Friday, 6 June 2025
POLITICS NEWS

เปิดชื่อ ‘189 อดีตสว.’ แถลงต้านรัฐบาลดัน ‘กม.กาสิโน’ พร้อมกาง 6 ข้อเตือน ชี้! ไม้ขีดก้านเดียวทำไฟไหม้บ้านพินาศได้

เปิดชื่อ"189 อดีตสว." แถลงต้านรัฐบาลดัน "กม.กาสิโน" กาง 6 ข้อเตือน! ไม้ขีดก้านเดียวทำไฟไหม้บ้านพินาศ
(3 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 189 คน ออกแถลงการณ์กรณีที่รัฐบาลเร่งรีบบรรจุวาระร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า

คำแถลงของอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เรียนประธานรัฐสภา หัวหน้าพรรคการเมือง และพี่น้องประชาชนไทย เรื่องคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร และร่างกฎหมายการพนันออนไลน์ มีเนื้อหาดังนี้

ข้าพเจ้า อดีตสมาชิกวุฒิสภา ตามรายชื่อที่ปรากฏข้างท้ายนี้ ขอแถลงว่า ในฐานะประชาชนที่มีความห่วงใยประเทศชาติ และในฐานะผู้เคยทำหน้าที่นิติบัญญัติแห่งรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันว่าร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) และร่างกฎหมายการพนันออนไลน์ ที่จะนำเข้าสู่การรับรองของสภาผู้แทนราษฎร ในระยะใกล้นี้ จะเป็นหายนะภัยอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ประชาชน และต่ออนาคตของลูกหลานคนไทยทั้งปวง เราขอแสดงทัศนะ ดังนี้

1.กาสิโนและการพนัน ไม่ใช่นโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลเคยประกาศรณรงค์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นโครงการงอกขึ้นมาใหม่แบบผิดปกติ ซึ่งรัฐบาลกลับเห็นเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ โดยจะเร่งนำเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันก่อนปิดสมัยการประชุมสภา ในวันที่ 10 เมษายน 2568 ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องรอได้ เมื่อเทียบกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหว เมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ประชาชนทั้งประเทศตระหนกตกใจ และเรียกหามาตรการป้องกันภัยพิบัติในอนาคตอย่างเร่งด่วน แต่กลับไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐบาล

2.ข้ออ้างของรัฐบาล เรื่องจะใช้พื้นที่สำหรับกาสิโนเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถือว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ เพราะกาสิโนมีฤทธิ์แรงร้ายที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม้ขีดก้านเดียวทำให้ไฟไหม้บ้านพินาศทั้งหลังได้ การพนันออนไลน์ไม่ต้องมีพื้นที่ทางกายภาพแม้เพียงตารางนิ้วเดียว แต่ทำให้เหยื่อสิ้นเนื้อประดาตัวได้ เชื้อมะเร็งที่ปอดขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่ก็ลุกลามทำลายร่างกายให้เจ็บและเสียชีวิตได้ พื้นที่มากน้อยจึงไม่สำคัญเท่าพิษสงของการพนัน
3.อำนาจการพิจารณาอนุญาตและการบริหารจัดการในรายละเอียด เช่น การกำหนดพื้นที่และสัดส่วน หลักเกณฑ์การควบคุมป้องกันอบายมุขอื่นๆ การเก็บภาษี การยกเลิกกฎหมายและกฎระเบียบ ค่าธรรมเนียมในอนาคต การตรวจสอบถ่วงดุล ฯลฯ เหมือนโอนลอยอำนาจไปอยู่ในมือของคณะกรรมการนโยบายที่เปิดทาง และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทุจริตได้อย่างไร้ขอบเขตทำให้ไม่สามารถวางใจได้ว่าโครงการจะดำเนินไปอย่างโปร่งใสสุจริต มาตรฐานการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตของไทยนั้น ไม่อาจเทียบได้เลยกับสิงคโปร์ ดังที่รับทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว

4.โครงการการพนันครบวงจรตามกฎหมายสองฉบับนี้ ไม่สามารถสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้จริงตามที่กล่าวอ้างสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) ชี้ไว้แล้วว่า การพนันไม่ได้มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP เพราะปราศจากการผลิตใดๆ เป็นเพียงการย้ายเงินจากมือคนหนึ่งไปสู่มืออีกคนหนึ่งเท่านั้น การพนันจึงเป็นกิจกรรมเสี่ยง ที่สร้างนักพนันเสพติด ทำให้คนเล่นหรือเหยื่อหมดเนื้อหมดตัว มีแต่เจ้ามือที่ร่ำรวย ใครเล่นได้ก็เล่นซ้ำ เพราะอยากได้เพิ่ม คนเล่นเสียก็เล่นซ้ำเพราะต้องการ ทวงคืนไม่มีนักพนันคนไหนมั่งคั่งขึ้นมาจากการพนัน ตรงกันข้ามกลับต้องเป็นหนี้ ต้องขายทรัพย์สิน แม้แต่ต้องฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้

5.แหล่งกาสิโนและการพนันออนไลน์ คือ ที่รวมของการฉ้อฉลคดโกงทั้งปวง เช่น คอลเซนเตอร์ นักหลอกลวงให้ลงทุน (Scammer)  อาชญากรข้ามชาติ ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี โจร นักตีชิงวิ่งราว และเป็นแหล่งเพาะอบายมุขทั้งปวง ที่ชุมนุมกันอยู่ตามบ่อนชายแดนให้รู้เห็น กันโดยทั่วไป แล้วถึงขั้น รัฐบาลต้องตัดไฟ ตัดการสื่อสาร ตัดการส่งพลังงาน แล้วเหตุใดรัฐบาลยังไม่ตระหนักถึงมหันตภัยเหล่านี้

6.กาสิโนไม่ได้ทำให้ประเทศร่ำรวยจริงตามคำโฆษณาของรัฐบาล ฟิลิปปินส์มีกาสิโน 50 แห่ง นับตั้งแต่ 50 ปีก่อน อีก 3 ประเทศ เริ่มมีกาสิโนตั้งแต่ 30 ปีก่อน คือ เมียนมามี 230 แห่ง ลาวมี 2 แห่ง กัมพูชามี 150 แห่ง ถ้ากาสิโนทำให้ประเทศมั่งคั่งขึ้นมาจริง ผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านนับแสนนับล้านคน ทำไมต้องอพยพมาทำงานในประเทศไทย นักพนันมีแต่อนาคตที่จะวิบัติสถานเดียว ดังที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อ 100 กว่าปีล่วงมาแล้ว ว่า "ข้อที่เข้าใจกันว่าเล่นไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"

