Friday, 3 May 2024
เศรษฐกิจไทย

โฆษกรัฐบาลเผย 'นายกฯ' ชื่นชมการทำงานหน่วยงานด้านเศรษฐกิจทำงานเห็นผล เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ขยายตัวกว่า 4.5% ย้ำรัฐบาลเดินถูกทางเร่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรม 6 ด้าน 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ควมคุมการดำเนินนโยบายตามที่ได้สั่งการ และชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ หลังรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอนาคต ยืนยันรัฐบาลเดินถูกทางเน้นการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม 6 ด้าน

จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวในช่วง 3.5-4.5% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคของภาคเอกชนและภาครัฐ การลงทุนรวม มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ ดุลการค้า และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ที่เปิดเผยว่า ในปี 2565 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ยังคงขยายตัว 4-5% เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรม หรือจีดีพีภาคอุตสาหกรรม ที่ขยายตัว 2.5-3.5%

โดยไทยมีศักยภาพหลายด้านที่ได้เปรียบประเทศคู่ค้า ทั้งการมีแรงงานทักษะที่มีฝีมือและคุณภาพ วัตถุดิบทางการเกษตร ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ตลอดจนโครงการลงทุนต่าง ๆ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สอดคล้องกับแนวนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเมื่อรัฐบาลปลดล็อกการเดินทางระหว่างประเทศแบบ test and go จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อีกมาก ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม 6 ด้าน ได้แก่ 

1. ส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ 
2. พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับหมุดหมายการพัฒนาตามตารางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) 
3. พัฒนาผู้ประกอบการและภาคการผลิตไปสู่ 4.0 เช่น การสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ ส่งเสริมเอสเอ็มอี เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล
4. พัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
5. จัดตั้งและส่งเสริมการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 
และ 6.การยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

“บิ๊กตู่” พอใจประมาณการภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 64 ขยายตัวร้อยละ 1.2 ขณะที่ปี 65 คาดขยายตัวร้อยละ 4.0 โฆษกรัฐบาลเผยยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยเดินมาถูกทาง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อปประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2564 และ 2565 ที่รายงานโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 ถึง 1.4) ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนตุลาคม 2564 ที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ 

ขณะที่ในปี 2565 นั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 4.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 ถึง 4.5) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่ทำให้การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศมีผลกระทบในวงจำกัด ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เป็นไปอย่างรอบคอบ รัดกุม ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รายงานด้วยว่า บทบาทของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยภาพรวมด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาในปี 2564 เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวอันเนื่องมาจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้น และการเร่งกระจายวัคซีนที่มีความครอบคลุมมากขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.1 ถึง 0.4) และการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.7 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.4 ถึง 3.9) 

รัฐบาลมั่นใจเศรษฐกิจโตตามเป้า ท่องเที่ยว ส่งออก การลงทุนต่างชาติ ขยายตัวชัดเจน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2565 จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 ถึง 4.5) ตามการคาดการณ์ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ประเทศและรายได้ครัวเรือน ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้งบประมาณแผ่นดิน 3.1 ล้านล้านบาท งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3.07 แสนล้านบาท และพ.ร.ก.เงินกู้ ควบคู่ไปกับการเติบโตของภาคการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ ที่มีตัวเลขยืนยันเป็นที่ประจักษ์

ทั้งนี้ การดำเนินการต่างๆจะอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยทางสาธารณสุข รวมถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต้องอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันกำหนด ที่ระดับร้อยละ 1.0-3.0 ต่อปี

 นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ในวันที่ 1 ก.พ.นี้ เป็นวันแรกที่จะกลับมาใช้การลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศไทยผ่านระบบ Test & Go ซึ่งน่าจะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น เพิ่มรายได้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับในภาพรวมทั้งปี2565 ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์โควิด19 ที่ทั่วโลกสามาถบริหารจัดการได้ดี

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 7-8 ล้านคน และนักท่องเที่ยวในประเทศเดินทางจำนวน 160 ล้านคนครั้ง มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1.3 -1.8 ล้านล้านบาท และหากสามารถเปิดด่านค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านได้ในไตรมาสแรกนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 15 ล้านคน

