Friday, 6 June 2025
POLITICS NEWS

‘ทักษิณ’ ลั่น ‘ไฮโซเก๊’ แอบอ้างเป็นคนสนิท ฝากตร. ต้องเอาเข้าคุก ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อ บอกไม่เคยปฏิเสธคนขอถ่ายรูป

เมื่อวันที่ (8 เม.ย.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีไฮโซเก๊ แอบอ้างว่าสนิทกับนายทักษิณ ว่า อย่างนี้ต้องเอาเข้าคุก ฝากตำรวจด้วยว่าคนประเภทที่ชอบหลอกลวงต้องเอาเข้าคุก 

ส่วนที่มีการแอบอ้างว่าพ่อของไฮโซเก๊มีความสนิทสนมกับนายทักษิณ รวมถึงอ้างเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเพื่อไทยมาด้วยกันนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เวลาตนเดินไปไหนมาไหนก็มีคนมาขอถ่ายรูป ฉะนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าไปเชื่อว่าจะต้องเป็นคนที่มีความใกล้ชิด และเมื่อเวลามีคนมาขอถ่ายรูปตนไม่เคยปฏิเสธ

‘ทักษิณ’ ปัดขู่ขับพรรคร่วมพ้นรัฐบาล ปม กม.คอมเพล็กซ์ ลั่น หากไม่ทันสมัยนี้ ก็ให้รัฐบาลหน้ามาผลักดันต่อได้

(8 เม.ย. 68) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่ามีการกำชับให้พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในวาระรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งหากไม่สนับสนุนจะขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า เป็นการพูดกันไปเรื่อย มีคุยกับน้อง ๆ ที่เจอกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเพียงการถามความคิดเห็น ไม่มีเรื่องข่มขู่ว่าใครไม่สนับสนุนแล้วต้องพ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล แบบนั้นไม่มี

“ที่ผ่านมามีการหารือทั่วไปกับพรรคร่วมรัฐบาลแต่เป็นเพียงการถามความคิดเห็นของแต่ละคน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดข้อง และวันนี้นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะพิจารณาเรื่องเร่งด่วนทางเศรษฐกิจก่อน คือเรื่องการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา เราต้องนำเรื่องนี้มาคุยกันเพราะประชาชนอยากรู้เรื่องนี้ ความสำคัญต้องลดหลั่นไป ทั้งนี้ ไม่ได้ยกเลิกเพียงแต่ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน” นายทักษิณ กล่าว

เมื่อถามถึง กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการวางตัวผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี ต้องมีการประมูลอย่างโปร่งใส ไม่มีใครสามารถจัดสรรได้ นอกจากมีการประมูล ย้ำว่าไม่มีคำว่ากาสิโน มีแต่คำว่าเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ กาสิโนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในนั้น เพราะหลายอย่างที่เราอยากมี ก็มีไม่ได้ ต้องให้เอกชนมาลงทุน เช่น ฮอลล์หรืออารีน่า จัดคอนเสิร์ต หรือสวนสนุกขนาดใหญ่ ที่จะเข้ามาลงทุน เราต้องการการลงทุนและการจ้างงานรวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น และต้องการภาษีอย่างถูกต้อง โครงการนี้เป็นการพัฒนาประเทศ ตามปกติ ไม่มีอะไรซ่อนเร้น

“อย่าว่าเราขี้อิจฉาริษยากัน มองคนนั้นคนนี้ได้ คนที่เห็นด้วยเยอะแต่เงียบ ที่ไม่เห็นด้วยแล้วออกมา บางครั้งถูกชี้นำในทางที่ผิด เช่น ไปเปรียบเทียบกับบ่อน ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงนั้นเป็นกาสิโนจริงๆ เพราะไม่มีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เลย เราไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าเราทำแบบนั้น ประเทศก็พัง และอย่าไปหวั่นไหวหากคิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ต้องอะไร บางพรรคเคยเห็นด้วยเมื่อก่อน เชียร์เต็มที่มีนโยบายพรรค แต่วันนี้ไม่เห็นด้วยแล้ว คือจุดยืนไม่มี มีอย่างเดียวว่าเป็นฝ่ายค้านต้องค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาลต้องเชียร์ แบบนี้ไม่ได้” นายทักษิณ กล่าว

