Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

ผู้เชี่ยวชาญชี้แผน ‘Golden Dome’ เสี่ยงล้มเหลวสูง เทคโนโลยียังไม่พร้อม รับมือ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ได้ไม่จริง

(22 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดตัวแผนงานใหญ่ชื่อ “Golden Dome” มูลค่ากว่า 175 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธที่ครอบคลุมทั้งภาคพื้นดินและอวกาศ โดยหวังให้เป็นประการสำคัญในการสกัดภัยคุกคามจากขีปนาวุธข้ามทวีปในอนาคต โดยได้แรงบันดาลใจจากระบบ “Iron Dome” ของอิสราเอลที่ใช้รับมือจรวดจากฉนวนกาซา

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารหลายรายแสดงความกังวลว่า แผนของทรัมป์อาจไม่สามารถบรรลุผลตามที่ตั้งเป้าไว้ ยูริ คนูตอฟ นักประวัติศาสตร์ด้านกองกำลังป้องกันทางอากาศของรัสเซีย ระบุว่า Iron Dome มีจุดแข็งในการจัดการเป้าหมายเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ไม่สามารถรับมือการโจมตีแบบรวมหมู่หรือการยิงขีปนาวุธจำนวนมากได้ ซึ่งเป็นลักษณะของภัยคุกคามในยุคสงครามนิวเคลียร์

อิกอร์ โคโรตเชนโก บรรณาธิการนิตยสาร National Defense เสริมว่า จุดต่างสำคัญระหว่าง Iron Dome และ Golden Dome คือระดับภัยคุกคามที่ต้องรับมือ โดย Iron Dome ออกแบบมาเพื่อสกัดจรวดทำเองของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ขณะที่ Golden Dome มีเป้าหมายรับมือขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่ซับซ้อนและเร็วกว่า ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีใดในปัจจุบันที่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่า Golden Dome มีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงการ “สงครามดวงดาว” (Strategic Defense Initiative – SDI) ที่ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เสนอในยุค 1980 ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีล้ำยุค เช่น เลเซอร์และขีปนาวุธจากอวกาศ แต่ล้มเหลวเพราะข้อจำกัดทางเทคนิคและงบประมาณ แม้เวลาผ่านมากว่า 40 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นให้เป็นจริงได้

แม้ส่วนภาคพื้นดินของแผน Golden Dome จะสามารถอัปเกรดจากระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีอยู่แล้ว เช่น THAAD, Aegis และ Patriot ได้ แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอวกาศจะต้องพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายและใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเกิดการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปในจำนวนมาก Golden Dome ก็อาจไม่สามารถรับมือได้ในเชิงปฏิบัติ และอาจกลายเป็นอีกหนึ่งโครงการล้มเหลวเช่นเดียวกับในอดีต

'เนติวิทย์' ขึ้นศาล! คดีหนีทหารครั้งแรก ยังยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมสู้คดี

(22 พ.ค.68) นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขึ้นศาลคดีต่อต้านเกณฑ์ทหารครั้งแรก วันนี้ 22 พฤษภาคม ครบรอบ 11 ปีของการรัฐประหารในประเทศไทย (English version below)

เช้าวันนี้ เวลา 10.00 น. ผมเดินทางไปที่ศาลแขวงสมุทรปราการ หลังจากอัยการมีคำสั่งฟ้องผมในข้อหาหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร

เมื่อปีที่ผ่านมา ผมได้ไปที่หน้าหน่วยตรวจเลือก แต่ปฏิเสธที่จะร่วมจับใบดำใบแดง ผมไม่ได้หลบหนี แต่เลือกที่จะไม่ร่วมมือกับระบบที่ผมไม่เชื่อถือ ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม

ผมขอยืนยันการปฏิเสธข้อกล่าวหา

การปฏิเสธเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้เข้าร่วมในระบบที่ฝึกฝนความรุนแรงหรือขัดต่อความเชื่อส่วนบุคคล ตลอดประวัติศาสตร์ มีผู้คนมากมายลุกขึ้นปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยจิตสำนึกทางศีลธรรม หนึ่งในนั้นคือ มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักมวยผู้ประกาศอย่างกล้าหาญว่า “ผมไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเวียดกง”

เขาสูญเสียตำแหน่งแชมป์โลก และถูกจำคุก แต่จุดยืนของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิสราเอล และอีกมากมาย

มีผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารอย่างสันติและยอมแลกด้วยเสรีภาพส่วนตัว พวกเขาคือแรงบันดาลใจของผม

ระบบเกณฑ์ทหารในไทย เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชัน ความรุนแรง และการใช้อำนาจของกองทัพเกินขอบเขตมาช้านาน ผมเชื่อว่า การต่อสู้ด้วยสันติวิธีครั้งนี้จะนำไปสู่กองทัพที่โปร่งใสขึ้น และสังคมไทยที่เคารพเสรีภาพมากขึ้น เหมือนเมื่อ 11 ปีก่อนที่ผมลุกขึ้นต่อต้านรัฐประหาร

วันนี้ ผมยังคงยืนหยัดในแนวทางเดิม แนวทางของเสรีภาพ มโนธรรม และความไม่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม ศาลแขวงสมุทรปราการมีคำสั่ง อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แต่ให้สาบานตนแทน

'หมอเหรียญทอง' โพสต์เดือดฝากถึง 'สิระ' หลังอ้างความดันขึ้นเบี้ยวฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

(22 พ.ค 68) ภายหลังศาลแขวงดอนเมือง นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นจำเลยในความผิดฐานบุกรุกโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564