ถ้ารัฐบาลเห็นว่า คนไทยทั้งประเทศสมควรตกเป็นทาสการพนัน ที่จะเสียไร่ เสียนา เสียรถ เสียทรัพย์สิน ครอบครัวพินาศ สังคมเสื่อมทราม ก็จงเดินหน้าต่อไป แต่ถ้ารัฐบาลตระหนักถึงบาปบุญ คุณโทษ ที่คนรุ่นหลังจะต้องเผชิญกับมรดกบาปของแผ่นดิน ก็จงน้อมรับพระราชปณิธานของพระพุทธเจ้าหลวงใส่เกล้าใส่กระหม่อมฯ ด้วยการถอนกฎหมาย ทั้ง 2 ฉบับ ออกไปโดยเร็วเถิด

ด้วยจิตคารวะและปรารถนาดี ลงชื่อ :

1. พล ต.อ.ประทิน สันติประภพ (สว.2543)
2. รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง (สว.2543)
3. พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ (สว.2543)
4. สมชาย แสวงการ (สว.2551,2554,2562)
5. รศ.แก้วสรร อติโพธิ (สว.2543)
6. ขวัญสรวง อติโพธิ (สว.2549)
7. ประสาร มฤคพิทักษ์ (สว.2551,2554)
8. พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ (สว.2551,2562)
9. มาลีรัตน์ แก้วก่า (สว.2543)
10.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป (สว.2562)

11.สมชาย เสียงหลาย (สว.2562)
12.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม (สว.2562)
13.วัลลภ ตังคณานุรักษ์ (สว.2539,2543,2562)
14.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ (สว.2562)
15.วรารัตน์ อติแพทย์ (สว.2562)
16.นส. รสนา โตสิตระกูล (สว.2549,2551)
17.พลเอก วลิต โรจนภักดี (สว.2562)
18.สุนี  จึงวิโรจน์ (สว.2562)
19.พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ (สว.2562)
20.จินตนา ชัยยวรรณาการ (สว.2562)

21.กำพล เลิศเกียรติดำรงค์ (สว.2562)
22.รณวฤทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล (สว.2562)
23.รศ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร (สว.2562)
24.พลเอก มารุต ปัชโชตะสิงห์ (สว.2562)
25.ผศ ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล (สว.2543)
26.รศ พญ พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ (สว.2551,2554)
27. พลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร (สว.2562)*
28. พิไลพรรณ สมบัติศิริ (สว.2554)
29.วิชัย ทิตตภักดี (สว.2562)
30.กอบกุล อาภากรณ์ ณ อยุธยา (สว.2562)

31.กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ (สว.2562)
32.ประดิษฐ์ เหลืองอร่าม (สว.2562)
33.คำนูณ สิทธิสมาน (สว.2551, 2554, 2562)
34.จิรชัย มูลทองโร่ย (สว.2562)
35.นพ.ทวีวงษ์ จุลกมนตรี (สว.2562)
36.พิชัย ขำเพชร (สว.2543)
37.วีระพล วัชรประทีป (สว.2543)
38.จัตุรงค์ เสริมสุข (สว.2562)
39.ศ.พิเศษ กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ (สว.2562)
40.หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล (สว.2562)

41.จรินทร์ จักกะพาก (สว.2562)
42.ทพ. อนุศักดิ์ คงมาลัย (สว.2551,2562)
43.ประพันธ์ คูณมี (สว.2562)
44.อภิรดี ตันตราภรณ์ (สว.2562)
45.บรรชา พงศ์อายุกูร (สว.2551,2562)
46.อนุมัติ อาหมัด (สว.2562)
47.เพ็ญพักตร์ ศรีทอง (สว.2562)
48.อำพล จินดาวัฒนะ (สว.2562)
49.ถาวร เทพวิมลเพชรกุล) (สว.2562)
50.จเด็จ อินสว่าง (สว.2562)

51.พลเอก สราวุฒิ ชลออยู่ (สว.2562)
52.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี (สว.2562)
53.มหรรณพ เดชวิทักษ์ (สว.2554,2562)
54.เสรี สุวรรณภานนท์ (สว.2562)
55.วิทวัส บุญญสถิตย์ (สว.2551,2554)
56.มีชัย วีระไวทยะ (สว.2543)
57.พล ต.ต.วีระ อนันตกูล (สว.2543)
58.ถาวร เกียรติไชยากร (สว.2543)
59. สุวัฒน์ จิราพันธุ์ (สว.2562)
60.ชาญวิทย์ ผลชีวิน (สว.2562)

61.พลเอก จีระศักดิ์ ชมประสพ (สว.2562)
62.ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย (สว.2562)*
63.ถวิล เปลี่ยนศรี (สว.2562)
64.จารุพงศ์ จีนาพันธ์ (สว.2554)
65.พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร (สว.2562)
66. พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม (สว.2554,2562)
67. รศ ดร. ทัศนา บุญทอง (สว.2551 /2554)*
68.พลเอก สำเริง ศิวาดำรงค์ (สว.2562)
69.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ (สว.2562)
70.พลเอก ธีรเดช มีเพียร (สว.2522,2554,2562)*

71.วิทยา ผิวผ่อง (สว.2562)
72.นพ. เจตน์ ศิรธรานนท์  (สว.2551,2554,2562)
73. สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย (สว.2551,2554,2562)*
74. ยงยุทธ สาระสมบัติ (สว.2539, 2562)
75. ดวงพร รอดพยาธิ์ (สว.2562)
76.ร.อ.ประยุทธ เสาวคนธ์ (สว.2562)
77. กีรณา สุมาวงศ์ (สว.2539,2551,2554)
78.พล.อ.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ (สว.2562)
79.พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ (สว.2562)
80.ตวง อันทะไชย (สว.2551,2554,2562)

81. ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร (สว.2562) 
82.เตือนใจ ดีเทศน์ (สว.2543)
83.พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (สว 2562)
84.พล.อ.อ.สุจินต์ แช่มช้อย (สว.2562)
85.สำราญ ครรชิต (สว.2562)
86.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (สว.2562)
87.สมชาย ชาญณรงค์กุล (สว.2562)
88.ชลิต แก้วจินดา (สว.2562)
89 เชิดศักดิ์ จำปาเทศ (สว.2562)
90.ศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล (สว.2562)

91.บุญมี สุระโคตร (สว.2562)
92.ประยูร เหล่าสายเชื้อ (สว.2562)
93.พล.อ.ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ (สว.2562)
94. ธานี สุโชดายน (สว.2562)
95.ณรงค์ รัตนานุกูล (สว.2562)
96.พล.ร.ท.สนธยา น้อยฉายา (สว.2562)
97.สุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ (สว.2562)
98. ปรีชา บัววิรัตน์เลิศ (สว.2562)
99.พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ (สว.2562)
100.ถาวร ลีนุตพงษ์ (สว.2551/2554)

101.พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ (สว.2562)
102.พลโท อำพน ชูประทุม (สว.2562)
103.พลเอก วสันต์ สุริยมงคล (สว.2562)
104.ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ (สว.2551,2554)
105.พลเอก ประสาท สุขเกษตร (สว.2562)
106.ถนัด มานะพันธุ์นิยม (สว.2562)
107.ดุสิต เขมะศักดิ์ชัย (สว.2562)
108.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ (สว.2562)
109.รศ.ดร ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ (สว.2562)
110.พล.อ.อ.อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ (สว.2562)
111.พลเอก วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล (สว.2562)
112.สมพล พันธุ์มณี (สว.2554)
113.มรว.ปรียนันทนา รังสิต (สว.2551)
114.กิตติ วสีนนท์ (สว.2562)
115.พลเอก ปฐมพงศ์ ประถมภัฏ (สว.2562)
116.เฉลียว เกาะแก้ว (สว.2562)
117.พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร (สว.2562)
118.พลอากาศเอก วีรวิท คงศักด์ ( สว.2551,2554)
119.ลักษณ์ วจนานวัช (สว.2562) 
120.พลเรือเอก พะจุณณ์ ตามประทีป (สว.2562)

121.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ (สว.2554,2562)
122.วีระศักดิ์ ภูครองหิน (สว.2562)
123.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ (สว 2562)     
124.พล.ร.อ.อิทธิคมน์ ภมรสูต (สว.2562)
125.ปิยะพันธ์ นิมมานเหมินทร์ (สว.2554,2562)
126.เชิดศักดิ์ สันติวรวุฒิ (สว.2562)
127.พิเชต สุนทรพิพิธ (สว.2551,2554)
128.ณรงค์ อ่อนสะอาด (สว.2562)
129.พล.อ.สุนทร ขำคมกุล (สว.2562)
130.สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ (สว.2562)

131.พลเอก ธงชัย สาระสุข (สว.2562)
132.พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข (สว.2562)
133.พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ (สว.2562)
134.นิอาแซ ซีอุเซ็ง (สว.2562)
135.ภาณุ อุทัยรัตน์ (สว.2562)
136.วิรัตน์ เกสสมบูรณ์ (สว.2562)
137.พลเรือเอก ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร (สว.2562)
138.พลเอก สสิน ทองภักดี (สว.2562)
139.พล.อ.อาชาไนย ศรีสุข (สว.2562)
140.พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง (สว.2562)

141.ดร.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล (สว.2562)
142.พล.อ.นิวัตร มีนะโยธิน (สว.2562)
143.พล.อ.อักษรา เกิดผล (สว.2562)
144.สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ (สว.2562)
145.พลเอก พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ (สว.2562)
146.พลเอก ทวีป เนตรนิยม (สว.2562)
147.พิศาล มาณวพัฒน์ (สว.2562) 
148.พลตำรวจโท พิสัณห์ จุลดิลก (สว.2562)
149.สมบูรณ์ ทองบุราณ (สว.2543)
150.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (สว.2562)

151.พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ (สว.2562) 
152.พล.ร.อ.กฐนิธ กิตติอำพน (สว.2562)
153.เพิ่มพงษ์ เชาวลิต (สว.2562)
154.พล.ร.อ.พัลลภ ตมิสานนท์ (สว.2562)
155.ศ.เกียรติคุณ ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ (สว.2562)
156.รศ.นรีวรรณ จินตกานนท์ (สว.2554)
157.ไพโรจน์ พ่วงทอง (สว.2562)               
158.พล.อ.วินัย สร้างสุขดี (สว.2562)
159.นพ.เฉลิมชัย เครืองาม (สว.2554/2562)
160.พล.อ.ดนัย มีชูเวท (สว2562)

161.นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (สว.2562)
163.พล.อ.เกษมศักดิ์ ปลูกสวัสดิ์ (สว.2551)
164.พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ (สว.2562 )
165.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ (สว.2562)
166.นายอุดม  วรัญญูรัฐ (สว.2562)
167.พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร (สว.2543)*
168.พล.ต.โอสถ ภาวิไล (สว.2562)
169.พล.อ.บุญธรรม โอริส (สว.2562)
170.อนุศาสน์ สุวรรณมงคล (สว.2551,2554,2562)

171.พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ (อดีต สว.2551)
172.วรวิทย์ วงษ์สุวรรณ (สว.2551)
173.พล.ต.ท.สานิตย์ มหถาวร (สว.2562)
174.นายประมาณ สว่างญาติ (สว.2562)
175.พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล (สว.2562)
176.พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร (สว.2562)
177.นายอมร นิลเปรม (สว.42,สว.62)
178.ดิเรก ถึงฝั่ง (สว.2551)
179.บุญชัย โชควัฒนา (สว.2551,2554)
180.สุโข วุฑฒิโชติ (สว.2551)

181.เกียว แก้วสุทอ (สว.012 , 2562)
182.ปัญญา งานเลิศ (สว.2562)
183.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (สว.2562)
184.สุมล สุตะวิริยวัฒน์ (สว.2551)
185.สงคราม ชื่นภิบาล (สว.2551)
186.ประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์ (สว.2551)
187.พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย (สว.2562)
188.ทรงเดช เสมอคำ (สว.2562)
189.พล.ร.อ.นพดล โชคระดา (สว.2562)

