Wednesday, 4 June 2025
POLITICS NEWS

ปากบอกจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ กล้าทุกอย่าง แต่ปอดแหกกับชั้น 14 เราจะเรียกว่าเป็น “พรรคการเมืองขี้ข้านักโทษ” ได้ไหม?

(6 พ.ค. 68) ด้วยเพราะเกลียดสถาบันกษัตริย์เป็นทุน มีอคติสุมอยู่ในใจอย่างร้อนรุ่ม มุ่งคิดร้าย อาฆาต พยาบาท  จึงพร้อมใจกันทำทุกวิถีทางที่จะเซาะกร่อน ทำลายความน่าเชื่อถือ แม้กระทั่งการยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้กับตะวันตก” เพื่อมาล้มล้างสถาบันแห่งแผ่นดินเกิดของตนเองก็ยังทำ

ยอมกระทั่งเหยียบศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง ด้วยการสุมหัววางแผนกัน “หลอกต้มเด็ก” ที่ไร้ความคิด เด็กที่อยากเด่น อยากเท่ อยากมีที่ยืนโง่ ๆ ในสังคมให้ออกมาสู้รบแบบก้าวร้าวแทนตัวเอง คอยปลุกปั่นด้วยวาทกรรมเลว ๆ ว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วทุกชีวิตต้องได้รับความเสมอภาค เท่าเทียมโดยถ้วนทั่ว ทั้งหมดก็เพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้เด็กบ้องตื้น และผู้ใหญ่ที่ “คิดไม่เป็น” จำนวนไม่น้อยเห็นคล้อยตาม ตกเป็นเหยื่อจนโดนคดี “112” มหาศาล บางส่วนต้องหนีลี้ภัย ที่เหลือก็ติดคุกยาว ๆ หมดอนาคตนับไม่ถ้วน

ถือเป็น “ตราบาป” ที่พรรคการเมือง “สามกีบ” สร้างไว้ให้กับสังคมไทย

แต่ที่สุดก็วงแตก ไปกันไม่รอด เหยื่อก็คือเหยื่อ กระจัดกระจายหนีหายกันไปคนละทิศละทาง นักการเมืองผู้แอบชักใยอยู่ใต้กระโปรงเด็กจึงเปลี่ยนวิธี เมื่อหลอกใช้เด็กไม่สำเร็จ ก็คิดแผนชั่วแบบอื่น เพื่อจะลบคำว่าสถาบันให้หายไปจากความรู้สึกดี ๆ ของคนไทยให้ได้ ถือเป็นพรรคที่ยืนหนึ่งในเรื่อง “ล้มล้างการปกครอง” เท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงอาหารว่างคั่นเวลาโจร

คำโฆษณาที่ว่าความเหลื่อมล้ำจะหมดหายไป จึงเป็นได้เพียงคำโป้ปด ที่คอยหลอกต้ม “ด้อมส้มผู้เบาปัญญา” เพื่อให้มาเป็นแรงหนุนและตายแทน เพราะกว่าสองปีที่ “นักโทษเทวดา” กลับไทยมาแล้วเหาะเหินไปนอนนอกคุก ทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนคนเดินดิน เช่นนี้เรียกว่า “โคตรของโคตรความเหลื่อมล้ำ” แต่พรรคการเมืองที่อวดอ้างว่าจะมาต่อสู้ให้สังคมไทยเกิดความเท่าเทียม นับตั้งแต่หัวถึงหางกลับไม่มี สส. ที่เคยปากดีสักตัวแสดงความกล้าหาญที่จะทักท้วง หรือเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนให้สมกับชื่อ “พรรคประชาชน” ของตนเอง

เปลี่ยนชื่อไปเป็น “พรรคขี้ข้านักโทษ” ดูจะเหมาะสมกว่ามากมาย

หรือใครว่าไม่จริง?