อย่างไรก็ตามนายสิระไม่ได้เดินทางมาศาล ขอเลื่อนการฟังคำพิพากษา โดยอ้างว่ามีอาการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิ.ย.2568

ทั้งนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายสิระ เจนจาคะ ฐานหมิ่นประมาท 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน รวม 10 เดือน และฐานบุกรุก 6 เดือน รวมโทษทั้งหมด 16 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้โทษ โดยลดโทษจำคุกเหลือ 10 เดือน และไม่รอลงอาญา

ล่าสุด พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ยังไม่แน่จริง ไม่เข้มแข็งพอ ถึงแม้จะเคยติดคุกมาแล้ว

เมื่อต้องฟังคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสุดท้ายแล้ว ในขณะที่ 2 ศาลยืนตามกัน คือ ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นพิพากษายืนตามกันให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญาทั้ง 2 ศาล

มันคงเครียดมาก นอนไม่หลับ ปวดหัว ความดันขึ้น คนติดคุกก็ต้องเครียดอย่างนี้แหละครับ ...บางรายกลัวคุก จนขี้แตก ท้องร่วง ก็มีนะครับ...บางรายก็ขอให้แพทย์ผ่าตัดอะไรก็ได้...ฉีดสีหลอดเลือดเพื่อหาเหตุให้อ้างว่าป่วยหนัก...อื่นๆ อีกสารพัด...นี่แหละครับ 'กรรม'

รพ.สนามพลังแผ่นดิน ถูกนาย สิระ บุกรุกขัดขวางจนต้องเลื่อนออกไปนานกว่า 1 สัปดาห์ ชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนักขณะนั้นไม่สามารถย้ายเข้า รพ.สนามพลังแผ่นดินที่มีขีดความสามารถ ไอ ซี ยู เพียงแห่งเดียวในสถานการณ์ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียที่รุนแรง

1 สัปดาห์ที่ รพ.สนามต้องเลื่อนออกไปจากการบุกรุกของ นาย สิระ เจนจาคะ นั้น มีผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก เสียโอกาสเข้า ไอ ซี ยู รพ.สนาม จนเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้เสียชีวิตทั้งหลายไม่มีโอกาสรอดชีวิต เพราะการบุกรุก รพ.สนามโดย นาย สิระ

นายสิระยังมีอีกหลายคดีที่ศาลตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา หากติดคุกวันนี้แล้ว ยังมีคดีอื่นๆที่จะทยอยตามมาสมทบ นับวันจำคุกเพิ่มเข้าไปอีก 

นายสิระคงคิดหนัก ทั้งยังเป็นคนไม่เข้มแข็ง ก็เลยเครียด ความดันขึ้น ติดคุกให้จบๆ แล้วประพฤติตนเสียใหม่ชีวิตบั้นปลายจะได้มีสุข

‘อิสราเอล’ เปิดฉากยิงเตือนคณะต่างชาติ จี้สอบด่วน..ทูตญี่ปุ่น-ยุโรปหวิดโดนลูกหลง

(22 พ.ค. 68) เกิดเหตุทหารอิสราเอลยิงปืนเตือนใส่คณะผู้แทนทางการทูตกว่า 20 ประเทศ ขณะลงพื้นที่ใกล้แคมป์ผู้ลี้ภัยในเมืองเจนิน เขตเวสต์แบงก์ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่จากญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศส ตุรกี อียิปต์ รัสเซีย และอีกหลายประเทศร่วมอยู่ด้วย แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่หลายชาติแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลสอบสวนเหตุการณ์

รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ และได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยเรียกร้องให้อิสราเอลชี้แจงและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ ด้านโฆษกของสหประชาชาติระบุว่า การยิงปืนใส่คณะทูต 'ไม่อาจยอมรับได้' และขอให้อิสราเอลเคารพความปลอดภัยของคณะทูตทุกชาติ

ขณะที่ กองทัพอิสราเอลชี้แจงว่าคณะทูตเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ได้รับอนุญาตและเข้าสู่เขตหวงห้าม จึงจำเป็นต้องยิงปืนเตือนเพื่อป้องกันความเสี่ยง พร้อมแสดงความเสียใจต่อ 'ความไม่สะดวก' ที่เกิดขึ้น ขณะที่หลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา เยอรมนี อิตาลี สเปน และตุรกี ได้เรียกตัวทูตอิสราเอลเข้าชี้แจง หรือเตรียมดำเนินมาตรการทางการทูต

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันต่ออิสราเอลจากนานาชาติให้หยุดปฏิบัติการรุนแรงในฉนวนกาซา ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตกว่า 53,000 ราย และเกิดวิกฤตมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ขณะที่สหภาพยุโรปเริ่มทบทวนความร่วมมือกับอิสราเอล และบางประเทศเสนอให้พิจารณาคว่ำบาตรรัฐมนตรีอิสราเอลด้วย

‘จอม’ ฟาดแรง ‘นายกฯอิ๊งค์’ ขาดวุฒิภาวะ ปมมองสส. ย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติเหมือนย้ายที่ทำงาน

(22 พ.ค. 68) จอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ที่กำลังลี้ภัยหนีคดีความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี สส.ย้ายพรรค พร้อมระบุข้อความว่า...

