Saturday, 19 April 2025
POLITICS NEWS

หนึ่งในความเลวทรามสกปรกของนักการเมืองรุ่นใหม่ คือการสร้าง “ข่าวปลอม” (Fake News) ออกสู่สังคม

(18 มี.ค. 68) หากย้อนกลับไป 30 - 40 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย นักการเมืองถ้าจะสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” เพื่อมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ก็จะอาศัยช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองของตนเองสนิทสนม หรือแอบมีส่วนในการ “เป็นเจ้าของ” ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ จะใช้ช่องทางที่ตนเองควบคุมบังคับได้เหล่านี้นำเสนอข่าวเท็จ ประเด็น และเรื่องราวที่ไม่จริงของฝ่ายตรงข้ามมาตีแผ่ออกสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิด เกลียดชัง จนลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามลง 

เหยื่อที่เจ็บปวด เสียหาย ถ้าไม่แข็งแรงมากพอก็จะเดินก้มหน้าออกจาก “สนามการเมือง” ไปทันที แต่ที่เป็นขาใหญ่จริง ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบหัวสิงห์ได้ง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องถูกใส่ร้ายป้ายความผิด ก็มักจะเล่นกลับแรง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างที่ “คนยุคนี้” นิยมเลือกมาจัดการคู่กรณี 

แต่คือการใช้ “ลูกปืน” ย่นเวลาทุกอย่างให้จบง่ายขึ้น 

นักการเมืองยุคเก่า แม้จะไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดี ๆ ชั่ว ๆ ความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังมีในจำนวนที่มากกว่านักการเมืองยุคสมัยนี้ และคำว่า “คนใจนักเลง” ยังใช้ได้กับนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนมาก เรียกว่าขอกันได้ แค่แสดงความนอบน้อม นับถือ รักษาสัจจะ ไม่ข้ามหัว ไม่ตีกิน หรือแอบแทงกันลับ ๆ ด้วยการ “สร้างข่าวปลอม” มาทำให้อีกฝ่ายต้องพังพินาศ ถือเป็นเรื่องที่ “คนรุ่นเก่า” ไม่นิยมทำกัน เพราะเป็นเรื่องของ “สวะ” ทั้งเหม็น และน่ารังเกียจ

“ข่าวปลอม” ยุคสมัยก่อน นาน ๆ จะโผล่มาสักเรื่องหนึ่ง ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะไม่คุ้ม เพราะคนปล่อยข่าว รวมถึงตัวการก็จะไร้ที่ยืน ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย ไม่แน่ก็อาจจะไร้ลมหายใจ จึงมักสู้กันแบบลูกผู้ชาย ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ที่นิยม “หนีการเกณฑ์ทหาร” ยากที่จะสะกดคำว่า “คนใจนักเลง” เป็น เราจึงมักเห็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ขี้หมา” จงใจสร้างข่าวปลอม พอถูกจับได้ก็หายศีรษะไปเงียบ ๆ หนีหน้าไม่มีออกมาขอโทษสังคม หรือสำนึกผิด แล้วก็รอปั้นแต่ง “ข่าวปลอมเรื่องใหม่” มาทำร้ายผู้คนดังเดิม 

ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองไทย” การที่ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ และไร้การเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้สังคมเดินตามก็ดูแย่มากแล้ว แต่การที่วัน ๆ สาละวนอยู่กับการ “คิดข่าวปลอม” เพื่อให้สังคมไทยวนอยู่ในวงจรน้ำเน่า คำว่า “เลวทรามต่ำช้า” ก็ถือว่ายังน้อยเกินไป 

ชาวเน็ตสงสัย หลัง 'ใบตองแห้ง' คอลัมนิสต์ดังโพสต์เดือด “อาจเป็นเกียรติมากกว่า ที่ไม่ก้มหัวให้ โจรห้อยร้อยกว่าตัว”

(18 มี.ค. 68) นายอธึกกิต แสวงสุข  คอลัมนิสต์ที่คร่ำหวอดในแวดวงสื่อมวลชนมานาน ที่หลายคนรู้จักในนาม 'ใบตองแห้ง' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “อาจเป็นเกียรติมากกว่า ที่ไม่ก้มหัวให้ โจรห้อยร้อยกว่าตัว”

