Friday, 6 June 2025
POLITICS NEWS

‘กรณ์’ ใช้ AI เทียบ ‘ยิ่งลักษณ์ จำนำข้าว vs. อภิสิทธิ์ ประกันรายได้’ เผย!! รัฐบาลคสช. ก็ใช้ประกันรายได้ เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า

(24 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ยิ่งลักษณ์ จำนำข้าว vs. อภิสิทธิ์ ประกันรายได้” มีเนื้อหาดังนี้

จากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ผมเห็นมีการตั้งคำถามเปรียบเทียบนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์กับนโยบายประกันรายได้ของคุณอภิสิทธิ์ ผมเลยขอลงข้อสรุปความต่างสองนโยบายนี้เพื่อคนรุ่นใหม่ที่อาจไม่ทราบ หรือคนรุ่นเก่าที่อาจจะลืม ส่วนใครที่ไม่อยากรับรู้  ขอให้ข้ามโพสต์นี้ไปเลยครับ

**นโยบายประกันรายได้เกษตรกร** ของ **อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ** (รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์, 2551–2554) เป็นนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรที่แตกต่างจาก **นโยบายจำนำข้าว** ของยิ่งลักษณ์ โดยเน้นการอุดหนุนเงินตรงให้ชาวนาแทนการแทรกแซงราคาตลาด

**รายละเอียดนโยบายประกันรายได้ของอภิสิทธิ์**

1. **แนวคิดหลัก**
   - ไม่รับซื้อผลผลิตโดยตรง แต่จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเมื่อราคาตลาดต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
   - ครอบคลุมพืชหลายชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน
   - เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนและผ่านระบบตรวจสอบ

2. **ข้อดีของนโยบาย**
   - **ลดภาระการเก็บสต็อก** – รัฐไม่ต้องกักตุนสินค้าเหมือนโครงการจำนำข้าว
 - **ลดการทุจริต** – ระบบโอนเงินตรงถึงเกษตรกรผ่านบัญชีธนาคาร ทำให้ตรวจสอบได้ง่าย
   - **ไม่บิดเบือนกลไกตลาด** – ราคาขายยังเป็นไปตามอุปสงค์-อุปทาน

3. **ข้อจำกัด**
   - **เกษตรกรบางส่วนไม่ได้รับ
ประโยชน์** – เฉพาะผู้ที่ขึ้นทะเบียนและมีเอกสารถูกต้อง
   - **งบประมาณสูงแต่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม** – เป็นการช่วยเหลือระยะสั้น ไม่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

**เปรียบเทียบกับนโยบายจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์**

1. รูปแบบช่วยเหลือ: (อภิสิทธิ์) จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคา(ยิ่งลักษณ์) รัฐรับซื้อข้าวในราคาแพง        

2. ผลกระทบการคลัง: (อภิสิทธิ์) ใช้งบประมาณแต่ควบคุมได้ (ยิ่งลักษณ์) ขาดทุนมหาศาลจากสต็อกและทุจริต    

3. ผลต่อตลาด: (อภิสิทธิ์) ไม่บิดเบือนกลไกราคา (ยิ่งลักษณ์) กดราคาตลาดโลก ทำไทยเสียส่วนแบ่ง   

4. การทุจริต: (อภิสิทธิ์) มีน้อยกว่าเนื่องจากโอนเงินตรง (ยิ่งลักษณ์) มีการโกงจำนวนมาก

**บทสรุป**

นโยบายประกันรายได้ของอภิสิทธิ์ถูกออกแบบมาเพื่อแก้จุดอ่อนของระบบประกันราคาแบบเดิม โดยลดความเสี่ยงการทุจริตและไม่สร้างภาระการเก็บสต็อกสินค้าให้รัฐ อย่างไรก็ตาม มันยังเป็นเพียง**มาตรการบรรเทาปัญหา**มากกว่าการปฏิรูปเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน

