Sunday, 12 May 2024
POLITICS NEWS

'ธนาธร' ไม่สนเสียงเตือน กกต. เดินหน้าจูงใจเลือกสว. ด้าน กกต.ฮึ่ม!! พบฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมาย ฟันทันที

(30 เม.ย.67) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"วันอาทิตย์และจันทร์นี้ผมอยู่อีสาน แต่วันอังคารกลับมาเจอพี่น้องประชาชนที่มหาชัย ล้อมวงคุยเรื่อง #สวประชาชน กันครับ

"พบกันช่วงเย็น แดดร่มลมตก ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ลานริมเขื่อน หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สมุทรสาคร"

ทั้งนี้ กกต.ได้เตือนว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลและตัวแทนองค์กรจัดแคมเปญ ให้มีการจูงใจ / ชี้ชวน รวบรวมบุคคลจากหลากหลายอาชีพ รวม 20 กลุ่ม ให้เป็นผู้เสนอตัวสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ นั้น

ปรากฏว่า มีบุคคลที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาเป็นจำนวนมาก กรอกข้อมูลส่วนตัว จุดยืน วิสัยทัศน์ และข้อมูลอื่น ๆ ลงในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ผู้จัดแคมเปญทำการรวบรวมรายชื่อผู้สมัคร เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของตนเอง อันเป็นการจัดตั้งบุคคลให้มาเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น

การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย จึงขอแจ้งให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อย่าได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด ๆ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อมูล และพยานหลักฐานตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือมีผู้ร้องเรียนว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย สำนักงาน ฯ จะดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายในทันที จึงขอให้ยกเลิกและยุติการกระทำดังกล่าว 

'ครูมานิตย์' ลั่น!! 'ปานปรีย์' ไม่ใช่คีย์แมนเพื่อไทย ลาออกไปไม่กระทบ ซัด!! ไม่มีคุณสมบัติเป็นนักการเมือง ที่เป็นรมต.ได้ ก็เพราะผู้แทนฯ

(30 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หรือไม่? ว่า... 

"ไม่กระทบ นายปานปรีย์ อาจจะเก่งเรื่องวิชาการ แต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก ตนมองว่านายเศรษฐา ให้เกียรติมาก ที่ให้เป็น รมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรี มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์ จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอ เป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร สส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ"

เมื่อถามว่าพูดแบบนี้เป็นการตัดบัวไม่ให้เหลือใย หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้บอกว่าตัดบัวไม่เหลือใจ ตนอยู่การเมืองมานานแทบจะไม่มีโอกาสคุยกับนายปานปรีย์ ทั้งที่คนที่เป็นผู้บริหารต้องมีความผูกพันกับนักการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ที่วันนี้มีนักการเมืองมาหาจำนวนมาก ดังนั้นที่สื่อมาถามว่านายปานปรีย์ ลาออกจะกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ นายปานปรีย์ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย หลายคนบอกว่าเสียดายนายปานปรีย์ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยเสียดายหรือไม่ตนไม่รู้ แต่ส่วนตัวตนไม่เสียดาย และคิดว่าผู้แทนคนอื่นคิดเหมือนตน"

"อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพวกผมมาจากผู้แทน จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นเสนาบดี แต่ไม่มาสัมผัสกับผู้แทนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ และ การที่ปรับตำแหน่งนายปานปรีย์ นายกฯพิจารณา หลายมิติแล้ว" ครูมานิตย์ ทิ้งท้าย

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ เผยกับสื่อนอก ยัน!! จะดำเนินนโยบายอย่างอิสระ เมิน!! แรงกดดันทางการเมือง หลังโดนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Street Signs Asia’ ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีของสหรัฐฯ ในวันที่ 29 เม.ย. ว่า ธปท.จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเป็นอิสระ โดยไม่สนใจแรงกดดันทางการเมือง

‘ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์’ นายเศรษฐพุฒิกล่าว พร้อมระบุเสริมว่า แม้จะเผชิญเสียงเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ ธปท.ไม่ได้ดำเนินการตามเสียงเรียกร้องเหล่านั้น เพราะไม่ใช่การดำเนินการอย่างเป็นอิสระ