มากไปกว่านั้น ในภาคการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานตัวเลขการส่งออกทั้งปี 2564 ขยายตัวถึง 17.14% สูงสุดในรอบ 11 ปี ทะลุเป้าหมาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2.71 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และสำหรับ การส่งออกปี 2565 กระทรวงฯตั้งเป้าไว้ที่ 3-4% หรือมีมูลค่า 2.7-2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้น ประกอบกับ ประโยชน์ที่ไทยเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ทำให้สินค้าไทยไม่ต้องเผชิญกับกำแพงภาษี ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คาดว่า การส่งออกสินค้าที่ยังเติบโตต่อเนื่อง อาทิ สินค้าเกษตร ผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง สินค้ากลุ่มยาและเวชภัณฑ์ ถุงมือยาง สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร น้ำตาลทราย อาหารเลี้ยงสัตว์ สินค้าอุตสาหกรรม รถยนต์ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อัญมณี คอมพิวเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

‘ชนินทร์’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ยิ่งอยู่ยิ่งเจ๊ง ยิ่งแจกยิ่งจน!! หวั่นชาติล่ม จมอยู่ 8 ปี สร้างหนี้ 10 ล้านล้านบาท

วันที่ 10 ก.พ. 65 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนฯ ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับก๊วน 3 ป. ว่า การประชุมเพื่อแก้ปัญหาความยากจน เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ นับครั้งไม่ถ้วน แต่เหตุใดตัวเลขผู้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

หากดูจากตัวเลขผู้ได้รับสิทธิ์ในปี 2560 อยู่ ที่ 7.7 ล้านคน เพิ่มจนมาสูงสุดที่ 14.6 ล้านคนในปี 2562 หรือคิดเป็น 22% ของคนทั้งประเทศ และหากพลเอกประยุทธ์ มีการขยายสิทธิ์ใหม่ในปี 2565 ภายหลังปรับกฎเกณฑ์ตามมติ ครม. ที่ตั้งเป้าผู้เข้าร่วม 20 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในทันที ในขณะที่ตัวเลขคนจนไม่ได้ลดลง ในเวลาเดียวกันพลเอกประยุทธ์ ก็เดินหน้ากู้จนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 9.64 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท หรือ 59.57% ของจีดีพี สะท้อนให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศแบบกู้แหลก แต่สร้างผลขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้น้อย เพราะตัวเลขหนี้สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคพลเอกประยุทธ์ ที่โตเฉลี่ยเพียง 1.66% นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศภายหลังจากทำการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน ขัดแย้งกับผลงานโดดเด่นในเรื่องของการกู้ และยังใช้งบประมาณไปกับโครงการประชานิยมรวมเกือบ 2 ล้านล้านบาท อาทิ

1.) งบประมาณที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ใช้ในโครงการประชานิยมในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งมี 19 โครงการ ใช้งบประมาณรวม 8.78 แสนล้านบาท
2.) โครงการประกันราคาสินค้าเกษตร ตั้งแต่ปี 2562/63 - 2564/65 ใช้งบประมาณ 2.61 แสนล้านบาท
3.) โครงการต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 รวมมากกว่า 6 โครงการ ในปี 2563-2564 ทั้งคนละครึ่ง 4 เฟส, เราชนะ, ม.33 เรารักกัน, ยิ่งใช้ยิ่งได้, บัตรคนจน, เราเที่ยวด้วยกัน ใช้งบประมาณรวมทั้งหมดรวมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท จากกรอบวงเงินที่กู้ได้ 1.5 ล้านล้านบาท

ตราด - ไอเดียเก๋! ‘กัญชง และโรงกัญชา’ ปลูกกัญชา 600 ต้น วิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็ก พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจ และสุขภาพชายแดน!

วิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็ก หมู่ 2 ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด นายณรงค์ เทพเสนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานในพิธีเปิดวิสาหากิจชุมชนพืชสมุนไพร ต.หาดเล็ก พร้อมด้วย  นายเทวัญ ธานีรัตน์ ผู้อํานวยการกองการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นส.กิปภา ประสิทธิเวช นายกเทศมตรีตําบลหาดเล็ก นายโชคชัยแสนสิทธิ์ ปลัดอําเภอคลองใหญ่ ประธานสภา สมาชิกสภาเทศบาล เกษตรจังหวัดตราด ตํารวจ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมพิธีเปิด 

โดยมี นส.อรภา ชูใจหาญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็ก กล่าวรายงานการจัดโครงการ

นายปิยวุฒิ ประสิทธิเวช กํานันตําบลหาดเล็ก ที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็ก นายเทวัญ ธานีรัตน์ ผู้อํานวยการกองการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ร่วมกับหน่วยงานเปิดป้ายวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็ก และร่วมกันปลูกกัญชา ซึ่งการจัดโครงการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และเป็นการประชาสัมพันธ์วิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรหาดเล็กให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน 