หลังรัฐประหาร 2557 รัฐบาลคสช. นำแนวคิดนี้มาปรับใช้ต่อในรูปแบบ "ประกันรายได้เกษตรกร" แทนโครงการจำนำข้าว ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า

อ่านเสร็จแล้วน่าจะมีบางคนไม่พอใจ ขอบอกว่า ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เขียนเองแม้แต่คำเดียว ผมเพียงกดตั้งประเด็นกับ Deep Seek ว่า  “ยิ่งลักษณ์ จำนำข้าว อภิสิทธิ์ ประกันรายได้” หากไม่ถูกใจในประเด็นไหนขอให้ไปเถียงกับ AI เอง

‘เชาว์ มีขวด’ ชี้ คดีจำนำข้าวคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ส่วน ‘นรวิชญ์–ภูมิธรรม’ แค่สร้างวาทกรรมเบี่ยงประเด็น

‘เชาว์ มีขวด’ ชี้ คดีจำนำข้าว คำพิพากษาศาลสูงสุดถึงที่สุดแล้ว ‘ยิ่งลักษณ์’ ขอเปิดคดีใหม่ไม่ได้ พร้อมตอกกลับ ‘นรวิชญ์–ภูมิธรรม’ แค่สร้างวาทกรรมเบี่ยงประเด็น

(23 พ.ค.68) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ทนายเชาว์ มีขวด' แสดงความเห็นกรณีที่ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าคดีจำนำข้าวยังสามารถขอพิจารณาใหม่ได้ คดีจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ ขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ว่า...

กรณีนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดว่า เตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อรื้อคดีใหม่ภายใน 90 วัน เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับอดีตนายกฯ โดยชี้ว่าหลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 มีข้าวคงเหลือในคลัง 18.9 ล้านตัน ถ้าหากรัฐขายข้าวได้ราคาสูงกว่าอนุกรรมการปิดบัญชีคำนวณไว้ ก็สามารถหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้

ด้าน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กล่าวถึงกรณีนี้และเชื่อว่าหลักฐานจากการระบายข้าวค้างสต็อกในสมัยที่ตนเป็น รมว.พาณิชย์ ซึ่งสามารถขายข้าว 10 ปีได้ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท จะเป็นข้อต่อสู้สำคัญในคดีของยิ่งลักษณ์ เพื่อพิสูจน์ว่าข้าวไม่ได้เสียหายตามที่กล่าวหา และไม่ได้เน่าเสียอย่างที่มีการโจมตีในอดีต โดยยืนยันว่าการขายข้าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการเมือง

การออกมาให้ความเห็นของสองบุคคลดังกล่าว ทำให้สังคมสับสน ว่าคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ยังสามารถขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ และ สามารถนำข้าวคงเหลือในคลัง 18.9 ล้านตันมาหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้หรือไม่

คดีนี้ ประเด็นสำคัญที่ศาลได้หยิบยกขึ้น พิจารณาวินิจฉัย คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จํานวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท ซึ่งยิ่งลักษณ์ทราบปัญหาแเล้วจากการส่งหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบดำเนินโครงการทั้งจาก สตง.และป.ป.ช. แต่กลับไม่ติดตามกำกับดูแล เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กบข.) เพียงครั้งเดียว ส่งผลให้มีปัญหาระบายข้าวไม่ทัน ศาลฯ จึงเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุ กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหาย ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จำนวนเงิน 10,028 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญในคดีที่ศาลฯ วินิจฉัยจึงไม่ใช่ ประเด็นว่า มีข้าวเหลือทั้งโครงการในคลัง 18.9 ล้านตัน ถ้าหากรัฐขายข้าวได้ราคาสูงกว่าอนุกรรมการปิดบัญชีคำนวณไว้ก็สามารถหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้ ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่เพราะข้อมูลข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้แล้ว

“ผมจึงเห็นว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดถึงที่สุดแล้วตาม พรบ ตาม พรบ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 มาตรา 73 ที่บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดให้เป็นที่สุด และไม่เข้าเงื่อนไขเรื่องการขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 ”

