Saturday, 4 May 2024
เชียงใหม่

‘เชียงใหม่’ ประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน 5 อำเภอ หลังไฟป่าลุกลามต่อเนื่อง และจนท.ดับไฟชุดแรก เริ่มเหนื่อยล้า

เมื่อวานนี้ 6 เม.ย.67 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดเผยหลังจากมีการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย ไฟป่า ในพื้นที่ อ.เชียงดาว, อ.แม่แตง, อ.ไชยปราการ, อ.ฝาง และ อ.พร้าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีไฟไหม้ป่าเกิดขึ้นจำนวนมาก ติดต่อกันหลายวัน ทำให้การปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ โดยใช้กำลังหน่วยปฏิบัติปกติ ร่วมกับกำลังทหารที่มีอยู่ในชุดแรกเริ่มอ่อนล้า และต้องการกำลังสนับสนุนมากกว่าที่เป็นอยู่

จ.เชียงใหม่ จึงจำเป็นต้องบริหารสถานการณ์ให้เหมาะสมมากที่สุด ด้วยการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอัคคีภัย ไฟป่า ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเพิ่มการใช้กำลังทหารให้เหมาะสมกับสภาพความรุนแรงของสถานการณ์ และเปิดโอกาสให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เงินทดรองราชการในส่วนของตัวเองได้ โดยมีระเบียบกระทรวงการคลัง รองรับหลังการประกาศ เพื่อการใช้จ่ายงบประมาณที่ถูกต้องเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางการบริหารสถานการณ์มากที่สุด

ขณะเดียวกัน จังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานไปยังแม่ทัพภาคที่ 3 แล้ว เพื่อขอกำลังทหารเข้าไปช่วยเขตป่าอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนแห่งชาติมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จังหวัดเชียงใหม่ยังไม่สามารถประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ เพราะเป็นภัยที่ไม่มีระเบียบกระทรวงการคลังรองรับการใช้จ่ายงบประมาณ จึงไม่เกิดประโยชน์ในทางการบริหารสถานการณ์ พร้อมกันนี้ เพื่อให้อำเภอและจังหวัดสามารถดูแลประชาชน กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างเต็มที่ จังหวัดจึงได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันหารือถึงวิธีการปฏิบัติแล้ว

‘เชียงใหม่’ อ่วม!! ยึดอันดับ 1 เมืองที่มี ‘ค่ามลพิษ’ สูงที่สุดของโลก แถมคนส่วนใหญ่ยังออกไปทำงานตามปกติ แม้ประกาศให้ WFH

วิกฤตฝุ่นควันเชียงใหม่ยังอาการสาหัส ค่ามลพิษสูงยึดอันดับ 1 เมืองหลักคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกต่อเนื่อง โดยทางจังหวัดออกประกาศขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดการทำงานแบบ Work from Home ระหว่าง 9-11 เม.ย.67 เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน อย่างไรก็ตามพบคนส่วนใหญ่ยังต้องออกไปทำงานตามปกติ ยกเว้นหน่วยราชการส่วนใหญ่ที่ตอบสนองและปฏิบัติตามได้ทันที

(9 เม.ย.67) รายงานข่าวแจ้งว่าสถานการณ์ฝุ่นควันไฟป่าและมลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง โดยสภาพตัวเมืองเชียงใหม่ถูกปกคลุมหนาทึบด้วยฝุ่นควันจนไม่สามารถมองเห็นยอดดอยสุเทพจากระยะไกลได้เหมือนช่วงปกติ ซึ่งจากสถานการณ์ที่เลวร้ายดังกล่าวนี้ ทางจังหวัดเชียงใหม่จึงได้มีการออกประกาศขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการและเอกชนพิจารณาการทำงานแบบ Work from Home ระหว่างวันที่ 9-11 เม.ย.67 เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องออกไปทำงานตามปกติเนื่องจากผู้ประกอบการเอกชนยังคงเปิดตามปกติ รวมทั้งลูกจ้างจำนวนมากเป็นผู้ใช้แรงงานและรับค่าจ้างเป็นรายวันที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ขณะที่ในส่วนของหน่วยงานราชการนั้น พบว่าหลายหน่วยงานสามารถปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวได้ทันที โดยเฉพาะที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับจุดความร้อนจากไฟไหม้ป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISDA) ระบุว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงของวันที่ 8 เม.ย.67 พบจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 961 จุด อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 207 จุด ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ส่วนอันดับ 1 ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 297 จุด,อันดับ 3 ตาก 83 จุด, อันดับ 4 น่าน 82 จุด และอันดับ 5 ลำปาง 44 จุด