ทรยศ หักหลัง ประชาชน ในทางการเมือง ถือเป็นความผิดร้ายแรงพอ ๆ กับการทุจริตคอร์รัปชันเพราะคือการ หลอกลวง คดโกง  แต่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนนี้ของไทย กลับมองการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติ เท่ากับ การย้ายที่ทำงาน.... ความคิดความอ่านทางการเมืองที่ไร้เดียงสา ขาดวุฒิภาวะแบบนี้ ... ได้แต่เอาตีนก่ายหน้าผาก..อนิจจาประชาชนคนไทย...อีก 10 ปีก็ยังไม่เห็นอนาคตที่สดใส

จีนควักเพิ่ม 500 ล้านเหรียญหนุน WHO แทนที่สหรัฐฯ หลังทรัมป์ประกาศถอนตัว

(22 พ.ค. 68) รองนายกรัฐมนตรีจีน หลิว กั๋วจง ประกาศมอบเงินสนับสนุนเพิ่มเติม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่องค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในระยะเวลา 5 ปี ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลกเมื่อวันที่ 20 พ.ค. เพื่อชดเชยช่องว่างงบประมาณ หลังสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนหลัก

หลิว กั๋วจงกล่าวว่า โลกกำลังเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงสุขภาพจากแนวคิดฝ่ายเดียวและการเมืองอำนาจ พร้อมย้ำว่า “พหุภาคีนิยมคือทางออกที่มั่นคง” ขณะที่ WHO ปรับลดงบประมาณปี 2026–2027 ลง 21% เหลือ 4.2 พันล้านดอลลาร์

การปรับงบใหม่ของ WHO ที่จะมีมติในที่ประชุม ยังรวมถึงการเพิ่มค่าธรรมเนียมสมาชิกรายประเทศขึ้น 20% ภายใน 2 ปี ซึ่งจะทำให้จีนกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่สุดรายใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าเงิน 500 ล้านดอลลาร์ดังกล่าวรวมค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

ความเหนื่อยล้าทางการเมือง กรณีคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเลือก “อยู่กับจีน” เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

ช่วงเร็ว ๆ มานี้ ระหว่างที่ผมใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ผมได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจในชีวิตประจำวันมากมายที่สอดคล้องกับประเด็นการเมืองที่เป็นเนื้อหาในชั้นเรียน ทำให้ได้ขบคิด ค้นคว้า และสนทนา เพื่ออัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการเมืองจีนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน

ประเด็นที่ผมนำมาเล่าในบทความนี้ เกิดจากการที่ผมได้มีพบกับเพื่อนนักศึกษาจากฮ่องกงและไต้หวันที่เดินทางมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งบางคนเป็น classmate ของผมด้วย ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ คนฮ่องกงทุกคนที่ผมรู้จักที่นี่ อายุประมาณ 19 -23 แต่มีแนวคิด ‘Pro-China’ คือหนุนแนวคิดให้ฮ่องกงเข้าร่วมกับจีน หรือบางคนก็เป็นไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ก็ไม่มีท่าทีต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิด One China ของจีน

ผมต้องกลับมา reset มุมมองเรื่องคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงทั้งหมดอีกครั้ง เนื่องจากเดิมทีผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจะต้องมีแนวคิดต่อต้านจีน แต่พอได้สนทนากับเพื่อนในคลาสและนอกคลาสแล้ว ก็พบว่ามีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป...

ในตอนนี้ ใครที่ยังคิดว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงน่าจะนิยมตะวันตก และอยากแยกประเทศมากกว่ารวมเข้ากับจีน อันนี้เริ่มเก่าแล้ว เดี๋ยวเรามา update patch กันครับนะครับ

ช่วงปี 2014 - 2019 เป็นช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงตื่นตัวทางการเมืองอย่างมาก เห็นได้ movement ต่าง ๆ ทั้งการออกมารวมตัวกันประท้วง และการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วม Umbrella Movement ปี 2014 หรือการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในปี 2019 จนเป็นข่าวใหญ่ที่ขบวนการประชาธิปไตยทั่วโลกต้องติดตามและคอยสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม หลังจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020 สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก นักเคลื่อนไหวจำนวนมากถูกจับกุม องค์กรภาคประชาชนถูกสลาย สื่ออิสระถูกปิดตัว การเมืองกลายเป็นพื้นที่ที่อันตราย และข้อพิสูจน์ที่ชี้ว่าการเคลื่อนไหวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทางความคิดของคนรุ่นใหม่ จาก “การตื่นตัวทางการเมือง” สู่การ “ถอนตัวทางการเมือง” หลายคนเลือกที่จะ "ไม่พูด ไม่ยุ่ง ไม่เสี่ยง" กับประเด็นทางการเมืองอีกต่อไป โดยผลสำรวจจากสถาบันวิจัยเอเชียแปซิฟิก มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง (CUHK) ในปี 2023 พบว่า 62.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองไม่ค่อยสนใจหรือไม่สนใจการเมืองเลย โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึง 7.4% ในขณะที่การศึกษาของ Hong Kong Federation of Youth Groups (HKFYG) ในปี 2019 พบว่า 41.7% ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษารู้สึกเครียดอย่างมาก และ 24% รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับบรรยากาศทางสังคมที่ตึงเครียด ซึ่งอาจส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพวกเขา

การไม่ต้องการยุ่งกับการเมืองนั้นอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่า ประเด็นที่น่าสนใจในตอนนี้คือการที่คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจำนวนมากกำลังแสวงหาโอกาสนอกบ้านเกิด บ้างเลือกไปเรียนต่อต่างประเทศ บ้างย้ายไปอยู่ประเทศตะวันตก หรือแม้บางคนก็ย้ายไปอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่

โดยเฉพาะกรณีของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกมาเรียนหรือทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่ อย่างเช่นเพื่อนของผม 3 คนที่ได้ทุนรัฐบาลจีนมาเรียนที่ฟู่ตั้น มีคนหนึ่งได้ทุนทั้ง ป.ตรี และ ป.โท ติดต่อกันเลย อีก 2 คนบอกกับผมว่าจะเข้ารับราชการหลังเรียนจบ ซึ่งการรับราชการที่ฮ่องกงนั้น จริง ๆ แล้วแทบจะเป็นการเลือกข้างไปแล้วกราย ๆ แล้วครับ

สำหรับหลายปีก่อน การเป็นคนรุ่นใหม่แล้วเข้ารับราชการนั้นจะเป็นภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างแย่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยกัน เพราะต้องทำงานภายใต้รัฐบาลกลาง ภายใต้นโยบาย One China ซึ่งทำให้เรื่องนี้น่าสนใจครับ เพราะในปัจจุบันคนรุ่นใหม่บางคนไม่ได้เลือกที่จะต่อต้านจีน หรือหนีจากจีนเท่านั้น แต่กลับเลือกที่จะ "อยู่กับจีน" โดยมีเหตุผลที่น่าสำรวจในเชิงลึกอยู่หลายประเด็น

คำถามที่น่าศึกษาหาคำตอบคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากความตั้งใจของใคร?

แน่นอนว่าแทบจะทุกการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในเชิงระบบล้วนเริ่มต้นจากบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่กดดัน โดยเฉพาะในฮ่องกง หนึ่งในแรงขับสำคัญที่ผลักดันคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงให้เปลี่ยนแนวทางชีวิต คือความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงลิ่วของฮ่องกงที่อยู่ในระดับท็อปของโลก โดยเฉพาะราคาบ้านและที่อยู่อาศัยที่สูงจนคนวัยทำงานทั่วไปไม่มีทางเป็นเจ้าของบ้านได้ โดยดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) ของฮ่องกงที่วัดโดย Numbeo Index 2024 นั้นอยู่ที่ 76.6 ในขณะที่ เซินเจิ้น, กว่างโจว และจูไห่นั้นอยู่ที่ 42.1, 39.5 และ 37.0 ตามลำดับ

รวมถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัวในยุคหลังโควิด โอกาสการจ้างงานสำหรับคนรุ่นใหม่ยิ่งลดลง อัตราว่างงานของคนอายุ 20–29 ปี อยู่ที่ 6.1% ซึ่งสูงกว่าอัตราการว่างงานเฉลี่ยของประชากรทั้งหมดที่อยู่ที่ 3.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน

รวมถึงแรงกดดันจากสังคมในด้านอื่น ๆ ที่มีการแข่งขันสูง ทั้งความเครียดในระบบการศึกษา แรงกดดันจากครอบครัว เมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันแล้ว ความคิดเห็นทางการเมืองเห็นจะเป็นแค่สิ่งที่เพิ่มความวุ่นวายให้ชีวิต

ในขณะที่ความหวังในการสร้างชีวิตในฮ่องกงลดลงเรื่อย ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มพิจารณาทางเลือกอื่นในการสร้างอนาคต

โอกาสใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

ในทางกลับกัน จีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะเมืองในเขตเศรษฐกิจอย่าง Greater Bay Area (GBA) เช่น เซินเจิ้น กว่างโจว และจูไห่ ที่อยู่ใกล้กับฮ่องกงนั้น กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง โดยเฉพาะการเปิดพรมแดนและระบบรถไฟความเร็วสูงในเขต GBA ที่ทำให้การเดินทางระหว่างฮ่องกง–เซินเจิ้น–กว่างโจวง่ายและรวดเร็วมาก สามารถเดินทางจากฮ่องกงข้ามไปแผ่นดินใหญ่ได้ภายใน 30-45 นาที (เท่ากับเวลาที่ผมเดินทางไปเรียนตอนเช้า หรือขับรถไปทำงานตอนอยู่ไทย) เอื้อต่อการไปทำงาน เรียน หรือแม้แต่ใช้ชีวิตในจีน ขณะยังมีบ้านอยู่ในฮ่องกง ก็ยังสามารถทำงานในจีนแต่กลับมานอนที่บ้านในฮ่องกงได้

ในขณะเดียวกัน เมืองอย่างเซินเจิ้นหรือกว่างโจวซึ่งอยู่ใกล้ฮ่องกง มีค่าครองชีพต่ำกว่ามาก ทั้งค่าเช่าบ้าน อาหาร การเดินทาง ฯลฯ คนรุ่นใหม่บางส่วนเลือกไปทำงานหรือใช้ชีวิตในจีน เพราะเงินเดือนที่ใกล้เคียงกัน แต่ใช้จ่ายน้อยกว่า ทำให้สามารถซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นหัวกะทิด้านเทคโนโลยี ที่มีความสามารถทางเทคนิคหรือธุรกิจที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานจีน กลับเริ่มมองว่าการเข้าไปอยู่ในแผ่นดินใหญ่ เป็นโอกาสในการเติบโตในอาชีพที่ดีกว่า โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนจำนวนมากตั้งอยู่ใน GBA ที่เปิดรับคนรุ่นใหม่มือดีจากฮ่องกง

ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนจากรัฐจีนก็มีผลอย่างมาก สำหรับมุมมองต่อจีนของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแจกทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนฮ่องกงให้เข้ามาเรียนในแผ่นดินใหญ่ จัดสรรทุนการศึกษาและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักเรียนฮ่องกงให้มาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีโครงการสนับสนุนที่มอบเงินช่วยเหลือต่อปีการศึกษาตั้งแต่ HK$5,900 ถึง HK$19,400 ซึ่งมีนักเรียนฮ่องกงได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แล้วกว่า 20,000 คน (เพื่อนผม 3 คนเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้)

