจนถึงวันนี้ จำนวนการเกิดเหตุการณ์ 22,928 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 7,670 คน บาดเจ็บ 14,835 ราย เป็นความผิดพลาดในอดีตเกิดจากการไม่ยึดหลักนิติธรรม การยึดหลักนิติธรรมคือต้องให้ศาลตัดสินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายบริหารมีหน้าที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด แต่จะลงโทษอย่างไร ศาลต้องตัดสิน ถ้าเรายึดสิ่งนี้ภาคใต้ไม่เกิดวิกฤต แต่ถ้าใช้อำนาจตามอำเภอใจ แล้วแก้ปัญหาตามที่ตัวเองพอใจ ใช้วิธีเก็บ ฆ่า สถานการณ์จึงบานปลาย ถ้าถามผมว่า เหตุการณ์นี้ใครเสียใจที่สุด ก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะท่านทรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มา 40 ปีมากกว่าอายุราชการเสียอีก เข้าถึงพื้นที่ตั้งแต่ชาวบ้านยังนุ่งผ้าขาวม้า จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงนองเลือดในพื้นที่ ท่านจึงไม่เสด็จลงพื้นที่อีกเลย ฉะนั้น การแก้ปัญหาต้องยึดหลักนิติธรรม ที่เป็นหัวใจของการปกครองประเทศ กฎหมายไม่ดีต้องแก้ ประเทศกับปัญหาเป็นของคู่กันปกติ แต่ต้องมีองค์กรตามกฎหมายเข้ามาแก้ปัญหา มีการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย” นายชวน ระบุ

สูญงบฯ กว่า 5 แสนล้าน จากการใช้นโยบายผิดพลาด

นายชวน กล่าวด้วยว่า ตนยืนยันว่า เหตุร้ายในภาคใต้วันนี้ยังมีอยู่บ่อย เพียงแต่ไม่ปรากฏเป็นพาดหัวข่าวแล้ว ภัยที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในนโยบายยังต้องสูญเสียต่อไป โดยเฉพาะงบประมาณแผ่นดิน ที่ใช้งบฯ ตั้งแต่ยุคนายทักษิณถึงปัจจุบัน จำนวน 500,000 กว่าล้านบาทแล้ว เทียบกับ 7,000 กว่าคนที่เสียชีวิตไปไม่ได้ ความผิดพลาดในนโยบายที่ทำให้เกิดความสูญเสียต่อเนื่อง ประชาชนรู้ว่าคนก่อเหตุเหล่านี้ต้องรับผิดชอบอย่างไร คำขอโทษแค่นี้ไม่พอ ที่บอกว่าเลือกพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกเรา จังหวัดอื่นไว้ทีหลัง ตนคิดว่าตอนที่คิดทำเรื่องนี้นึกไม่ถึงวันหนึ่งสิ่งที่ทำไปมันกลายเป็นเรื่องแปลก ไปแกล้งภาคใต้ แต่ไปได้ลูกเขยเป็นคนภาคใต้ มันเป็นไปได้อย่างไร ปัญหาภาคใต้เกิดขึ้นแล้วทำอย่างไรให้ความเสียหายลดลง ขอโทษอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องชดเชยให้เขาด้วย เมื่อเราเลือกปฏิบัติไม่พัฒนาภาคใต้ ด้วยการสร้างถนนสายใหม่ไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนทำมาตั้งแต่ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประยุทธ์ เห็นด้วย แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม ก็มีโอกาสแล้วที่คนที่มีลูกเขยภาคใต้ จะได้มีโอกาสชดเชยสิ่งที่ได้ทำลงไป เพราะไปแกล้งเขา