"ผมคิดว่ากรอบการบริหารจัดการค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมานั้นอิงตามสิ่งที่เรารู้สึกว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเศรษฐกิจประเทศ ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับการผ่อนคลายแรงกดดันทางการเมืองหรือแรงกดดันอื่น ๆ"

ทั้งนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ธปท.มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมนโยบายครั้งล่าสุดในเดือน เม.ย. แต่ธปท.ถูกรัฐบาล รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กดดันอย่างหนักให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ซีเอ็นบีซีระบุว่า การปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเงินมีแนวโน้มจะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากส่งเสริมให้ธุรกิจกู้เงินมาลงทุนและหนุนให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงิน

นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า "หากพิจารณาเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจไทยซบเซา จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเลย"

ขณะเดียวกัน นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันนั้นสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่แล้ว และสอดคล้องกับความพยายามในการลดภาระหนี้สินในระบบอย่างเป็นระบบระเบียบ ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการไม่เพิ่มภาระหนี้สินภาคครัวเรือนมากเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนก่อหนี้ก้อนใหม่เพิ่มมากเกินไป

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อุปสรรคเชิงโครงสร้างได้ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอน โดยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพเนื่องจากไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านประชากรศาสตร์โดยมีกำลังแรงงานลดน้อยลง

นอกจากนี้ นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องการลงทุนสาธารณะ ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นระยะสั้น

ความบอบช้ำ 'ซ้ำซ้อน' ของประเทศชาติ 'ที่ดินรัชดา-จำนำข้าว' สู่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ตามประวัติศาสตร์โลก นักการเมืองชาติใดก็ตามที่มีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง ญาติพี่น้อง และพวกพ้อง ทำให้ประชาชนตาดำ ๆ ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ 

นักการเมืองคนนั้น ๆ ก็จะถูกกำจัดให้ออกจากประเทศโดยน้ำมือของประชาชนที่เคยเลือกเข้ามาเอง เพราะหากปล่อยคนเลว ๆ ไว้แล้ว ประเทศชาติจะเสียหายหนักกว่าการเสียฟอร์มชนิดเทียบกันไม่ติด 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมประเทศอื่น ที่นักการเมืองเป็นใหญ่ขึ้นมาได้เพราะประชาชน หากแค่ทำเลวกับประชาชนหนัก ๆ เพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถจะฟื้นตื่นกลับมาได้รับโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง 

ทว่า...ผิดกับคนไทย ที่เจ็บกี่ครั้งก็ไม่คิดจะจดจำ 

โจรปล้นชาติในคราบนักการเมือง ทำผิดร้ายแรงในคดีทุจริตจนถึงขนาดต้อง 'หนีคดี' ออกนอกประเทศ นอกจากไม่กล้ายอมรับในความผิด ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศไทยเรื่อยมา ด้วยการเดินสายป่าวประกาศในสังคมโลกว่าถูกกระบวนการยุติธรรมไทยกลั่นแกล้ง 

หนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไม่กล้ากลับเข้ามายังผืนแผ่นดินไทยเพื่อมารับโทษ จนกระทั่งเหล่า 'คนเบาปัญญา' หน้าเดิม ๆ กาเลือกพรรคการเมืองภายใต้ 'อุ้งตีน' ของ 'นักการเมืองเร่ร่อน' จนสามารถกลับมามีอำนาจในการต่อรองที่สูง 

ที่สุดก็ได้เป็นรัฐบาล!!

แล้วจึงถึงเวลาที่ 'นักโทษหนีคดี' บินกลับมาเพื่อ 'พูดยอมรับความผิด' แต่ไม่ต้องอยู่ในกรงขังตามแผนเลว ๆ ที่ 'เหล่าสมุนชั่ว' ช่วยกันจนสำเร็จ 

ก่อนหนีคดีไปต่างประเทศ เคยเอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไว้อย่างไร กลับมาก็ยังเป็นคนชั่วคนเดิมที่เอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไม่เปลี่ยนแปลง

