Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

สุโขทัย-รมว.สธ. เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและยาเสพติดที่สุโขทัย

(24 พ.ค. 68) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  เพื่อขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเร่งด่วนและครบวงจร ตั้งแต่การปราบปรามป้องกัน บำบัดรักษา และฟื้นฟู โดยกระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นยกระดับบริการ ด้วยนวัตกรรมที่สำคัญ เช่น
1. การขับเคลื่อนการใช้ยาฉีดออกฤทธิ์เนิ่น ในผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่ก่อความรุนแรง ทุกเขตสุขภาพ ร่วมกับโรงพยาบาลจิตเวช และโรงพยาบาลทั่วไป
2. การขยายผลการบริการยาสมุนไพร ตำรับยาอดยาบ้า ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด ทุกหน่วยบริการสาธารณสุข สถานพินิจ และหน่วยงานบำบัดยาเสพติด 
3. การใช้เทคโนโลยีการรักษาผ่านการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการช่วยบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด
โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้บริหารระดับกระทรวง ผู้รับผิดชอบงานยาเสพติดส่วนภูมิภาคในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง  พร้อมมีพิธีมอบรางวัลเขตสุขภาพที่มีผลการดำเนินงานและผลการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูง ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 6 , 1 และ 4 รวมถึงมอบรางวัลผลการดำเนินงานของเขตสุขภาพในด้านต่าง ได้แก่  
1.ด้านการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายในด้านการบำบัดรักษายาเสพติด  
2.ด้านการดำเนินงานมินิธัญญารักษ์ 
3.ด้านการบำบัดรักษาและติดตามต่อเนื่อง 4.ชุมชนล้อมรักษ์ 
5.รางวัลเขตสุขภาพที่มีการบูรณาการบำบัดฟื้นฟูดีเด่น ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 2
และเมื่อวันที่ 23 พค.68 โรงพยาบาลทุกแห่ง ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี นายแพทย์วิทยา พลสีลา สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 2 และผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขานุการ คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักงานเขต สุขภาพที่ 2 ในระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2568 ณ สุโขทัย เฮอริเทจ รีสอร์ท จังหวัดสุโขทัย 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจต่อครอบครัวตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก สั่งให้ความช่วยเหลือและตรวจสอบสาเหตุเร่งด่วน

(24 พ.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์เมื่อ เวลา 13.10 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่น BELL 212 ตกบริเวณพื้นที่บ้านหนองกก ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นได้รับรายงานมีข้าราชการตำรวจเสียชีวิต จำนวน 3 ราย ได้แก่ พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ นักบิน , ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย นักบิน และ ร.ต.ท.ทินกฤต สุวรรณน้อย ช่างเครื่อง

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการด่วนไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเหตุการณ์โดยด่วน และช่วยเหลือเยียวยาให้กำลังครอบครัวผู้เสียชีวิต และในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอไว้อาลัยและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียในครั้งนี้ 

รอง ผบ.ตร.สั่งการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจากการก่อสร้างรถไฟฟ้า และพื้นที่เสี่ยง ที่ส่งผลกระทบทำให้การจราจรติดขัด ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

(24 พ.ค. 68) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบางช่วงอาจมีฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้า และพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจราจรในพื้นที่ดังกล่าว

เมื่อวานที่ผ่านมาจึงได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจากการก่อสร้างรถไฟฟ้า และพื้นที่เสี่ยง ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการที่รับผิดชอบงานจราจร ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจสอบสวนกลาง , ตำรวจภูธรภาค 1 , ตำรวจภูธรภาค 7 และสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ (สยศ.ตร.) , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (คจร.ตร.) , พล.ต.ต.วีรพัฒน์ ศิวะแพทย์ รอง ผบช.สยศ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันและลดอุบัติเหตุ คจร.ตร. , ผู้แทนกระทรวงคมนาคม , ผู้แทนสำนักการระบายน้ำ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร , ผู้แทนกรมชลประทาน , ผู้ช่วยผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ,ผู้แทนบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้า และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.ไกรบุญฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อม บริหารจัดการร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในดำเนินการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบทำให้การจราจรติดขัด โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยให้แต่ละกองบังคับการ และตำรวจภูธรจังหวัด สำรวจจุดที่มีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ กรุงเทพมหานคร (สำนักการระบายน้ำ สำนักการจราจรและขนส่ง) หน่วยงานเจ้าของถนน เทศบาล รวมทั้งชลประทานจังหวัด เพื่อแก้ปัญหารองรับการระบายน้ำท่วมขังกรณีที่มีฝนตกในปริมาณ 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้วิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมในพื้นที่ เช่น เพิ่มจำนวนเครื่องสูบน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่มีกำลังสูง รวมทั้งประสานการปฏิบัติกับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้าในจุดนั้น ๆ ไม่ให้มีเครื่องจักร อุปกรณ์ วัสดุต่าง ๆ กีดขวางทางระบายน้ำ เป็นต้น