‘ภูมิธรรม’ แจงชัด ถอยทหารแค่จุดรุกล้ำตาม ‘MOU 43’ ยืนยัน ‘ปราสาทตาเมือนธม’ ยังอยู่ในความดูแลไทย วอนหยุดบิดเบือน

(6 พ.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถอยกำลังทหารจากพื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ว่าเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อตกลง MOU43 และไม่มีการเสียดินแดนตามที่มีการกล่าวอ้าง ยืนยันไม่มีการเจรจาลับ และไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

นายภูมิธรรม ระบุว่าการหารือเกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) โดยมีตัวแทนระดับสูงจากทั้งสองฝ่ายร่วมรับฟังอย่างเปิดเผย ฝ่ายไทยนำโดยตนเอง ร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือแบบ 1 ต่อ 1 กับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันแนวปฏิบัติตาม MOU 43 โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลักแต่อย่างใด โดยเฉพาะในจุดที่ทหารไทยดูแลอยู่เดิม เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม

นายภูมิธรรมย้ำว่า คำว่า “ถอยทหาร” หมายถึงการถอยจากจุดที่รุกล้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่ถอนกำลังทั้งหมด และยังคงยืนยันอธิปไตยในพื้นที่เดิม ทหารยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ท้ายที่สุด นายภูมิธรรมเรียกร้องให้หยุดนำเสนอข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะอาจกระทบความเชื่อมั่นในรัฐบาลโดยไม่จำเป็น พร้อมยืนยันว่ากองทัพยังยึดมั่นในการปกป้องแผ่นดิน และไม่มีใครขายชาติอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามกล่าวหา

สส.ภูเก็ต' ซัดเดือดใส่!! ‘กรณ์’ อดีต รมว.คลัง ไร้วิสัยทัศน์เลอะเทอะ ไม่เข้าใจคนในพื้นที่

(5 พ.ค. 68) นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล สส.ภูเก็ต เขต 3 พรรคประชาชน กล่าวตอบโต้กรณีนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กตำหนิภูเก็ตเมืองโทรมไม่สะอาดรถติดมาก

โดยระบุว่า หลังจาก กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij โพสท์ในเฟสบุ๊ก ว่า.. ผมไปภูเก็ตมา 2 วัน 1 คืน เป็นครั้งแรกที่กลับไปในรอบ 2 ปี ไปทีไรก็แฮปปี้ ชอบบรรยากาศของที่นี่ เที่ยวนี้ขอยืนยันว่า

1. รถโคตรติด กรุงเทพชิดซ้ายเลย จากสนามบินไปป่าตอง 1 ชม. 20 นาที – ในบ่ายวันหยุด! ทานข้าวเย็นในตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่า (ตอน 3 ทุ่ม!) เพื่อไปที่พักที่ป่าตอง
2. เมืองดูโทรม เส้นทางถนน ทางเดิน ร้านค้าริมทาง ดูโทรมมาก
3. หาดไม่สะอาดเหมือนแต่ก่อน
4. แต่ในแง่โอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่มีเมืองไหนในประเทศไทยที่สู้ได้
5. แรงงานบริการเป็นชาวต่างชาติเยอะมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาษาเขาดีกว่า
6. ชาวรัสเซียมีอิทธิพลกับเศรษฐกิจภูเก็ตมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมขอขอบคุณสำหรับคำติชมครับ และทุกปัญหาที่ว่ามา พวกเรา สส.ภูเก็ต รับทราบ และกำลังดำเนินการแก้ไข แต่ด้วยกลไกรัฐบาลที่ไร้ความใส่ใจ การแก้ปัญหาร่วมกันนั้น ทำให้บางปัญหา ไม่ได้รับการแก้ไข ตั้งกระทู้ไป ก็ไม่มาตอบ

และ ผมขอแลกเปลี่ยนประเด็นครับ ว่า หากมีข้อเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ ก็จะรับไว้เพื่อนำไปปรับปรุง แก้ไข แต่ มีแต่คำติ ผมก็ขอ แสดงความคิดเห็น ในมุมของคนในพื้นที่ครับ ว่า บางส่วนของความคิดเห็น ที่คุณกรณ์ เสนอนั้น ไม่เหมาะสม ในฐานะ อดีตขุนคลัง ไร้ซึ่งวิสัยทัศน์