การออกมาให้ความเห็นของนายนรวิทย์และนายภูมิธรรม มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก “ความพยายามสร้างกระแสทางการเมืองเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากสาระของคดี” มากกว่าจะเป็นข้อเสนอที่ตั้งอยู่บนฐานกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว คดีนี้ไม่ได้ตัดสินที่จำนวนข้าวเหลือหรือราคาขายย้อนหลัง แต่ตัดสินที่ ความรับผิด ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุม การทุจริตในโครงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยโดยมีพยานหลักฐานชัดเจน

ดังนั้น การหยิบยกประเด็นราคาขายข้าวย้อนหลังมาเชื่อมโยงกับความรับผิดของอดีตนายกรัฐมนตรีในคดีนี้ จึงเป็นการสื่อสารที่ต้องการเบี่ยงเบนประเด็น และอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน โดยเฉพาะเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักไว้ชัดเจนว่าไม่สามารถหักล้างหรือขอพิจารณาใหม่ได้ เว้นแต่จะมี “พยานหลักฐานใหม่ที่ศาลยังไม่เคยรับรู้และอาจเปลี่ยนผลแห่งคดี” ซึ่งไม่ปรากฏในกรณีนี้ หากจะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในทางสังคม ควรตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย มิใช่การสร้างวาทกรรมที่อาจกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรม

‘ยิ่งลักษณ์’ ยืนยันจำนำข้าวตั้งใจช่วยชาวนา แต่ต้องรับกรรม…หนี้หมื่นล้านชดใช้จนวันตาย

(22 พ.ค. 68) จากกรณีศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท ชี้พฤติการณ์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง

ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในวันครบรอบ 11 ปีรัฐประหาร แสดงความเสียใจและไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ที่ตัดสินให้เธอต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาทจากโครงการระบายข้าว ทั้งที่ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีโดยตรง และก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางเคยวินิจฉัยว่าเธอไม่ต้องชดใช้

อดีตนายกรัฐมนตรีระบุว่า ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร เธอถูกกล่าวหาว่าละเลยการกำกับดูแล แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการระบายข้าวโดยตรง โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่มีเจตนาช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พร้อมตั้งคำถามถึงความยุติธรรม หากผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งยังถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

เธอกล่าวด้วยว่า “หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิตยังไงก็ไม่มีวันหมด” พร้อมสะท้อนว่าการทุ่มเททำงาน ท่ามกลางแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและด้านอื่น ๆ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้มีเสถียรภาพ สร้างโอกาสให้ชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้น กลับจบลงด้วยบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับตนเอง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวถึงความไม่คืบหน้าในการตรวจสอบการขายข้าวหลังรัฐประหาร ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายนับแสนล้านบาท โดยไม่มีผู้รับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เธอเผชิญกับการยึดอำนาจ คดีความ และการยึดทรัพย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จะยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจนถึงที่สุด

‘จอม’ ฟาดแรง ‘นายกฯอิ๊งค์’ ขาดวุฒิภาวะ ปมมองสส. ย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติเหมือนย้ายที่ทำงาน

(22 พ.ค. 68) จอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ที่กำลังลี้ภัยหนีคดีความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี สส.ย้ายพรรค พร้อมระบุข้อความว่า...