การเมืองยังป่วนเพราะการเลือกปฏิบัติ

นายชวน กล่าวว่า วันนี้เรามีปัญหาหลายประการ ทั้งองค์กรอิสระ วุฒิสภาที่เถียงกันว่ามาโดยชอบหรือไม่ เป็นต้นทุนที่ทำให้คนไม่เชื่อถือประเทศเรา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาแบบเลือกปฏิบัติ เราเห็นชัดเจนในสังคม ทำไมไม่เสมอเท่าเทียมกัน ทำไมต้องมีชั้น 14 ทำไมต้องมีพิเศษ ทำไมนักโทษไม่เท่ากัน รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ เราจึงต้องฝากความหวังไว้กับหน่วยงานองค์กร และสส.สภาฯ อย่างพวกตน โดยเฉพาะองค์กรอิสระ ขอช่วยกันเป็นกำลังใจองค์อิสระทั้งหลายซึ่งตามรัฐธรรมนูญหมวด 12 องค์กรอิสระ ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจตามกฎหมายด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวงตามดุลยพินิจ แต่ถ้าองค์กรเหล่านี้กลัว เกรงใจ ได้ผลประโยชน์ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ก็จะล้มเหลว เป็นเรื่องน่าเสียใจ เพราะเราใช้ภาษีประชาชนจัดตั้งขึ้นมา ตนขอฝากไปยังองค์กรอิสระทั้งหลาย อย่าลังเลใจ ถ้าเห็นว่าอะไรไม่ถูก อย่าเกรงใจใคร เพราะจะเสียโอกาส มันจะจารึกไว้ว่าในช่วงที่ทำหน้าที่ใครทำดีหรือไม่ดี

เหน็บเจ็บส่งศาลตีความ “นายกรัฐมนตรี” แปลว่าอะไร

“ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ทำให้ประเทศล้าหลัง กฎหมายดี ผู้ใช้ต้องดี ซื่อตรงสุจริต ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมืองตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรับสั่ง แต่การเมืองในยุคปัจจุบันต้องใช้เงิน เป็น ส.ส. ต้องใช้เงิน ถ้ารัฐบาลมาจากเสียงข้างมากที่ซื้อเสียง ครม. ก็ต้องเลี้ยง ส.ส. เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชันกระจายไปทั่ว แตะไปทางไหน มองไปทางไหนก็ทุจริต เราจะปล่อยอย่างนี้หรือ พี่น้องได้ประโยชน์สักพันบาทในการเลือกตั้ง แต่ประเทศเสียหายเป็นล้านล้านบาทจากความเลวร้ายของนักการเมืองที่โกงกิน ประชาชนก็ต้องไม่สนับสนุนสิ่งที่ไม่ดีด้วย ตามมาตรา 160 อุตส่าห์เขียนไว้ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เห็นได้ข่าวว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาตีความด้วยว่า นายกรัฐมนตรี แปลว่าอะไร” นายชวน กล่าว ทำให้เรียกเสียงปรบมือจากผู้ที่มาร่วมรับฟังเป็นอย่างมาก

ผลโพลชี้!! ผลงาน 6 เดือนรัฐบาลแพทองธาร สอบไม่ผ่าน!! ประชาชนยังไม่พอใจผลงาน

(2 มี.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน การสำรวจอาศัย

การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก

ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก

สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ  พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า

1. กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

3. กระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

4. กระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

5. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57
ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

6. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

7. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

8. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

9. สำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

10. กระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า
ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

11. กระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

12. กระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

13. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

14. กระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

15. กระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

16. กระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

17. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา
ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

18. กระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

19. กระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

20. กระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

'ประชาธิปัตย์' จัด 'เดโมแครต ฟอรัมครั้งที่ 4' 'วาระน้ำเพื่อประชาชน' มุ่งยกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมาย “น้ำประปาสะอาดทั่วไทย ทุกประปาต้องดื่มได้” 

พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดสัมมนา เดโมแครต ฟอรั่ม ครั้งที่ 4 “วาระน้ำเพื่อประชาชน : ก้าวใหม่ประปาหมู่บ้าน” ขึ้นที่ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การดำริของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งงานดังกล่าวได้รับเกียรติจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาเป็นประธาน 

ตลอดจนมีตัวแทนจากหน่วยภาครัฐหลายหน่วยงาน อาทิ กรมอนามัย กรมทรัพยากรน้ำบาดาลกรมทรัพยากรน้ำ กรมป่าไม้ตลอดจน สส. อดีตรัฐมนตรี อดีต สส. เช่น นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีตรมช.มหาดไทย นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีต สส. นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายปรพล อดิเรกสารและไพศาล จันทวารา ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายกุลเดช พัวพัฒนกุล อดีตประธานบอร์ดการยางแห่งประเทศ นายสุรศักดิ์ วงศ์วนิช คณะรมช.สธ. นายบุญมี สรรพคุณ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตวุฒิสมาชิกจังหวัดอุทัยธานี นายอารยะ โรจนวณิชชากร อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายสาธุ อนุโมทามิ และ นายราม คุรุวาณิชย์ รองประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. รวมทั้งผู้นำท้องถิ่น และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก โดยมีวิทยากรจากภาคส่วนต่างๆเช่น นายรัชชผดุง  ดำรงพิงคสกุล  รักษาการผู้อำนวยการสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัยนายเกรียงศักดิ์  ภิระไร  ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล ผู้แทนกรมทรัพยากรน้ำบาดาล นายพลกฤต ปุญญอมรศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี นายชาตี ปานทอง  รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหอมศีล จังหวัดฉะเชิงเทรา นางลัดดาวัลย์  มีสุวรรณ์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหีบ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปรีชา สเลม เลขานุการ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการโดย นางสาวพลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่พิธีกร