เช่นเรื่อง ให้เลิกคิด เรื่องรถไฟฟ้า แล้วให้ทำถนนแบบ Overpass และ การเพิ่มโรงพยาบาลเอกชน ที่ราคาไม่โหดเกินไป นั้น เป็นความคิดที่เลอะเทอะ ไม่เข้าใจคนในพื้นที่ 

ประการแรก : ไม่ใช่เพิ่มโรงพยาบาลเอกชน แต่ คือ การยกระดับมาตรฐาน โรงพยาบาลรัฐ ให้มีคุณภาพเทียบเท่าเอกชน ซึ่ง ในอดีตรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ก็ไม่เคยคิดที่จะแก้ไข

ประการต่อมา : การสร้างถนนยกระดับ (Overpass) แต่ แม้เรามีถนนยกระดับ สัก 3 ชั้น ก็แก้รถติดไม่ได้ครับ และ หากมีการก่อสร้างจริง ทั้งๆ ที่เราไม่มีการลดปริมาณรถยนต์ส่วนตัวลง จะเกิดปัญหาการจราจรอย่างหนัก เพราะภูเก็ต มีถนนเส้นหลัก เพียงเส้นเดียว อีก 2 เส้น ก็กำลังขยายเลนการจราจร หนึ่งในปัญหารถติด เพราะ เรามีรถยนต์ส่วนตัวมากเกินไป การเพิ่มขนส่งสาธารณะ จึงควรเป็นเรื่องหลักในการแก้ปัญหาการจราจรติดขัด มาห้ามคนภูเก็ต มีรถไฟฟ้านี่ อยากถามครับว่า ไม่อยากเห็นภูเก็ตพัฒนาเป็นเมืองระดับโลก ใช่ไหม ครับ?

ที่สำคัญที่สุด เรื่อง การกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนภูเก็ตเรียกร้อง มาตลอด ต้องไม่ใช่แค่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ แค่เลือกผู้ว่าฯ ได้เอง แต่หมายรวมถึง การแก้ไข ปรับปรุง กฎหมาย และโครงสร้างการกระจายอำนาจทั้งหมดครับ ไม่งั้น ก็จะเหมือน กรุงเทพ ที่สุดท้ายก็ติดล็อกในข้อกฎหมายอยู่ดี และ เสียดายครับ รัฐบาลที่ผ่านๆมา ชอบพูดสวยหรู เรื่อง กระจายอำนาจ เรื่องภูเก็ตจัดการตนเอง แต่พอมีอำนาจ เรื่องนี้ก็ไม่เคยนำมาแก้ไขให้สำเร็จ ท่าน เคยเป็นอดีตรัฐมนตรี คงเล่าให้ฟังได้ว่า สมัยนั้น ทำไม ไม่ทำ

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ โพสต์ข้อความ ฟาดใส่!! ‘นายกฯอิ๊งค์’ เดินหน้าดัน!! ‘กาสิโน’ แต่ไม่คิดแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

(5 พ.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สติปัญญามีแค่นี้

ในขณะที่ประเทศเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ตลาดเงียบสนิท มีแต่คนขาย ไม่มีคนซื้อ จีดีพีของไทยต่ำเตี้ยติดดิน ต่ำกว่าลาว ไหนจะเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐ แจกเงินหมื่นไม่เกิดพายุหมุน

แทนที่จะคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เดินหน้า นายกรัฐมนตรีคิดได้อย่างเดียว แผ่นเสียงตกร่อง กาสิโนเป็นประโยชน์ยิ่งของประเทศ หรือของใครก็ไม่รู้ จะเอาให้ได้

‘เนเน่ รัดเกล้า’ ยกวลีประจำบ้าน ‘สุวรรณคีรี’ ให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์’ หลังเจอ!! เกมการเมืองโจมตีอย่างหนัก ลั่น!! เราต้องช่วยกันปกป้องคนดี