เมื่อถามว่า จะต้องมีการทำความเข้าใจกับฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ต้องพูดกันด้วยเหตุผล นี่คือประชาธิปไตย ใครอยากจะค้านก็ค้าน แต่ในที่สุด ก็ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล ยกตัวอย่างสมัยก่อนเพื่อไทยแข็งแรงจะตาย แต่ถูกค้านเรื่องการซื้อลิเวอร์พูล ซึ่งวันนั้นลิเวอร์พูลถูกจะตาย วันนี้สู้ไม่ได้”

เมื่อถามถึง ตัวแปรหลักทั้งพรรคภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า บางคนก็เห็นด้วย เห็นด้วยครึ่ง ไม่เห็นด้วยครึ่ง แต่ไม่เป็นอะไร ถ้าถึงเวลาที่ต้องเสนอกฎหมาย ก็ต้องเสนอ โหวตรัฐบาลก็ผ่าน เพียงแต่รัฐบาลไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการวิเคราะห์กันว่าพรรคเพื่อไทย มีการยื่นหมูยื่นแมวกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีหมู ไม่มีแมว

เมื่อถามว่า การที่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวล่าช้าจะทันกับอายุของรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เราก็วางไว้ถ้าไม่ทันรัฐบาลหน้ามาทำต่อได้ ขั้นตอนกระบวนการเราก็คาดหวังว่า อาจจะไปช้าที่ชั้นสว. ส่วนหากรัฐบาลหน้าไม่ใช่พรรคเพื่อไทย กฎหมายนี้จะถูกตีตกหรือไม่นั้น รัฐบาลหน้าก็พรรคเพื่อไทย ซึ่งในส่วนของสว. หากไม่เห็นด้วยก็มีเวลา 180 วัน

ต่อข้อถามว่า หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านแล้ว สว.จะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องทำความเข้าใจกับสว.หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “วันนี้ปัญหามันเกิดขึ้นระหว่างสว.กับกระทรวงยุติธรรม ก็เลยเป็นปฏิกิริยา เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องแอกชั่นหรือรีแอกชั่น”

ส่วนมองว่า เป็นเกมการเมืองหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า พวกนักการเมืองก็อยู่กับการเมืองทั้งนั้น อย่างไรก็หนีการเมืองไม่พ้น เราอยู่บนพื้นฐานการตั้งใจดีให้กับบ้านเมือง ไปแค่ไหนก็แค่นั้น ไปได้ก็คือไป ไปไม่ได้ก็คือไม่ไป หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะให้ไปได้ก็ไปได้ แต่เราก็อยากให้เป็นความพอใจและสมัครใจของทุกฝ่าย ไม่อยากฝืนความรู้สึก

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า แน่นอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ตั้งใจทำให้บ้านเมือง ไม่อยากเห็นบ่อนเล็กบ่อนน้อยเต็มไปหมด ยืนยันว่าเรามีระบบตรวจสอบคนที่จะเข้าไปเล่นผ่านระบบ การยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน หรือ KYC ต้องรู้ประวัติและที่มาของเงิน ถ้าไม่มีอาชีพไม่มีรายได้ ก็ไม่ให้เข้า อย่างตนก็เข้าไม่ได้ เพราะเป็นนักการเมืองเขาก็จะไม่ให้เล่น ขณะเดียวกันหากมีเงินแล้วเข้าไปเล่นเป็นประจำ จนติด การพนันก็จะถูกนำไปบำบัด ไม่ใช่ปล่อยเลอะเทอะเหมือนในอดีตที่ไม่ดูแล มันเป็นระบบใหม่อยากให้ทุกคนเข้าใจ

‘นายกฯอิ๊งค์-หัวหน้าพรรคร่วมฯ’ ร่วมแถลงเลื่อน ‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’’ อ้างเร่งรับมือวิกฤติแผ่นดินไหว - ผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ปัด ‘ทักษิณ’ กดดันพรรคร่วม