นายธนิตพล ไชยนันทน์ ผู้อำนวยการพรรคฯ ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า งานวันนี้จัดขึ้นเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สำหรับนำไปสู่การจัดทำนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์และจัดทำโครงการน้ำเพื่อประชาชนตลอดทั้งประปาหมู่บ้านเพื่อประชาชนให้ประสบผลสำเร็จ 

นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานและกล่าวว่าปาฐกถาพิเศษว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประปาหมู่บ้านกว่า 69,000 แห่ง แต่จากการตรวจสอบของกรมอนามัยในจำนวนกว่า 10,000 แห่ง พบว่ามีเพียง 420 แห่ง หรือ 4% เท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ประชาชนถึง 96% กำลังใช้น้ำที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่สะอาด ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขโดยด่วน

ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยการเข้าถึงน้ำสะอาดต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 73% โดยไทยติดอันดับรั้งท้ายที่มีเพียง 4% ที่ใช้น้ำสะอาด การสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการระดมความคิดจากตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปเป็นข้อสรุปสำหรับพัฒนานโยบายพรรคฯ เพื่อให้ทุกประปาหมู่บ้านต้องสามารถดื่มได้ เพราะการแก้ไขปัญหาน้ำสะอาดเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์มุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการใช้น้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า 

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานจัดงานเดโมแครต ฟอรัม (Democrat Forum) กล่าวว่า งานดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการเปลี่ยนแปลงให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งของประชาชนและเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความก้าวหน้าและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมุ่งหวังที่จะนำประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าของทุกคนจึงมีแนวทางเปิดพรรคกว้างสร้างวิสัยทัศน์เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนแบบไร้รอยต่อมุ่งวาระประชาชนที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศและจัดทำนโยบายที่ตอบโจทย์วันนี้และอนาคตโดยให้กลไกพรรคทุกระดับร่วมขับเคลื่อนโดยที่ผ่านมาพรรคฯ ได้มีการจัด เดโมแครต ฟอรัม มาแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่

“เศรษฐกิจคาร์บอน :วิกฤติในโอกาส สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำ ซึ่งเป็นนโยบายของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่กำกับดูแลกระทรวง ทส. และนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค ที่กำกับดูแลกรมอนามัยโดยเล็งเห็นความสำคัญของน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้มาก หากสามารถยกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านได้ จะทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนกว่า 6 หมื่นหมู่บ้านดีขึ้น 

ดังนั้นการนำเสนอแนวทางนโยบายจากการเสวนาครั้งนี้ มีเป้าหมายสุดท้ายคือทุกประปาต้องดื่มได้  โดยเริ่มจากเป้าหมายแรกคือทุกประปาต้องสะอาด และน้ำประปาต้องเข้าถึงทุกครัวเรือน ทั้งนี้พรรคฯ.จะยกร่าง พ.ร.บ. น้ำสะอาดเป็นฉบับแรกของประเทศเช่นเดียวที่เสนอร่างพรบ.อากาศสะอาดต่อสภาผู้แทนราษฎรไปก่อนหน้านี้

ทางด้านนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค และที่ปรึกษา รมว. ทส. ได้กล่าวว่า ทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่าน้ำประปาจะต้องดื่มได้ในทุกน้ำประปา จากแนวคิดของตัวแทนจากกรมอนามัย ที่ต้องการเห็นการบริหารจัดการน้ำประปาในประเทศด้วยการสร้างความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กรมอนามัย กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจนกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น และองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศ ขณะที่ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากตัวแทนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งทำให้เห็นงานของกรมที่มีสำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาล กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้ง 12 เขต เพื่อให้บริการน้ำใต้ดินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศสามารถติดต่อประสานงานเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนได้