(5 พ.ค. 68) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ ‘เนเน่’ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก “เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี” ระบุว่า “ข้ากระทำแต่ความดี มีหรือจะกลัว” วลีนี้เคยเป็นตัวอักษรตัวใหญ่หน้าบ้านคุณพ่อ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ในวันที่ชีวิตการเมืองถูกกระหน่ำด้วย “เกมการเมือง” มากกว่า “การทำงานเพื่อประชาชน”

วันนั้นครอบครัวเราถูกโจมตีหนัก ลูกถูกบูลลี่ บัญชีถูกอายัด ต้องพึ่งญาติพี่น้องหาข้าวหาน้ำให้กิน ทั้งหมดเพราะ #ลมปากลวง ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อดิสเครดิตนักการเมืองสีขาว เปิดทางให้นักการเมืองสีเข้ม คุณพ่อไม่หวั่นไหว ท่านประกาศชัด “ข้ากระทำแต่ความดี มีหรือจะกลัว” แล้วเดินหน้าสู้ด้วยความโปร่งใส สุดท้าย ความจริงก็พิสูจน์ท่าน—จากรัฐมนตรีหลายคนที่ถูกสอบ มีเพียงคุณพ่อคนเดียวที่ถูกตัดสินว่า “บริสุทธิ์” โดยมติเอกฉันท์

วันนี้เนเน่ขอหยิบเรื่องนี้มาเล่า เพราะเชื่อมั่นในท่าน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่กำลังเจอกับกระแสเกมการเมืองโจมตีจากรอบทิศ เนเน่เชื่อว่า ความจริงจะพิสูจน์ความดีในไม่ช้า และขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ท่าน ธรรมะย่อมชนะอธรรม ทองแท้ไม่แพ้ไฟ

และคนดี…ไม่ควรต้องกลัวเกมการเมือง

อย่าให้ความดีต้องพ่ายแพ้ต่อเกมการเมืองค่ะ เราต้องช่วยกันปกป้อง “คนดี” ให้อยู่ทำงานเพื่อประเทศต่อไป

‘อัครเดช’ ยัน!! ‘พีระพันธุ์’ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ปม!! ‘ถุงยังชีพ’ พร้อมชี้แจงเมื่อถึงเวลา ชี้!! ผู้เสียผลประโยชน์ เข้ามาดิสเครดิต มั่นใจ!! พรรคไม่แตก ทุกคนพร้อมเดินไปด้วยกัน

(3 พ.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ถูกยื่นตรวจสอบการถือหุ้นในบริษัทเอกชน รวมถึงถูกโยงกับกระแสข่าวที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กําลังไต่สวนคดีถุงยังชีพ จะกระทบต่อพรรคหรือไม่ ว่า นายพีระพันธุ์ชี้แจงได้หมดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการถือหุ้น และเรื่องที่ถูกร้องเรียนใน ป.ป.ช. ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ พร้อมชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อถึงเวลาแน่นอน ท่านมั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ผู้สนับสนุนพรรคสบายใจได้

นายอัครเดช กล่าวว่า กรณีถุงยังชีพ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งทางเจตนา และการเตรียมการ ซึ่งท่านพร้อมชี้แจงด้วยเหตุผล และเอกสารหลักฐานต่างๆ ยํ้าว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้ ทั้ง IO หรืออะไรหลายอย่าง เข้ามาดิสเครดิตนายพีระพันธุ์ เพราะท่านตั้งใจทำงานให้กับประชาชน จึงเป็นไปได้ที่ต้องมีแรงเสียดทานกับผู้ที่เห็นต่าง อย่างเช่นการลดค่าไฟ ก็ต้องไปต่อสู้กับหลายส่วน จนเกิดแรงเสียดทานหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยหรือไม่ มองว่าอาจมีความเชื่อมโยงกัน