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการสอบถามข้อมูล แจ้งเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม สามารถติดต่อสายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร หมายเลข 1197 หรือสายด่วนตำรวจทางหลวง หมายเลข 1193 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เดินทางไปประชุมและไปเยือนต่างประเทศ  ณ สหราชอาณาจักร

เมื่อวันจันทร์ที่ (19 พ.ค. 68) เวลา 10.00 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่น คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารฯ และกรรมาธิการการทหารฯ เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนากับความร่วมมือเปลี่ยนถ่ายด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ทันสมัยและประสิทธิภาพสูง ของ BEA System ประเทศอังกฤษ

โดยมี Mr.Dominic Morley Mr.Kevin Joyce
Mr.Stepen Luk Mr.Zakiy Manji Mr. Huw Davies
และ Mr.Ben Long  พร้อมเจ้าหน้าที่ BEA System ประเทศอังกฤษเข้าร่วมประชุมและให้การต้อนรับ รวมถึงนำคณะเยี่ยมชมโรงงานผลิตเทคโนโลยีป้องกันประเทศและสาธิตการบิน drone and anti drone technology ของกลุ่ม BEA System ที่เมืองเคมบริดจ์ด้วย

จากนั้น คณะกรรมาธิการได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการยุทโธปกรณ์ด้านความมั่นคงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศสำหรับใช้ในทางทหารหรือทางด้านอื่นด้วย เพื่อพัฒนาสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศร่วมกันระหว่างประเทศไทยและสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการทหารฯ จะได้นำข้อมูลที่ได้จากการประชุมทวิภาคีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป 

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

 “บช.ทท.ยุค ผบช.เผือก“ล้ำหน้า ใช้ระบบกล้อง AI จับแล้วเกือบ 200 ราย ทั่วประเทศ

(24 พ.ค.68) เวลาประมาณ (18.28 น.) พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เปิดเผย ว่า จากนโยบายและข้อสั่งการ ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ให้นำเทคโนโลยี่สมัยใหม่มาพัฒนาปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าของข้าราชการตำรวจทุกหน่วย เพื่อความรวดเร็ยวฝนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในยุคปัจุบัน ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ริเริ่มนำเทคโนโลยีกล้อง A.I. ที่เชื่อมต่อข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาติดตั้งในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อคัดกรองบุคคลที่เคยกระทำความผิดและมีหมายจับ รวมถึงบุคคลกลุ่มเสี่ยง ป้องกันไม่ให้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว 

ตนได้สั่วการให้เริ่มนำเทคโนโลยีกล้อง A.I. ที่เชื่อมต่อข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาติดตั้งในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อคัดกรองบุคคลที่เคยกระทำความผิดและมีหมายจับ รวมถึงบุคคลกลุ่มเสี่ยง ป้องกันไม่ให้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว 

ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ กล้อง A.I. ที่เชื่อมข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของ บช.ก. ได้แจ้งเตือนว่าตรวจพบบุคคลตามจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 676/2568 ลงวันที่ 21 พ.ค.2568 คือ

นายพรพงษ์(นามสมมุติ) อายุ 26 ปี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่น, ทำให้เสียทรัพย์ และพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร, ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ” จากการตรวจสอบพบ นายพรพงษ์ฯ และยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน จึงจับกุมตัวนำส่ง สภ.บางบัวทอง ภ.จว.นนทบุรี เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้เริ่มนำระบบกล้อง A.I. มาใช้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยสามารถจับกุมบุคคลตามหมายจับรายแรกได้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 และจนถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมได้แล้วรวม 180 ราย ประกอบด้วย ชลบุรี (เมืองพัทยา) 102 ราย , เชียงใหม่ 54 ราย , นครราชสีมา 21 ราย และ สมุทรปราการ(สนามบินสุวรรณภูมิ) 3 ราย