สำหรับปีงบ 2568 กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทส. มีแผนงานโครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่ออุปโภคบริโภค เพิ่มเติมอีก 143 แห่ง สามารถเพิ่มน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ถึง 14.716 ล้าน ลบ.เมตรต่อปี ประชาชนจะได้ประโยชน์ 27,600 ครัวเรือน มีโครงการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น โดยมีโครงการก่อสร้างระบบอีก 300 แห่ง นอกจากนั้นยังมีการเตรียมความพร้อมเครื่องจักร ที่พร้อมใช้งานสำหรับการขุดเจาะน้ำบาดาล ชุดปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลเคลื่อนที่ ชุดซ่อมแซมประปา ชุดจ่ายน้ำอีกจำนวนมาก รวมทั้งโครงการเสริมศักยภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการประเมินคุณภาพน้ำให้กับ อปท. ทั่วประเทศ 520 แห่ง 

“ทรัพยากรน้ำ ถึงแม้จะมีมากแค่ไหน ก็มีจำกัด จึงต้องใช้อย่างรู้คุณค่า ไม่ว่าจะดึงขึ้นมาใช้เพื่ออุปโภค บริโภค หรือเพื่อการเกษตรก็ตาม จึงอยากให้ช่วยกันตระหนัก” นายอภิชาต กล่าว 

สำหรับ นายสมบัติ ยะสินธุ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะ กมธ. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้กล่าวถึงเรื่องการกระจายอำนาจ ที่พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญ ถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการน้ำประปาเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน นอกจากต้องใช้บุคลากรที่มีความเหมาะสมแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจ และมีองค์ความรู้ ในการบริหารจัดการระบบประปาหมู่บ้านและงบประมาณอีกด้วยจึงต้องมีการเสริมความรึและทักษะเพิ่มเติม

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการเสวนา ได้มีการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นจากผู้ร่วมเสวนาแสดงความเห็นอย่างกว้างขวางโดยแสดงความชื่นชมและขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านและสุขภาพของประชาชนอย่างเอาจริงเอาจัง

‘ภูมิธรรม’ ตอกสหรัฐ-ชาติตะวันตก เคยเสนออุยกูร์ลี้ภัย แต่ถูกเมิน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตัวเอง ยันไทยไม่มีทางเลือก-ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ วอนสื่อไทยบางราย อย่าโหมจนเป็นเรื่อง ไม่กังวลเรื่องก่อการร้าย

(28 ก.พ. 68) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข้อกังวล จะมีเหตุก่อการร้าย หลังจากส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า หากเราส่งชาวอุยกูร์แล้วได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเรื่องที่จะต้องขบคิดกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีนที่ควรแก่การเชื่อถือ ในขณะเดียวกันจีนมีสิทธิที่จะขอตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมานานกว่า 11 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเหตุเพราะเรา แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้ ขณะเดียวกันเรื่องการส่งตัวไปประเทศที่ 3 เราดำเนินการมา 11 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ส่งไปตุรกีกว่าร้อยคนเราประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบรับเลย และตนก็ได้บอกกับชาติตะวันตกแล้วว่าหากเขารับไป ก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา ดังนั้นเมื่อทางการจีนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป เราจึงดำเนินการตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ชี้แจงกับประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐ ก็ได้พูดคุยกับตน ซึ่งก็ได้ย้ำไปว่า เราจะทำภายใต้อธิปไตยและกฎหมายของไทย คำนึงถึงหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ รวมถึงคำนึงถึงกฎหมายที่จะไม่ส่งคนไปเสียชีวิต เรามีสถานะอยู่แค่นี้กักตัวเอาไว้ก็ทำผิดกฎหมาย เราไม่มีทางเลือก และชัดเจนว่าเราไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องดำรงประเทศให้มีความถูกต้องและเหมาะสม เพราะการที่เราขังชาวอุยกูร์ ก็ถูกร้องเรียนมาตลอดว่าเป็นการทรมาน ซึ่งขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ดังนั้น การส่งอุยกูร์กลับไปจีน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้งรัฐบาลก็จะติดตามเรื่องของความปลอดภัยเป็นระยะ