ทั้งนี้ แถลงการณ์ของอดีต สว.ดังกล่าว มี 3 อดีตประธานวุฒิสภา 3 คน ร่วมลงชื่อ คือ พลตรีมนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา ชุด 2543 , พลเอกธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา ชุด 2554 และ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธานวุฒิสภาชุด 2562
และอดีตรองประธานวุฒิสภา 3 คน ร่วมลงชื่อ คือ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 สมัย 2554 , รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 สมัย 2551 และ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 สมัย 2562

นอกจากนี้ ยังมีอดีต สว.2539 ร่วมลงชื่อ อาทิ วัลลภ ตังคณานุรักษ์ , กีรณา สุมาวงศ์

อดีต สว.2543 ร่วมลงชื่อ อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เตือนใจ ดีเทศน์ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แก้วสรร อติโพธิ มาลีรัตน์ แก้วก่า มีชัย วีระไวทยะ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ พล.ต.ต.วีระ อนันตกูล ถาวร เกียรติไชยากร พิชัย ขำเพชร วีระพล วัชรประทีป เสรี สุวรรณภานนท์

อดีต สว.2549 อาทิ รสนา โตสิตระกูล ขวัญสรวงค์ อติโพธิ

อดีต สว.2551 มีทั้งเลือกตั้งและสรรหาร่วมลงชื่อ อาทิ สมชาย แสวงการ ประสาร มฤคพิทักษ์ รศ.พญ.พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ดิเรก ถึงฝั่ง สุขโข วุฒิโชติ บุญชัย โชควัฒนา พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ มรว.ปรียนันทนา รังสิต สงคราม ชื่นภิบาล พิเชต สุนทรพิพิธภัณฑ์ อนุศาสน์ สุวรรณมงคล ตวง อันทะไชย คำนูณ สิทธิสมาน พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์

อดีต สว.2554 ร่วมลงชื่อ อาทิ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ พิไลพรรณ สมบัติศิริ สมพล พันธ์มณี ถาวร ลีนุตพงษ์ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ นพ.เฉลิมชัย เครืองาม วิทวัส บุญญสถิตย์

อดีต สว.2562 ร่วมลงชื่อจำนวนมาก อาทิ คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.ร.อ.ฐนิต กิตติอำพนธ์ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ พล.อ.สุรพงศ์ สุวรรณอัตถ์ พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ พล.ต.ท.สานิตย์ มหถาวร นพ.พลเดช ปิ่นประทีป วิบูลย์รักษ์ ร่วมลักษณ์ ประพันธ์ คูณมี ศ.พิเศษ กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ จเด็จ อินสว่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ชาญวิทย์ ผลชีวิน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อภิรดี ตันตราภรณ์ วีรศักดิ์ โคว้สุรัตน์ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ดร.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล กอบกุล อาภากรณ์ ณ อยุธยา นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ลักษณ์ วจนานวัช พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ฯลฯ

รวมอดีต สว.ที่ร่วมลงชื่อเบื้องต้น 189 คน และกำลังทะยอยลงชื่อสมทบเพิ่มเติม อีกจำนวนมาก

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกแพรกษาใหม่ มั่นใจเลือกตั้ง สท.เอาอยู่!! แม้มีคู่แข่ง 

วิเคราะห์เกมการเมืองตำบลแพรกษาใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนาม นายกนาจ แม่ทัพใหญ่ตำบลแพรกษาใหม่ ที่สามารถฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคนานับประการมาได้ ดุจเหล็กกล้า 

เอาชนะคู่แข็งพรรคส้มในการเลือกตั้งนายกท้องถิ่นแบบลอยลำ ประชาชนเทคะแนนเสียงให้แบบขาดลอย หรือแม้แต่การเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ.ในเขตพื้นที่ที่ผ่านมา ก็สามารถใช้หน้าตาชื่อเสียงที่ชื่อ อำนวย บุญริ้ว อ้อนขอคะแนนเสียงพา สจ.ในเขตพื้นที่เอาชนะคู่แข่งเข้าวินไปตามคาดหมาย คงเป็นเพราะความใจถึง พึ่งได้ และความไม่ถือตัวของนายกคนนี้ทำให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนโดยทั่ว

กระทั่งล่าสุดคณะสมาชิกสภาเทศบาล ( สท.) ทั่วประเทศหมดวาระไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลใหม่ ล่าสุดคณะทำงานในนามกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ ได้ยื่นใบสมัครการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ทั้ง 3 เขต 

ซึ่งแต่ละเขตจะมีสมาชิกเขตละ 6 คน และรอบนี้ก็มีคู่แข่งอีกเช่นเคยหากจะบอกว่าบังเอิญคงจะไม่ใช่ เพราะคู่แข่งมาในชื่อกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่เหมือนกัน ส่งสมาชิกลงแข่งในพื้นที่เขต 1 หากย้อนถามแม่ทัพใหญ่อย่างนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ ถึงความหนักใจ คงตอบได้ทันทีว่าไม่หนักใจและเอาอยู่ เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วด้วยผลงาน การบริหาร การพัฒนา หากประชาชนไม่รักไม่ศรัทธาคงมายืนอยู่จุดนี้ไม่ได้แน่นอน และเชื่อมั่นว่าคณะสมาชิกทุกคนทั้ง 3 เขต นั้นจะสอบผ่านและเข้าไปนั่งเก้าอี้สมาชิกสภาเทศบาลได้อีกสมัยอย่างแน่นอน ดั่งคำที่ว่า ทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ

โลกกำลังเดินทางสู่...ขาลง เพื่อจัดระเบียบมนุษย์ ด้วยผู้คนไร้ศีล ไร้สามัญสำนึก สนับสนุนสิ่งเลว ๆ เหยียบย่ำสิ่งดี ๆ

(1 เม.ย. 68) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อสถานศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนไทยฉลาด คนจบการศึกษาสูง ๆ มาจากเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมี “สามัญสำนึก” หรือ “คิดเป็น” ผู้คนจำนวนมากยังแยกแยะดีชั่วไม่ออก มองหาแต่ “ความสุขสบายส่วนตัว” โดยไม่คิดโอบกอดสังคมส่วนรวม 

หนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเคารพคนที่เปลือก นับถือเศรษฐีโดยไม่สนที่มาของเงิน กอดคอยิ้มหวานกับเหล่าอาชญากรเพียงเพราะเป็นคนที่ร่ำรวย แสดงความนอบน้อมต่อผู้มีอิทธิพลแม้เบื้องหลังจะใหญ่โตมาจากสิ่งเทา ๆ ก็ถึงเวลาที่โลกต้องออกแรงจัดระเบียบมนุษย์กันสักครั้ง

ความรุนแรงของธรรมชาตินับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า “เบา” 

เมื่อพลังงานเลว ๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้า จนดำมืดไปด้วยอากาศพิษ โลกก็จำต้องออกแรงขยับเขยื้อนดูดกลืนสิ่งสกปรกให้หายไปจากแผ่นดิน เพื่อความสว่างไสวของ “ความดีงาม” เกิดขึ้นอีกคราว และดำรงอยู่อย่าง “ยั่งยืน” เพื่อมวลมนุษยชาติที่ตั้งมั่นในศีลสืบไป 

ผู้คนจำนวนมาก ไร้ความเชื่อเรื่องการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ต่างไม่เกรงกลัวต่อบาป โดยเฉพาะบาปที่มาจากการทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาเปรียบสังคมที่ร่วมอาศัย รวมถึงไม่ดูแลใส่ใจธรรมชาติที่เกิดและเติบโตมาจากโลกใบเดียวที่เรามี หมักหมมจนเหม็นเน่า กลายเป็นขยะที่มาจาก “พฤติกรรมเลว ๆ ของมนุษย์” ความชั่วช้าที่ถูกปกปิดไว้ จะถูกธรรมชาติช่วยเผยอเปิดออกให้ผู้คนที่ยังหลับใหล โง่งมงายแต่ของใหม่ ยินดีแต่สิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ ได้รับรู้จนกระจ่างต่อหัวใจ 

เมื่อคำเตือนจากฟ้า คำบัญชาจากสวรรค์ “ส่งจดหมายเตือนผู้คน” ด้วยการ “สั่นสะเทือนแผ่นดิน” ใครที่คิดได้ ตระหนัก ยอมรับ และกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เพื่อโลกเพื่อสังคม” ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ถือว่าเป็น “มนุษย์หัวใจงาม” ส่วนคนที่ขนาด “บาปมนุษย์” ไล่ล่ามาถึงปลายจมูก ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด ฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือน ก็ยังมองเป็นเรื่องขำขัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังเดินหน้าให้ราคาสนับสนุน “มนุษย์ที่เลว ๆ บนผืนแผ่นดินไทย” ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรม 

โปรดจำไว้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้ผู้คนหวงแหน รักษา มิใช่การอยู่เพื่อเอาชนะ หรือทำลาย

คน..ก็เช่นกัน เมื่อมีบุญได้เกิดเป็นคนก็ควรกล้าหาญปกป้องคนดี มิใช่การหลับหูหลับตาสนับสนุนคนเลว ๆ ที่ทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเพื่อนพ้องประชาชน 

ศาล สั่งจำคุก ‘สิระ เจนจาคะ’ 1 ปีไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ 20 ปี คดีลักไก่ลงสมัครเลือกตั้งสส.

ศาล สั่งคุก ‘สิระ’ 1 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง 20 ปี จากเหตุลักไก่ลงสมัครสส.ปี 62 ทั้งที่ตัวเองขาดคุณสมบัติ

(31 มี.ค. 68) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำอ.3200/2566ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยฐานกระทำผิดรัฐธรรมนูญ 2560, พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา4,42(12),151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 9 (5) ,24,25 และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลย 20 ปีด้วย

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2562 จำเลยได้บังอาจลงลายมือชื่อสมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 9 กทม.โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็น สส. อันเป็นลักษณะต้องห้าม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ให้จำคุก 4 เดือนฐานฉ้อโกง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำอ 812/2538 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ลงวันที่ 21 พ.ย.2538

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้นายสิระเดินทางมาเข้าฟังการพิพากษาในเวลา 09.00 น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับผู้สื่อข่าว

ต่อมาที่ห้องพิจารณา 903 ศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ผู้ประสงค์เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ถึง 8 กุมภาพันธ์ 62 โดยในเขตเลือกตั้งที่ 9 และมีประการประกาศรับสมัครที่อาคารกีฬาเวช 2 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.เขต 9 พรรคพลังประชารัฐต่อมาจำเลยได้รับเลือกตั้ง

ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีคุณสมบัติขาดคุณสมบัติรองรับสมัครการเลือกตั้ง เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันในคดีทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์เป็นเวลา 4 เดือน

ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. 62 การกระทำของจำเลยเป็นการเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการไต่สวนโดยให้เพิกถอนจำเลยและดำเนินคดีอาญากับจำเลยเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติลงรับสมัครการเลือกตั้ง

ศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานพบว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ต่อศาลแขวงปทุมวันว่าคดีที่พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนต่อนายสิระในข้อหาฐานฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นความผิด 2 กระทงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 8 เดือน

คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันจำเลยจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่มีสิทธิ์ลงรับสมัครเลือกตั้งส.ส.

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่าจำเลยรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการลงรับสมัครการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ยังลงรับสมัครเลือกตั้ง เห็นว่าจะพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเพียงพอส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทย์ได้เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติรับสมัครการเลือกตั้ง เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. พ.ศ 2561 มาตรา 4,42 (12),151 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปีและให้เพิกถอนสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง 20 ปีนับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา

ต่อมาทนายความของนายสิระ ได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลเพื่อขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน ‘รมว.เอกนัฏ’ ตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม พร้อมเสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม เร่งปราบเหล็กไร้มาตรฐาน

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน รมว.เอกนัฏ เดินหน้าสั่งก.อุตสาหกรรม ลุยตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม เสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม ลุยปราบเหล็กไร้มาตรฐานสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

(31 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่อาคารที่ทรุดตัวจากเหตุแผ่นดินไหว พร้อมได้นำตัวอย่างเหล็กไปตรวจสอบ ว่า 

ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีข้อสั่งการที่รวดเร็ว และทันท่วงที ที่ได้ให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเหล็กข้ออ้อยของอาคารดังกล่าวไปตรวจสอบว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของการพังทลายของอาคารนั้น ทางคณะกรรมการและวิศวกรที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลที่รับผิดชอบในการตรวจสอบสาเหตุจะมีผลสรุปที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายดังนั้นผลการตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพิจารณาตรวจสอบวิเคราะห์หาสาเหตุเรื่องดังกล่าว

โดยในส่วนของมาตรฐานของเหล็กข้ออ้อย คาดว่าในเร็ววันนี้จะได้ทราบผลการทดสอบอย่างแน่ชัด ซึ่งหากไม่ได้มาตรฐาน ตนขอสนับสนุนให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการสืบหาแหล่งที่มา รวมถึงตรวจสอบอาคารอื่น ๆ ที่อาจจะมีการใช้เหล็กชุดเดียวกันในการก่อสร้างเพื่อหามาตรการแก้ไขอาคารที่มีการนำเหล็กชุดดังกล่าวมาก่อสร้างอาคารไปแล้วหรือหลงเหลืออยู่ในท้องตลาดจะได้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเรียกกลับมาตรวจสอบ อายัดไว้เพื่อไม่ให้มีการนำมาใช้ในการก่อสร้างเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนผู้ใช้อาคาร และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่น่าสลดเช่นนี้ซ้ำในอนาคต

นอกจากนี้ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ยังมีข้อเสนอแนะให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ได้ขยายผลในการตรวจสอบมาตรฐานของคอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้างด้วย เนื่องจากคอนกรีตเป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้อาคารมีความมั่นคงแข็งแรงไม่แพ้เหล็ก นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมของ สมอ. อีกด้วย 

"เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนทางกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งตรวจสอบเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเช่น ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการตรวจยึดและดำเนินคดีกับโรงงานผลิตเหล็กที่ผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานมาแล้ว" นายอัครเดช กล่าว

‘เจ้าของสวนมะละกอ’ โอด!! โดนขโมยผลผลิตกว่า 1 ตันยามวิกาล แจ้งตำรวจแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เกรงถูกขโมยซ้ำ

(29 มี.ค. 68) ข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งจาก น.ส.พันทิพ ทิพย์กองลาส ว่าได้มีโจรลักลอบเข้ามาขโมยมะละกอในสวนที่ปลูกไว้ หมู่ที่ 4 ตำบลทรายขาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนี้

“หนูลงทุน ลงแรงปลูกมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ไว้เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ในพื้นที่ ม.4 ตำบลทรายขาว มะละกอกำลังออกผลผลิต และเริ่มสุกทยอยเก็บขาย ซึ่งผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด” น.ส.พันทิพ กล่าว

น.ส.พันทิพ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ได้มีคนร้ายแอบเข้ามาขโมยมะละกอไปจำนวนมาก ประมาณ 1 ตัน เพราะกลางคืนไม่มีคนเฝ้า ตนเองจะพักอยู่ที่บ้านในตลาดหัวไทร กลางคืนจะไม่มีคนเฝ้า

หลังเข้าไปดูตอนเช้าพบว่า มะละกอหายไปจากต้นจำนวนมาก จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หัวไทร เพื่อให้ตำรวจติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งตนได้ให้รายละเอียดกับตำรวจไปหมดแล้ว ตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร

“ก่อนหน้านี้กล้องวงจรปิดก็โดนทุบหมด เพิ่งติดตั้งใหม่ เมื่อวันสองวันก่อนก็มีรถไถนาเข้ามาดูลาดเลา จึงน่าสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายที่ขโมยมะละกอ และจ้องจะขโมยมะพร้าว”

รายงานข่าวแจ้งว่า พื้นที่อำเภอหัวไทรมีลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ขโมยแทงปาล์มในสวนคนอื่น ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า ยาเสพติดก็ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า

“เข้าใจว่า คนร้ายน่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติด ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีรายได้จากการทำมาหากินปกติ จึงต้องหาช่องทางขโมยของคนอื่นไปขาย แล้วนำเงินไปซื้อยาเสพติด”

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าคดีลักเล็กขโมยน้อยส่วนใหญ่ตำรวจจะไม่ตั้งใจทำคดี ไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ จึงทำให้คนร้ายได้ใจ เหิมเกริม ขยายวงการปฏิบัติการออกไปเรื่อย ๆ ถามว่า ตำรวจ สภ.หัวไทรพอจะรู้ไหมว่า วัยรุ่นกลุ่มไหนร่วมก่อเหตุในลักษณะนี้อยู่บ้าง ซึ่งตำรวจก็มีสายสืบ มีสายตำรวจอยู่มากมาย ไม่น่าจะรอดพ้นสายตาตำรวจไปได้ แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคดีไม่มีความคืบหน้า คดีโจรขึ้นบ้านอดีต ผอ.กองช่าง อบต.หัวไทร ขโมยทรัพย์สินกลางวันแสก ๆ คดีก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้ง ๆ ที่มีสืบจังหวัดลงมาร่วมสืบด้วยแล้ว ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

แหล่งข่าวในหัวไทร กล่าวฝากไปยัง ผกก.หัวไทร สารวัตรสืบ สภ.หัวไทร แสดงฝีมือจับกุมโจรลักมะละกอให้ได้ จะได้เห็นกันว่า ตำรวจมีฝีมือ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

ศาลเชียงใหม่ สั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา' 2 ปี คดีปราศรัยผิด ม.112 รวมโทษจำคุกถึงตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน

(27 มี.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ว่า วันนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาคดี #ม112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยหอศิลป์ มช. วันที่ 23 พ.ย. 63 เห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง คำปราศรัยของจำเลยทำให้สถาบันเบื้องสูงเสื่อมเสีย

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ฟังไม่ขึ้น เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะใช้ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะใช้จนกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐมิได้

พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษหนึ่งในสาม เหลือจำคุก 2 ปี

รวมโทษจำคุกของอานนท์ตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน 20 วัน ทุกคดียังไม่สิ้นสุด