ทั้งนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างสงสัยว่า ข้อความที่ ใบตองแห้ง โพสต์นั้นหมายถึงอะไรกันแน่

ขณะที่ บางส่วนชี้ว่า น่าจะโพสต์ถึงการลงคะแนนเลือกตุลาการศาลรัฐธรรม ที่ สว.ตีตกทั้ง 2 รายชื่อ คือ “สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” และ “ชาตรี อรรจนานันท์” เนื่องจากเป็นการโพสต์ภายหลังจากที่ทราบผลการลงคะแนนไม่นานนั่นเอง

สว. ลงมติคว่ำ ‘สิริพรรณ - ชาตรี’ นั่งตุลาการศาล รธน. หลังประชุมลับถกรายงานสอบประวัติกว่า 2 ชั่วโมง

มติ ‘วุฒิสภา’ ไม่เห็นชอบให้ 'สิริพรรณ นกสวน สวัสดี' และ 'ชาตรี อรรจนานันท์' นั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังประชุมลับถกรายงานสอบประวัติกว่า 2 ชั่วโมง

(18 มี.ค. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา (สว.) ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน คือ น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายชาตรี อรรจนานันท์  อดีตอธิบดีกรมการกงสุล และอดีตเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก แทนตำแหน่งที่ว่าง 

หลังจากที่ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาเป็นการลับ ต่อรายงานของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม นานกว่า 2 ชั่วโมง 20 นาที แล้วจึงเป็นการลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่

นายมงคล ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า บุคคลที่จะได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสว.ที่มี ปัจจุบันมี สว.ทำหน้าที่ 199 คน ดังนั้นต้องได้ 100 คะแนนขึ้นไป 

สำหรับการลงคะแนนจะใช้การลงคะแนนลับด้วยเครื่องออกเสียง จากนั้นจึงให้ สว.แสดงตน โดยพบว่า มี สว. ที่แสดงตนจำนวน 189 คน

สำหรับผลการลงมติพบว่า 

น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
ได้รับคะแนนเห็นชอบ 43 เสียง 
ไม่เห็นชอบ 136 เสียง 
งดออกเสียง 7 เสียง 
และไม่ลงคะแนน 1 เสียง 
จาก สว.ที่ลงมติทั้งสิ้น 187 คน

นายชาตรี อรรจนานันท์
ได้รับคะแนนเห็นชอบ 47 เสียง 
ไม่เห็นชอบ 115 เสียง 
งดออกเสียง 22 เสียง 
ไม่ลงคะแนน 3 คน 
จากสว.ที่ลงมติทั้งสิ้น 187 คน

นายมงคล แจ้งว่า การลงคะแนนดังกล่าวถือว่า น.ส.สิริพรรณ และนายชาตรี ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะได้คะแนนน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสว.

ทั้งนี้ ที่ประชุมวุฒิสภา ยังมีมติต่อว่า "มิให้เปิดเผย" บันทึกการประชุมจำนวน 5 ครั้ง และรายงานลับของกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 147 ต่อ 33 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง

น่าสนใจ ‘พิพัฒน์’ คิดอะไรอยู่ ตั้ง ‘สุนทร รักษ์รงค์’ เป็นคณะทำงาน

เป็นประเด็นที่น่าสนใจกับการที่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่งตั้ง สุนทร รักษ์รงค์ อดีตผู้สมัคร สส. เขต 8 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งปัจจุบันสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแล้ว ให้เป็นคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

สุนทร ก็โพสต์ว่า
“ผมจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง”

แม้สุนทร รักษ์รงค์ จะยังไม่เปิดตัวชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 หากศาลฎีกาตัดสินให้ใบแดงและเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส. เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ก็ตาม

แต่สำหรับนายหัวไทร เชื่อว่า เป็นการแต่งตั้งอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่งตั้งในช่วงที่อีก 10 วันศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษา สส.มุกดาวรรณ กรณีถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งถ้าศาลเชื่อตามพยานหลักฐานของ กกต. มุกดาวรรณก็จะโดนใบแดง เพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง และน่าจะต้องชดใช้ค่าจัดการเลือกตั้งใหม่ด้วย ซึ่งจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่

