Sunday, 12 May 2024
POLITICS NEWS

‘ด้อมพีระพันธุ์’ มั่นใจ!! ผลงาน ‘ลุงตุ๋ย-รทสช.’ ผ่านฉลุย พร้อมดันก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป

แฟนคลับพรรครวมไทยสร้างชาติ - ด้อมพีระพันธุ์ รวมตัว ‘อาสามาด้วยใจ’ ให้กำลังใจเชียร์ร่วมสานฝันดัน ‘ลุงตุ๋ย’ สู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน พร้อมย้ำ เป็นคนที่เหมาะสานงานต่อจาก ‘ลุงตู่’ มากที่สุด  

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 ที่สโมสรราชพฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนสาขาพรรคจากทั่วประเทศ และสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง 

และหนึ่งในไฮไลท์ของงานในวันนั้น คือ การรวมตัวกันของแฟนคลับพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ‘ด้อมพีระพันธุ์’ ได้ร่วมสร้างกลุ่มที่เรียกว่า ‘อาสามาด้วยใจ’ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้ที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพรรคฯ และ นายพีระพันธุ์ เพื่อช่วยกันประชาสัมพันธ์ผลงานและนโยบายต่าง ๆ ของรัฐมนตรีและบุคลากรของพรรค ผ่านช่องทางต่าง ๆ  พร้อมทั้งได้มีตัวแทนของทางกลุ่มอาสามาด้วยใจ ขึ้นเวทีกล่าวความในใจและให้กำลังใจนายพีระพันธุ์ ด้วย

โดยนายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือพี่เช็ค อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดังจากรายการคนค้นคน ที่ช่วงหลังได้ผันตัวมาทำงานจิตอาสา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน ไม่ได้ทำรายการโทรทัศน์ ก็ได้ทำหน้าที่จิตอาสาตามพื้นที่ห่างไกลมาอย่างต่อเนื่อง และได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ ความยากลำบาก และปัญหาต่าง ๆ ของชาติบ้านเมือง ดังนั้น ตนจึงตั้งใจอาสาเข้ามาทำงานให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ในนามของจิตอาสา เพราะมองว่าพรรคนี้น่าจะฝากความหวังไว้ได้

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนเองได้เห็นความเป็นไปของบ้านเมืองในหลายมิติ แต่ปัญหาต่าง ๆ ที่มีคนอาสาเข้ามาแก้ไข ก็ยังไม่เห็นปัญหาไหนลดลงหรือดีขึ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ การทุจริต ยาเสพติด และปัญหาอาชญากรรม 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัญหาจะยังไม่ดีขึ้น แต่ก็หวังว่าในอนาคตปัญหาต่าง ๆ จะได้รับการแก้ไข และส่วนตัวมีความรู้สึกว่า ยังไม่เห็นนักการเมืองคนใดที่ควรได้รับความไว้วางใจให้แก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองเท่ากับ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติเลย นั่นจึงเป็นที่มาของการเสนอตัวมาเป็นจิตอาสาช่วยงานพรรคในครั้งนี้

“ผมมีความรู้สึกศรัทธา และเชื่อมั่น ในตัวพี่ตุ๋ย หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และยิ่งได้เห็นการทำงานในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ผมมีความหวัง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ท่านก็ได้ทำเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแตะ ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำด้วยความรู้ความสามารถ และทำด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ บ้านเมือง และพี่น้องประชาชน ผมยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมอาสาพรรครวมไทยสร้างชาติ และพร้อมที่จะนำเสนอข่าวสารของทางพรรคไปถึงพี่น้องประชาชนต่อไป”