ขณะที่ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเชียงใหม่ รายงานจุดความร้อนรอบเช้าประจำวันที่ 9 เม.ย.67 ว่าพบจุดความร้อนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 145 จุด มากที่สุดในพื้นที่อำเภอเชียงดาว 21 จุด รองลงไป ได้แก่ แม่แจ่ม 19 จุด, ฮอด 18 จุด, ฝาง 16 จุด, อมก๋อย 14 จุด, แม่แตง 14 จุด, ไชยปราการ 11 จุด, สันกำแพง 9 จุด, พร้าว 6 จุด, สะเมิง 4 จุด, แม่อาย 4 จุด, กัลยาณิวัฒนา 3 จุด, เวียงแหง 2 จุด, ดอยสะเก็ด 2 จุด และแม่วาง 2 จุด

ทั้งนี้ รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสถานีของกรมควบคุมมลพิษที่ติดตั้งอยู่ในตำบลช้างเผือก, ตำบลศรีภูมิ,ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่, ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม, ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว และตำบลหางดง อำเภอฮอด พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง ณ เวลา 09.00 น. วันนี้ อยู่ที่ 122.7 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 129.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 125.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 76 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 151.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และ 75.3 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 248,255,251,202,77 และ 201 ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 100 ทั้งนี้ภาพรวมคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ขณะที่เว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศจากทั่วโลก แจ้งผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทั่วโลก เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 197 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 145 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 1 ของเมืองหลักที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก ขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ คูเวตซิตี้ ประเทศคูเวต ดัชนีคุณภาพอากาศ 194 US AQI และอันดับ 3 กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล 191 US AQI

‘เพจดัง’ เปิดคลิปท้องฟ้า ‘เชียงใหม่’ ฝุ่นหนาปกคลุมทั่วพื้นที่ จนแทบมองไม่เห็น

(10 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ได้โพสต์คลิปเครื่องบินโดยสารขณะกำลังบินอยู่บนเหนือน่านฟ้าประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ แต่ผู้โดยสารถ่ายคลิปนอกหน้าต่างที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันพิษ PM2.5

โดยเพจ ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ระบุข้อความว่า "PM 2.5 เชียงใหม่อากาศดี๊ดี...ถถถ Drama-addict Take off จากเชียงใหม่เหมือนหนีตายจาก PM2.5 ไม่ต้องประกาศเขตภัยพิบัติบางอำเภอค่ะ เรียกว่าค่าฝุ่นเชียงใหม่แย่มากทั้งจังหวัด หายใจลำบากมาก เลือดกำเดาออก มีผงขี้เถ้าลอยในอากาศฟุ้งไปหมด กินข้าวแทบไม่ได้ มันกล้ำกลืนไปหมดไม่สนับสนุนข่าวเท็จ อากาศดี ดีที่ไหนกันนนน ช่วยกันแชร์หน่อยค่ะ เพื่อชาวให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศที่ดีขึ้น มาตรการควรเคร่งครัดมากกว่านี้ บรรเทาให้ถูกจุด ลด ละ เลิกแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้"

เชียงใหม่-"มช. เชื่อมพลัง โรงพยาบาลลำพูน บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม ต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ โดยมี รากฐากมาจากงานวิจัยในรั้วมหาวิทยาลัย"