การแต่งตั้งสุนทรเป็นคณะทำงานของแกนนำภาคใต้ของพรรคภูมิใจไทย จึงมีความหมายยิ่งต่อการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯมีความหมายในแง่ของการคัดสรรตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการแต่งตั้งสุนทรเป็นคณะทำงานมีหลายนัยยะให้พิจารณา

นัยยะหนึ่งอาจจะเป็นการเสริมทีมทำงานในระดับพื้นที่ให้แข็งแกร่งขึ้น กับเป้าหมายการสู้รบในอนาคต แน่นอนว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าภูมิใจไทย จะต้องเปิดหน้าชกแบบเต็มพื้นที่ไม่มีถอยให้ใครในสนามเลือกตั้งภาคใต้ กล่าวสำหรับนครศรีฯ การเลือกตั้งปี 2566 ปักธงเมืองคอนได้ถึงสองที่นั่ง เป้าหมายปี 2570 จึงน่าจะไม่น้อยกว่า 5-6 ที่นั่ง 

แม้จะเป็นเป้าหมายที่ยากกับ 10 ที่นั่งของเมืองคอน และเป็นสนามที่ประชาธิปัตย์จะต้องยืนหยัดรักษาเมืองหลวงไว้ให้ได้ จะเห็นได้ว่า ทำไมพลังเมืองนคร ของเจ้ต้อย -กนกพร เดชเดโช ที่มีแทน-ชัยชนะ เดชเดโช ลูกชายอยู่เบื้องหลังถึงไม่สู้ศึกชิงประธานสภา อบจ.นครศรีฯ เพราะเขาต้องการเปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ นายกฯอบจ.ได้ทำงานเต็มที่ ไม่มีใครขัดใครขวาง ถ้าสำเร็จก็โชคดีไป แต่พลังเมืองนครประเมินว่า นโยบายที่แถลงไว้ ยากจะทำได้ เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำท่วมเมือง เป็นต้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เป้าหมายของการเมืองกลุ่มนี้จึงมุ่งไปที่การเลือกตั้งใหญ่ สส.มากกว่า แล้วอนาคตค่อยมาหยิบเอาแบบง่ายๆในสนาม อบจ.บนความล้มเหลวในการจัดการของ ‘น้ำ-วาริณ’

เมื่อภูมิใจไทย มีเป้าหมายใหญ่ จึงต้องมีคณะทำงานที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ‘พิพัฒน์’ ก็คงจะมองเห็นศักยภาพของสุนทร จึงหยิบมาใช้งาน น่าจะใช้งานในเชิงการร่างนโยบายด้านการเกษตรของภาคใต้ เช่น นโยบายยางพารา นโยบายปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

โดยพิพัฒน์น่าจะเล็งไปสู่สนามเลือกตั้งใหญ่มากกว่า แค่เลือกซ่อมให้เป็นเรื่องของคนในพื้นที่จัดการกันไป ตัวเลือกสำหรับภูมิใจไทยก็มีอยู่ไม่น้อย กลั่น และกรองออกมาได้ สจ.กระวี หวานแก้ว ผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่น การผลักดันเขาศูนย์เป็นแหล่งท่องเที่ยวการผลักดันแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยการนำน้ำจากเขื่อนกระทูน มาใช้งานช่วยเหลือเกษตรกร แม้เวลานี้เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด ก็ทำหน้าที่ชงข้อมูลให้ สว.ณัฐกิตติ์ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ (แล้ง) ในโซน อ.ฉวาง อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง

สุนทรเองก็มีความเหมาะสมยิ่งกับการลงสมัคร สส.จะในนามพรรคไหนก็แล้วแต่ เขตไหนก็ได้ หรือลงบัญชีรายชื่อก็ไม่แปลก เพราะเป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีเครือข่ายมาก

สุนทร จากนักศึกษากิจกรรม มาสู่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กับบทบาทหน้าที่ในการดูแลชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม

แต่สนามเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯสำหรับพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัครเป้าหมายคือต้องชนะ รักษาฐานเดิมไว้ให้ได้

โดยสรุปว่า สำหรับพรรคภูมิใจไทยแล้ว มีสองคนนี้เหมาะสมที่สุดในการได้รับโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ คนที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ลุยอยู่กับพื้นที่ควรได้รับโอกาสนั้น

ความมุ่งมั่น ตั้งใจ อยู่กับมัน ทำให้มันเกิด คือเป้าหมายการต่อสู้ในสนามการเมืองที่ดุเดือด เข้มข้น

‘อัครเดช’ ชี้แก้ไข รธน.ต้องทำประชามติ 3 รอบ ย้ำจุดยืน รทสช. ห้ามแตะหมวด 1 – 2 และการปราบทุจริต

‘อัครเดช’ อธิบายชัดจะแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ 3 รอบ ขอให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสิ้นข้อสงสัยแก่ทุกฝ่าย จี้หาหลักประกันไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 การปราบปรามทุจริตหากมีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ

(17 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า 

การแก้รัฐธรรมนูญสำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ มีจุดยืนที่ชัดเจนคือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้จะต้องไม่มีการแก้ไขในบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 

กรณีมีการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น จะเป็นกรณีที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ และไม่มีการแก้ไขในบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 

สำหรับการสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องมีการจัดทำประชามติกี่ครั้งนั้น ก่อนหน้านี้มีวุฒิสมาชิกท่านหนึ่งได้มีความเห็นว่าการเพิ่มหมวด 15/1 ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำได้หรือไม่เพียงใด เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8) ได้บัญญัติไว้ว่าเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 หมวดที่ 2 หรือเกี่ยวกับหมวด 15 จะต้องมีการทำประชามติก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 256(7) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การเพิ่มหมวด 15/1 เป็นการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการจัดทำประชามติจากพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจก่อนที่จะมีการแก้ไข จึงเป็นที่มาว่าในครั้งนั้นรัฐสภาจึงไม่สามารถดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ 

สำหรับในครั้งนี้ได้มีการตีความคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนั้นแตกต่างกันออกไป สำหรับความเห็นส่วนตัวของตนนั้นเชื่อว่าไม่ต้องมีการส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าก่อนจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 ต้องมีการทำประชามติก่อน 1 ครั้ง เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติอีก 1 ครั้ง ก่อนที่เมื่อรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดย ส.ส.ร. แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จึงต้องมีการทำประชามติทั้งสิ้น 3 ครั้ง ตามรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้

จากระเบียบวาระครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดหวั่นใจให้กับเพื่อนสมาชิกรัฐสภาหลายท่านทำให้หลายท่านลาประชุม หรือไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุม เนื่องจากเกรงว่าจะมีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเพื่อให้สิ้นกระแสความ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย จึงเป็นอันดีและไม่เกิดความเสียหายใด ๆ ต่อประเทศชาติแต่อย่างใด 

‘ดร.ชาย’ เจาะงบลงทุน ในธุรกรรม skyy9 ของ สปส. ชี้ เป็นการลงทุนเพียง 7 พันล้าน แบ่งเป็นหุ้น 5 พันล้าน - ให้กู้ 2 พันล้าน

(17 มี.ค. 68) จากกรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการด้านการเงินและปัญญาชนสาธารณะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ประกันสังคม น่าจะจ่ายเงิน 9 พันล้าน ในธุรกรรม skyy9 ไม่ใช่ 7 พันล้าน? วันนี้ลองโหลดงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ประกันสังคม ตั้งกองทรัสต์ไปตั้งบริษัทใหม่ ไปซื้อบริษัทเจ้าของตึก skyy9 (ซับซ้อน 55) มาดูเล่นๆ ก็พบว่า ประกันสังคมน่าจะออกเงินทั้งหมด 9 พันล้านบาท ไม่ใช่ 7 พันล้านบาท ตามที่เป็นข่าวมาหลายสัปดาห์