ด้านนารีรัตน์ ว่องไว หรือ ‘แม่ติ้ว ฟิลลกูดส์’ ติ๊กต๊อกเกอร์ด้านการเมือง กล่าวว่า จากเดิมไม่เคยสนใจนักการเมืองมาก่อนเลย เพราะต้องทำมาหากิน และมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้นำเป็นใครก็ตาม แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ยังเป็นเหมือนเดิม ส่วนนักการเมืองก็มาหาคะแนนเสียง พอเลือกตั้งเสร็จก็หายหน้าไป กระทั่งได้มารู้จักลุงตู่ ได้ติดตามการทำงาน และเห็นผลงานจากโครงการต่างๆ มากมาย จึงทำให้ได้รู้ว่าเรามีผู้นำประเทศที่ดี จึงได้ตัดสินใจทำช่องติ๊กต๊อก เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ผลงานของลุงตู่มาตั้งแต่ปี 2565 จนต่อเนื่องมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมอาสามาด้วยใจ เพื่อช่วยนำข่าวสารและนโยบายของทางพรรคไปสู่พี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะมองว่า เป็นนโยบายที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น และที่สำคัญนับว่าเป็นอนาคตของลูกหลานที่จะเติบโตขึ้นมา

“การที่ตนเองอาสามาทำงานให้กับทางพรรค เพราะอยากจะให้กำลังใจลุงตู่ ให้กำลังใจพรรครวมไทยสร้างชาติ และท้ายที่สุดอยากให้รวมไทยสร้างชาติไปให้ถึงฝัน นั่นก็คืออยากให้คุณพีระพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศเพื่อดูแลคนไทยทั้งประเทศตลอดไป”

ดร.พราหมณ์อิศรา อินทร์ยา อาจารย์มหาวิทยาลัย อีกหนึ่งอินฟลูเอนเซอร์ทางด้านการเมืองที่มีคนติดตามจำนวนมาก กล่าวถึงการร่วมเป็นอาสามาด้วยใจ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ตนเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองนัก ซึ่งก็เป็นเช่นประชาชนทั่วไปที่ต้องก้มหน้าทำมาหากิน แม้จะรู้ว่าในช่วงที่ลุงตู่ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองมากมาย แต่ก็ยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องลุงตู่ จากการถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีผ่านสื่อโซเชียลต่าง ๆ 

กระทั่งมาถึงจุดที่จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป เมื่อครั้งเกิดกรณีการตบทรัพย์ภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปเอี่ยวด้วย และฝ่ายตรงข้ามพยายามจะโยงไปถึงคุณพีระพันธุ์ให้ได้ ภาพจำเมื่อครั้งที่ลุงตู่ถูกกระทำหวนกลับมาอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ตนจะไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไป เพราะจากที่ได้ติดตามและศึกษาประวัติของคุณพีระพันธุ์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า ท่านเป็นคนดีที่อาสามาทำงานเพื่อชาติ บ้านเมือง และประชาชนอย่างแท้จริง

“การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นอาสาของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะไม่อยากนิ่งเฉยให้คนดี ๆ ถูกโจมตีฝ่ายเดียวอีกต่อไป ที่ผ่านมาลุงถูกกระทำมาเยอะแล้ว ดังนั้น ผมจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกมาปกป้องและเก็บคนดี ๆ เอาไว้ทำงานให้ชาติบ้านเมืองบ้าง จึงเป็นที่มาของการรวมตัวกันของแฟนคลับพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นกลุ่มอาสามาด้วยใจ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ผลงานและนโยบายของพรรค และที่สำคัญคือช่วยให้คนดี ๆ อย่างคุณพีระพันธุ์ ได้มีโอกาสทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป”

พร้อมกันนี้ ‘ต้องตา - สุพัตรา รังสิตสวัสดิ์’ หนึ่งในอาสามาด้วยใจ ได้เป็นตัวแทนแฟนคลับมอบเสื้อ ‘ด้อมพีระพันธุ์’ ซึ่งเป็นเสื้อยืดสีน้ำเงิน สีประจำพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่นายพีระพันธุ์ อีกด้วย

‘จักรภพ’ พร้อมลุยรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด รับทราบข้อกล่าวหาคดีอาวุธสงครามใน จ.ฉะเชิงเทรา

(22 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair’ โดยระบุว่า…

“วันนี้ (22 เม.ย.) ในเวลา 09.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่พบในจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อหลายปีก่อน ส่วนในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ในเวลา 10.00 น. จะเดินทางไปในภารกิจเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด จ. พระนครศรีอยุธยา”

‘พีระพันธุ์’ ขอบคุณ 'ลุงตู่' ผู้สร้างดีเอ็นเอให้พรรค รทสช. ลั่น!! ยืนหยัดสู้ทุกปัญหา เดินหน้าทุกนโยบายเพื่อ ปชช.