ทรยศ หักหลัง ประชาชน ในทางการเมือง ถือเป็นความผิดร้ายแรงพอ ๆ กับการทุจริตคอร์รัปชันเพราะคือการ หลอกลวง คดโกง  แต่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนนี้ของไทย กลับมองการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติ เท่ากับ การย้ายที่ทำงาน.... ความคิดความอ่านทางการเมืองที่ไร้เดียงสา ขาดวุฒิภาวะแบบนี้ ... ได้แต่เอาตีนก่ายหน้าผาก..อนิจจาประชาชนคนไทย...อีก 10 ปีก็ยังไม่เห็นอนาคตที่สดใส

‘โฆษกภูมิใจไทย’ ลั่นฟ้องกลับแน่คนยื่น ‘ยุบพรรค’ ซัดเสียผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ถึงได้เอาเป็นเอาตาย

‘โฆษกภูมิใจไทย’ ซัดคนยื่น ‘ยุบพรรค’ มีหน้าที่อะไร เสียผลประโยชน์หรือไม่ ถึงเอาเป็นเอาตาย ลั่นฟ้องกลับแน่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีพรรค

(21 พ.ค. 68) น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงนางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท และนายณฐพร โตประยูร ที่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย ว่า ถ้าดูจากทั้งคำสัมภาษณ์และคนที่ยื่นไปนั้น จะบอกว่าเป็นความเชื่อของเขา ที่เชื่อว่าเป็นการฮั้ว ซึ่งในทางกฎหมายใช้ความเชื่อไม่ได้ และทุกอย่างต้องเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ยิ่งมีคำสัมภาษณ์ว่ามีการพบเส้นเงินต้องก็บอกเขาว่า มีหน้าที่อะไร เพราะในขณะนี้เท่าที่ทุกคนทราบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ได้สรุปว่าเป็นคดีอั้งยี่ซ่องโจร การขอหลักฐานทุกอย่างต้องมาจากธนาคาร ดังนั้นใช้อำนาจในส่วนใดเอาเอกสารส่วนนี้ออกมา จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ และข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้

“ยิ่งเมื่อวานนี้ถึงขั้นเอ่ยถึงชื่อหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค สมาชิกพรรค และชื่อพรรคภูมิใจไทย เป็นเหตุให้พรรคต้องออกมาปกป้องตัวเองว่าเราโดนใส่ร้าย มีการพูดพาดพิงเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เฉี่ยวไปเฉี่ยวไปมาก็จริง แต่เมื่อวานเป็นการเอ่ยชื่อโดยตรงพร้อมชื่อบุคคลของพรรคดังนั้น เราต้องใช้สิทธิ์ในการปกป้องพวกเราเอง แต่จะฟ้องที่ไหนบ้าง ต้องให้ทีมกฎหมายตัดสินใจ” น.ส.แนน กล่าว

ส่วนมีการวิเคราะห์หรือไม่ว่าเป็นการยื่น ตรวจสอบตามปกติหรือมีการเมืองเข้ามาผสมโรงด้วย น.ส.แนน กล่าวว่า ถ้าลึกกว่านั้นเราคงไม่ทราบ แต่ในขณะนี้ ที่โยงกลับมาหาเรา และถ้าฟังจากคำสัมภาษณ์แบบถอดเทป ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่มาพาดพิง ว่าเป็นพรรคสีน้ำเงิน หรือสุดท้าย เอ่ยชื่อคนพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องไปย้อนดูว่า ท่านเสียผลประโยชน์อะไรหรือไม่  ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาฟาดงวงฟาดงาใส่เรา และมาเอาเป็นเอาตายกันขนาดนี้

“แต่ถ้าถามว่ามีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เราคงไม่ทราบถึงขนาดนั้น แต่เท่าที่ฟังจากข่าวที่เราเห็น ถ้า กกต. มีหนังสือมาถึงสมาชิกสมาชิกพรรค คนใด ซึ่งอาจเป็นแค่หนังสือเรียกเพียงเพื่อขอทราบข้อมูลก็ได้ แต่บางครั้งสื่อก็ไปลงว่าโดนฟ้อง ทั้งที่ส่วนใหญ่เป็นการขอข้อมูลอย่างเดียว และทุกอย่าง เป็นไปตามเอกสารหลักฐานถ้ามีก็เปิดมาเลย ซึ่งพรรคก็พร้อมสู้ ถ้าทำให้เราเสียหายก็ต้องฟ้อง” น.ส.แนน กล่าว