ล่าสุด ดร.ชาย ทวนชัย นิยมชาติ อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตจอมทอง – บางบอน - หนองแขม พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าไปคอมเม้นต์ ในโพสต์ของ อ.สฤณี ว่า เรียนอาจารย์ครับ ผมกระทบยอดได้ตามนี้ ไม่น่าจะผิดพลาด อาจารย์อาจจะไม่เห็นข้อมูลตัวนึงจากงบของ บจก. แคส แคปปิตอล ครับ ตอนขายหุ้น ไพร์ม ไนน์ ทาง บจก. แคส แคปปิตอล ขายหุ้น 50% ไปในราคา 1,054 ล้านบาท ครับ เท่ากับผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด ได้เงินไป 2,108 ล้านบาท ถ้าเห็นข้อมูลตัวนี้ ที่เหลือกระทบยอดตามปกติเลยครับ

ต่อมาเพิ่มทุนอีก 3,050 ล้านบาท รวมลงไปกับส่วนทุน 5,158 ล้านบาท (เท่า เงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบ) เกินกว่าทุนจดทะเบียนที่ลงที่ ไพร์ม เซเว่น 5,000 ล้าน อยู่ 158 ล้านบาท เงินนี้ก็เอามาจากเงินกู้ที่ ทรัสต์ ปล่อยให้ 2,000 ล้านบาท ทำให้เหลือวงเงินกู้คงเหลือ 1,842 ล้านบาท

ดูหมายเหตุประกอบงบของ ไพร์ม ไนน์ จะพบว่ามีการเบิกเงินกู้รวม 1,842 ล้านบาท พอดี ก็คือเบิกไปเต็มแล้ว (ตัวเลขทั้งหมดปัดเศษนะครับ) ตัวเลขชนกันหมดครับ ลงทุน 7,000 ล้านบาท หุ้น 5,000 ให้กู้ 2,000 ครับ "

สรุปสั้นๆ ดร.ชาย ยืนยันข้อมูลตรงตามที่หนูนำเสนอว่า " สปส ลงทุน 7,000 ล้าน เป็นหุ้น 5,000 ล้าน และ เป็นเจ้าหนี้ให้กู้ 2,000 ล้าน "

ขณะที่ อ. สฤณี ได้กล่าวขอบคุณ ดร.ชาย พร้อมแชร์ คลิปอธิบายให้ลูกเพจได้ฟัง และระบุว่าเข้าใจแล้วทำไมถึงลงทุน 7,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทาง ดร.ชาย ยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า แต่เราต้องไม่หลงประเด็นว่าถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะลงทุนด้วยเงินเท่าไหร่ แต่เมื่อสังคมยังคงสงสัย เค้าอาจจะไม่ได้สงสัยตัวเลขแล้ว แต่ก็ยังสงสัยการลงทุน ประสังคมก็ยังต้องอธิบายการลงทุนนี้อยู่ดี ว่า 7,000 ล้านนี้ คิดยังไง ตัดสินใจยังไงว่าคุ้มค่า การที่ สส. มาตรวจสอบก็ถูกต้องแล้ว

รัฐบาลไทย วอน!! นานาประเทศเข้าใจ การแก้ไขปัญหา ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับ ขอให้มั่นใจ ทำตามสิทธิมนุษยชนเต็มที่

(16 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะสื่อมวลชน 9 คนจากหลากหลายสำนักทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งคณะ 25 คน มีกำหนดการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันอังคารที่ 18 - 20 มีนาคม 2568 ที่มณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2568 เวลา 23.30 น. คณะจะออกเดินทางจากกองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงบินโดยจะถึงเมืองคาซือ ในวันพุธที่ 19 มีนาคม เวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง คณะมีกำหนดการเดินทางไปเยี่ยมชาวจีน อุยกูร์ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันพร้อมกับผู้นำท้องถิ่นในช่วงเช้าและบ่าย

สำหรับในวันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2568 คณะจะเดินทางไปมณฑลซินเจียงที่อยู่ห่างไกล และจะเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บังคับใช้กฎหมายและการจัดการคดีของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง จากนั้นคณะจะเดินทางไปที่มัสยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) พูดคุยสนทนากับผู้นำศาสนา และร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนผู้นำศาสนาในท้องถิ่น ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง ในเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยจะเดินทางถึงประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 01.00 น. ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง

นายจิรายุ กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏในข้อกังวลของนานาอารยประเทศ และให้เข้าใจประเทศไทยถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและมีข้อตกลงสำคัญต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคโลกปัจจุบัน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นตอนการตรวจสอบรายละเอียดนานหลายเดือนก่อนจะส่ง ชาวจีนอุยกูร์ กลับสู่มาตุภูมิ เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งชาวจีนกลับสู่บ้านเกิดจะต้องได้รับความปลอดภัยและเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก โดยรัฐบาลไทยจะกำหนดการเดินทางเป็นระยะๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศต่อนานาอารยะประเทศต่อไป

เปิด 4 ตัวเลือกพรรคภูมิใจไทย สนามเลือกตั้งเขต 8 นครศรีฯ ศึกนี้!! ไม่มีใครหลีกใคร ‘สจ.กระวี-สุนทร’ ตัวเต็ง ตัวตึง

(16 มี.ค. 68) ถ้าผลการตัดสินของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ออกมาในทางลบ คดีใบแดงของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย สนามเลือกตั้งนี้จะเป็นสนามเลือกตั้งที่สู้กันดุเดือด ไม่มีใครยอมใครในพรรคร่วมรัฐบาล

คำว่า “ให้เกียรติ์“ เจ้าของพื้นที่เดิม (เขต 8 ประกอบด้วย อ.ฉวาง นาบอน ช้างกลาง และพิปูน)
คงจะไม่ได้ยินแน่นอน เพราะจะเป็นสนามวัดดวง ชี้อนาคตทางการเมืองในภาคใต้ในอนาคต และทุกพรรคจะระดมระดับแกนนำของพรรคลงลุยเต็มอัตราศึกแน่นอน

พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ยืนยันจากปากของ ”ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์“เองว่า จะย้ายกลับมาลงสมัครเขต 8 ทวงคืนแชมป์ด้วยตัวเอง ซึ่งตรงกับ ”แทน-ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ก็ยืนยันว่า ส่งพี่ชินลง

พรรคกล้าธรรม “บิ๊กโอ” สจ.ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ฐานะหนึ่งคือลูกเจยของชินวรณ์ ที่ช่วงหลังใกล้ชิดกับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ รอ.ธรรมนัส ก็สนับสนุนบิ๊กโอเต็มที่ด้วยบุคคลิก และอะไรที่เข้ากันได้ดี เมื่อจังหวะ และโอกาสมาถึงบิ๊กโอ จึงขอลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคกล้าธรรม

บิ๊กโอ ตั้งใจจะลงสมัคร สส.ตั้งแต่คราวที่แล้ว ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่การจัดสรรคนไม่ลงตัว เมื่อบุณยเกียรติ์ ลงสมัครถึงสองเขต ทำให้บิ๊กโอพลาดโอกาสนั้นไป ทั้งๆที่ลาออกจาก ส.อบจ.มานั่งรออยู่แล้ว 

สนามเลือกตั้งเขต 8 จะเป็นสนามแรกของพรรคกล้าธรรมในการกรุยศึกเลือกตั้ง เพราะเป็นพรรคใหม่ที่มี สส.จากพรรคพลังประชารัฐย้ายมาสังกัดถึง 23 คน และมี สส.เดิมที่ย้ายมาเช่นกันอีก 1 คน

สนามเลือกตั้งเขต 8 จึงเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือ เพื่อเดินหน้าลุยสำหรับการเลือกตั้งปี 70 และสนามเลือกตั้งภาคใต้น่าจะเป็นสนามหลักที่พรรคกล้าธรรม จะเข้ามาหวังเสียบแทนพรรคเก่าที่ค่อยๆอ่อนแอลง โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ 12 ที่นั่ง น่าสนใจยิ่งเมื่อ “วันนอร์-วันมูหะหมัดนอร์ มะทา” ประกาศวางมือทางการเมืองกับวัยที่เริ่มโรยรา

พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังพอมีพลังในการสู้สึกกับผลงานของสองขุนพล “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว.พลังงาน และ “ขิง-เอกนัฐ พร้อมพันธ์” รมว.อุตสาหะกรรม ที่จับมือกันสร้างผลงาน สู้กับทุนพลังงาน รื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ ถ้าผลงานผ่าน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคขนส่งลงไปได้มาก สามารถแปรมาเป็นคะแนนเสียงได้

เมื่อสนามเขต 8 ว่างลง ก็ต้องไม่พลาด เล็งไปที่ ดร.คมเดช มัชฌิมวงค์ ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 7 ทุ่งใหญ่ ในนามพรรคพลังประชารัฐ สนใจว่าย้ายมาลงเขตนี้ เนื่องจากเป็นคนพิปูน เคยเป็นนายกฯอบต.อยู่ที่พิปูน และสนใจพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย ช่วงหลังเห็นภาพทางโซเขี่ยล ลงพื้นที่ถี่ยิบ

พรรคประชาชน กรรมการบริหารพรรคประชาชน มีมติให้ณัฐกิตต์ อยู่ด้วง ลงสมัครรับเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครศรีธรรมราช ในนามของพรรคประชาชนไปแล้ว แต่โอกาสของพรรคประชาชนสำหรับพื้นที่ภาคใต้ น่าจะยังยากอยู่ เว้นแต่จะมีผู้สมัครที่โดดเด่นจริงๆ คนยังติดภาพกับการแก้ ม.112 อันเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์

น่าสนใจคือพรรคภูมิใจไทย เจ้าของพื้นที่เดิมจะหยิบใครมาลงสมัคร ที่ใช้คำว่าหยิบ เพราะมีตัวเลือกให้พิจารณาไม่น้อยกว่า 4 คน คนแรกคือ “ไสว เลื่องสีนิล” สามีของ สส.มุกนั้นเอง ที่ผ่านมาก็ทำงานพื้นที่ให้ สส.มุกอยู่ อยู่ที่พรรคว่าจะยังเลือกสกุล “เลื่องสีนิล”ให้ลงสมัครอีกหรือไม่กับตัวเลือกใหม่ ตัวเลือกใหม่ เช่น สุนทร รักษ์รงค์ ที่คราวที่แล้วได้มาอันดับ 2 พ่ายให้กับ สส.มุก เพียงไม่กี่คะแนน ซึ่งสุนทร น่าจะมีคะแนนเป็นกอบเป็นกำในแวดวงชาวสวนยาง ที่สุนทรทำงานคลุกคลีกับชาวสวนยางมานาน

อีกตัวเลือกหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย และถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าให้การสนับสนุน สจ.กระวี หวานแก้ว ที่เคยลงสมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย เขต 5. นครศรีธรรมราช 

มี อ.พิปูน อ.ฉวาง อ.ถ้ำพรรณรา อ.ทุ่งใหญ่ (ปี 2562) แต่ครั้งนั้น สจ.กระวี ยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังใหม่กับการเมืองอยู่มาก

สจ.กระวี ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด สว.นครศรีฯถือเป็นรุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย เป็นเด็กนักเรียนนอก 

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ นิวเซาท์เวลส์(UNSW) มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เกิดที่ ต.กะเปียด อ.ฉวาง ผลงานวิจัยเชิงวิชาการมากมาย จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต อิเล็กทรอนิคส์ ศรีปทุม ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิตรามคำแหง รุ่น 22 เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นครศรีธรรมราช เขต อ.ฉวาง นาน 7 ปี 

ผลงานที่ประจักษ์ และเป็นรูปธรรมมากมาย

ที่มุ่งมั่นมากคือการพัฒนาเขาศูนย์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ อยู่.ฉวาง

อีกตัวเลือกหนึ่งที่เสนอตัวจะขอลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทยเช่นกันคือ นาวาเอกสมเกียรติ์ ทรงสวัสดิ์ ผู้บังคับการหมวดเรือ ศรชล.ภาค 2 นักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 30 นักเรียนนายเรือ รุ่น 87 จบปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ รุ่น 30 จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มีผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆมากมาย แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทหาร ส่วนประสบการณ์ และงานการเมืองยังถือว่าน้อย แม้จะเคยทำงานอยู่ในพื้นที่นครศรีฯก็ตาม