นายกฯ เผยหัวหน้าพรรคร่วมเห็นพ้องเลื่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อน อ้างต้องเร่งรับมือวิกฤติแผ่นดินไหว-ผลกระทบเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ยันไม่ใช่กาสิโนทั่วประเทศ วอนสังคมทำความเข้าใจให้ชัด ปัดข่าว ‘ทักษิณ’ กดดันพรรคร่วม

(8 เม.ย. 68) - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าได้หารือร่วมกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล และมีมติเห็นตรงกันให้เลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหว การเยียวยาผู้ประสบภัย และกรณีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งหาทางออกอย่างเร่งด่วน

“เรื่องนี้ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญ” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมยืนยันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงอยู่ ไม่ได้ถอนออก เพียงแต่ขอเวลาสื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าเป็นการเปิดทางให้กาสิโนถูกกฎหมายทั่วประเทศ

“เราไม่ได้ทำเพื่อกาสิโน แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่มีความบันเทิงหลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย การให้ใบอนุญาตกาสิโนในพื้นที่นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด” นายกฯ ระบุ

ทั้งนี้ ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กดดันให้พรรคร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว โดยย้ำว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบ ไม่มีใครถูกขับออก และตนในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องการให้ทุกฝ่าย “เห็นพ้องด้วยใจ ไม่ใช่แค่ตามมติ”

เมื่อถามย้ำว่า การชะลอพิจารณาในสภาคือการยอมถอยจากแรงต้านใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน แต่ต้องดูบริบทและปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการก่อน เช่น เรื่องเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

“เรามองว่ากฎหมายนี้จะช่วยสร้างเม็ดเงิน กระตุ้นการท่องเที่ยว และการจ้างงาน แต่หากยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐบาลก็จะเร่งชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘วิโรจน์’ แฉ!! ส่วยสติกเกอร์ตัว T ขนสินค้าจากลาว ไม่ต้องมี ‘พาสปอร์ตรถ’ ชาวเน็ต สวนกลับ!! สติกเกอร์อันนี้ ถูกกฎหมาย ได้คู่กับสมุดประจำรถผ่านแดน

(7 เม.ย. 68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

ถ้าจ่ายค่าบริการ 1,000 บาท ก็จะได้สติกเกอร์ตัว T มาติดหน้ารถ ทีนี้ก็จะเอารถบรรทุกไปขนสินค้าจากประเทศลาวมายังประเทศไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตรถ นี่จริงหรือครับ

ปรากฎว่า ชาวเน็ตสวนกลับทันที สติกเกอร์ตัว T นั้นมันถูกกฎหมาย โดยมีหลายคนได้แสดงความคิดเห็นกันมากมาย ยกตัวอย่างเช่น … 

สติกเกอร์ ตัว T จะติดหรือไม่ติดไม่สำคัญเท่า ตัวเล่มพาสปอร์ต ที่ระบุข้อมูลของรถคันนั้นๆครับ พาสปอร์ตรถก็เหมือนพาสปอร์ตคน ต้องมีการสแตมป์ประทับตรา ขาเข้า ขาออก ส่วนรถที่ไม่มีมันมีวิธีการ แต่ไม่ได้เกี่ยวว่าต้องแปะสติกเกอร์

ตัว T จากขนส่งนะท่าน รถข้ามด่านมีทุกคัน กรมขนส่งให้มา

สติกเกอร์ถูกกฎหมายแต่เอามาปั่นให้คนด่าได้ สุดยอดครับทั้งคนปั่นและคนเชื่อ

มันเป็นสติกเกอร์ผ่านแดนนี่ครับ

เป็นเหมือนพาสปอร์ตรถครับ สำหรับการขนสินค้ายากครับ ศุลกากรที่สะพานเขาคอยจับตาอย่างใกล้ชิดครับ ปรับหนักมาก

สติ๊กเกอร์อันนี้จะได้คู่กับสมุดประจำรถผ่านแดนครับ ปกติรถบรรทุกป้ายสาธารณะจะเป็นสีเขียว