นอกจากนี้ ยังมีโครงการจ้างงานสำหรับเยาวชนฮ่องกงในหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจจีน ทุนเปิดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการจากฮ่องกง เช่น โครงการ Greater Bay Area Youth Employment Scheme (GBA YES) ที่รัฐบาลฮ่องกงอุดหนุนเยาวชนฮ่องกงที่มีอายุไม่เกิน 29 ปี และมีวุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไป จำนวนกว่า 1,000 คน โดยให้เงินอุดหนุนสูงสุด 60% ของเงินเดือนรายเดือนของผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นระยะเวลาสูงสุด 18 เดือน งบประมาณรวมโดยประมาณ 216 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

หรือจะเป็นโครงการ Funding Scheme for Youth Entrepreneurship in the Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area โดย Youth Development Commission (YDC) ของฮ่องกง ที่สนับสนุนเยาวชนฮ่องกงที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจในเมืองต่าง ๆ ในเขต GBA โดยมียอดงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติรวมทั้งสิ้น 900 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ให้บริการสนับสนุนและบ่มเพาะธุรกิจแก่เยาวชนมากกว่า 4,000 คน โดนมีทีมสตาร์ตอัปจากโครงการนี้ที่ได้ขยายธุรกิจไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า 70 ทีม

ภายใต้บริบทนี้ ไม่น่าแปลกใจที่นักเรียนฮ่องกงจำนวนมากเลือกเรียนต่อหรือทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่

ในมุมมองเชิงอัตลักษณ์นั้น คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงที่เติบโตขึ้นภายใต้ระบบการศึกษาที่รัฐบาลจีนส่งอิทธิพลมากขึ้นหลังปี 1997 และการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มจีน เช่น Xiaohongshu หรือ Bilibili ทำให้เยาวชนฮ่องกงบางส่วนรู้สึกใกล้ชิดกับวัฒนธรรมจีนมากขึ้น อย่าง classmate ชาวฮ่องกงของผม พูดใน class discussion ชัดเจน ว่าเขาเป็นคนจีน เพราะคนฮ่องกงก็คือคนจีน และแสดงออกอย่างเปิดเผยในห้องเรียนว่าเขาเคยต่อต้านจีนมาก่อน แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาต่อต้านอุดมการณ์แบบ woke ในจีนและในฮ่องกงแทน เขาพูดในขณะที่ใส่เสื้อยืดที่มีธงชาติจีนแปะอยู่บนหน้าอกซ้าย และตัวอักษรคำว่า CHINA ตัวใหญ่แปะอยู่ด้านหลัง ซึ่งชายคนนี้ครั้งหนึ่งเคยพูดเกินเลยไปถึงขั้นว่าหลังเรียนจบจะสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ ถ้ามีม็อบในฮ่องกงจะได้เป็นคนไปปราบ ตอนที่เขาพูดเรื่องนี้ ผมสังเกตเห็นเพื่อนหลายคนในห้องเริ่ม “มองบน” กัน เพราะอาจจะฟังดูก้าวร้าวโดยไม่จำเป็น

กลับเข้าเรื่อง เมื่อผมไปค้นคว้าเพิ่มเติม ก็พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจริง ซึ่งก็คือการ Depoliticization หรือการเกิดความเฉยชาทางการเมือง หรือการที่บุคคลหรือสังคมค่อย ๆ เลิกสนใจ/เลิกมีส่วนร่วมทางการเมือง จนกลายเป็นกลุ่ม "ไม่แยแสทางการเมือง" (Political apathy) หรือแม้แต่ “ต่อต้านการเมือง” (anti-political) เป็นแนวคิดที่มองว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้” หรือการมองว่า “พูดเรื่องการเมือง จะมีปัญหา อย่าไปยุ่งดีกว่า” หรือในบางกรณีคือเปลี่ยนฝ่ายทางการเมืองไปเลยแบบเพื่อนผม

ซึ่งตรงข้ามกับการ Politicization ที่มักจะอธิบายทุกปัญหาอย่างมีจิตสำนึกทางการเมือง และพยายามเสนอการแก้ปัญหาในเชิงระบบ แต่ก็เป็นแนวคิดที่นำมาซึ่งบรรยากาศการถกเถียง และความขัดแย้งจากฝ่ายต่าง ๆ ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง

ประเด็นนี้ เพื่อนชาวฮ่องกงอีกคน (ที่ไม่ใช่ตัวตึง)​ ของผมเล่าให้ฟังว่าเขาเบื่อที่จะต้องตอบคำถามกับเพื่อนเก่าหลายคนที่ชอบมาถามว่า “ทำไมถึงไปเรียนที่จีน ?” เพราะรู้เจตนาที่แท้จริงของคำถามแบบนี้ที่มักจะเป็นการ “แซะ” ยิ่งทำให้ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าหลังเรียนจบแล้วจะเข้ารับราชการต่อ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนบางคน ขอเรียนจบและทำงานอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่อง toxic ในชีวิตมากเกินไป ส่วนเหตุผลที่ทำให้อยากเข้ารับราชการนั้น เพื่อนผมบอกว่า เงินเดือนค่อนข้างดี มีสวัสดิการ ทำให้มีชีวิตที่มั่นคงได้ แต่การรับราชการก็ต้องระวังเรื่องแนวคิดทางการเมืองเช่นกัน เพราะถ้ามีแนวคิดขัดกับรัฐบาลกลาง ก็อาจทำให้มีปัญหา เขาจึงมองว่าการไม่ต้องมีแนวคิดทางการเมืองเลยคือทางเลือกที่ดีต่อชีวิตและสุขภาพจิตที่สุด ไม่ต้องขัดแย้งกับกลุ่มเพื่อน ไม่ต้องมีปัญหากับที่ทำงาน