เมื่อถามว่าแนวทางการต่อสู้คดีเรื่องยุบพรรคนั้น น.ส.แนน กล่าวว่า อาจต้องดูเนื้อหา ที่เขาฟ้องร้องเราก่อน ว่าเข้าข่ายมาตราไหนบ้าง และคงต้องเตรียมตามขั้นตอนปกติ เพราะไม่ใช่ว่าในสมัยสภาชุดนี้มีเราพรรคเดียวที่โดนยื่นยุบพรรค พรรคอื่นเขาก็สู้ตามกระบวนการกฎหมายต่อไป เพียงแต่เรื่องของพรรคภูมิใจไทย พึ่งมีการยื่นเมื่อวานทาง กกต. ต้องรวบรวมหลักฐานและคงจะเชิญ พรรคภูมิใจไทยไปให้ข้อมูล

ถึงเวลาที่ผู้คนตื่นรู้ รีบคายส้มเน่าออกจากปาก หันมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

(20 พ.ค. 68) คนไทยเรา ถ้าเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย ถือว่ายังมีเป็นส่วนน้อยที่จะเป็นคนใจคด ทรยศต่อชาติแผ่นดินของตนเอง ด้วยเนื้อแท้ของคนไทยดั้งเดิมนั้นจะเป็นคนที่มีความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมจะปกปักรักษาเท่าชีวิต แม้กาลเวลาจะหมุนเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่ ยุคที่ผู้ใหญ่ขาดการพร่ำสอนอย่างเข้มงวด เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่รับรู้ถึงความดีงามของสถาบัน แต่สายใยของความรัก ความผูกพัน ความเชื่อ และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ยังทำให้คนไทยจำนวนมากยังคงมอบความศรัทธาต่อ “สถาบันเบื้องสูง” ไม่เสื่อมคลาย 

คำว่าไทย ผูกร้อยสถาบันกษัตริย์ไว้จนยากจะหลุดขาดออกจากกัน ต่างเกื้อกูล หล่อหลอม ให้ประเทศชาติแข็งแรง สถาบันคือศูนย์รวมใจ มิใช่เป็นเพียงพระมหากษัตริย์ไทยเพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือแก่นของชาติ สถาบันจึงไม่ต่างจากศรัทธาแห่งชีวิตที่เหล่าประชาชนมีไว้ยึดเหนี่ยว มิใช่แยกส่วนหันเหไปคนละทิศละทางเหมือนประเทศอื่น ๆ

ประเทศไทย คือสัญลักษณ์ของการมีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคง คอยปกป้องดูแลประชาชนคนไทย มิใช่จะผลัก หรือล้มล้างทำลายสถาบันให้เหลือเพียงสัญลักษณ์ตามความนึกคิดของผู้ไม่หวังดี 

หลายปีที่ผ่านมา มีคนไทยจำนวนไม่น้อย เบื่อพรรคการเมืองเก่า เบื่อระบบเดิม ๆ เบื่อการบริหารชาติในแบบที่เน่าเฟะ จึงหันไปหลงเชื่อพรรคการเมืองที่โฆษณาว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” จะเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปในทางที่ดีขึ้น 

แต่สิ่งที่ได้กลับตรงกันข้าม 

พรรคการเมืองพรรคนี้มีแต่เรื่องมัวหมองไม่เว้นวัน นอกจากมีพฤติกรรมย้อนแย้งอย่างน่าไม่อาย ยังมีพฤติกรรมบ้ากาม คุกคามประชาชน ข่มขืนชาวต่างชาติ เคลมผลงานของคนอื่น ปกป้องคนพม่า หนีการเกณฑ์ทหาร กัดเซาะ จาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบัน สมคบคิดกับต่างชาติเดินหน้าล้มล้างการปกครอง ทำให้ประชาชนหลายล้านคนที่ “ไม่เบาปัญญาจนเกินไป” เริ่มฟื้นตื่นจากอาการหลงผิด พากันถอยห่างออกจาก “พรรคการเมืองล้มสถาบัน” พรรคนี้ เพราะมองเห็นแล้วว่าเป็น “คนรุ่นใหม่หัวใจโจร” 