(21 เม.ย.67) ที่สโมสรราชพฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนสาขาพรรคจากทั่วประเทศ และสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประชุมใหญ่ครั้งแรกที่สโมสรราชพฤกษ์ วันนี้จึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้จัดประชุมใหญ่ เพราะในวันนั้นได้ประกาศ จะพาสส.เข้าในสภาฯ วันนี้เราทำสำเร็จแล้ว ถือว่าสำเร็จเกินความคาดหมาย ต้องขอบคุณคนสำคัญที่สร้าง DNA ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติคือ ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของพวกเรา ในปี 2567 พรรคจะทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยพรรคได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชนผ่านระบบภาษีในปี 2566 กว่า 4 ล้านบาท เชื่อว่าในปี 2567 จะได้รับบริจาคจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลจากการทำงานหนักขึ้นรวมกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค พร้อมกับการทดลองทำโครงการอาสามาด้วยใจ ปรากฏว่า มีคนที่ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองจากทั่วประเทศ มาช่วยทำงานถึง 400 คน เป็นการอาสามาด้วยใจอย่างแท้จริง อยากมาทำงานให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งในปี 2567 จะทำกิจกรรมเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น

‘ซูเปอร์โพล’ เผยผลสำรวจล่าสุด ‘ก้าวไกล’ ขึ้นแท่น แต่ยังไม่พอ ที่จะชนะ เป็นรัฐบาลพรรคเดียว 

(21 เม.ย.67) สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ก้าวไกล เพื่อไทย และอื่น ๆ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,154 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 – 20 เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลมากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ประมาณ 1 เท่าตัว คือ ร้อยละ 37.2 ต่อ ร้อยละ 17.2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ 45.6 ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น

เมื่อแบ่งออกเป็นกลุ่มชายและหญิง พบว่า ชายและหญิงตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองไม่แตกต่างกันในผลสำรวจครั้งนี้ คือ ส่วนใหญ่ของชายและหญิง คือร้อยละ 45.1 ของชาย และร้อยละ 46.1 ของหญิง ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น แต่ ร้อยละ 37.0 ของชาย และร้อยละ 37.3 ของหญิงจะเลือกพรรคก้าวไกล และร้อยละ 17.9 ของชายและร้อยละ 16.6 ของหญิงจะเลือกพรรคเพื่อไทย

ที่น่าสนใจคือ เมื่อแบ่งออกเป็นช่วงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือร้อยละ 76.2 ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี จะเลือกพรรคก้าวไกล แต่มีแนวโน้มลดลงตามช่วงอายุที่สูงขึ้นคือ ร้อยละ 48.9 ของคนอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 34.2 ของคนอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 28.7 ของคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 20.2 ของคนอายุ 50 – 59 ปี และร้อยละ 20.5 ของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเลือกพรรคก้าวไกล จะเห็นได้ว่า แนวโน้มจะเลือกพรรคก้าวไกลลดลงตามช่วงอายุของคนที่สูงขึ้น

สำหรับ ช่วงอายุของคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยไม่พบแบบแผนของการตัดสินใจจะเลือกคือกระจายคะแนนนิยมออกไปไม่เป็นแบบแผน แตกต่างกับคนที่ระบุว่าจะไม่เลือกพรรคทั้งสอง จะเลือกพรรคอื่น พบว่า ยิ่งมีอายุสูงขึ้นจะยิ่งตัดสินใจเลือกพรรคอื่น ๆ มากขึ้นตามไปด้วย คือ ร้อยละ 14.3 ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 39.9 ของคนอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 44.5 ของคนอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 52.8 ของคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 57.5 ของคนอายุ 50 – 59 ปี และร้อยละ 61.6 ของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น

ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มอาชีพกับการตัดสินใจจะเลือกพรรคการเมือง คือ นักศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.2 จะเลือกพรรคก้าวไกล และว่างงาน ร้อยละ 43.5 จะเลือกพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคเพื่อไทย จะพบมาก แต่ไม่ได้มากที่สุดในกลุ่มเกษตรกร คือร้อยละ 24.6 ของกลุ่มเกษตรกร ที่น่าสนใจคือ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ เกินครึ่งหรือร้อยละ 56.0 ไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับ กลุ่มเกษตรกรที่เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.2 ที่ไม่เลือกพรรคก้าวไกล และไม่เลือกพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น นอกจากนี้ จำนวนมากที่สุดของกลุ่มอาชีพค้าขายอิสระ คือร้อยละ 48.4 และร้อยละ 42.1 ของพนักงานบริษัทเอกชน จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น อย่างไรก็ตามจำนวนมากหรือร้อยละ 39.9 ของพนักงานเอกชนจะเลือกพรรคก้าวไกล

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า ผลโพลนี้ วิเคราะห์เจาะลึกลงรายละเอียดของการออกแบบกลยุทธ์ทางการเมืองได้อีกมาก แต่โดยสรุป ถ้าวันนี้เลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เลือกพรรคทั้งสองไม่ว่าจะเป็น พรรคก้าวไกล หรือ พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลมีคะแนนสูงกว่าเพื่อไทยอยู่ประมาณหนึ่งเท่าตัว แต่พรรคก้าวไกลก็ยังจะไม่มีคะแนนนิยมมากพอที่จะชนะการเลือกตั้งจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ถ้ายังทำงานการเมืองแบบนี้ต่อไป การเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ที่ออกมาเป็นแบบเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่ ภาพการเมืองแบบเก่า ๆ เหมือนเดิม

ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดผลมีอะไรใหม่ก็ต้องใช้ระบบเทคโนโลยีมาช่วยทำงานใน 3 กลุ่มงานคือ 1.เข้าถึง เข้าใจ และตอบสนอง (Insight) ตรงความต้องการของประชาชนระดับพื้นที่ (Localization) มากกว่าใช้นโยบายภาพใหญ่นำ 2. ความมั่นคงชาติและปลอดภัยของประชาชน และ 3. อื่น ๆ เช่น ผสมผสานทำงานการเมืองแบบดั้งเดิมกับแบบใหม่ (Hybrid) เป็นต้น ผลที่ตามมาคือ “ศรัทธาของประชาชน” ต่อการเมืองที่เป็นไปได้คือ เหมือนเดิม หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงเทคะแนนนิยมไปยังพรรคการเมืองที่สามารถปรับตัวทันตามการเปลี่ยนแปลงบนความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของชาติ

‘พีระพันธุ์’ ยัน ‘เศรษฐา’ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม. ย้ำ!! รมต.พรรคยังเป็น 4 คนเดิม จับมือกัน ทำงานเพื่อปชช. 

(21 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ดัน นายพีระพันธุ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า เป็นเรื่องธรรมดาในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีก็ต้องพูดแบบนี้ ทุกพรรคการเมืองก็ต้องประกาศในความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของพรรคการเมือง แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องของประชาชน เราไม่มีวันรู้อนาคตได้ แต่ที่สำคัญจะเป็นอะไรก็ต้องทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศไม่ใช่เพื่อตัวเอง ซึ่งยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปและการขับเคลื่อนพรรคไม่ง่าย ไม่มีอะไรง่ายแต่ก็ต้องทำ