สิ่งที่ทำให้สำนึกทางการเมืองค่อย ๆ จางหายไปจากสังคมฮ่องกงนั้น สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีพื้นฐานทางสังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์อย่าง “ทฤษฎีทางเลือกอย่างมีเหตุผล” (Rational Choice Theory) ที่เสนอว่า “มนุษย์ตัดสินใจบนพื้นฐานของการคำนวณผลประโยชน์–ต้นทุน เพื่อเลือกสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดต่อชีวิตตนเอง” ซึ่งการตัดสินใจต่าง ๆ อาจไม่ "ถูกต้องในเชิงศีลธรรม" หรือ "สอดคล้องกับอุดมการณ์" เสมอไป แต่บางครั้ง มนุษย์ก็เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองในสถานการณ์และความเป็นจริง (pragmatic)

สำหรับกรณีของฮ่องกงนั้น ในอดีต คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงอาจเลือก "ต่อต้านจีน" ด้วยความเชื่อในประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นการตัดสินใจทางอุดมคติ  (ideological decision) แต่ภายหลังปี 2020 ที่การเมืองถูกปราบปราม การเคลื่อนไหวมีความเสี่ยงสูงมาก เช่น การถูกจับ ถูกแบนอาชีพ หรือถูกคุมขัง ประกอบกับความกดดันทางสังคมในฮ่องกง ทำให้คนฮ่องกงเริ่มมองหาโอกาสจากภายนอก ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีความใกล้ชิดทางดินแดน รากวัฒนธรรมและภาษา รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี ทำให้จีนตอบโจทย์ในการเป็นดินแดนแห่งโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง ส่งผลต่อการตัดสินใจของคนฮ่องกงในการ “ประเมินต้นทุน/ความเสี่ยง - ผลตอบแทน” ของการเคลื่อนไหวทางการเมือง

โจทย์ในการเลือกนั้นมีอยู่ 2 โจทย์หลัก ๆ คือ

การเลือกว่าจะ “แสดงออกทางการเมืองต่อต้านจีน” หรือ “ไม่แสดงออกทางการเมืองต่อต้านจีน”
ถ้าเลือกไม่แสดงออกทางการเมือง จะเลือก “อยู่กับจีน” หรือ “ไม่อยู่กับจีน”

ต้นทุนของการ “เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน” คือเสี่ยงติดคุก เสี่ยงตกงาน เสี่ยงไม่มีอนาคต ชีวิตวุ่นวาย ในขณะที่ผลลัพธ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนได้จริงหรือไม่

ในขณะที่การ “ไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน” อาจไม่มีต้นทุนอะไร ส่วนประโยชน์คือความสงบ การไม่เสี่ยงติดคุก และไม่ต้องเสียอนาคต

ส่วนการเลือกว่าจะ “อยู่กับจีน” นั้น อาจมีต้นทุนทางสังคมที่ต้องเสียบ้าง แต่ก็อาจได้ประโยชน์ทางอาชีพการงาน/การศึกษา และความมั่นคงของชีวิต

ดังนั้นทาง “เลือกที่ที่สมเหตุสมผลในเชิงปฏิบัติ” (pracmatic decision) หรือทางเลือกที่คุ้มที่สุดในเชิงมูลค่าที่จับต้องได้ของกรณีนี้นั้น คือการ “เลือกไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง และอยู่กับจีน” แม้อาจไม่สอดคล้องกับความดีงามทางอุดมการณ์

ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงส่วนใหญ่ ลึก ๆ แล้วยังมีความเชื่อทางการเมืองในใจ แต่เลือกเก็บไว้กับตัวเองเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าต้นทุนสูง และโอกาสสำเร็จต่ำ ทำให้เข้าสู่ “ภาวะความเหนื่อยล้าทางการเมือง” (Political Burnout) สิ้นหวัง หลบเลี่ยง ถอนตัว ยอมจำนนต่อความเป็นจริง และแสวงหาหนทางใหม่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

ในขณะเดียวกัน การที่คนรุ่นใหม่บางคนเลือก "อยู่กับจีน" ก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาสนับสนุนรัฐบาลจีนโดยอุดมการณ์ หากแต่เป็นเพราะพวกเขา แสวงหาทางอยู่ได้ความมั่นคงในชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้บริบทที่มีทางเลือกไม่มากนัก โดยเฉพาะในสังคมที่แข่งขันสูงและกดดันอย่างฮ่องกง ความต้องการความมั่นคงของชีวิตพุ่งสูงขึ้นกว่าที่เคย

ความเข้าใจแบบนี้ไม่เพียงช่วยอธิบายพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของเยาวชนในบริบทสังคมอื่น ๆ ที่เผชิญกับภาวะกดดันคล้ายคลึงกันทั่วโลกในยุคหลังวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ซึ่งเมื่อขยายมุมมองนี้ไปสู่ประเทศหรือเมืองอื่น ๆ เกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ก็น่าสนใจเช่นกัน ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก คลื่นฝ่ายขวารุ่นใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกสามารถอธิบายด้วยตรรกะเดียวกันนี้ได้หรือไม่ คงต้องศึกษากันต่อไป

สองคำถามสำคัญที่น่านำมาคุยกันต่อจากนี้

ข้อแรก การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจะส่งผลอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ? และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการใช้กลยุทธ์ Soft Power ของฝั่งจีนหรือไม่ ?