นักการเมืองคนโต ณ ประเทศไทยที่อดีตเป็น 'นักโทษหนีคดี' กลับถึงไทยก็แปลงร่างเป็น 'นักโทษเทวดา' ห้อมล้อมดูแลไปด้วย 'คนหัวใจสวะ' รุมช่วยไม่ให้ต้องนอนคุกเลยสักวันเดียว 

พฤติกรรมอหังการเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจในสังคมไทยมักจะยอมศิโรราบต่อ 'เงินของมหาโจร' โดยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ที่ 'ประเทศไทย' เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ตราบที่เรายังมีเหล่าประชาชนผู้ 'เบาปัญญา' หลับหูหลับตาสนับสนุนดังเดิม

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขอบคุณ ‘ชลน่าน’ ในการมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ ‘สมศักดิ์’ สานต่อภารกิจ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

(29 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ชมรมแพทย์ชนบท ขอขอบคุณ รมต.ชลน่าน ศรีแก้ว ในความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ที่ผ่านมา  ผลงานเด่นคือการวางรากฐาน reset งานใหม่ทั้งหมด หลังยุคอนุทินที่แทบไม่ได้ขยับอะไรนอกจากนโยบายกัญชา แต่อุปสรรคที่มีมาก โดยเฉพาะจากข้าราชการที่คุมไม่อยู่ ระดับบิ๊กยังอืดไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่ตอบสนองก็แย่แล้ว แต่ยังวางยารัฐมนตรีด้วย จนถูกข้าราชการวางกับดักให้เกิดเป็นคู่ขัดแย้งอย่างไม่รู้ตัวกับ สปสช. ชัดจนคนในวงการต่างก็อ่านเกมส์ออกว่า ข้าราชการก๊กนั้น เสี้ยมและใช้รัฐมนตรีเป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. หวังวางระบบประกันสุขภาพที่ สธ.เป็นใหญ่ แต่เมื่อหลักการผิด แนวทางปฏิบัติไม่เวิร์ก จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ที่รอการแก้ไข

ไม้ผลัดทางนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ จากรากฐานที่รัฐมนตรีชลน่านวางไว้ กำลังจะถูกส่งต่อให้รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ภารกิจทางนโยบายที่สำคัญต่อประชาชนคนไทย และสำคัญต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทยด้วย

แน่นอนว่าไม่ง่าย โดยเฉพาะจากข้าราชการที่ขยันเดินตามแต่ไม่ขยันทำงานยังเป็นอุปสรรค ขยันก็แต่ไหว้พระสายมูงมงายกับการขอพรและสร้างพระทำบุญหวังให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

นอกจากนี้ ข้าราชการก๊กนี้ยังเกียร์ว่าง ละเลยงานสุขภาพปฐมภูมิ ย้ายคนจนวุ่นวาย รากฐานงานปฐมภูมิที่วางมาดีสั่นคลอน การแก้ปัญหายาเสพติดจึงสะดุด การสาธารณสุขรากฐานไม่ก้าวหน้า  การกระจายอำนาจด้านสุขภาพก็สับสน

ชมรมแพทย์ชนบทขอเป็นกำลังใจให้กับรัฐมนตรีชลน่าน ศรีแก้ว และรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค สานต่อภารกิจ สถาปนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีที่สุดเพื่อคนทุกคนบนแผ่นดินไทย

'เพจดัง' จับโป๊ะ!! เด็กก้าวไกลเกณฑ์คนไปฟังธนาธรพูดเรื่อง สว. เนียน!! สั่งทุกคนห้ามใส่ 'เสื้อ-สัญลักษณ์' ของพรรคก้าวไกลไป

(29 เม.ย. 67) จากเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพกรณี 'ธีรุตม์ สันหวัง' อดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกล ชวนคนไปฟังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดตั้งทีมเลือก สว. ว่า...

#ทุกคนคะ พบอดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกล ปัจจุบันเป็นทีมงานพรรคภาคใต้ เกณฑ์คนไปฟังธนาธร พูดตั้งทีมเลือก สว. 