ไปศึกษามาเยอะๆ

ท่านไม่รู้หรือแกล้งครับ

ตัวนี้ติดปกตินะครับ สำหรับรถขับออกต่างประเทศ

ถ้าขับรถไปลาวคือต้องติดค่ะ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตรถตอนข้ามแดนอยู่ดี อันนี้สำหรับรถส่วนบุคคลทั่วไปนะคะ เพิ่งขับรถไปลาวมาค่ะ

‘พงศ์พรหม’ ชื่นชม!! ‘เอกนัฏ-อรรถวิชญ์-ฐิติภัสร์’ ในการสืบสวน อุตสาหกรรมก่อสร้าง เดินหน้าปราบ!! คอร์รัปชั่น แก้ปัญหาการผูกขาด รบกับอภิสิทธิ์ชนที่โกงชาติ เพื่อปชช.

(7 เม.ย. 68) นายพงศ์พรหม ยามะรัต นักธุรกิจด้านเทคโนโลยี และอดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ การสืบสวนความผิดปกติของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยได้ระบุว่า ...

การสืบสวนความผิดปกติของอุตสาหกรรมการก่อสร้างรอบนี้ ต้องยกเครดิตให้คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ คุณโอ๋ และคุณเอ๋ (อรรถวิชญ์)
ผมรู้จักคุณเอ๋ส่วนตัว แต่อีก 2 ท่าน ผมไม่รู้จักอะไรส่วนตัวเลย และเลือกตั้งรอบที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้เลือก รทสช.ด้วย

แต่วิกฤติรอบนี้ สร้าง “ตัวจริง” ให้แจ้งเกิดได้อย่างงดงามในฝั่ง “ขวาปฏิรูป”
ขอชื่นชมมากๆ แทนสังคมไทย

และฝากพรรคฝั่งขวา เช่นประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย (ปี 66 ผมไม่ได้เลือก 3 พรรคนี้เช่นกัน) ศึกษาการทำงานโดยเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลักของคน 3 คนนี้ไว้ 
พรรคฝั่งขวาจะโตได้ ต้องมีเป้าหมายเป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนเป็นตัวตั้ง เหมือนที่ในหลวงทุกรัชกาลท่านพูดไว้เสมอ

พรรคก้าวไกลเขาได้รับความนิยมสูงมาก ไม่ใช่เพราะประชาชนอยากล้มเจ้า
แต่พรรคก้าวไกลเขามี 1 อุดมการณ์ที่ผมก็ชื่นชม คือการรบกับการคอร์รัปชั่น รบการผูกขาด รบอภิสิทธิ์ชนที่โกงชาติอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ไม่ใช่สักแต่พูดว่ารักเจ้าไปเรื่อย แต่ผูกตัวเองกับระบบสูบเลือด สูบเนื้อประเทศชาติจนเสียหายแบบพรรคฝ่ายขวาส่วนใหญ่
เราจึงเห็น 2 พรรคฝ่ายขวาที่คนเค้าไม่เอาแล้ว ทั้งที่ประชาชนเคยนิยม ได้แก่พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่รอวันล่มสลาย หากไม่เปลี่ยนวิธีคิดตัวเอง

หากคุณเอกนัฏ คุณโอ๋ คุณเอ๋ ยัง keep pace นี้ได้ ให้ยาวจนจบรัฐบาล
แถม “สลัด” สมาชิกพรรคฝั่ง “โกงยับ” ที่มาเป็นกาฝากในพรรคได้
อนาคตคนกลุ่มนี้จะสดใสมากในการเมืองไทยครับ

‘ดร.รัชดา’ โพสต์เฟซ!! ‘ทักษิณ’ เป็นพ่อที่ใจร้าย เห็นแก่ความสุขสบาย ของตัวเอง ชี้!! ทำลายคุณค่าของลูกสาว เพิ่มความเอือมระอา เกลียดชัง สุดท้ายจะเหลืออะไร

(7 เม.ย. 68) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อความโดยมีใจความว่า …