ในประเด็นนี้ ข้อสังเกตสำคัญที่น่าจับตาคือบทบาทของ GBA ที่เข้ามาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการดูดคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเข้ามาในจีน และเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมต่อระหว่าง “ต้นทางที่สิ้นหวัง” กับ “ปลายทางที่สดใส” และ “ความเหนื่อยล้าทางการเมือง” กับ “ความมั่นคงและโอกาส” สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ ?

ข้อสอง ในบริบทของไทย ปรากฏการณ์ทำนองนี้ จะเกิดขึ้นหรือไม่ ? หรือเกิดขึ้นแล้ว ? หรือจะไม่มีวันเกิดขึ้น ?

ส่วนตัวผมเห็นคนไทยจำนวนมากมีอาการ Political Burnout ก็จริง แต่ยังไม่เห็นภาพของโอกาสใหม่ ๆ ให้เลือก แบบที่เพื่อนฮ่องกง 3 คนของผมเลือกไป “อยู่กับจีน”

ทรูยอมรับสัญญาณขัดข้อง แจ้งชดเชยผ่าน SMS กสทช. จี้มาตรฐานบริการ เตือนอาจมีบทลงโทษ

(22 พ.ค. 68) ภายหลังผู้ใช้บริการเครือข่ายทรู (True) ทั่วประเทศประสบปัญหาสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตล่มนานหลายชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อการติดต่อสื่อสารและการดำเนินธุรกิจอย่างกว้างขวาง กสทช. ได้เรียกผู้บริหารของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) เข้าชี้แจงโดยด่วน พร้อมสั่งให้รายงานสาเหตุปัญหาและมาตรการเยียวยาผู้ใช้ภายในวันเดียวกัน

ทรูประกาศขออภัยลูกค้า พร้อมแจ้งว่าบริการวอยซ์และดาต้ากลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้วทั่วประเทศ พร้อมเตรียมส่ง SMS แจ้งรายละเอียดการชดเชยให้ลูกค้าระบบรายเดือนและเติมเงินที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ กสทช. สั่งกำชับให้บริษัทเร่งตรวจสอบและพัฒนาระบบเครือข่ายให้มีความเสถียร พร้อมเตือนว่าหากเกิดเหตุซ้ำอีกจะพิจารณาบทลงโทษขั้นต่อไป

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะผู้บริหารทรูได้เข้าพบ กสทช. เพื่อรายงานแผนป้องกันไม่ให้เหตุลักษณะนี้เกิดซ้ำ และแสดงความพร้อมในการเยียวยาผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องในครั้งนี้

'ดร.อานนท์' เผยเหตุผลทำไมต้องแก้ไข พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

(22 พ.ค 68) รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล (Citizen data sciences) คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไมจึงต้องแก้ไขพรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปี ๒๕๖๘" มีเนื้อหาดังนี้

สำนักงานพระคลังข้างที่ กลายเป็นหน่วยงานเล็กๆ ในสังกัดสำนักพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง หลังจากมีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตาม พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๙๑ และแม้จะมีการแก้ไข พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ อีกครั้งใน พ.ศ. ๒๕๖๑ แต่สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวังก็ยังคงอยู่ เป็นสำนักงานเล็ก ๆ มาโดยตลอด โดยมีภาระหน้าที่ที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนี้

หนึ่ง ทำหน้าที่ดูแลการจ่ายเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ เงินปีเป็นเงินที่แต่เดิมรัฐบาลจัดถวายให้พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปได้รับพระราชทานไปใช้เป็นการส่วนพระองค์ของเจ้านายแต่ละพระองค์ และรัฐบาลก็ถวายพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ ไม่ทรงรับเงินปีจากรัฐบาล พระราชทานคืนกรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังทั้งหมด ต่อมาไม่ทรงรับเงินปีที่รัฐบาลจัดถวายเพื่อให้พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงส่งคืนกรมบัญชีกลางเช่นกัน และทรงใช้เงินส่วนพระองค์พระราชทานเงินปีให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์แทน โปรดอ่านได้จากบทความ เงินปี งบประมาณประจำปี และเงินรายปีวาทกรรมประดิษฐ์บิดเบือนเป็นเท็จใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ https://mgronline.com/daily/detail/9640000089488

สอง สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและเก็บผลประโยชน์ เช่น ค่าเช่า ของพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์

จะเห็นได้ว่าภาระหน้าที่ของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวังมีไม่มากนัก เพราะได้ถ่ายโอนไปที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปจนหมดแล้ว นับแต่ พ.ศ. ๒๔๙๑

เมื่อมีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕ แล้ว สำนักพระราชวัง ก็ย้ายมาสังกัดหน่วยราชการในพระองค์ สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ย้ายไปสังกัดกรมบังคับการสำนักพระราชวัง จนกระทั่งในปัจจุบัน

จนกระทั่งหากร่าง พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2568 ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และกำลังจะนำไปสู่การลงมติของรัฐสภา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังแสดงในแผนภาพด้านล่างนี้ ดังนี้

หนึ่ง มีการโอน สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ไปสังกัดสำนักงานพระคลังข้างที่ที่เปลี่ยนชื่อมาจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

สอง เปลี่ยนการเรียกชื่อตำแหน่ง จากคณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไปเป็น คณะกรรมการพระคลังข้างที่ และผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไปเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่

แต่กลับเกิดการโจมตีของมีความคิดเห็นอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากต่างแดน เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ว่านี่คือการกลับไปสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริง

ประการแรก ตามทฤษฎีองค์การ (Organizational theories) ยังไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ (Organizational structure) กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Political regime) ไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหาร (Management system) อะไรไปมากเลย กลับกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปได้ช่างเป็นตรรกะวิบัติ (Logical fallacy) ของนักวิชาเกินโดยแท้

ประการสอง ทรัพย์สินในพระองค์ กับ ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ ยังคงแยกออกจากกันอย่างชัดเจน อันเป็นไปตาม พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เช่นเดิม ทั้งนี้ทรัพย์สินในพระองค์ เป็นทรัพย์สินของราชสกุลมหิดล นับตั้งแต่ก่อนครองสิริราชสมบัติ เดิมมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ตั้งอยู่ในวังสระปทุม แต่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเป็นการจัดโครงสร้างองค์การที่ซับซ้อน เพราะมีคณะกรรมการชุดเดียวกัน ควรนำมารวมหน่วยงานกันเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดการมากขึ้น แต่ยังแยกออกจากทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ อันเป็นทรัพย์สินที่จะตกทอดต่อไปยังพระมหากษัตริย์ในภายภาคหน้าให้สามารถทรงใช้เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทำนุบำรุงแผ่นดินได้สืบไป

ประการสาม การเปลี่ยนชื่อกลับไปใช้คำโบราณ อันเป็นคำที่เรียกมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเก็บเงินที่ทรงค้าสำเภาได้ไว้ในถุงแดง ข้างพระแท่นที่บรรทม จึงทรงเรียกว่าพระคลังข้างที่ การกลับไปใช้คำโบราณ อันเป็นคำเก่าเฉย ๆ ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Political regime) ได้แต่ประการใด ไม่ทราบว่าคนพวกนี้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ กันมาได้อย่างไร

อันที่จริงร่าง พรบ. ฉบับนี้ก็ได้เขียนเหตุผลในการตรากฎหมายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า โดยที่พระคลังข้างที่เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ในการจัดการดูแลพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพื่อทำหน้าที่แทน เพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี จึงสมควรเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และสมควรรวมกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานพระคลังข้างที่เดิมเข้ามาบริหารจัดการโดยสำนักงานพระคลังข้างที่ตามพระราชบัญญัตินี้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ประการที่สี่ การรวมกิจการของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวังเดิม มาสังกัดสำนักงานพระคลังข้างที่ที่เปลี่ยนชื่อจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ นั้นเป็นการถูกต้องตามหลักการทางการจัดการการเงิน เพราะสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เดิม มีความชำนาญ (Specialization) ในการจัดการทรัพย์สินมากกว่า มีบุคลากรพร้อมกว่า อันน่าจะตอบโจทย์ในภารกิจที่สองของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง (เดิม) ได้ดีมีประสิทธิภาพกว่า

นอกจากนี้ในเชิงการบัญชีและการเงิน การจ่ายเบี้ยหวัดเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นการใช้จ่ายเงินส่วนพระองค์ อันน่าจะเกิดจากผลประโยชน์งอกเงยของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่บริหารการเงินและทำบัญชีโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (เดิมอยู่แล้ว) ย่อมทำให้ลดขั้นตอนในการทำงาน ทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องโอนเงินไปมาข้ามหน่วยงานอีกต่อไป ทำให้น่าจะตอบสนองต่อภารกิจในการจ่ายเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะน่าจะลดขั้นตอนในการโอนเงินระหว่างหน่วยงานได้

ประการที่ห้า การเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงค้าสำเภาได้กำไรเป็นเงินตราต่างประเทศ เหรียญทองปีกนกเม็กซิโกเป็นจำนวนมาก แล้วทรงใส่ไว้ในถุงผ้าสีแดง ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม จงทรงเรียกว่าพระคลังข้างที่ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เงินถุงแดงนี้ในการกอบกู้ชาติบ้านเมืองเมื่อคราววิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 การที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่อันเป็นคำที่ใช้มาแต่โบราณ จึงมีนัยยะที่มีพระราชประสงค์ถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยอีกประการหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้จึงมิใช่การเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณีแต่ประการเดียว และไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใด ๆ ทั้งสิ้นด้วย

ส.วิศวกรฯ ผ่า 4 ปมเหตุอาคาร สตง. ถล่ม จี้สอบวิศวกร–ปรับกฎหมาย สกัดโศกนาฏกรรมซ้ำ

(22 พ.ค. 68) จากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย เบื้องต้นพบจุดเริ่มต้นถล่มน่าจะมาจากผนังปล่องลิฟต์ ซึ่งดึงให้โครงสร้างอื่นถล่มตาม ยังอยู่ระหว่างสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง

นายอมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ระบุว่า มี 4 ปัจจัยที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่ ความแรงของแผ่นดินไหว การออกแบบ การก่อสร้าง และคุณภาพวัสดุ โดยต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านนิติวิศวกรรม พร้อมเก็บหลักฐาน วิเคราะห์โครงสร้าง และเปิดเผยผลต่อสาธารณะ

อีกทั้ง เรียกร้องให้สภาวิศวกรดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทันที หากพบความผิด เช่น การปลอมลายมือชื่อ หรือวิศวกรไร้คุณสมบัติ โดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียน พร้อมเสนอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อวางแนวปฏิบัติอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ มีข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.วิศวกร, พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, พ.ร.บ.การผังเมือง ฯลฯ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการออกแบบ-ก่อสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใสครอบคลุมทุกขั้นตอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top