นายภูมิธรรม ยังขอวิงวอนให้สื่อไทยและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในประเทศไทยบางราย ที่นำเสนอเหมือนอยากให้ประเด็นไม่จบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย อยากให้คำนึงถึงประเทศไทยด้วย ยืนยันรัฐบาลไทยมีความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ไทยถูกกล่าวหาและปฏิเสธจากทุกฝ่าย เราไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือโหดเหี้ยม อำมหิต ที่จะส่งคนไปตาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเรา เพื่อไม่ต้องมารับภาระ และจากการติดตามตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลสิ่ง แต่หลังจากนี้ก็ต้องติดตามและพิจารณาเป็นระยะ พร้อมยืนยันว่าไทยมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการส่งอุยกร์กลับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง และมองว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เป็นเรื่อง

เมื่อถามว่าในด้านการข่าว มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการก่อความไม่สงบหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยากให้ช่วยกัน เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้มีการละเมิดใคร หากส่งเขาไปเสียชีวิตอาจต้องกังวล แต่ปัจจุบันนี้เขายังอยู่ดี แต่หากมีปัญหาหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของคนที่ผิดจากสิ่งที่ควรจะเป็น

‘เกรียงยศ’ เรียก สจส.กทม. เข้าให้ข้อมูล ‘ป้ายรถเมล์’ แบบใหม่ หลังพบงบก่อสร้างสูงถึง 3.3 แสน ทั้งที่ก่อนนี้เอกชนทำให้ฟรี

‘เกรียงยศ’ เรียก สจส.กทม. เข้าให้ข้อมูลกรณีป้ายรถเมล์ พบป้ายรถเมล์ราคาสูงถึง 3.31 แสน แพงกว่าบ้านน็อกดาวน์ทั้งหลัง เผยก่อนหน้านี้เอกชนสร้างให้ฟรี แนะทบทวนแนวทางก่อสร้างป้ายรถเมล์ใหม่

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษในวันนี้ ได้มีการเชิญผู้แทนจากกรุงเทพมหานครมาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับป้ายรถเมล์รูปแบบใหม่ที่กรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้าง 

จากกรณีการก่อสร้างป้ายรถเมล์แบบใหม่ของกรุงเทพมหานครรูปแบบใหม่นี้ได้เกิดข้อสงสัยแก่ประชาชนและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากถึงงบประมาณที่ใช้ในโครงการดังกล่าวค่อนข้างสูง แต่ป้ายรถเมล์รูปแบบที่จัดทำขึ้นมีราคาไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาทและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ 

รวมถึงความแตกต่างในการก่อสร้างป้ายรถเมล์จากเดิมที่เคยใช้รูปแบบให้เอกชนดำเนินการก่อสร้างป้ายรถเมล์ให้โดยแลกกับสิทธิในการโฆษณาเพื่อประหยัดงบประมาณ 

นายเกรียงยศ กล่าวต่อว่าในครั้งนี้สำนักจราจรและขนส่ง(สจส.) กรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงว่าป้ายรถเมล์รูปแบบใหม่ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่ Type M ขนาด 3 ที่นั่ง มีราคาประมาณหลังละ 242,000 บาทต่อป้าย หากคิดราคาเป็นตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 35,000 บาท  และ Type L ขนาด 6 ที่นั่ง มีราคาประมาณหลังละ 331,000 บาทต่อป้าย หากคิดราคาเป็นตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 33,000 บาท 

ทางคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ได้ให้ข้อเสนอแก่ทาง สจส. ว่าสมควรทบทวนรูปแบบในการดำเนินการก่อสร้างป้ายรถเมล์ในปีงบประมาณต่อไปเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากรูปแบบที่ใช้ในปัจจุบันมีราคาสูงกว่าปกติ โดยที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชน เช่น กล้องวงจรปิด จอแสดงรายละเอียดเส้นทางเดินรถ ฯลฯ

‘พีระพันธุ์’ ยันไม่ทิ้งโครงการสูบน้ำด้วยแสงอาทิตย์จากเหมืองเก่าลำพูน เผยบรรจุไว้ในงบปี 69 แล้ว - เพิ่มพื้นที่เกษตรใช้ประโยชน์เป็น 600 ไร่

(27 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามทั่วไปในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเรื่อง ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร โครงการเหมืองถ่านหินเก่า ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ว่า