ไล่เลย ให้มันรู้กันไป #ไม่เอาคาสิโน

ทักษิณเป็นพ่อที่ใจร้ายและเห็นแก่ความสุขสบายของตัวเองเป็นที่ตั้ง ชอบอวดอหังการ์ แต่ละวันมีแต่ทำลายคุณค่าลูกสาว ลำพังลูกจะประคองตัวเองก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว ได้พ่อมาเสริมเพิ่มความเอือมระอาเกลียดชังอย่างไม่แผ่วเช่นนี้ สุดท้ายจะเหลืออะไร

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ยันสอยร่วง!! ร่างกม. นิรโทษกรรม ฉบับพรรคส้ม ภาคประชาชน ลั่น!! อยากให้สมานฉันท์ ประเทศไทยเดินหน้า แต่ไม่ขอล้างผิดให้ ‘คดี112 - คดีทุจริต’

(7 เม.ย. 68) นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร และวิปรัฐบาลจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะผู้เสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ที่ใช้ชื่อว่า ร่างพรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. ที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุมสภาฯ วันพุธที่ 9 เม.ย.นี้ต่อจากร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ เปิดเผยว่า มีคำยืนยันแล้วว่า สภาฯ จะพิจารณาร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ วันพุธที่ 9 เม.ย.นี้ต่อจากร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ  ซึ่งร่างพรบ.นิรโทษกรรมที่เสนอเข้าสภาฯมา ที่เสนอมาสี่ร่างฉบับ จะมีเนื้อหาแตกต่างกัน แต่ในส่วนของร่างพรบ.นิรโทษกรรม ฯ ที่จะให้นิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย ส.ส.รัฐบาลหลายคนไม่เห็นด้วย เราก็เข้าใจ น้องๆ นักศึกษาที่ถูกดำเนินคดี 112 แต่การจะให้ไปนิรโทษกรรม มันไกลเกินกว่าที่พวกเราจะตัดสินใจ

“ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำตัดสินเรื่องนี้มาแล้วสองครั้ง(คดีล้มล้างการปกครองฯ อดีตแกนนำม็อบสามนิ้ว กับคดียุบพรรคก้าวไกล) พวกเราส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติและส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่แสดงท่าทีเรื่องนี้เช่น ภูมิใจไทย ก็ทำให้เราไม่อยากไปแตะตรงนั้น รวมถึงของเพื่อไทยเอง เท่าที่ได้ฟัง ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้รวมคดี 112 เข้ามาด้วยเพราะเรื่องให้นิรโทษกรรมคดี 112 หากไปดูตอนที่นายชัยธวัช จากพรรคก้าวไกลยื่นร่างเข้าสภาฯ ตอนนั้นศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีการชี้เรื่อง 112 ในคดียุบพรรคก้าวไกลออกมา  เมื่อตอนนี้ศาลชี้ออกมาแล้ว ก็ต้องเคารพศาลรัฐธรรมนูญ”

เมื่อถามว่าในการโหวตวาระแรก หลังอภิปรายเสร็จสิ้นแล้ว การโหวตจะโหวตอย่างไร เพราะมีเสนอเข้าไปสี่ฉบับ จะโหวตเห็นชอบทีละฉบับหรือไม่ นายวิชัย กล่าวว่า คงต้องคุยกันในวิปรัฐบาลวันพุธนี้ก่อน แต่เท่าที่เคยคุยกัน พรรคร่วมรัฐบาล คงจะให้นำร่างพรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่จะตั้งขึ้น หลังผ่านวาระแรก อันนี้คือที่ได้รับแจ้งมา