นอกจากนี้ยังได้นำข้อมูลบุคคลกลุ่มเสี่ยง ที่มีพฤติกรรมเป็นกลุ่มแก้งค์ หรือเคยการกระทำความนัในแหล่งท่องเที่ยว เช่น แก้งค์ล้วงกระเป๋าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แก้งค์แลกเงิน เป็นต้น จำนวนกว่า 600 ราย ลงไว้ในฐานข้อมูล หากบุคลคลเสี่ยงกลุ่มนี้เข้ามาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญระบบจะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อจะเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตามดูพฤติกรรม อันเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลกลุ่มนี้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวได้

ทั้งนี้จะได้ขยายการติดตั้งระบบกล้อง A.I. ดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ เพื่อดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยต่อไป “ผบช.ทท.กล่าว”

‘เกาหลีเหนือ’ เร่งสอบสวน ‘เรือพิฆาตใหม่’ รั่วกลางพิธี ชี้ความเสียหายไม่หนัก แต่ผิดพลาดใหญ่หลวง

(23 พ.ค.68) สื่อทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า ทางการเริ่มการสอบสวนเหตุอุบัติเหตุระหว่างพิธีเปิดตัวเรือรบลำใหม่ขนาด 5,000 ตัน ที่อู่ต่อเรือชองจิน เมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยเรือประสบความเสียหายรุนแรงบริเวณกราบขวาและมีน้ำทะเลรั่วเข้าส่วนท้ายของเรือ

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นชี้ว่าไม่มีรูรั่วที่ใต้ท้องเรือ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา 2-3 วันในการปรับสมดุลของเรือ และใช้เวลาราว 10 วันในการซ่อมแซมอย่างเต็มรูปแบบ

คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของพรรคแรงงานเกาหลีออกแถลงการณ์ว่า แม้ความเสียหายจะไม่ร้ายแรง แต่ถือเป็น 'อาชญากรรมที่มิอาจให้อภัยได้' และยืนยันว่าจะตามหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบให้ได้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. มีการเรียกตัวฮงกิลโฮ ผู้จัดการอู่ต่อเรือชองจิน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้ว

สหรัฐฯ คว่ำบาตรซูดานรอบใหม่ เพราะเมินกฎเหล็ก ใช้ ‘อาวุธเคมี’ โจมตีใส่พลเรือนและฝ่ายตรงข้าม

(23 พ.ค. 68) สหรัฐเตรียมคว่ำบาตรซูดานรอบใหม่ หลังพบการใช้ 'อาวุธเคมี' ในสงครามกลางเมือง โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กองทัพซูดานใช้สารเคมีในปี 2024 ระหว่างสู้รบกับกลุ่มกึ่งทหาร RSF (Rapid Support Forces) โดยจะมีการจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังซูดาน และจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เริ่มมีผลตั้งแต่ 6 มิถุนายนนี้

แม้ก่อนหน้านี้ ทั้งกองทัพซูดานและ RSF ต่างถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงคราม ล่าสุดยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดว่าสหรัฐฯ พบอาวุธเคมีชนิดใด แต่รายงานจาก New York Times ระบุว่าซูดานเคยใช้ก๊าซคลอรีน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิต

สหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลซูดานยุติการใช้อาวุธเคมีและปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (CWC) โดยย้ำถึงเจตนารมณ์ในการเอาผิดผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของอาวุธดังกล่าว ทั้งนี้ ซูดานเป็นหนึ่งในสมาชิกอนุสัญญาฯ ขณะที่อียิปต์ เกาหลีเหนือ และซูดานใต้ยังไม่เข้าร่วม

สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมาสองปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 150,000 คน ประชาชนกว่า 12 ล้านคนต้องพลัดถิ่น และอีก 25 ล้านคนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหาร สหรัฐฯ เคยคว่ำบาตรซูดานมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยระบุว่าผู้นำทั้งสองฝ่ายมีส่วนทำลายความหวังในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของประเทศ

‘เอกนัฏ’ ส่งทีมบุกโรงงานศูนย์เหรียญพื้นที่ฟรีโซน พบเถื่อนทุกตรงทั้งลอบเปิดกิจการ - แรงงานต่างด้าว

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ บุกตรวจจับโรงงานศูนย์เหรียญที่ซุกในพื้นที่ฟรีโซน พบเถื่อนทุกตรง ตั้งแต่ลอบเปิดกิจการยันแรงงานต่างด้าว ซ้ำยังนำเข้าเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 1,600 ตัน