'ดร.พิสิทธิ์' ชี้ โควิดทำให้คนจนเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีมาตรการรัฐคอยช่วย คนจนอาจเพิ่มสูงถึง 11 ล้านคน

“โควิดทำให้คนจนเพิ่มขึ้น ก่อนโควิดมีคนจน 4.3 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 4.8 ล้านคน ถ้าไม่มีมาตรการต่างๆ ของรัฐ อย่างเช่น เราไม่ทิ้งกัน เราชนะ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านคน จะเห็นว่านโยบายรัฐก็ช่วยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” 
.
ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในเวทีเสวนา "ทางรอดปากท้อง ทางออกเศรษฐกิจฝ่าคลื่นโควิด : โอกาสหรือความเสี่ยง?” ณ ห้อง Convention Hall อาคารศูนย์การเรียนรู้อาคาร D สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส


ที่มา : https://www.facebook.com/480564141971928/posts/5664950366866587/

‘ดร.สมเกียรติ’ แย้ม!! ข่าวเจาะแบบโทรเลข ต่างชาติหอบทุนหนุนไทยจากทั่วสารทิศ

ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ข่าวดีของไทย ข่าวเจาะแบบโทรเลข’ เผยถึงความเคลื่อนไหวของนานาประเทศที่กำลังจะเข้ามาร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศไทย โดยระบุว่า...

‘นายกฯ ลาว’ จะมาไทยสองวัน วันที่ 1ถึง 2 นี้ คุยกันทุกเรื่อง ดีมากครับ ดีต่อประชาชนทั้งสองประเทศ ย้ำทุกเรื่อง ทุกอย่างดีมาก

‘ญี่ปุ่น’ ส่งหน่วยงานเศรษฐกิจมาประชุมยืนยันกับนายกฯ สมัยก่อนผมเคยติดต่อ หน่วยงานระดับนี้มา จะเกิดการลงทุนระดับใหญ่มาก ทุกด้าน (ขีดเส้นใต้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับสงคราม)

‘ทีมงานซาอุดีอาระเบีย’ กับ ‘ไทย’ ทำงานหนัก ซาอุฯ ขนกองทุนความมั่งคั่งที่ใหญ่สุดของโลกเข้ามา ซาอุฯ มาจะดึงพันธมิตรแห่งริยาดห์ 55 ประเทศมาด้วย (วิชั่น2030)

‘อเมริกา’ เสนอแนวทางลงทุนแล้ว ระดับรัฐบาลจะมีอุตสาหกรรมใหญ่เยอะ เปลี่ยนโฉมประเทศเลย

‘รัสเซีย’ ยืนยันขยายการค้า การท่องเที่ยว การบิน พันธมิตรรัสเซียมาอีกตรึม ทะเลสาบแคสเปี้ยนน่าสนใจมาก จะขนนักท่องเที่ยวมา

‘อินเดีย’ กลายเป็นผู้มาท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง สิ้นปีนี้เริ่มเดือนละล้านขึ้น

‘ยุโรป’ กำลังมา เพราะอนาคตยุโรปไม่แน่นอน

ดร.สมเกียรติ เผยอีกว่า จะไม่มีสงครามในย่าน อินโดจีน และ ไทย รวมพม่าด้วย เพราะเค้าคุยกันแล้ว 

อาเซียนตั้งมา 55 ปี ทำดุลยภาพกันมา 30 ปี ตัวแทนประเทศต่างๆ ในอาเซียนบินคุยกันว่อนถึงยุทธศาสตร์อาเซียน ที่ไม่เอาสงคราม เพราะวันนี้อาเซียนมีประชากร 650 ล้าน มีเกาะ 30,000 เกาะ ต้องเน้นหาตังค์ลูกเดียว

อย่างไรก็ตาม อาเซียนคุยลับกันเยอะ แต่ก็ไม่มีอันตรายกับจีนแน่นอน แต่เช่นเดียวกันก็ไม่อยากโดนแซนด์วิช
 

‘สร้างอนาคตไทย’ ถอดรหัสเงินเฟ้อพุ่ง 7.10% ชี้!! ข้าวของที่เห็นว่าแพง ยังจะแพงต่อไปอีก

(7 มิ.ย.65) นายสันติ กีระนันทน์ ทีมเศรษฐกิจพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม หนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

ขอเขียนยาวหน่อยนะครับ ... ต้องอ่านให้จบครับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นถึง 7.10% สูงสุดในรอบ 13 ปี !!! 

ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า เงินเฟ้อทั่วไป เดือน พ.ค. 2565 เท่ากับ 106.62 สูงขึ้น 7.10% สูงสุดในรอบ 13 ปี สาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น และหากพิจารณากลุ่มอาหารกลุ่มเดียว ก็จะพบว่า ราคาสูงขึ้นถึง 6.18% และยังสรุปว่า เดือนมิถุนายน 2565 นี้ อัตราเงินเฟ้อก็ยังมีแนวโน้มขยายตัว 

แปลความง่าย ๆ ว่า ข้าวของที่เราเห็นว่าแพงในขณะนี้ ยังจะแพงต่อไปอีกครับ !!!

ในวันพุธที่ 8 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะมีการประชุม ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น กนง. ได้พยายามชี้แจงว่า ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นนั้น จะเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้น จึงจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยให้เหตุผลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ในความเห็นข้างต้นของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ผมได้แสดงความไม่เห็นด้วยมาอย่างต่อเนื่อง (ย้ำครับว่า ผมไม่เห็นด้วย !!!) 

ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนในประเทศไทยที่อยู่ในระดับสูงนั้น อัตราเงินเฟ้อหรือพูดง่าย ๆ เป็นภาษาชาวบ้านว่า ข้าวของแพงขึ้นนั้น จะทำร้ายคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างรุนแรง เพราะความเหลื่อมล้ำในระดับสูงนั้น แสดงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจนอยู่มาก ข้าวของแพงขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ประกอบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงมากเกือบ 100% ของ GDP 

อย่างในขณะนี้นั้น รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการทำงานสอดประสานกันอย่างไรเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้ ... คำถามนี้เป็นคำถามใหญ่ และเป็นสิ่งที่นโยบายการคลัง (โดยรัฐบาล คือ กระทรวงการคลัง) และนโยบายการเงิน (โดยธนาคารแห่งประเทศไทย) ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง มิฉะนั้นแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่อย่างไร

'ดร.สมเกียรติ' ยัน!! ไทยรอด 'วิกฤติน้ำมันแพง-เงินเฟ้อ' ชี้!! ปล่อยให้ปัญหาถูกแก้ไปตามกลไกตลาดพอ

ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า ข่าวดีของประเทศไทย นี่คือคำทำนาย ที่สนุกมาก

สมัยสอนหนังสือผมรับจ้อบของยูเอ็นแทบทุกปี ไม่ได้เก่งอะไรหรอก แต่เป็นเพราะคนจ้างเป็นเพื่อนของผม มันมาหาที่จุฬาทุกอาทิตย์ เชื่อมือกัน งานหนึ่งปีผมใช้เวลาทำแค่สองเดือน มีเงินไปกินเบียร์กับเพื่อน เค้าจบ U Penn

เป็นเพื่อนพี่โกร่ง ดร วีรพงษ์ ที่เพิ่งไปสวรรค์ ผมแน่ใจว่าเค้าไปชั้นที่นางฟ้าไม่ใส่เสื้อแน่นอน เค้าชอบของเค้า ผมก็ด้วยล่ะ

มีงานสองจ้อบที่ผมจำได้ดี งานหนึ่งคือ inflation ในเอเซีย อีกงานที่ตามมาหลังจากนั้นไม่กี่ปี คือ Low price in Asian Agriculture จำได้แม่น เพราะมันมาแบบมี pattern มาก

ทำเรื่องเงินเฟ้อเพิ่งจบกลายเป็นเรื่องราคาสินค้าตกต่ำซะแล้ว

เรื่องของไทยก็เหมือนกัน

หนึ่ง ราคาน้ำมันจะลดลงไปอยู่ที่ 65 เหรียญในปลายปีนี้ ปีหน้าจะลงไปที่45 เหรียญ ซิตี้แบงค์ทายไว้ ผมเชื่อ อธิบายทีหลังนะ

สอง โรงกลั่นที่สั่งน้ำมันเข้ามาจะขาดทุนยับ ไอ้ที่กำไรช่วงนี้ เก็บไว้จ่ายขาดทุนได้เลย ไม่ต้องไปยุ่งเค้าหรอก

สาม ราคา commodities จะลงแรง

สี่ ดังนั้นเงินเฟ้อจะลดลงสู่สภาพปกติไม่ต้องมีนโยบายมาตรการใดดอก

TOPIC 20 : ‘โควิด-สงคราม’ เอาไม่อยู่!! ภาคอุตสาหกรรมไทยโตต่อเนื่อง ในวันที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลายตัวยังฟุบ!!

‘โควิด-สงคราม’ เอาไม่อยู่!! ภาคอุตสาหกรรมไทยโตต่อเนื่อง ในวันที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลายตัวยังฟุบ!!

Click on Clear Original
โดย ปริม THE STATES TIMES (กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา)
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top