คนจำนวนมากที่เคยนิยมกินส้ม ก็เริ่มคายทิ้งออกจากปาก เพราะรู้รสชาติที่แท้จริงแล้วว่าคือ “ส้มเน่า” แม้กากส้มจะหล่นลงพื้นดินแล้ว บางคนที่เจ็บปวดเพราะถูกหลอกยังใช้เท้าบดขยี้จนจมดิน

ถึงเวลาแล้วที่ “คนไทยเคยหลงส้ม” จะกลับตัว

‘อนุทิน’ เห็นภาพชัดเชื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม พร้อมปัดข่าว ภท. เตรียมคว่ำ พ.ร.บ.งบ ฯ 69

(19 พ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ว่าพรรคภูมิใจไทยจะคว่ำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ตนมองว่าปกติ ทำไมผู้สื่อข่าวถึงได้มองว่าจะเครียด ซึ่งไม่มีอะไรเลย 

ส่วนที่กรณีพรรคเพื่อไทยรวมพลังกับพรรคกล้าธรรม ขณะที่พรรคภูมิใจไทยกำลังรวมพลัง กับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น 

นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยรวมพลังกับทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้าน หากทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็พร้อมสนับสนุนหมดทุกอย่าง พร้อมชื่อว่าการเติบโตของพรรคกล้าธรรม ไม่ใช่การมาคานอำนาจกับพรรคภูมิใจไทย เพราะทุกพรรคก็ต้องการ การเติบโต และพรรคไหนที่สามารถรับใช้ประชาชนได้ พรรคนั้นก็จะเติบโต เหมือนกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตนเองก็พูดคุยและมีการทำงานร่วมกันกับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมอยู่ตลอด 

นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นความจริงที่พรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 เพราะรัฐบาลทำงบประมาณมาด้วยกัน และผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว อีกทั้งงบประมาณก็มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ขณะที่กระทรวงในส่วนพรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบดูอยู่อาทิ กระทรวงมหาดไทย มีงบประมาณถึง 400,000 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ ประมาณ 500,000 ล้านบาทกระทรวงอุดมศึกษาฯ ประมาณ 200,000 ล้านบาท และกระทรวงแรงงานอีกประมาณสองถึง 30,000 ล้านบาท รวมแล้วกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่มีงบประมาณ ล้านล้านบาท หากว่าจะไม่เห็นชอบหรือไปโหวตคว่ำก็คงไม่ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลและประชาชน ก็ต้องให้การสนับสนุน เนื่องจากเป็นงบประมาณที่รัฐบาลดำเนินการเอง 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าขอถามเป็นครั้งที่10 ว่าตอนนี้มีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าตนขอยืนยันเป็นครั้งที่ 11 ว่าไม่มี และขณะนี้รัฐบาลก็มีความเข้มแข็ง มีเสียงในสภามากกว่า 320 เสียง และพรรคกล้าธรรมก็ยิ่งมีเสียงสส.เพิ่ม ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น ทำให้ตนเองไปผ่าตัดเลนส์ตาได้อย่างสบายใจ 

ส่วนได้มองสัญญาณเชิงบวกกับสีน้ำเงินหรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ได้มองอะไรเลย มองแต่เรื่องการทำงาน จากสายตาที่เคยขุ่นมัว พอเปลี่ยนเลนส์ตาก็ทำให้ชัดใสปิ๊ง กลับมาหล่อเหมือนเดิม และเห็นอนาคตของรัฐบาลได้ชัด ว่าจะอยู่ครบเทอม

‘เท้ง’ แนะ!! ‘อิ๊งค์’ สิ่งที่ควรทำมากกว่า ไลฟ์สดขายทุเรียน คือต้องเปิดตลาดใหม่ อย่าพึ่งพิงแค่ตลาดจีน ประเทศเดียว