เมื่อถามว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะยังเป็นของพรรครวมไทยสร้างชาติใช่หรือไม่ นายพีระพันธ์ุ กล่าวว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ตนไม่ทราบ เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่เคยมาพูด ดังนั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเมื่อยังไม่มีการพูดถึงการปรับครม.ก็ถือว่ายังไม่มี ถึงเวลาจริงค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ยังไม่มี และไม่ทราบถึงกระแสข่าวว่าจะมีการยืดปรับครม.ออกไปอีก 2 เดือน เพราะวันนี้ตนไม่มีหน้าที่ในเรื่องนี้ คนที่มีอำนาจคือนายกรัฐมนตรี เมื่อยังไม่มีการพูดอย่างเป็นทางการก็ถือว่าไม่มี ฉะนั้น 4 คนนี้ก็ยังอยู่

เมื่อถามว่า กรณีนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการพรรค นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ปกติทุกพรรคการเมืองจะมีผู้อำนวยการพรรค แต่ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติคนเดิมได้ถูกแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการพรรคว่างลง กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติแต่งตั้งให้นางพิชชารัตน์ รองเลขาธิการพรรค ไปเป็นรักษาการผู้อำนวยการพรรค แต่ปัจจุบันมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการพรรคคนใหม่ นางพิชชารัตน์จึงหมดหน้าที่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร ยืนยันว่า ในพรรคไม่มีปัญหาอะไร

‘ธนกร’ เชื่อปรับทัพ ครม.เศรษฐา 2 ผู้ใหญ่ดูตามเหมาะสม ยัน!! ไม่มีปัญหาภายในพรรค ทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อปชช. 

(21 เม.ย.67) ที่สโมสรราชพฤกษ์ นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวปรับ ครม. ว่าสมัยหน้าจะได้เข้าร่วมหรือไม่ นายธนกร เผยว่า ไม่ทราบ ทุกอย่างอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ส่วนที่กระแสข่าวว่ามีความขัดแย้งภายในพรรคนั้น ยืนยันว่าไม่มี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทุกคนก็คุยกันดี ทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสมและผู้ใหญ่ภายในพรรค

เมื่อถามย้ำว่า กระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติมาได้อย่างไร นายธนกร ย้ำว่า ตนไม่เข้าใจว่ามีข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร ภายในพรรคไม่ได้มีความขัดแย้ง และแกนนำก็รู้จักกันมานาน สามารถพูดคุยกันได้ ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคเองก็ทำหน้าที่อย่างดี พูดกับสมาชิกเสมอว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ไม่มีใครยึดติดกับตำแหน่ง ทุกอย่างอยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรค

มองว่าเป็นการสร้างกระแสตีข่าวขึ้นมาหรือไม่นั้น ตนงงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มี ทุกอย่างพูดจาได้ แต่ละคนที่อยู่ในกระแสข่าวก็เป็นรัฐมนตรีมาหมดแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สาระสำคัญ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำงานให้กับประชาชน หลายอย่างดีขึ้น เอาเวลาไปทำงานให้กับประชาชนจะดีกว่า ทั้งนี้ การปรับ ครม. ในช่วงเดือนหน้า ก็ต้องถามกรรมการบริหารพรรค ตนเป็นรองหัวหน้าพรรค ไม่ใช่กรรมการบริหาร

เมื่อถามว่า มองการทำงานของพรรคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร นายธนกร เผยว่า รัฐมนตรีทั้งสี่คนมีผลงานตลอด รวมถึง นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ ที่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน ตนมองว่าท่านก็มี เพราะท่านดูแลในเรื่องของภาคเกษตร รวมถึง หัวหน้าพรรค รมว.อุตสาหกรรม รมช.คลัง ก็มีผลงาน ท่านทำงานดี

เมื่อถามถึงกระแสพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะได้โควตารมต.กลาโหม นายธนกร ปฎิเสธว่า ไม่ทราบ

ส่วนจะมีข้อตกลงหรือไม่ว่า จะเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายธนกร ย้ำว่า อย่าพูดแบบนั้น ในพรรคเราพูดกันตลอด หัวหน้าพรรคก็บอกตลอดว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีไม่มีใครยึดติดในตำแหน่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการสลับสับเปลี่ยน แต่เราไม่ได้เล่นเก้าอี้ดนตรี แค่เปลี่ยนแปลงการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่ทำก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกคนก็สามารถเข้าสู่เป้าหมายได้