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับโรงพยาบาลประจำจังหวัดอย่างโรงพยาบาลลำพูน เพื่อร่วมกันสร้างความร่วมมือการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งนำองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมภายใน มช. ไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ผ่านการถ่ายทอดและบูรณาการความรู้สู่การใช้งานจริง โดยมี รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และ แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวรายงาน จากนั้น จึงเป็นการร่วมลงนามฯ ของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน พร้อมกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดี และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าว อีกทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ NSP Exhibition Hall อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มช. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมของ มช. สู่การประยุกต์ใช้ในระบบการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ โดยหวังให้เกิดการบูรณาการและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นรากฐานในการการสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อวงการทางการแพทย์และยกระดับคุณภาพบริการสาธารณสุข ตลอดจนขยายโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยแก่ประชาชนทั่วไปได้อย่างกว้างขวางต่อไป

ด้าน แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวว่า โรงพยาบาลลำพูนให้ความสำคัญกับสิทธิและการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อหาโซลูชั่นที่จะช่วยยกระดับระบบการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนที่ครบวงจร อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาล คือ "โรงพยาบาลคุณภาพคู่ใจประชาชน" ซึ่งการสร้างความร่วมมือกับมช. ในครั้งนี้ ได้มีการนำองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากการวิจัยและการศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการของโรงพยาบาล โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการประยุกต์ใช้ในการให้บริการ อาทิ การนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรังมาทดลองใช้ โดยเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาแผล และช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งการนำนวัตกรรมดังกล่าว มาใช้จะช่วยปรับปรุงการบริการของโรงพยาบาล นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังคาดว่าในอนาคตจะสามารถขยายผลการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมอื่น ๆ เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำพูน ได้เข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เผยว่า การลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลลำพูนในครั้งนี้ สะท้อนถึงนโยบายของ มช. ในการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย เครื่องมือวิจัย องค์ความรู้ และงานวิจัยต่าง ๆ ให้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ไม่เพียงแค่ในระดับการศึกษา แต่ครอบคลุมถึงการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์ ทั้งพัฒนาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยปัจจุบันได้มีการนำร่องด้วยการนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรัง ผลงงานวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มช. ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ อีกทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรักษาแผล ผู้ป่วยกลุ่มเรื้อรังและผู้ป่วยติดเตียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยสามารถช่วยร่นระยะเวลาของแผลปิดได้เร็วขึ้นอย่างน้อย 50 วันเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะเวลาแผลปิดด้วยวิธีการโดยทั่วไป ที่ทดลองการใช้งานในโรงพยาบาลลำพูนอีกด้วย

นภาพร/เชียงใหม่

‘พิธา’ รับ!! ตั้งใจเยือน ‘เชียงใหม่’ ไม่ได้มาปาดหน้า ‘ทักษิณ’ แถมก้าวไกลได้รับความไว้วางใจอันดับ 1 ต้องช่วยกันทำงาน

(12 เม.ย.67) ที่เทศบาลตำบลอุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นนักปาด โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้มาตามนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่มาตามว่าผู้สมัคร อบจ.และพี่น้องประชาชน มาใช้วันสุดท้ายก่อนปิดยาวช่วงสงกรานต์ให้เป็นประโยชน์

อยากใช้โอกาสนี้เชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้ง อบจ.ให้เยอะ ให้ความสำคัญเท่ากับการเลือกตั้งระดับชาติ อยากให้มาใช้สิทธิ์ เพราะหากคนมาใช้สิทธิ์น้อย ก็ไม่ตรงตามหลักประชาธิปไตยและเสียดายงบประมาณเลือกตั้งด้วย

เมื่อถามถึงเดินทางมาช่วงเดียวกับนายทักษิณ ซ้ำถึง 2 ครั้งแล้ว อาจถูกเชื่อมโยงได้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ใช่ความบังเอิญ ครั้งนั้นมาเรียนรู้การดับไฟป่า และเป็นช่วงที่เชียงใหม่ประสบปัญหาสภาวะทางอากาศสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ตนมี สส. 7 คน จาก 10 คน และได้รับคะแนนความไว้วางใจเป็นอันดับ 1 ก็ต้องลงมาช่วย สส.ทำงาน และกลับไปจะได้อภิปรายได้ถูกต้อง