“เรื่องการโหวตร่างพรบ.นิรโทษกรรมทีละฉบับ อาจเป็นไปได้ การให้นิรโทษกรรมคดีการชุมนุมทางการเมือง เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยที่ผ่านมา มีความเห็นแตกต่างในเรื่องการแสดงออกทางการเมืองเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้ว ประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่ต้องละลายเรื่องสีเสื้อ เพื่อกลับมาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อนำพาประเทศไทยให้เดินไปได้ และเรื่องนี้ก็เป็นนโยบายรัฐบาลในเรื่องการสร้างปรองดอง ผมคิดว่าส.ส.ทุกคน อยากให้ประเทศไทยเดินหน้าภายใต้ความปรองดองสมานฉันท์ เรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ส.ส.หลายคน ทั้งจากรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่ได้นั่งคุยกัน  ต่างก็เห็นด้วยกับการให้ออกกฎหมาย ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ผมกับคณะ ยื่นเข้าไป มีเนื้อหาคือไม่ให้นิรโทษกรรมคดี 112 รวมถึงคดีทุจริต”

‘ภูมิใจไทย’ ครบรอบ 17 ปี เปิดตัวโลโก้ใหม่สีน้ำเงินล้วน พร้อมสโลแกน ‘เดินหน้าการเมือง สันติสามัคคี เทิดทูนสถาบัน’

(6 เม.ย. 68) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จัดงานฉลองครบรอบวันก่อตั้งพรรคครบ 17 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคที่มาร่วมพิธีทางศาสนาและการเปิดตัวโลโก้ใหม่ของพรรค ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินล้วน สื่อถึงความสงบ สันติ และความเข้มแข็งตามอุดมการณ์ของพรรค

โดยมีการจัดกิจกรรมพิธีทำบุญทางศาสนาพุทธและอิสลาม พร้อมด้วยการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ซึ่งมีกระแสการเปลี่ยนโลโก้และสัญลักษณ์ของพรรคเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด เพื่อสะท้อนถึงแนวทางการดำเนินการทางการเมืองที่ยึดมั่นในวิถีของความเป็นไทยและความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติ

"เดินหน้าการเมือง สันติสามัคคี เทิดทูนสถาบัน" เป็นสโลแกนใหม่ที่พรรคภูมิใจไทยยึดถือในการพัฒนาการเมืองไทยให้มั่นคงและยั่งยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า สีน้ำเงินสะท้อนถึงความสงบ ความสามัคคี และความมั่นคง ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของพรรคที่มุ่งทำงานเพื่อประชาชน

ในโอกาสสำคัญนี้ ยังมีตัวแทนจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจพรรคภูมิใจไทยในการพัฒนาและเติบโตทางการเมือง รวมถึงการส่งเสริมสันติสุขในสังคมไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า การเปลี่ยนโลโก้และสโลแกนของพรรคในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการทำงานของพรรคภูมิใจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง และยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความจงรักภักดีต่อสถาบัน และการทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการก้าวเข้าสู่บทบาทที่สำคัญของพรรคภูมิใจไทยในการก้าวไปข้างหน้าและเติบโตในสังคมการเมืองไทยอย่างมั่นคงและเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนและสังคมโดยรวม

‘ปราชญ์ สามสี’ ย้อนรอยเครือข่าย ‘พอล แชมเบอร์-ตั๋วปารีส’ ชี้!! การถูกจับด้วย ม.112 คือจุดจบของเกมที่คนเหล่านี้เริ่มไว้

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ย้อนรอยไม่ลืม — จากข้อมูลเครือข่าย ‘ตั๋วปารีส’ สู่วันที่คนเหล่านี้โดนจับ
โดย ป.สามสี

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คือ ‘เรื่องเก่า’ ที่ข้าพเจ้าและอีกหลายคนเคยพูด เคยเตือน และเคยเขียนไว้แล้วนับตั้งแต่หลายปีก่อน

ชื่อของ Paul Wesley Chambers และเครือข่ายนักวิชาการต่างชาติ-ไทย ที่สนิทชิดเชื้อกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ไม่ได้โผล่มาแบบไร้ร่องรอย แต่มีประวัติปรากฏชัดเจนในฐานข้อมูลสาธารณะและแหล่งทุนต่างชาติหลายแห่ง

พวกเขาคือขบวนการที่อ้างชื่อวิชาการ แต่แฝงไว้ด้วยแนวคิดแทรกแซงประเทศ ใช้วาทกรรมเสรีนิยมครอบสังคมไทยด้วยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติ บั่นทอนสถาบันหลัก และสร้างภาพจำแบบตะวันตกให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านหนังสือ บทความ สัมมนา และทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ

ในปี 2564 ชื่อของเขาถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ได้รับทุนจาก Taiwan Foundation for Democracy เพื่อผลิตผลงานในเครือข่าย Milk Tea Alliance ซึ่งเราเคยชี้ไว้แล้วว่านี่คือกลไกแทรกแซงทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ ที่แฝงตัวอยู่ในวงวิชาการอาเซียน

และวันนี้ — ปี 2568 — ความจริงที่เคยถูกมองข้ามก็ย้อนกลับมาทวงถาม
เมื่อข่าวออกมาว่า หนึ่งในบุคคลที่เคยได้รับการกล่าวถึงในข้อมูลนี้ ถูก เจ้าหน้าที่ไทยควบคุมตัว และ ตรวจสอบสถานะการพำนัก-การทำงานในประเทศ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงทั้งทางเครือข่าย ทุนต่างชาติ และกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของวีซ่า

นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับผู้ติดตาม ‘ขบวนการตั๋วปารีส’ และพฤติกรรมแทรกแซงของนักวิชาการข้ามชาติ แต่เป็นเพียง ‘จุดจบของเกม’ ที่คนพวกนี้เริ่มเล่นไว้นานแล้ว

สิ่งที่น่าคิดคือ… ทำไมหน่วยงานไทยเพิ่ง ‘กล้าจับ’ ในวันนี้? หรือว่าวันนี้ เราเริ่มตาสว่างและเลิกกลัวเสียงจากต่างชาติแล้วจริง ๆ

เรื่องนี้ไม่ใช่บทสรุปของการต่อสู้ทางความคิด — แต่มันคือเครื่องเตือนใจว่า หากเราไม่เฝ้าระวัง สิ่งที่เรียกว่า ‘วิชาการ’ อาจกลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทำลายชาติเราเอง

นอกจากนี้ ยังได้แชร์โพสต์ที่ทางเพจเคยโพสต์ไว้เมื่อ 17 ส.ค. 66 ที่ระบุว่า…

เรามารื้อเครือข่ายอาจารย์ ในเครือข่าย #ตั๋วปารีส ที่สนิท ชิดเชื้อ ปวิน กันมั่งดีกว่า 
พอล แชมเบอร์ (Dr. Paul Wesley Chambers)

-อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
-นักวิจัยในสังกัด Peace Research Institute Frankfurt (PRIF)
-เกิดที่เมืองนอร์แมน รัฐโอกลาโฮมา สหรัฐฯ
-จบการศึกษาปริญญาเอกจากคณะ Southeast Asian Studies and Political Science มหาวิทยาลัย Northern Illinois University

-อดีตผู้ช่วยอาจารย์มหาวิทยาลัย Northern Illinois University
-เคยทำงานให้กับ Cambodian Institute for Cooperation and Peace
-อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัย Institute of South East Asian Affairs (ISEAS) - Yusof Ishak Institute องค์กร Think Tank ประเทศสิงคโปร์
-อดีตเจ้าหน้าที่ Peace Corps หน่วยงานในสังกัดรัฐบาลสหรัฐฯ

นายพอล แชมเบอร์ เคลื่อนไหวในรูปแบบของนักวิชาการ ร่วมกับเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ มีข้อมูลสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลและเครือข่ายของ National Endowment for Democracy (NED) คือนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

และเว็บไซต์ the101.world อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดกับคนในขบวนการต่อต้านสถาบันฯ หลายคน เช่น นาย เซอฮัด อูนาลดิ (Serhat Ünaldi) มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์แห่งเบอร์ลิน.  ผู้เขียนหนังสือ Working towards the Monarchy: The Politics of Space in Downtown Bangkok

นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ (David Streckfuss) นายเคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ (Claudio Sopranzetti) นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้เขียนหนังสือ Coup, King, Crisis: A Critical Interregnum in Thailand (Southeast Asia Studies Monographs), ASEAN-U.S. Relations: What Are the Talking Points, มนุษย์ต่างด้าว, การทูตทักษิณ, Love and Death of King Ananda Mahidol of Thailand เป็นต้น