ถ้าพิจารณาจากโปรไฟล์ของ 4 คนของพรรคภูมิใจไทยแล้ว “สจ.กระวี -สุนทร” น่าสนใจมากที่สุด โดยพิจารณาคู่แข่งร่วมด้วย อีกสิบวันก็จะรู้แล้วว่า อนาคตของ สส.มุกดาวรรณ จะบวกหรือลบ แต่ขออนุญาตรีวิวให้เห็นภาพของการแข่งขันให้เห็นคร่าวๆ ขอจริงรอสนามเปิดครับ

‘ดร.เสรี’ วิจารณ์ฟาด!! การแต่งกายของ ‘แพทองธาร’ มอง!! แต่งตามสมัยนิยม ไม่เหมาะสมกับรูปร่างตัวเอง

(15 มี.ค. 68) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กวิจารณ์การแต่งกายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า รสนิยมและสมัยนิยมเป็นคนละเรื่องกัน การเลือกแต่งตัวตามแฟชั่นหรือสมัยนิยมโดยไม่พิจารณาว่ารูปร่างของตัวเองเหมาะสมกับเสื้อผ้าที่เลือกใส่หรือไม่ อาจทำให้ดูขาดรสนิยม

ดร.เสรีกล่าวว่า “การซื้อเสื้อผ้าแพงๆ หรือเครื่องประดับหรูหรามากมายไม่ได้หมายความว่าจะได้รสนิยม หากไม่ได้พัฒนาทักษะในการพิจารณาสุนทรียศาสตร์อย่างแท้จริง” และยังแสดงความคิดเห็นต่อความเสี่ยงที่เศรษฐีบางคนอาจกลายเป็นคนที่ดูแย่เพียงเพราะเสื้อผ้าไม่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเอง

ดร.เสรียังชี้ให้เห็นว่า ในงานราชพิธีและกิจการทางการทูตที่มีธรรมเนียมปฏิบัติ (protocol) ควรให้ความเคารพในรูปแบบการแต่งตัว เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกในสายตาชาวโลก “ถ้าคิดอยู่ในตำแหน่งต่อไป ฟังคำเตือนจากคนอื่นบ้าง” 

“อย่ามัวแต่คิดว่าคนที่วิจารณ์เป็นพวกอคติหรือ negativity เพราะเขากำลังเตือนให้คุณพัฒนารสนิยมให้ดีขึ้น” ดร.เสรีกล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อว่า ประเทศไทยสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า และการพัฒนารสนิยมจะช่วยให้ประเทศดูดีขึ้นในสายตาชาวโลก

มติ รทสช. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจแก้รัฐธรรมนูญ ให้ชี้ชัด ต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อนหรือไม่

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยพรรคมีมติเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ปมอำนาจสภาในการแก้รธน. ย้ำแก้รธน. เรื่องใหญ่ ทำประชามติใช้งบ 4,000 ลบ. จึงต้องรอบคอบ ชัดเจน 

(14 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาใน 2 ญัตติเกี่ยวกับประเด็นอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกวุฒิสภา และญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายอัครเดช ระบุว่า แต่เดิมในเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ออกมาแล้วว่า การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติให้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนก่อนว่าสมควรให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าประชาชนเห็นสมควร จึงจะสามารถเดินหน้าขอแก้ไขตามมาตรา 256 เพื่อปูทางไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อขณะนี้เกิดปัญหาขึ้นว่ามีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นต่างว่าสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสภาได้ทันที โดยไม่ต้องทำประชามติ รับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน

พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ประชุมและพิจารณาในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประเทศชาติและคนไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้มีมติเห็นสมควรว่า ให้เห็นชอบกับทั้ง 2 ญัตติดังกล่าว ในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในวันจันทร์นี้ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย เกิดความกระจ่างชัดเจนและไม่เป็นประเด็นปัญหาในภายหลังที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติได้

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งการทำประชามติแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมากถึง 4,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงเห็นควรว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้เกิดความกระจ่างแจ้งอีกครั้ง” นายอัครเดช กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top