(18 พ.ค. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ไลฟ์ขายทุเรียน ที่จ.จันทบุรี เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) ว่า เรื่องทุเรียน คนนำเข้าหลักๆ คือประเทศจีน ซึ่งคู่แข่งที่สำคัญคือประเทศเวียดนาม

ดังนั้น ตอนนี้ถ้าเราดูสิ่งที่รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนเกษตรกรในประเทศของเขา เขาพยายามที่จะมีเงินอุดหนุนให้เกษตรกรตามชนิดพืชที่ปลูกแล้วมีมูลค่ามากขึ้น พูดง่ายๆ คือเปลี่ยนให้ไปปลูกทุเรียน เพื่อมาแข่งกับไทย

แต่เมื่อดูบริบทที่ประเทศไทย ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ที่ผ่านมาไม่ได้เห็นการยกระดับหรือช่วยเหลือจากรัฐบาลเท่าที่ควร เกษตรกรอยู่รอดด้วยตัวเอง เพราะคนจีนชอบบริโภคและมองว่าทุเรียนเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทานแล้วดีต่อสุขภาพ

“ถ้าจะให้ผมเสนอแนะ สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำมากกว่าการไลฟ์สด วัตถุประสงค์ของการไลฟ์สดคือช่วยขยายตลาด แต่ตลาดปัจจุบันเราส่งออกไปจีนโดยส่วนมากอยู่แล้ว สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำมากกว่า คือการเปิดตลาดใหม่ เช่น ประเทศอินเดีย ก็มีประชากรเยอะ และเป็นประเทศที่บริโภคผลไม้อาหารต่างๆ ที่มีรสจัดอยู่แล้ว มองหาทางเลือกใหม่ๆ เป็นไปได้หรือไม่

อย่าไปพึ่งพิงที่ตลาดประเทศจีนประเทศเดียว เพราะเราเห็นผลกระทบที่ตามมา เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลจีนมีมาตรการในการกีดกันทุเรียนนำเข้า เราก็จะได้รับผลกระทบ เพราะเราพึ่งพาอยู่ตลาดเดียว ดังนั้น สิ่งที่จำเป็น เราจะช่วยลดต้นทุนเกษตรกร เพิ่มผลผลิตต่อไร่แล้วต้องขยายตลาดออกไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ด้วย” นายณัฐพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘สวนดุสิตโพล’ เผย!! ปชช.มอง ‘บ้านใหญ่’ มีอิทธิพลอย่างมาก!! กับการเลือกตั้งท้องถิ่น

(18 พ.ค. 68) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ เรื่อง “ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในสายตาประชาชน” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,104 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 13-16 พ.ค. สรุปผลจาก 5 คำถามได้ดังนี้

ประชาชนอยากให้นายกเทศมนตรีคนใหม่ดำเนินการเรื่องใดมากที่สุด
อันดับ 1 ปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ 57.25%
อันดับ 2 แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ ปัญหาฝุ่น 48.64%
อันดับ 3 พัฒนาถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปาให้ดีขึ้น 47.46%

จากการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาลครั้งนี้ ประชาชนคิดว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่

อันดับ 1 น่าจะทำได้ 37.32%
อันดับ 2 ไม่น่าจะทำได้ 34.51%
อันดับ 3 ไม่แน่ใจ 28.17%

ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ว่า บ้านใหญ่หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในพื้นที่

อันดับ 1 เห็นด้วย 78.80%
อันดับ 2 ไม่เห็นด้วย 21.20%

ปัจจัยใดที่ประชาชนคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บ้านใหญ่หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่
อันดับ 1 เข้าถึงประชาชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น งานบุญ งานศพ งานประเพณี 45.13%
อันดับ 2 มีฐานเสียงที่มั่นคงและความสัมพันธ์กับชุมชนที่ยาวนาน 43.19%
อันดับ 3 มีระบบอุปถัมภ์ ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 41.89%