(23 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการประสานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) โดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส.แจ้งว่าจะนำหมายค้นจากศาลจังหวัดชลบุรี เข้าตรวจสอบ บริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) ตำบลหนองเหียง อำเภอพนัสนินิคม จังหวัดชลบุรี เนื่องจากมีเบาะแสว่ากระทำการขัดกฎหมายหลายประการ จึงได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ บก.ปทส.โดยมีผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ร่วมด้วย

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำความผิดหลายฐานความผิดในกฎหมายหลายฉบับ ทั้งลักลอบประกอบกิจการ ขยายเครื่องจักร ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ปล่อยน้ำเสียที่ไม่ได้บำบัดลงแหล่งน้ำธรรมชาติ และใช้แรงงานเถื่อน เป็นต้น ในส่วนความผิดภายใต้อำนาจของกระทรวงฯ ก็ได้ให้นโยบายเป็นหลักปฏิบัติไว้แล้วว่า ต้องใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งหยุดกิจกรรมใดๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในทันที รวมถึงเร่งดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมขยายผลถึงการกระทำความผิดอื่น หรืออาจเป็นลักษณะทำกันเป็นขบวนการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเขตปลอดอากร (Free Zone) ที่ได้รับข้อมูลว่า มีการใช้พื้นที่พิเศษที่ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งนำเข้า-ส่งออก เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรต่อกิจการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ ในการลักลอบกระทำความผิด

"การใช้พื้นที่ฟรีโซน หรือเขตปลอดอากร ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ได้หมายความว่า มีสิทธิ์ฝ่าฝืนยกเว้นกฎหมายอื่นๆ ของประเทศไทย ซึ่งบริษัทข้ามชาติที่กระทำความผิดก็เข้าข่าย อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ เป็นกิจการที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งยังสร้างมลพิษ ทำลายทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และปราบปรามกวาดล้างให้หมดจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด" นายเอกนัฏ ระบุ

ทางด้าน นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด จดแจ้งทำธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกสำเร็จรูป เป็นผู้ได้รับสิทธิใช้พื้นที่ภายในเขตปลอดอากรเพื่อประกอบกิจการ แต่กลับแบ่งพื้นที่โกดังให้เช่าตั้งโรงงาน พร้อมมีคนไทยรับเป็นนายหน้า บริการเดินเอกสาร ติดต่อราชการ และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้ โดยมีนายหน้าชาวไทยรับเป็นผู้ดูแล คอยประสานให้นักลงทุนชาวจีนมาเช่าพื้นที่ โดยขณะเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่โกดัง 4 หลัง 5 อาคาร ซึ่งพบการกระทำความผิด ดังนี้ บริษัท เบต้า แพ็คเกจ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด เช่าพื้นที่ผลิตกล่องและซองจดหมาย และมีเครื่องฉีดขึ้นรูปพลาสติก มีใบอนุญาตโรงงานถูกต้อง แต่ยังไม่ได้แจ้งประกอบกิจการ ถือเป็นการลักลอบประกอบกิจการ อีกทั้งยังขยายกำลังเครื่องจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดเครื่องจักรและดำเนินคดีตามกฎหมาย

บริษัท แคท เมทัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เช่าพื้นที่โกดังที่เหลือและเครื่องจักร ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน และจ้างแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมาทำงานคัดแยกเศษอลูมิเนียมปนเปื้อน แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เศษพลาสติก เศษยาง และฝุ่น ซึ่งสามารถยึดอายัดได้รวมกว่า 1,600 ตัน ผู้ดูแลโรงงานให้การว่า อลูมิเนียมที่คัดแยกแล้วจะส่งต่อไปยังประเทศจีน ส่วนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่สามารถระบุปลายทางได้ ขณะที่เศษพลาสติก เศษยาง และฝุ่น จะนำมาบดย่อยใส่ถุงบิ๊กแบ๊กกองทิ้งไว้ด้านหลังโรงงาน เจ้าหน้าที่ได้สั่งหยุดกิจการทันที และดำเนินคดีในข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาตกับทั้งบริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ในฐานะเจ้าของโกดัง และบริษัท แคท เมทัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้นำเข้า

เจ้าหน้าที่ยังพบว่าโรงงานมีการแอบต่อท่อระบายน้ำเสียโดยตรงออกนอกโรงงานไปยังแหล่งน้ำสาธารณะ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเหียง เจ้าของพื้นที่ ได้สั่งระงับการปล่อยน้ำและดำเนินคดีตามกฎหมายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม โดย กรอ.ได้ให้ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ.เก็บตัวอย่างเศษพลาสติก และเศษยางบดย่อยในบิ๊กแบ๊ก พร้อมตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบ หากพบการปนเปื้อนค่าโลหะหนัก จะดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งดูแลพื้นที่ปลอดอากรได้สั่งระงับการนำเข้าสินค้าในพื้นที่ปลอดอากรของบริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ทันที และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจพบว่ามีแรงงานลักลอบเข้าประเทศจำนวน 14 ราย ซึ่งได้ดำเนินการจับกุมเพื่อดำเนินคดีและผลักดันแรงงานออกนอกประเทศ พร้อมดำเนินคดีกับนายจ้างในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายจ้างคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต

ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจาก บก.ปทส.ได้รับเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน บก.ปทส.ว่ามีโรงงานก่อมลพิษ จึงได้สังเกตการณ์จนได้ข้อมูลหลักฐานเพียงพอ จึงขอหมายค้นเข้าตรวจสอบ และประสานมายัง ทีมสุดซอย ร่วมภารกิจ ถือเป็นความร่วมมือทั้งในส่วนของบุคลากร และการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันอย่างบูรณาการ จนสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง ที่สำคัญคือ หยุดยั้งการกระทำผิดที่กระทบต่อสวัสดิภาพสุขอนามัยของประชาชนได้อย่างทันท่วงที หากประชาชนมีเบาะแสเกี่ยวกับโรงงานเถื่อน โรงงานปล่อยมลพิษสามารถแจ้งมาได้ที่แอป Traffy Fondue ผ่านระบบแจ้งอุตได้ตลอด 24 ชั่วโมง

บีโอไอ ร่วมพิธีเปิดอาคาร True IDC พร้อมมอบบัตรส่งเสริมการลงทุน

เมื่อวันที่ (22 พ.ค.68) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ขวา) เข้าร่วมพิธีเปิดอาคาร Data Center True IDC East Bangna Campus และมอบบัตรส่งเสริมการลงทุนแก่ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด (True IDC) ในกิจการ Data Center เพื่อให้บริการด้าน Data Center และ Cloud Service และถือเป็นผู้ให้บริการด้าน Data Center ระดับ Hyperscale รายแรกของประเทศไทย โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) (ซ้าย) เป็นผู้รับมอบอาคาร Data Center ระดับ Hyperscale แห่งนี้ เป็นก้าวสำคัญของบริษัทไทยและประเทศไทยในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค เป็นประเทศที่พร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในอนาคต

‘จีน’ เปิดตัวระบบเข้ารหัสควอนตัมไฮบริด ‘รายแรกของโลก’ปกป้องการสื่อสารและข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ ระยะ 1,000 กม.

(23 พ.ค. 68) บริษัท ไชน่าเทเลคอม ควอนตัม กรุ๊ป ของจีน เปิดตัวระบบเข้ารหัสแบบไฮบริดเชิงพาณิชย์ระบบแรกของโลก ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต โดยระบบนี้ผสานการกระจายกุญแจควอนตัม (Quantum Key Distribution - QKD) เข้ากับการเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography - PQC) เพื่อปกป้องการสื่อสารแบบเรียลไทม์และข้อมูลสำคัญ

ในขั้นสาธิต บริษัทได้ดำเนินการโทรศัพท์ผ่านการเข้ารหัสควอนตัมเป็นครั้งแรกของโลก ระหว่างปักกิ่งและเหอเฟย ครอบคลุมระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร โดยใช้ระบบเข้ารหัสแบบผสาน ที่สามารถตรวจจับการดักฟังและทนทานต่ออัลกอริธึมควอนตัม ซึ่งอาจล้มล้างระบบเข้ารหัสสาธารณะแบบเดิมในอนาคต

ระบบไฮบริดของไชน่าเทเลคอมประกอบด้วยสามชั้นหลัก ได้แก่ ชั้นกระจายกุญแจควอนตัม ชั้นเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม และชั้นแอปพลิเคชัน โดยเริ่มใช้งานจริงแล้วในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะที่เครือข่ายในเหอเฟยจะกลายเป็นระบบสื่อสารควอนตัมในเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับหน่วยงานรัฐกว่า 500 แห่ง และรัฐวิสาหกิจอีกกว่า 380 ราย

การเปิดตัวครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของจีนในการเป็นผู้นำด้านความมั่นคงควอนตัมเชิงพาณิชย์ ขณะประเทศตะวันตกยังอยู่ระหว่างพัฒนา ระบบดังกล่าวอาจเป็นต้นแบบในการปกป้องข้อมูลสำคัญทั่วโลก ก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมระดับใช้งานจริงจะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top