ในลำดับแรก ตนขอนำเรียนว่าสำหรับโครงการก่อสร้างระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร โครงการเหมืองถ่านหินเก่า ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ควรเป็นโครงการที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ต่อปี 2565 ในส่วนของกระทรวงพลังงานนั้นได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากสำนักงานประสานงานโครงการพระราชดำริ เนื่องจากมีราษฎรได้ยื่นฎีกาเพราะต้องการน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการสำรวจพื้นที่ ตรวจข้อเท็จจริงและปัญหาต่าง ๆ และนำมาสู่การที่จะต้องบรรจุในเล่มงบประมาณ ในส่วนของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีปัญหาหรือข้อขัดข้องแต่อย่างใด ซึ่งได้มีการนำมาบรรจุงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 

แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่ได้เริ่มต้นจากกระทรวง เมื่อมีการสำรวจพื้นที่ ฯลฯ ทำให้ไม่ทันที่จะบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ต่อมาเมื่อทำใหม่ในปีงบประมาณปี 2567 ซึ่งเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ทำให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ขาดช่วงและล่าช้ามาจนถึงปลายปี ขณะเดียวกันก็ต้องมีการจัดทำงบประมาณปี 2568 ต่อกันไป เมื่อได้มีการบรรจุโครงการในงบประมาณปี 2567 เรียบร้อยแล้วจึงไม่มีการบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 อีกต่อไป ปรากฏว่าในชั้นกรรมาธิการงบประมาณได้มีการตัดลดงบประมาณของกระทรวงพลังงานและได้มีการตัดโครงการนี้ออกไป 

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจากการตัดลดงบประมาณที่เกิดขึ้น จึงได้มีการบรรจุโครงการนี้ในปีงบประมาณ 2569 เรียบร้อยแล้วและยังได้มีการขยายพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว จาก 533 ไร่ เป็น 600 ไร่ อีกด้วย

‘ป.ป.ช.’ เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ‘สุทิน - โรม’ ส่อขัดประมวลจริยธรรม ปมแถลงข่าวเท็จให้ร้าย ‘ลุงตู่’

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) มีรายงานข่าวว่า ในเร็วๆ นี้สำนักงาน "ป.ป.ช." กำลังจะแจ้ง ข้อกล่าวหากับนักการเมืองหลายคนที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่นำมาบังคับใช้กับฝ่ายการเมืองด้วยคือ ครม./สส./สว./ข้าราชการการเมืองนั้น    

โดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการอภิปราย/การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน/การเคลื่อนไหวที่ฝ่าฝืนหมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ15ที่ระบุว่า ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบ ของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือนและข้อ17ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ ง โดยตอนนี้นักการเมืองคนสำคัญหลายคนกำลังถูกตั้งข้อกล่าวหานั้น จะชี้แจงข้อกล่าวหาต่อสำนักงานป.ป.ช.อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทราบว่า "นายสุทิน  คลังแสง" สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย  เป็นหนึ่งในสส.ที่สำนักงานป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลความผิด  โดยระบุพฤติการณ์ของ "นายสุทิน" ว่า  วันที่ 8 กันยายน 2564 "นายสุทิน" ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ามีการแจกเงินให้สส.คนละห้าล้านบาทที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ชั้นสาม อาคารรัฐสภาเพื่อให้สส.ลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรีในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายสุทินมาชี้แจงกับสำนักงานป.ป.ช.แล้วแต่ไม่มีหลักฐานในประเด็นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมาแสดงกับสำนักงาน "ป.ป.ช." ซึ่ง "นายสุทิน" เข้าข่ายการละเมิดหมวด 2 ของมาตรฐานทางจริยธรรมฯ

และยังพบว่า "นายรังสิมันต์ โรม" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนนั้น สำนักงาน "ป.ป.ช."ดำเนินการตรวจสอบ/กลั่นกรองและไต่สวนข้อกล่าวหาของนายรังสิมันต์จำนวน 6 สำนวนคือ  1. การสนับสนุนพรรคก้าวไกลรับข้อเสนอจากกลุ่ม ILaw ที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดหนึ่งและหมวดสอง/สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้มีมติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112/เข้าร่วมชุมนุมขับไล่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์/แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยตั้งสสร./โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเสียดสีดูหมิ่น "พลเอกประยุทธ์"