และเมื่อถามว่า เรื่องคดีจะเป็นจุดที่ทำให้พรรคแตกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่า สส.เตรียมทิ้งนายพีระพันธุ์ นายอัครเดช กล่าวว่า ณ เวลานี้พรรคยังมั่นคง ขอให้สบายใจได้ นายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. ยังสามารถบริหารพรรคได้ และ สส.ของพรรคส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ก็ชัดเจนแน่นอนว่าจะเดินไปพร้อมกับหัวหน้า และเลขาธิการพรรค เพื่อทำงานให้กับประชาชน เราต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชน แม้จะมีแรงเสียดทาน เราก็ต้องอดทน และยืนหยัดให้ได้ 

“มั่นใจว่า สส. ส่วนใหญ่ ยังยืนหยัดกับพรรค และพรรคก็ไม่ได้แตกอย่างที่เป็นข่าวแน่นอน” นายอัครเดช กล่าวอย่างมั่นใจ

‘เสธ.หิ’ ชี้!! ‘พีระพันธุ์’ ทำงานมุ่งมั่น ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ลดค่าไฟฟ้า ปรับราคาน้ำมัน ไม่แปลกใจที่ถูกโจมตี จากผู้ที่เสียผลประโยชน์ ยัน!! ขอทำตามหน้าที่ จนวินาทีสุดท้าย

(3 พ.ค. 68)  ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ผลงานเป็นที่ประจักษ์' พร้อมระบุว่า “ตั้งแต่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สิ่งที่พยายามทำคือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานราคายุติธรรมเพื่อประชาชน การควบคุมราคาน้ำมัน พยายามปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน การปรับลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาแก๊ส ซึ่งมีปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน การประกาศนโยบายด้านการปรับลดราคาพลังงาน

นายหิมาลัย กล่าวว่า ช่วงแรกๆ ก็มีเสียงต่อต้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ โครงสร้างเดิมของราคาไฟฟ้า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะขึ้นไปถึง 4.6-4.7 บาท เมื่อท่านตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.1 กว่าๆ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าท่านจะทำให้ระบบโครงสร้างค่าไฟฟ้าเสียหาย จะตรึงได้แค่ระยะเวลาสั้น รัฐต้องเสียเงินชดเชยมากมาย แต่ในปัจจุบัน ท่านก็สามารถทำได้จริงโดยการใช้ระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามนโยบาย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ท่านสามารถ ทำให้มีการประกาศราคาค่าไฟฟ้า ลงไปต่ำกว่า 4.00 บาท 

นายหิมาลัย กล่าวว่า แน่นอนว่าค่าไฟฟ้าที่ลดลงไปนั้นจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจการค้าของประชาชนทั่วไป เช่น ร้านค้ารายย่อย แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ฯลฯ ค่าไฟฟ้าที่ลดลงไป นั่นหมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือรายรับที่เพิ่มขึ้นเป็นการกระจายรายได้ ที่รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน  ท่านพีระพันธ์ุ ทราบดีว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ซึ่งเมื่อท่านพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากยังใช้โครงสร้างราคาพลังงาน ในระบบนี้อยู่ ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ก็มีโอกาสที่จะขึ้นราคา เหมือนก่อนหน้านี้ ท่านจึงมีแนวความคิดในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมมากขึ้น จึงได้มีความพยายามที่จะเสนอกฎหมาย เพื่อความมั่นคงของพลังงานและโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน

“จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีการโจมตี ทำลายภาพพจน์และชื่อเสียง ปล่อยข่าวลือต่างๆ เพื่อให้ท่านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนที่กฎหมายต่างๆ ที่ท่านพยายามเสนอจะได้รับการบรรจุเข้าวาระของ ครม. ซึ่งถ้าหากกฎหมายพวกนี้ สามารถผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ราคาแก๊ส มีความเป็นธรรมและมั่นคงมากขึ้น ท่านพีระพันธุ์พูดกับผมเสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติแล้ว หากมีปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้เสียผลประโยชน์ เราก็ต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ที่สำคัญที่สุดคือเรากล้าหาญที่จะทำตามหน้าที่หรือไม่ ครั้งหลังสุดนี้ มีการประกาศลดค่าไฟฟ้า ลงมาที่ราคา 3.98 บาท ซึ่งเกิดจากความพยายามของท่าน ที่ไม่ยอมแพ้ แม้มีอุปสรรคมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีการออกข่าวโจมตีและด้อยค่าผลงานอย่างต่อเนื่อง”นายหิมาลัย กล่าว