โฆษกฯ ก.อุต ย้ำตัวเลข 'อ้อยเผา' น้อยสุดในประวัติศาสตร์ ติงฝ่ายค้านนำเสนอคลาดเคลื่อน ห่วงสังคมรับข้อมูลบิดเบือน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีการอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลอ้อยเผาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้เกิดข้อมูลคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ขอชี้แจงดังนี้ เรื่องตัวเลขการลักลอบเผาอ้อยที่ระบุว่า มีการลักลอบเผาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 – เดือนพฤศจิกายน 2568 คำนวณจากในแผนที่จุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม อาจจะมีการเผามากถึง 28 ล้านตัน ซึ่งข้อเท็จจริงกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย ปกติจะทำในช่วงเปิดหีบ ซึ่งในปีที่ผ่านมาคือระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 รวมเป็นเวลาแค่ 4 เดือน การใช้หลักคำนวณตามที่มีการอภิปรายจำนวน 1 ปี 6 เดือน เป็นการนับรวมการเผาอย่างอื่นด้วย เช่น เผาฟืนทำอาหาร เผาข้าวโพดซังข้าว ฉะนั้นหากใช้หลักการนี้คำนวณจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ 

และในส่วนตัวเลขอ้อยเผาส่งเข้าโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้อ้อยเผาขณะนี้อยู่ที่ 13.6 ล้านตัน หรือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด โดยมีการส่งอ้อยสดเข้าโรงงาน 85 % มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังเอาจริงเอาจังและเข้มงวดในการเอาผิดปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเพื่อเอาผิดและเป็นตัวอย่างป้องปรามให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เกรงกลัว และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือ และในส่วนข้อมูลเรื่องมีอ้อยเผาที่หลุดรอดจากระบบกว่า 10 ล้านตันนั้น มีข้อเท็จจริงคือ มีอ้อยเผาจำนวน 9 แสนตันที่เข้าสู่การแปรรูปส่งไปยังโรงงานผลิตเอทานอล เพราะเป็นอ้อยปนเปื้อนไม่สามารถผลิตเป็นอาหารได้ 

“ขอยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เอาจริงเอาจังกับเรื่องการปราบปรามอ้อยเผามาก ทั้งในส่วนเกษตรกรชาวไร่อ้อย ที่รณรงค์ลดการเผา ลด PM2.5 และการจัดการผู้ประกอบการที่ไม่ทำตามกฎกติกา ที่ทำการรับซื้ออ้อยเผา เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการที่ดีในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่กระทรวงฯ เสนอไปนั้น เป็นตัวเลขจริงที่เกิดจากทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการ  และการทำงานอย่างหนักและเอาจริงเอาจัง จากทั้งผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้การให้ข้อมูลและตัวเลขต่าง ๆ นั้น มาจากข้อเท็จจริงที่กระทรวงฯ ได้นำเสนอไปก่อนหน้า และขอให้หยุดการนำเสนอข้อมูลจากการคาดคะเนเพื่อลดการสร้างความเข้าใจผิดต่อหน่วยงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นประโยชน์และความสำคัญของการไม่เผาอ้อย และเป็นตัวอย่างในการเอาจริงเอาจังกับกรณีอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” นายพงศ์พลกล่าว

‘IO’ ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง ชี้! ภัยคุกคามประเทศยุคใหม่มาได้ทุกรูปแบบ

(26 มี.ค. 68) ในยุคที่ "กระสุน" ไม่ได้มีแค่เหล็กกล้า แต่อาจมาในรูปของ “ข้อมูลปลอม ความเข้าใจผิด และกระแสบนโซเชียลมีเดีย” กองทัพในโลกยุคใหม่จึงต้องมีอาวุธชนิดใหม่ที่เรียกว่า IO หรือ Information Operation หรือ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร”

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “ทำไมทหารต้องทำ IO?”
คำตอบนั้นง่ายพอๆ กับคำถามว่า “ทำไมทหารต้องมีปืน?”

เพราะโลกปัจจุบัน ภัยคุกคามไม่ได้มาแค่จากระเบิดหรือการรุกรานทางกายภาพ แต่มาในรูปของการบิดเบือนข้อมูล การสร้างความแตกแยกในสังคม และการโจมตีความชอบธรรมขององค์กรรัฐผ่านสื่อสาธารณะ — สิ่งเหล่านี้คือ “อาวุธยุคใหม่” ที่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ล้มชาติ หรือทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในสถาบันหลักได้ โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว

IO คืออะไร?
IO หรือ “Information Operation” คือการวางแผน การควบคุม และการใช้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น
ปกป้องความมั่นคงของชาติ
ลดอิทธิพลของข้อมูลปลอม (Fake News)
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในหมู่ประชาชน
ขัดขวางการปลุกปั่นของกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มรัฐ
IO ไม่ได้แปลว่า “ล้างสมอง” หรือ “ปั่นกระแส” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือการ ปกป้องความจริง และทำให้สังคมอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

แล้วทำไมต้องเป็นทหาร?
เพราะหน้าที่ของทหารไม่ใช่แค่การรบในสนาม แต่คือ การรักษาความมั่นคงของประเทศในทุกมิติ — ทั้งทางบก น้ำ อากาศ และ...ข้อมูล

และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่เป็น “อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 52 อยู่ในหมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ ซึ่งระบุว่า:
> "รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ" 

และกองทัพมีอำนาจหน้าที่ชัดเจนใน พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจ กองทัพในการดำเนินการใดๆ เพื่อคุ้มครองอธิปไตย ความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังทางกายภาพหรือ “ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร”
พูดง่ายๆ คือ กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าทหารต้องทำ ไม่ใช่แค่ทำได้
เพราะถ้าไม่ใช่ทหาร... แล้วใครจะทำ?