ประชาชนคิดว่าหากกลุ่มการเมืองท้องถิ่นไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองระดับชาติ จะมีผลต่อการบริหาร และพัฒนาพื้นที่หรือไม่

อันดับ 1 ส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังพอบริหารจัดการภายในพื้นที่ได้ 37.50%
อันดับ 2 ส่งผลกระทบมาก เช่น โครงการหรืองบประมาณสนับสนุนจากรัฐกลางลดลง 23.82%
อันดับ 3 ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถพัฒนาโดยอาศัยทรัพยากรท้องถิ่น 19.93%
อันดับ 4 น่าจะเป็นผลดี เพราะจะได้ลดการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติ 18.75%

'เจิมศักดิ์' เตือน!! 'สมศักดิ์' ระวัง!! ไม่มีที่ยืนในสังคม ชี้!! ควรดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แม้ทักษิณไม่พอใจ

(18 พ.ค. 68) รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความว่า ข่าวว่ารัฐมนตรีสมศักดิ์ตั้งแพทย์จำนวน 10 คนกลั่นกรองและให้ความเห็นว่าคุณสมศักดิ์ควรจะใช้สิทธิ์วีโต้แพทยสภาหรือไม่ กรณีทักษิณไม่ป่วยหนักวิกฤตจริง จนต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ตำรวจ ชั้น 14 นานถึง 181 วัน

หากผมเป็นแพทย์ 10 คนที่รัฐมนตรีสมศักดิ์ตั้งให้ช่วยกลั่นกรองให้ความเห็นเรื่องนี้

พวกผมจะบอกรัฐมนตรีสมศักดิ์ ว่า

อย่าเสียเวลาใช้งานพวกผมเลยเพราะหากพวกผมมีความเห็นแย้งกับมติของแพทย์สภาอันประกอบไปด้วย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ก็จะไม่มีใครเชื่อถือความเห็นของพวกผม  หากจะอ้างว่าได้ข้อมูลใหม่จากรัฐมนตรีก็ฟังไม่ขึ้น เพราะทำไมจึงไม่ให้ข้อมูลกับแพทยสภาตั้งแต่เมื่อครั้งมีการพิจารณา ตัวรัฐมนตรีสมศักดิ์ ก็จะนำความเห็นไปอ้าง เพื่อวีโต้ช่วยนักโทษทักษิณได้ยาก เพราะขาดน้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ คนจะเชื่อแพทย์สภามากกว่าความเห็นของพวกผม 10 คน ทำให้ถูกสังคมเย้ยหยัน ทั้งตัวรัฐมนตรีและพวกผมไปเปล่าๆ

หากพวกผมมีความเห็นผมพ้องกับแพทยสภา รัฐมนตรีสมศักดิ์ก็จะยิ่งลำบากใจเพราะถ้าลงนามเห็นชอบตามข้อเสนอโดยไม่วีโต้  คุณทักษิณก็อาจจะ โกรธและด่าคุณสมศักดิ์ อยู่ดี แต่หากคุณสมศักดิ์จะใช้สิทธิ์วีโต้แพทยสภาก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นเพราะ สังคมโดยเฉพาะศาล ก็จะยิ่งเชื่อถือมติแพทยสภา เพราะพวกผมก็เห็นพ้องต้องกับมติแพทย์สภา

แพทย์สภายิ่งต้องยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนสองในสาม รัฐมนตรีสมศักดิ์ยิ่งไม่มีที่ยืนในสังคม ยกเลิกการแต่งตั้งให้พวกผมกลั่นกรองให้ความเห็น แล้วดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แม้จะถูกนักโทษทักษิณไม่พอใจแต่ก็คุ้มค่าตัดสินใจครั้งนี้เหมือนแทงพนัน แม้ ท่านจะคุ้นเคย แต่หากไม่ซื่อตรง ก็หมดตัวได้ในคราวนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top