นายหิมาลัย กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่กรุณามอบให้ท่านพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นอย่างสูง ขอให้ท่านทั้งหลายมั่นใจได้ว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำหน้าที่เป็นนักรบพลังงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนวินาทีสุดท้าย

‘หมอวรงค์’ เปิด 9 ปม!! เคลือบแคลง ‘นักโทษชั้น 14’ น่าสงสัย ‘การส่งตัว - ห้องพัก - วิธีรักษา’ ชี้!! แค่ข้ออ้าง

(3 พ.ค. 68)  นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ 'ข้อสงสัยนักโทษชั้น14' ระบุว่า ช่วงนี้จะเห็นข่าว พวกนักวิชาการ นักกฎหมายที่ปกป้องนักโทษชั้น14 พยายามออกมาสื่อสารกับประชาชนว่า การที่นักโทษไปป่วยอยู่ชั้น 14 นานถึง 6 เดือนนั้น ถือว่าถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่าถูกคุมขังแล้ว

แต่ประเด็นที่ประชาชนสงสัย ประชาชนเขาสงสัยว่า ถ้าป่วยทำไมไม่รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพ ไม่แพ้รพ.จังหวัดทั่วประเทศ ขีดความสามารถ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมี CT scan ที่ทันสมัยมาก

ถ้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่สามารถรักษาตัวนักโทษรายนี้ได้ แสดงว่าน่าจะป่วยวิกฤติ จึงต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ สิ่งที่ประชาชนสงสัย มีการช่วยเหลือเพื่อให้นักโทษ ไปนอนเล่นสบายๆ ที่ชั้น14 รพ.ตำรวจหรือไม่ โดยใช้ข้ออ้างเจ็บป่วยหนัก เพราะ

1.ทำไมแพทย์เวรคืนนั้น ที่เป็นอายุรแพทย์ ถือว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษาโรค ความดัน หัวใจขาดเลือด ไม่ไปดูแล แต่ปล่อยให้พยาบาลเวรโทรไปปรึกษา และปล่อยให้พยาบาลเวรเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้ส่งนักโทษต่อร.พ.ตำรวจ จึงเกิดข้อสงสัยว่าวางแผนกันไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องมาก

2.จริงหรือที่โรคเหล่านี้ที่อ้าง ทั้งหัวใจขาดเลือด ความดันสูง ปอดเรื้อรัง สันหลังเสื่อม ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง และมีประวัติการรักษามาแล้วจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก สำหรับผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะรักษาไม่ได้ และต้องส่งต่อโรงพยาบาลตำรวจ เพราะเกรงอันตรายต่อชีวิต

3.การส่งต่อแบบฉุกเฉินว่า เกรงอันตรายต่อชีวิต ด้วยหลักทางการแพทย์นั้น ต้องใช้รถ ambulance ส่งต่อไปรพ.ตำรวจ แต่ตามข่าวทำไมใช้รถของราชทัณฑ์

4.ด้วยหลักทางการแพทย์ การส่งต่อแบบฉุกเฉินเวลาดึก และเกรงว่าเกิดอันตรายต่อชีวิต ทำไมไม่ส่งนักโทษผ่าน ER ก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติจริง

5.ด้วยหลักทางการแพทย์ การป่วยที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะโรคหัวใจ หลังจากส่งมาถึงรพ.ตำรวจ ทำไมไม่ให้รักษาตัวที่ICU หรือ CCU แต่ให้ไปนอนที่ชั้น14 ซึ่งประชาชนรับรู้ว่านี่คือห้อง VVIP ซึ่งไม่ใช่สถานที่รักษาผู้ป่วยวิกฤติ