พร้อมยืนยันว่า ตนยังไม่ได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่ อีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี ช่วงหลังก็อยู่บ้านติดตามข่าวสารตลอดเวลา ปกติจะลงพื้นที่ตลอด ตนทำงานในสภาก็เต็มที่

‘สรรเพชญ’ แนะรัฐบาลแก้ไขปัญหา ‘ทุเรียน’ อย่างเร่งด่วน ย้ำ!! ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อความยั่งยืน

(21 เม.ย.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับหลักปฏิบัติในการตรวจสอบและรับผลทุเรียน สำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้จะเป็นมาตรฐานบังคับในการรองรับการแข่งขันและปกป้องการส่งออก “ทุเรียน” ให้มีคุณภาพ 

โดยเนื้อหาสาระดังกล่าว เป็นการกำหนดมาตรการในการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียน เช่น ความแก่ การคัดแยกทุเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ การห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย อีกทั้งมีการตรวจวิเคราะห์น้ำหนักเนื้อแห้งของทุเรียนที่จะต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนด รวมไปถึงการมีผู้ที่มีหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์หรือควบคุมการเก็บเกี่ยว จะต้องมีความรู้ความชำนาญและมีหลักฐานที่แสดงว่าได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี นายสรรเพชญกล่าวว่า การออกกฎกระทรวงในลักษณะนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียนก่อนถึงมือผู้บริโภค

นายสรรเพชญได้กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพทุเรียนมากกว่านี้ เนื่องจากทุเรียนเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกหลายแสนล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเที่ยวในประเทศไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนก็มักจะสั่งทุเรียนกลับไปที่ประเทศของตนเองครั้งละหลายหมื่นถึงหลายแสนบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของทุเรียนไทย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายของรัฐบาลที่จะรักษาคุณภาพมาตรฐานไว้ให้ได้ ตนจึงรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับทุเรียนเท่าที่ควร เพราะรัฐบาลมุ่งแต่จะทำเรื่องกลางน้ำ และละเลยต้นน้ำ คือการให้ความสำคัญกับการเตรียมดิน เตรียมปุ๋ย เตรียมพื้นที่ของเกษตรกร ที่อาจจะถูกละเลยไป ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีการให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพทุเรียน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ คือ พ่อค้า การขนส่ง ปลายน้ำ คือ ผู้บริโภคทั้งภายในและนอกประเทศ เพื่อให้ทุเรียนไทยมีความยั่งยืนทั้งระบบครบวงจร สามารถรักษามาตรฐานของประเทศไว้ได้

ทั้งนี้ นายสรรเพชญกล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ตนได้ยื่นญัตติเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาการส่งเสริม พัฒนา แก้ไขปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืนทั้งระบบ และยกร่างกฎหมายว่าด้วยทุเรียน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว คาดว่าเมื่อเปิดสมัยการประชุมจะได้รับการพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาทุเรียนและให้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนมีหลักประกันผ่านกองทุนทุเรียนไทยต่อไป 

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซบุ๊ก พรุ่งนี้จะไปร้อง ป.ป.ช. ระบุชัด มีหลักฐานสำคัญ ยัน!! เอาเรื่องกรณีช่วยเหลือนักโทษ

(21 เม.ย.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า ผมจะไปร้องป.ป.ช. กรณีช่วยเหลือนักโทษป่วยไม่จริงและช่วยเหลือการพักโทษ พร้อมหลักฐานสำคัญ วันจันทร์ที่ 22 เมษายนนี้ เวลา10.30น.