ไม่ใช่ความบังเอิญ ตนตั้งใจมาจริง ๆ และไม่ได้ต้องการมาเพื่อการเมือง แต่ต้องการทำหน้าที่อดีตหัวหน้าพรรค หากมีโอกาสอยากเข้าโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วย เรื่องทางเดินหายใจว่าหนักขึ้นจริงหรือไม่

“ผมคิดว่านักการเมือง ถ้ายึดโยงกับประชาชนก็ขึ้นมาทั้งนั้น รมว.สาธารณสุข รมว.มหาดไทย ก็เพิ่งลงพื้นที่ เราเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ต้องขึ้นมาปกติอยู่แล้ว ไม่มีนัยยะทางการเมือง” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่ากระแสของพรรคก้าวไกล ไป จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางเจ้าถิ่นอย่างพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดว่าพรรคไหนเป็นเจ้าถิ่นของใคร ประชาชนไม่ใช่สมบัติ ของนักการเมืองท่านไหน แต่ผมมีความรับผิดชอบกับเชียงใหม่ เพราะเขาเลือกผมมาถล่มทลาย มาเป็นอันดับ 1 ของเชียงใหม่และจำนวน สส. ที่มีอยู่ และพื้นที่ที่มีไฟป่าเยอะก็เป็นเขตของพวกผมทั้งนั้น เพียงแต่พอเป็นสส.แล้ว ไม่มีงบประมาณ ทำได้แค่ตรวจสอบรัฐบาลหรือเสนอแนะ ก็ต้องลงพื้นที่เพื่อให้ สส.ทำงานได้ เพราะ 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ขณะนี้เกิดการแข่งขันกันหลายกลุ่มทั้ง พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และกลุ่มนางทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ นายพิธา กล่าวต่อว่า เป็นสีสันทางการเมือง การแข่งขัน ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ตนคิดว่ายังเร็วเกินไป หลังจากนี้จะมีเรื่องนโยบายและไดนามิคทางการเมือง ช่วงนี้ตนขอสื่อสารให้คนมาเลือกตั้งอบจ.ให้เยอะก่อน อยากให้รู้ว่าการเลือกตั้ง อบจ.มีศักดิ์มีศรีไม่แพ้ สส. 

เชียงใหม่-สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”

สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับสมาชิกสมาคม ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง  เพื่อสะท้อนมุมมองความท้าทายและโอกาส ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด และปาฐกถาพิเศษ ถึงมาตราการและแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 ณ โรงแรม ยู นิมมาน"

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลนั้นได้ตระหนักถึงปัญหาและไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีนโยบายที่จะผลักดัน และประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะลดปัญหาต่างๆ และเพิ่มความสามารถของผู้บริโภคให้มีโอกาสเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว

มาตราการด้านภาษีสำหรับผู้บริโภค สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) เฉพาะที่มีราคาซื้อขาย และราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา ในการจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2 % เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย การลดค่าธรรมเนียมการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งมาตราการนี้กำลังมีการพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์จากไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา เป็น 7 ล้านบาท ให้เป็นไปตามภาวะการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน

การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และรัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อตอบสนองให้ผู้บริโภคได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการจัดทำโครงการสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐหรือโครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งเน้นไปที่ราคาที่อยู่อาศัยราคาต่ำเพื่อผู้มีรายได้น้อย  ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อเพิ่มวงเงินกู้ต่อรายให้สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับราคาที่อยู่อาศัยที่สูง โครงการ Happy Life เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารเพื่อต่อเติม ขยายหรือซ่อมแซมอาคาร ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น

ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในภาวะอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันและทางรัฐบาลจะช่วยผลักดันให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจออกมาตราการส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย และบรรเทาภาระในการชำระสินเชื่อ