6.จากรายชื่อแพทย์ที่อ้างว่า เป็นแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ที่ทำการรักษา ที่ทางป.ป.ช.เรียกสอบ ล้วนเป็นทีมแพทย์ทางด้านศัลยกรรมเช่น ศัลยกรรมประสาท ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ทำไมไม่ให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเป็นผู้ดูแลหลัก

7.ด้วยหลักทางการแพทย์ ถ้าผู้ป่วยมีอาการวิกฤติ การผ่าตัดเอ็น ด้วยการใช้กล้องที่หัวไหล่ จะไม่ทำกันในผู้ป่วยวิกฤติ รวมทั้งการทำMRI

ที่ต้องถามต่อ หลังผ่าตัดทำไมจึงนำนักโทษไปพักที่ห้อง หลังผ่าตัดศัลยกรรมประสาท ไม่ไปพักที่ห้องหลังผ่าตัด ศัลยกรรมกระดูก เอ็นและข้อ (orthopedics) หรือเกรงว่าคนอื่นจะเห็นว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติ

8.โรคอะไรที่ต้องรักษานานถึง180 วัน อาการไม่ดีขึ้น ไม่สามารถย้ายตัวกลับมา รักษาต่อที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ แต่ครบ 180 ได้พักโทษอาการหายทันที หลักทางการแพทย์มีด้วยหรือ โรคประหลาดแบบนี้

9.นี่ยังไม่นับรวมข้อสงสัย ที่ป่วยวิกฤตินอนติดเตียง 180 วัน ทำไมแขนขาไม่ลีบลง เพราะผู้สูงอายุ เกิน70 ปี นอนติดเตียง1ถึง 2สัปดาห์ ล้วนสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แขนขาจะลีบลง

จึงเกิดข้อสงสัยว่า แอบไปเดินเล่นที่อื่นหรือไม่ แขนขาจึงไม่ลีบ และที่แปลกใจมาก อาการป่วยวิกฤติ อันตรายต่อชีวิต ไม่มีข่าวว่า ครอบครัวไปนอนเฝ้าเลย

ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นมาก ที่ควรไต่สวน เพื่อเอาความจริงออกมาให้ประชาชนทราบ ยกเว้นถ้าได้คำตอบว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤติ แต่มีการช่วยเหลือ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่เรือนจำ ถ้าผลออกมาแบบนี้ ก็อธิบายข้อสงสัยได้หมด ซึ่งเท่ากับว่ายังไม่ได้ติดคุก ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล นี่ยังไม่นับรวมการขอศาลตามป.วิอาญามาตรา 246

‘อนุทิน’ ย้ำไม่เคยแม้แต่คิดแอบอ้างสถาบันฯ หลังถูกระบุในเอกสาร กอ.รมน. เป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์

(2 พ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงที่กระทรวงมหาดไทย กรณีมีชื่อปรากฏในเอกสารประเมินภัยคุกคามด้านความมั่นคงของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งระบุว่าเป็นบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน โดยยืนยันว่าเพิ่งทราบเรื่องจากข่าว และยังไม่เคยเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวด้วยตนเอง

อนุทินระบุว่า ตนในฐานะรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ซึ่งเป็นตำแหน่งตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังไม่เคยได้รับข้อมูลนี้ในการประชุม และจะขอเอกสารมาตรวจสอบให้ชัดเจน พร้อมย้ำว่าไม่เคยมีพฤติกรรมหรือความคิดที่จะแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะไม่มีความจำเป็น และไม่มีเหตุผลใดที่จะทำเช่นนั้น

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้ว “แม้แต่คิดก็ไม่เคยคิด” ที่จะละเมิดหรือใช้สถาบันในทางไม่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าความจงรักภักดีต่อสถาบันอยู่ในสายเลือด และเป็นสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดชีวิตการทำงานในทางการเมืองและราชการ

ท้ายที่สุด นายอนุทินขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายว่า อย่านำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงหรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการทำงานของภาครัฐและสถาบันหลักของประเทศ