‘ศิริกัญญา’ หนุน ‘พิชัย ชุณหวชิร’ คุมคลังแทน ‘เศรษฐา’ จี้!! ปรับครม. แล้วต้องเร่งทำงานทันที ห้ามมีช่วงฮันนีมูน

(20 เม.ย.67) ที่อาคารอนาคตใหม่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวว่านายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ จะสร้างความแตกต่างหรือไม่ว่า การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องที่ไม่สมควรมาตั้งแต่ต้น เพราะไม่สามารถที่จะทำงานเต็มเวลาได้ งานของกระทรวงที่ฝากรัฐมนตรีช่วยไว้ ก็อาจทำไม่ได้เต็มที่ และโดยปกติ นายกฯ จะไม่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง เพราะต้องเป็นผู้เสนอแนะ หรือตักเตือนเรื่องการคลังที่น่ากังวล ดังนั้น เป็นเรื่องที่ดี หากมีรัฐมนตรีคลังมาทำงานเต็มเวลา ส่วนนายพิชัย จะมีความเหมาะสมหรือไม่นั้น ต้องให้โอกาสเริ่มทำงานก่อน

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม นายพิชัยก็ไม่ใช่คนหน้าใหม่ เพราะเป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็น่าจะคุ้นเคยกับระบบบริหารราชการมาระดับหนึ่ง ดังนั้นทางพรรคก้าวไกล คงจะไม่ให้โอกาสในช่วงทดลองงาน เมื่อเข้าทำเนียบก็ต้องทำงานทันที ไม่มีช่วงฮันนีมูนเหมือนรัฐมนตรีคนอื่น เพราะถือว่ารัฐบาลทำงานมา 7 เดือนแล้ว จึงคาดหวังว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ รัฐมนตรีหน้าใหม่คงไม่มาเรียนรู้งานกันใหม่ ขอให้ทำงานเต็มที่ตั้งแต่วันแรก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องให้กำลังใจ นายพิชัยหรือไม่ เพราะต้องมาสานต่อนโยบายเรือธง อย่างดิจิทัลวอลเล็ต น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เข้าใจว่านายพิชัยอยู่ในทีมที่ทำงานเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เข้าใจว่าครั้งนี้จำเป็นต้องใช้ 1 รัฐมนตรี และ 2 รัฐมนตรีช่วย ในการขับเคลื่อนนโยบาย ก็ฝากกำลังใจไปยังกระทรวงฯ และข้าราชการประจำ ที่จะต้องมาแบกรับภาระตรงนี้ เพราะเป็นโครงการที่ใหญ่มาก และมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้

‘ธนกร’ ต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหมารวมยกเข่ง ‘ม.110-ม.112’ ย้ำ!! จะขอค้านให้ถึงที่สุด จะให้ผู้ใดมาละเมิด ‘สถาบันเบื้องสูง’ ไม่ได้

(20 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สรุปให้ชัดเจนเกี่ยวกับคำนิยามเรื่อง 'แรงจูงใจทางการเมือง' และความผิด 25 ฐานที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองใดว่าเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมบ้าง ตนขอให้พิจารณาไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวกับการประทุษร้ายหมิ่นประมาทฯสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท ขอให้กมธ.อนุกมธ.พิจารณาให้รอบคอบ เพราะความผิดทั้ง 2 มาตรา เป็นความผิดร้ายแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งประมุขของประเทศ ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้แม้ว่าบางพรรคการเมืองได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมความผิดเกี่ยวกับมาตราดังกล่าวให้ได้รับการนิรโทษกรรมต่อสภามาแล้วก็ตาม แต่ตนขอย้ำในหลักการกฎหมาย ว่าไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งและขอคัดค้านจนถึงที่สุด เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้

“ขอเรียกร้องไปยัง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณาตามหลักกฎหมายให้ดี ให้ถูกต้อง รอบคอบ เพื่อสรุปกำหนดนิยาม เรื่อง แรงจูงใจทางการเมือง ต้องไม่เหมารวมผู้กระทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา110 และ112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม แต่หากกลับกันมีการเหมารวมยกเข่ง เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้คนทั้งประเทศที่รักเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นออกมาคัดค้านในเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอนรวมทั้งผมด้วย“นายธนกร ระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top