ในส่วนนโยบายของรัฐบาลต่อจังหวัดเชียงใหม่นั้น รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเช่น การจัดงานมหาสงกรานต์ ที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ถูกคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 จังหวัดเมืองหลัก การชุบชีวิตแหล่งท่องเที่ยว 7 แห่ง น้ำตกห้วยแก้ว สวนสัตว์เชียงใหม่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อุทยานหลวงราชพฤกษ์ โบราณสถานเวียงกุมกาม วัดพระธาตุดอยคำ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม  ปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 121 (วงแหวนรอบ 3 ) ทางหลวงหมายเลข 1004 (ถนนไปดอยสุเทพ) ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 เพื่อเป็นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้และกำลังซื้อให้กับประชาชน

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวในการบรรยายพิเศษ ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ปัญหาหลักของธุรกิจอสังหาฯในตอนนี้ คือ ตลาดหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยอดขายในไตรมาส 1/2567 ลดลง 29% สินค้ารอการขายมีสูงสุดในรอบ 29ปี สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในระดับราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท

นภาพร/เชียงใหม่

'ดร.ก้องเกียรติ' แง้ม!! ทางออกแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ ผลักดันเกษตรกรเข้าสู่ระบบนิเวศโครงการ 'หยุดเผา เรารับซื้อ'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็น 'ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ อะไรคือทางออก?' เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งส่อเค้ารุนแรงขึ้นในปัจจุบัน มีผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 เข้ารับการรักษาแล้วกว่า 3 หมื่นราย หลังพบปัญหาสภาพอากาศต่อเนื่อง 

คำถาม คือ ปัญหาที่แท้จริงของฝุ่น PM 2.5 คืออะไร? 

ผมได้มีโอกาสอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อหาสาเหตุว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร โดยได้ลงพื้นที่และเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการ ได้แก่...

1.การเผาจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งนิยมเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย คุ้มค่า ใช้เวลาน้อย สะดวกสบาย และต้นทุนต่ำ 

2.วัฒนธรรมการบริโภคของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ดเผาะ ทำให้เกิดการเผาป่าตอนหน้าร้อนเพื่อเก็บของป่าตอนหน้าฝน 

และ 3. เกิดการจ้างเผาจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่ 3 เพื่อเอาเบี้ยเลี้ยงในการจ้างดับไฟ 

ทั้งนี้ หากมองในส่วนของการแก้ไขปัญหานั้น ดร.ก้องเกียรติ ยกตัวอย่าง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ไว้ว่า เมืองเหล่านี้เคยประสบปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 อย่างมาก แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้ โดยหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งหมด เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหิน 

โดยหันมาใช้กระบวนการทางกฎหมายและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าไปแก้ไขในการกรองฝุ่นก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย อาจใช้วิธีนี้แก้ปัญหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องมีการบูรณาการในหลายภาคส่วน 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกวิธี คือการปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน รณรงค์สร้างการรับรู้ถึงภัยร้ายของฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น หรือการนำธุรกิจเข้ามาแก้ไข โดยใช้กลไกคาร์บอนเครดิตและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาในด้านนี้ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก 

อย่าง 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ที่เกิดจากความร่วมมือภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน ด้วยการรับซื้อซังข้าวโพดจากเกษตรกร แล้วนำมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งส่งไปสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2566 ก็กำลังได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี 

โดยมีแผนงานจัดตั้งโรงงานในภาคเหนือประมาณ 10 แห่งในอนาคต เพื่อรองรับการแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันขยะทางการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีรวมกันประมาณ 600,000 ตัน/ปี ซึ่งหนึ่งโรงงานสามารถแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งได้ประมาณ 30,000 ตัน/ปี จึงต้องจัดตั้งโรงงานให้ได้อย่างน้อย 10 แห่ง 

ขณะที่ในระดับโลก มีความต้องการชีวมวลอัดแท่งประมาณ 10 ล้านตันต่อปี แต่ถ้าเผาขยะทางการเกษตร 600,000 ตันจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) จำนวน 800,000 ตัน/ปี เรียกได้ว่าถ้าหยุดเผา ก็จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตสร้างเม็ดเงินได้เป็นหลักร้อยล้านบาท และสามารถนำขยะทางการเกษตรมาขายคืนสร้างเงินกลับไปสู่เกษตรกรได้อีก 