พบคนที่ไปฟังเป็นสมาชิกและฐานเสียงพรรค ถูกสั่งห้ามใส่เสื้อและแสดงสัญลักษณ์ของพรรคก้าวไกลด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ทางเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง ยังเผยอีกว่า นายธนาธรมีการชี้นำหลายจุด และทางเพจก็มีภาพและคลิปพร้อม แต่ยังไม่รู้จะส่งใครได้บ้าง เนื่องจากเบื่อ กกต.

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูข้อความจากเพจของนายธีรุตม์ สันหวัง ได้ระบุข้อความที่โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 17 เม.ย.67 ความว่า...

มีคนถามผมเกี่ยวกับเรื่อง สว. ว่า เขาเลือกกันยังไงวะ

วันนี้ !!! วันนี้ 18.00 น.ณ ปั้ม ปตท. บางม่วง เชิญผู้สนใจ

เข้าร่วมงาน 'ขอความร่วมมือ' ต้องไม่ใส่เสื้อพรรคก้าวไกล เนื่องจากงานนี้พูดเรื่อง สว. และ สว.ต้องเป็นอิสระจาก 'พรรคการเมือง'

'โฆษก รทสช.' เห็นด้วย 'คนการเมือง' ห้ามข้องเกี่ยวเลือกตั้ง สว. หากต้องการบุคคลที่ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง

(29 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า อยากให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งสว. ดังนั้นทุกฝ่าย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ สว. ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคได้กำชับ สส. และสมาชิกพรรคทั่วประเทศว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ไม่สนับสนุนผู้ใดทั้งทางตรงและทางอ้อม

"ฝ่ายการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้งสว.ในครั้งนี้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อให้ได้ สว. ที่เป็นกลางปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง เพราะ สว.มีหน้าที่สำคัญเข้าไปคัดสรรเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ จึงจำเป็นต้องได้บุคคลที่ปลอดจากการเมืองไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกติกาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศออกมา" นายอัครเดช กล่าว

'ดร.นิว' หวัง!! อธิการบดีธรรมศาสตร์คนใหม่ต้องมีคุณธรรม นำพามหาลัยกลับสู่ดินแดนแห่งผู้รัก 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์'

(29 เม.ย. 67) นายศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suphanat Aphinyan' ในหัวข้อ 'อธิการบดีธรรมศาสตร์คนใหม่ต้องมีคุณธรรม' ระบุว่า...

30 เมษายน 2567 ก็จะทราบแล้วว่าอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นใคร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในขั้นตอนสุดท้าย จึงขอฝากไปถึงสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ช่วยตระหนักโดยคิดคำนึงถึงหลักคุณธรรมและจริยธรรมในการพิจารณาคัดเลือก เพราะถือได้ว่าคุณธรรมและจริยธรรมของผู้นำองค์กรเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ธรรมศาสตร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไม่สร้างสรรค์ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็กลายเป็นความตกต่ำจนธรรมศาสตร์ได้กลายเป็นเพียงแค่บ่อน้ำบำบัดความกระหายอำนาจของเครือข่ายอาจารย์กับนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว อีกทั้งยังเป็นบ่อเงินบ่อทองของเครือข่ายที่ใช้ตำแหน่งกับอำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องด้วยความฉ้อฉล 

ฉะนั้น อำนาจที่อยู่ในมือของสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดจนจิตสำนึกที่มีอยู่ในกรรมการสภามหาวิทยาลัยแต่ละท่าน จึงมีส่วนสำคัญในการได้มาซึ่งอธิการบดีธรรมศาสตร์คนใหม่ที่มีคุณธรรมและจริยธรรม หวังว่าสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกท่านจะตัดสินใจบนพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม โดยมีความโปร่งใสซื่อตรงต่อคะแนนและผลการสรรหาที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน 

'ธรรมศาสตร์' ต้องเป็นดินแดนแห่งความถูกต้องของคนที่มีจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสรีภาพทุกตารางนิ้วต้องเกิดจากความรับผิดชอบทุกตารางเซน เพราะสิทธิเสรีภาพย่อมมาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดชอบเสมอถึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชนก็ต้องรักแบบสันติประชาธรรม ไม่ใช่จุดไฟความแตกแยกแล้วหลอกใช้ประชาชนไปล้มล้างการปกครอง 