บางคนอาจบอกว่า “ในเมื่อทหารได้เงินเดือนจากภาษีประชาชน ก็ไม่ควรใช้ IO กับประชาชน” — แต่ลืมไปหรือไม่ว่า ภัยคุกคามความมั่นคงจำนวนมากมาจาก “ประชาชน” บางกลุ่ม ที่มีวาระซ่อนเร้น ต้องการล้มรัฐ ล้มเจ้า หรือเปลี่ยนโครงสร้างประเทศโดยไม่ผ่านกลไกประชาธิปไตย

เช่นเดียวกับตำรวจที่มีหน้าที่จับโจร ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
เช่นเดียวกับศาลที่มีหน้าที่ตัดสินจำเลย ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
ทหารก็มีหน้าที่ป้องกันชาติ จากภัยคุกคาม — ไม่ว่าจะมาในคราบของ “ประชาชน” หรือ “นักการเมือง” ก็ตาม

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: IO หรือแค่ข้อกล่าวหาเพื่อปกป้องใครบางคน

จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวานนี้ ฝ่ายค้านพยายามชี้เป้าว่าทหารใช้ IO เพื่อ “เล่นงานประชาชน” แต่ถ้าตามดูให้ลึกลงไปในเนื้อหา จะเห็นว่าสไลด์ที่ปรากฏนั้น ไม่ได้กล่าวหาประชาชนทั่วไป แต่เจาะจงไปที่กลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในพื้นที่อ่อนไหว โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมแนวร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวจากภายนอกประเทศ

นี่ไม่ใช่แค่การกล่าวหาในสไลด์ แต่คือ กลุ่มคนหน้าเดิม ๆ ที่ปรากฏในหน้าข่าวมาอย่างต่อเนื่อง คนที่เคยถูกพูดถึงว่าเดินทางไปต่างประเทศเพื่อนำแนวคิด “ลดทอนชาตินิยม” หรือแม้แต่แนวทาง “ปลดแอกจากความเป็นรัฐชาติ” เข้ามาปรับใช้ในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งความมั่นคงยังเปราะบางและต้องการความร่วมมือ ไม่ใช่ความแตกแยก

การที่ชื่อเหล่านี้ปรากฏในเอกสารข่าวกรอง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พวกเขาคือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ในวงจรเดิม ใช้วาทกรรมประชาธิปไตยบังหน้า แต่นำเอาแนวคิดจากโลกตะวันตกเข้ามาปะทะกับโครงสร้างชาติแบบไทย

บางคนถึงขั้นเสนอให้รื้อโครงสร้างกฎหมายความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไม่เคยแตะประเด็นเรื่องการก่อการร้ายเลยสักครั้ง

และนี่คือสาเหตุที่กองทัพต้องจับตามอง ไม่ใช่เพราะ "กลัวความคิด" แต่เพราะ หน้าที่ของกองทัพคือการป้องกันไม่ให้แนวคิดอันเป็นภัยคุกคามต่อชาติแทรกซึมเข้ามาทำลายความมั่นคงจากภายใน

ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นการ "เปิดโปง" อะไรใหม่
แต่กลับเป็นการ “เปิดหน้า” ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างกลุ่มใด
ใครกำลังปกป้องกลุ่มที่ทำให้ความมั่นคงของชาติเปราะบาง
และใครกำลังใช้อภิสิทธิ์ในสภาเพื่อป้ายสีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย
จะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจยืนยันได้ว่าเอกสารที่เอามาใช้นั้นถูกต้อง 100%
แต่ก็ต้องย้ำให้ชัดว่า เอกสารพวกนี้ ใครๆ ก็เขียนขึ้นมาได้
และหากใช้เพียงเพื่อ “ป้ายสี” ว่าทหาร — ผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ — กลายเป็นผู้ร้าย
นั่นก็ไม่ต่างจากการใช้ IO แบบกลับหัวกลับหางใส่ทหารเอง

IO ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง
สิ่งที่ควรถามไม่ใช่ว่า “ทหารทำ IO หรือไม่”
แต่ควรถามว่า “ทำ IO เพื่อใคร? เพื่อประโยชน์ใคร?”
ถ้า IO ถูกใช้เพื่อปกป้องประเทศจากการล่มสลายทางข้อมูล
จากการปลุกปั่นให้เกลียดชังกันเอง
จากการบิดเบือนอดีตเพื่อทำลายอนาคต
IO ก็คือ “เกราะป้องกันชาติ” ที่เราควรมี ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกห้าม

มติ ป.ป.ช. 3:3 ตีตกคำร้องเอาผิดจริยธรม กรณี ‘มงคลกิตติ์-พีระวิทย์-ณัฐชา’ ร่วมชุมนุมม็อบ ชู 3 นิ้ว

เมื่อวันที่ (24 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ตีตกข้อกล่าวหา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทรักธรรม และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคก้าวไกล กระทำการอันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธธรรมนูญและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2563 ที่บริเวณท้องสนามหลวง และได้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว อันเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 3 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม และผิดจริยธรรมเท่ากัน โดยกรรมการ 3 เสียง ที่เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม คือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง , นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

ส่วนกรรมการ อีก 3 เสียง ที่เห็นว่า ผิดจริยธรรม คือ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายประภาศ คงเอียด ขณะที่ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ  ลาการประชุม

ขณะที่ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ข้อ 19 ระบุว่า การลงมติของที่ประชุมเพื่อมีความเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

เมื่อคะแนนเสียงเท่ากันถือว่าข้อกล่าวหาตกไป

กล่าวสำหรับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ก่อนหน้านี้ ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนคดี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จำนวน 2 กรณี คือ

1. กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม จากการลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปชมภาพยนต์เรื่อง “4 KINGS อาชีวะ ยุค 90” เมื่อปี 2564

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติการณ์ของนายมงคลกิตติ์ เข้าข่ายไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมแต่ไม่ร้ายแรง ขณะที่ปัจจุบัน นายมงคลกิตติ์ พ้นจากตำแหน่ง สส.ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อบังคับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก

2.กรณีใช้เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “มงคลกิดดิ์ สุขสินธารานนท์” โพสต์รูปภาพและข้อความโดยเจตนาใส่ร้ายผู้กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวและเป็นหญิงให้ความบันเทิงแก่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้บุคคลทั่วไปเชื่อว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อและเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2009 (COVID-19) ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้กล่าวหาและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้รับความเสียหาย

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่า นายมงคลกิตติ์ มีความผิด ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาโดยตรงต่อไป

ขณะที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น สส.กทม. พรรคประชาชน

ส่วน นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เป็นอดีต สส. และหัวหน้าพรรคไทรักธรรม เคยปรากฏข่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี เนื่องจากจูงใจชาวบ้านให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคและตั้งสาขาพรรคในทางที่มิชอบตามกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top