แล้วถึงแม้ว่านายพอลจะเป็นอดีตผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัย ISEAS แต่เมื่อเดือนกันยายน 2565 นายพอลก็ยังเขียนบทความเกี่ยวการเมืองไทยให้กับ ISEAS (บริหารโดย Choi Shing Kwok อดีตผอ.ข่าวกรองฯ กระทรวงกลาโหมสิงคโปร์) และเดือนกรกฎาคม 2564 นายพอลเป็น 1 ใน 4 คณะอาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ได้รับทุนจาก The Taiwan Foundation for Democracy (NGO ในเครือพันธมิตร NED ของไต้หวัน) สำหรับงานวิจัย ‘Strengthening the Milk Tea Alliance: Building Democracy and Freedom through Film and Discussion’

จะเห็นได้ว่า เครือข่ายอาจารย์ทั้งไทยและต่างชาติที่ไปปรากฏตัวที่ปารีส ส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งขบวนการ พันธมิตรชานม ที่เข้าแทรกแซง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเอง

ตัวนาย พอล แชมเบอร์ เข้าใจว่า ที่อยู่ในไทยได้เพราะได้รับการสนับสนุน จาก อาจารย์บางท่าน ใน ม.นเรศวร ให้การสนับสนุน ให้ข้าวให้น้ำมากเลยทีเดียว ไม่รู้เป็นไรกันน่อ…

เรื่อง : ปราชญ์ สามสี

‘พอล แชมเบอร์’ นักวิชาการชื่อดัง ม.นเรศวร ถูกจับข้อหา ม.112 หลังกองทัพภาคที่ 3 เข้าแจ้งความ ฐานหมิ่นสถาบันฯ

(4 เม.ย.68) นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์ วอทช์ ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จับกุม นายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชื่อดัง สังกัด ม.นเรศวร โดยระบุว่า...

“ด่วน! จับนักวิชาการต่างชาติข้อหา #ม112 ตำรวจบุกจับ ‘ดร. พอล แชมเบอร์ส’ นักวิชาการชื่อดังด้านไทยศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยนเรศวร ระบุมีหมายจับจากศาลพิษณุโลก ฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โดยกองทัพภาคสามเป็นผู้แจ้งความ … นี่เรามีรัฐบาลพลเรือนที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นจริงๆ ใช่มั้ย”

ขณะที่ นายเชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาชน โพสต์ข้อความว่า “พอล แชมเบอร์ส หนึ่งในนักวิชาการชาวต่างชาติ ม.นเรศวร ที่ศึกษาเรื่องทหารไทยและการเมืองเมืองไทยมากที่สุดคนหนึ่งถูกจับข้อหา ป.อาญา ม.112 ซึ่งคดีนี้แจ้งความโดย กองทัพภาค 3

เราอยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตยจริงเหรอ? นี่คือรัฐบาลพลเรือนที้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงเหรอ? ทหารอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนจริงเหรอ?

เมื่อวานก็จับมือเผด็จการทหารพม่า วันนี้ก็มีนักวิชาการถูกจับกุม

สิทธิมนุษยชนไม่สนใจ เสรีภาพทางวิชาการถูกย่ำยีป่นปี้หมดแล้วครับ”

สำหรับ ดร. พอล แชมเบอร์ เป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารและพลเรือนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์และที่ปรึกษาพิเศษด้านกิจการต่างประเทศ ของ Center of ASEAN Community Studies คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

พอล แชมเบอร์ มีผลงานเป็นหนังสือและบทความในวารสารวิชาการจำนวนมาก โดย งานเขียนส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับการศึกษาบทบาทของกองทัพในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง

ทั้งนี้ งานของพอล แชมเบอร์ เป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจบทบาทของกองทัพไทยตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางการเมืองของประเทศ ตลอดจนแนวโน้มในอนาคตของบทบาททางการเมืองของทหารในสังคมไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top