‘สว.สายสีน้ำเงิน’ เริ่มหวั่นไหว!! บางคนถูกเรียก เป็นผู้ถูกกล่าวหา บางคนขอเป็นพยาน หลัง ‘สว.คะแนนเป็นศูนย์’ เริ่มถูก ‘ดีเอสไอ’ เรียกสอบ เผย!! ใกล้สาวไปถึงตัวการใหญ่

(1 พ.ค. 68) รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ.) แจ้งว่า หลังจากดีเอสไอ.รับคดีฟอกเงิน อั้งยี้ฮั้วการเลือก สว.ไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอ.ก็ทำงานร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอัยการมาโดยตลอด มีการแยกกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสามกลุ่ม 1.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับขบวนการจัดฮั้วในระดับนำ ซึ่งมีบุคคลระดับรัฐมนตรีเกี่ยวข้อง 3 คน และระดับนำสูงสุดอีก 1 คน และมีแกนนำระดับโซนอีกหลายคน กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกมาสอบสวนในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กลุ่มที่สาม บุคคลที่จะเรียกมาเป็นพยาน รวมถึงอดีตผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ได้ทยอยเรียกพยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำอย่างต่อเนื่อง และข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีเป็นอย่างยิ่ง รู้ถึงวิธีการจัดการทั้งหมด และคณะกรรมการสอบสวนกำลังลงลึกในรายละเอียดถึงเส้นเงินที่โยงใยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

รายงานข่าวจากดีเอสไอ.แจ้งว่า จริงๆแล้วเรื่องฮั้วเลือก สว.ดีเอสไอ.ซุ่มทำข้อมูลมานานแล้ว การเรียกพยานมาให้เพียงคำเป็นเพียงการยืนยันข้อมูลข้อเท็จจริงเท่านั้น

กล่าวสำหรับนครศรีฯ คณะกรรมการสอบสวนพุ่งเป้าพิเศษไปยังอำเภอชะอวด เนื่องจากมีตัวเลขผู้สมัครรับการเลือกเป็นสว.มากเป็นพิเศษเกือบ 300 คน และอำเภอเดียวมี สว.ถึงสองคน

มีรายงานจากดีเอสไอ.ว่า มีสว.สายสีน้ำเงิน ท่านหนึ่ง ติดต่อไปยังดีเอสไอ เพื่อขอให้ปากคำเป็นพยาน แต่ดีเอสไอยังไม่รับปาก เพราะเป็น สว.ที่อยู่ในข่ายเรียกมาสอบเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกพยานจากนครศรีฯมาสอบอีก 2 คน ซึ่งอาจจะรวมถึงอดีตผู้สมัคร สว.ที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย เพราะให้น่าสงสัยว่าทำไมไม่ลงคะแนนให้ตัวเอง ซึ่งดีเอสไอมีข้อมูลว่า กลุ่มขบวนการฮั้วแจ้งว่า ไม่ต้องเลือกตัวเอง จะมีผู้สมัครจากกลุ่มอื่นมาลงคะแนนให้ แต่ผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จึงไม่มีชื่ออยู่ในโพย จึงไม่มีใครเลือก

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ผลการสอบปากคำพยานที่ผ่านมาเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก นอกจากโยงใยไปถึงรัฐมนตรีบางคนแล้ว ยังมีนักการเมืองท้องถิ่นร่วมในขบวนการจัดฮั้วด้วย ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นจะเป็นคนจัดการในระดับจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนจะสาวไปถึงหมดทุกคน

มีข้อมูลที่น่าวิตกกังวล คือข้อมูลการให้ปากคำของพยานบางคน หลุดไปถึงมือของฝ่ายจัดฮั้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหลุดไปจากใครคนใดคนหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อพยาน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเปลี่ยนตัวคณะกรรมการสอบสวนบางคนที่ทำตัวเป็นไส้ศึก ที่วงใน กกต.ก็สงสัยในพฤติกรรมอยู่บ้างแล้ว ที่สำคัญในสถานการณ์นี้ดีเอสไอก็ควรจะให้การคุ้มครองพยานด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้พยานเก็บตัวเครียดอยู่คนเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top