2.วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 "นายรังสิมันต์" ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ "พลเอกประยุทธ์" โดยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จคือแอบอ้างสถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบเรื่องมัวหมองในอดีตของตนเองและเป็นนักบินเถื่อน ขาดคุณสมบัติการเป็นนักบินถวายการเดินทาง/ก่อหนี้เกินงบประมาณการซ่อมบำรุงอากาศยานของสตช. ทำให้นายกฯต้องขออนุมัติงบกลาง 937 ล้านบาทชำระหนี้ให้การบินไทย/ร่วมกันฮั้วประมูลกับเอกชนในการจำหน่ายอะไหล่ให้อากาศยานของสตช.และขายอะไหล่ที่ใช้ไม่ได้ให้เอกชนนำไปใช้งานต่อ

3. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง โดยนำเสนอข้อมูลของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสาธารณะในลักษณะอันอาจเป็นการบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันและทำให้ประชาชนเกลียดชังสถาบันฯและต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

4.จงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ / ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีจัดทำหนังสือและแถลงข่าวว่าจะเชิญประธานศาลฎีกามาชี้แจงกรณีไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบกลุ่มราษฎรโดยประธานศาลฎีกาอ้างว่าบุคคลภายนอกขอมาในกมธ. การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎรและจะนำวาระเข้าที่ประชุมกมธ.ดังกล่าวเมื่อวันที่7เมย.2564ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา129วรรคสี่และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯว่าด้วยข้อบังคับประมวลจริยธรรมของสส.และกมธ. พ.ศ.2563

5.เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เพื่อเป็นการทำลายสถาบันฯและล้มล้างการปกครอง และ 6. จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งการดำเนินการนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา6

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ผ่านมา สส.พรรคก้าวไกล 44 คนถูกยื่นฟ้องต่อสำนักงานป.ป.ช.กรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112  และตอนนี้สส.พรรคก้าวไกลที่โดนยุบพรรคได้ย้ายมาสังกัดพรรคประชาชน 25 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ"นายรังสิมันต์"ซึ่งทราบว่าสส.เหล่านี้กำลังไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง คดีฝ่าฝืนจริยธรรม จากการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานป.ป.ช.ในกรณีของ "นายสุทิน" และ "นายรังสิมันต์" รวมทั้งสมาชิกรัฐสภารายอื่นๆนั้น สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการมาหลายปีแล้วก่อนที่คณะกรรมการป.ป.ช.เจ็ดคน จะมีการลงมติเลือก "นายสุชาติ  ตระกูลเกษมสุข"เป็นประธานป.ป.ช.ซึ่งตอนนี้"พรรคประชาชน"ล่ารายชื่อสส.และสว.ราว 140 คน โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาให้ถอดถอน "นายสุชาติ" ออกจากตำแหน่ง

อีกทั้งกรณีนี้ มีการตั้งสังเกตว่า การออกมาให้ข่าวว่าจะยื่นถอดถอน"นายสุชาติ"ของสส.พรรคประชาชนและ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล"นั้นน่าจะ เป็นการกดดัน สำนักงาน "ป.ป.ช."ในฐานะผู้ไต่สวนคดี ของ "นายรังสิมันต์" และอดีต สส.พรรคก้าวไกล  44 คน รวมทั้ง "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" หรือไม่ 

เนื่องจาก หากพิจารณาจาก ช่วงเวลา ที่มีการตั้งไต่สวนของ "ป.ป.ช." เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่นายสุชาติ กำกับดูแล สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองเเละผู้ร้องเรียน "ประธานป.ป.ช." มีฐานะเป็นผู้ถูกไต่สวนทั้งสิ้น เเละการดำเนินการอัดคลิประหว่าง"นายสุชาติ"กับ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา"ประธานรัฐสภานั้น"นายวันมูหะมัดนอร์" ชี้เเจงเเล้วว่า"พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" กระทำเเบบไม่ใช่ลูกผู้ชายเเละสังคมน่าจะอ่านเจตนาของ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์"ได้ว่าหวังผลอะไร และพบว่า"นายสุชาติ"เป็นผู้ดำเนินการไต่สวนเเละวินิจฉัยคดีในสำนักงาน "ป.ป.ช."ที่ยึดหลักนิติธรรมอย่างรอบคอบ ในการตัดสิน/ประวัติโปร่งใส จนบางฝ่ายอาจเสียประโยชน์จากการทำงานของ "นายสุชาติ" จนต้องมีการดำเนินการถอดถอน"นายสุชาติ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top