'ธรรมศาสตร์และการเมือง' ต้องเป็นพื้นที่ของการศึกษาเรียนรู้ที่เท่าทันการเมือง ต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของอาจารย์กับนักการเมือง ต้องไม่ตกหลุมพรางประวัติศาสตร์บิดเบือนที่เชิดชูคณะราษฎรจนมัวเมา ต้องไม่สร้างความแตกแยกบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมใจของชาติ แต่ต้องช่วยกันสร้างประชาธิปไตยด้วยความรู้รักสามัคคี ราชประชาสมาสัยนำไทยสู่อนาคต 

ในฐานะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาว่าอธิการบดีธรรมศาสตร์คนใหม่จะเป็นความหวังในการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ อันจะนำพาธรรมศาสตร์ออกจากความมืดมิดไปสู่แสงสว่าง อยากเห็นอธิการบดีธรรมศาสตร์คนใหม่ที่ทันสมัย จะต้องไม่ใช่คนที่จูงจมูกของนักศึกษาไปรับใช้การเมือง ไม่ใช่คนด่างพร้อยจนเป็นที่ติฉินนินทาของสังคม แต่ต้องเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด 

‘ปานปรีย์’ ยื่นจดหมายถึงนายกฯ ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อวันที่ 28 เม.ย.67 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ ร่อนหนังสือถึงนายกฯ ขอลาออกจาก รมว.ต่างประเทศ และทุกตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นมาทำหน้าที่แทน โดยเชื่อว่า การปรับออกจากรองนายกฯ ไม่เกี่ยวการไม่มีผลงานอย่างแน่นอน โดยในหนังสือดังกล่าว ระบุข้อความว่า…

“๒๘ เมษายน ๒๕๖๗

ขอลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

กราบเรียน นายกรัฐมนตรี

ตามที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีบางตําแหน่ง และปรากฏว่าผมยังคงดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่เพียงตําแหน่งเดียวนั้น

ผมมีความประสงค์จะขอลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และทุกตําแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๗ เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดํารงตําแหน่งแทน

สาเหตุของการปรับผมออกจากรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทํางานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทําหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้ว จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด 

วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรดาร์ของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น นอกจากนั้น การให้ความสําคัญกับคนไทยในต่างประเทศ ผมยังไปเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อนําคนไทยผู้ถูกจับเป็นตัวประกันในอิสราเอลกลับไทยได้ถึง ๒๓ คน แรงงานไทย ๘,๐๐๐ คน และจากเล่าก์ก่ายในเมียนมาอีก ๑,๐๐๐ คน เปิดวีซ่าฟรีกับหลายประเทศ เพื่อคนไทยมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา ฟื้นความสัมพันธ์กับอาเซียน สหภาพอียู อินเดีย และประเทศมหาอํานาจ ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน จนเกิดการเจรจาลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในประเทศไทยอีกด้วย

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จะช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีประสิทธิภาพมากขึ้น โปร่งใส และรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไป

ช่วงเวลาหนึ่ง ขอขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสผมได้ทํางานกับรัฐบาลนี้มา

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ”

‘ก้าวไกล’ ข้องใจ ทำไมเอาคนทิ้งพรรคอย่าง ‘สมศักดิ์’ เสียบแทน ‘หมอชลน่าน’ ชี้!! ทำหน้าที่นำทัพ อย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้ง ‘ช่วงเลือกตั้ง-ช่วงเป็นฝ่ายค้าน’

(28 เม.ย. 67) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐา 1/1ว่า ไม่ต่างจากเดิมมากนัก มีรัฐมนตรีว่าการเพียง 2 คนที่เปลี่ยนเข้ามา หากดูลึกๆ คนที่เป็นเลือดแท้พรรคเพื่อไทย ต่อสู้ฟันฝ่าในช่วงที่พรรคเพื่อไทยขาลงค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จตามหวังเท่าไหร่ ตนคิดว่าต้องไปดูว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยปรับเปลี่ยนเป็นแบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

“คนวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ ว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งช่วงจัดตั้งรัฐบาล คนที่เปลืองตัวที่สุด คนที่คิดว่าน่าจะต้องอยู่ตลอดรอดฝั่ง อย่างนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่เป็นหมอ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตรงสายที่สุด น่าจะอยู่ได้นานกว่านี้ น่าจะมีผลงานอะไรได้มากกว่านี้ กับกลายเป็นรัฐมนตรีว่าการคนแรกๆที่ถูกปรับออกในส่วนของพรรคเพื่อไทย น่าตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใดที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจอย่างนั้น ตัดสินใจให้อดีตหัวหน้าพรรคที่นำทัพช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ช่วงการเป็นฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตหลายอย่าง แต่วันนี้ตัดสินใจสับเปลี่ยนให้คนที่ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทยไป แล้วกลับเข้ามาใหม่ในวันที่พรรคเพื่อไทยเจริญรุ่งเรือง สมดังหวัง ตามที่ต้องการทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยากเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็แล้วแต่”

นายณัฐชา กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีคนเดียวหรือไม่ หรือองค์ประกอบอื่นที่กำลังบีบคั้นให้นายกรัฐมนตรีต้องปรับแบบนี้ แน่นอนที่สุดว่าจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ว่าวันนี้ รัฐบาลที่ประชาชนก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่การปรับ ครม. ก็ยังไม่เห็นว่าตอบโจทย์พี่น้องประชาชน ไม่ได้ใช้คนให้ตรงกับงาน แต่เป็นการปรับเพื่อให้ตรงกับโควตาทางการเมืองเหมือนเดิม

เมื่อถามว่าเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ตำแหน่งรัฐมนตรียุคพรรคเพื่อไทยว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ถือว่าพรรคเพื่อไทยรักษาคาแรกเตอร์ เพราะในอดีตก็พูดกันว่า 6 เดือนเปลี่ยน ก็ไม่แตกต่างกัน และเป็นสไตล์การบริหารของพรรคเพื่อไทย แต่แน่นอนว่าจะบริหารอย่างไร ต้องสอดคล้องกับงาน ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐมนตรีที่ไม่ตรงกับงานกลับได้อยู่ต่อ แต่รัฐมนตรีที่ถูกมองว่าตั้งตรงกับตำแหน่งหน้าที่กลับถูกปรับออกอันดับต้นๆ

เมื่อถามว่านายแพทย์ชลน่านควรนั่งรัฐมนตรีฯต่อหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า หากมองแบบใจเป็นกลาง คนเป็นหมอควรได้ดูกระทรวงสาธารณสุขที่สุด

“คนที่วิกฤตและลำบากที่สุดในตลอดช่วงเลือกตั้ง รวมไปถึงช่วงเป็นผู้นำฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ก็น่าจะเป็นอดีตผู้นำฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาจัดตั้งรัฐบาลหลังจากพ่ายแพ้ คนที่เหนื่อยที่สุด หนีไม่พ้นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ที่ต้องแบกรับทุกสถานการณ์ทุกอย่างเป็นต้นทุนส่วนตัวที่ต้องแบกรับ แต่เมื่อถึงเวลาจะตั้งรัฐบาลได้แล้ว สิ่งแรกที่เขาดำเนินการคือปรับท่านออก ก็ถือว่าน่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

ถามว่าเห็นใจนายแพทย์ชลน่านใช่หรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ก็ต้องตอบตรงๆ ด้วยความที่เป็นเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำงานพรรคฝ่ายค้านด้วยกันมาตลอด 4 ปี ก็เห็นความตั้งใจ แต่วันนี้พอเป็นรัฐมนตรีว่าการที่ถูกปรับออกคนแรก แบบไม่มีเพื่อนเลย มันก็น่าเห็นใจอยู่ ว่าไหนๆจะปรับ ครม.แล้ว อย่าให้อดีตหัวหน้าพรรคได้ถูกกระทำขนาดนั้น ควรมีเพื่อนที่ถูกปรับออกบ้าง อย่างน้อยจะได้อ้างได้ว่าเป็นการปรับเพื่อผลัดเปลี่ยน หากไม่นับนายกรัฐมนตรีจะถือเป็นรัฐมนตรีว่าการคนเดียวที่ถูกปรับออก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top