"สำหรับระบบนิเวศ (Ecosystem) 'หยุดเผาเรารับซื้อ' มีรูปแบบดังนี้ เมื่อเกษตรกรนำขยะทางการเกษตรมาขายให้กับโรงงาน ได้เงินกลับไป ตันละ 700 บาท ทางโรงงานก็จะนำขยะทางการเกษตรนั้นมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่ง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อขายให้กับโรงไฟฟ้านำไปทดแทนถ่านหินซึ่งเป็นตัวการใหญ่ทำลายอากาศโลก โดยการใช้ชีวมวลอัดแท่งช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศได้ โรงไฟฟ้าก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ผลิตพลังงานสะอาดกลับสู่ประชาชน และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" ดร.ก้องเกียรติ ขยายความในช่วงท้าย

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งซามูไรชิงทรัพย์นักศึกษาในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่

วันที่ 30 เมษายน 2567 เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งซามูไรชิงทรัพย์นักศึกษาในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าวพร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนะรัชต์  ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ ภ.5 , รอง ผบก.สส.ภ.5 , รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ , ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ และ ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าว กรณีเหตุผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ ย่านถนนคันคลองชลประทาน ถนนสุเทพหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุมชนวัดอุโมงค์ ต่อเนื่อง ถนนในหมู่บ้านแกรนด์วิว รวม 5 เคส ผู้เสียหาย 5 คน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 

ลำดับเหตุการณ์
วันที่ 27 เม.ย.67 
(1) เวลา 04.45 น. ปากซอยวัดอุโมงค์-ปากซอย 5 วัดป่าแดง (ถ.หลัง มช.) ผู้เสียหาย นายยศวัจน์  อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(2) เวลา 04.47 น. ถ.คันคลอง แนวรั้ว มช. ผู้เสียหาย นายธนวัฒน์  อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(3) เวลา 04.51 น. ปากซอยวัดอุโมงค์  (ถ.หลัง มช.) ผู้เสียหาย นายรัฐพล อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(4) เวลา 04.56 น. ถนนในซอย ก่อนถึงวัดอุโมงค์ 50 ม. ผู้เสียหาย นายพิมพ์นารา อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงินได้เงินสด ประมาณ 50 บาท
(5) เวลา 05.17 น. ถ.ในหมู่บ้านแกรนด์วิว ผู้เสียหาย นายศตวรรษ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน แต่ไม่ได้เงินจากผู้เสียหาย

ผู้ต้องหา
1. เขาวชนชายอายุ 16 ปี อยู่ตามบัตร ม.5 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่ หอพัก ม.7 ต.สุเทพ อ.เมือง จว.เชียงใหม่ 
2. เยาวชนชาย อายุ 15 ปีเศษ ที่อยู่ หมู่ 4 ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ของกลาง
1. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ สีแดง ทะเบียน 2กต – 2806 เชียงใหม่
2. อาวุธมีดยาว(ดาบซามูไร) จำนวน 2 เล่ม
3. เสื้อผ้าของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ

ข้อกล่าวหา
1. ร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เวลากลางคืน โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ผู้เสียหายที่ 1, 2, 3, และ 5)
2. ร่วมกันชิงทรัพย์เวลากลางคืน โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ผู้เสียหายที่ 4)

พฤติการณ์
กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย แจ้งว่า มีคนร้ายขับขี่รถจยย. ใช้อาวุธมีดมาข่มขู่เพื่อขอเงิน  โดยมีลำดับเหตุการณ์ดังต่อไปนี้  

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 เวลาประมาณ 04.40 น. ขณะที่ผู้เสียหายคนที่ 1 กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ อยู่ที่บริเวณ ถ.สุเทพ (ด้านหลัง มช.) ต.สุเทพ อ.เมือง จว.เชียงใหม่ มุ่งหน้าไปทางประตูวิศวะ ได้มีผู้ต้องหา จำนวน 2 คน ขับขี่รถจยย. เข้ามาหาในลักษณะประกบด้านข้าง พร้อมพูดบอกให้ผู้เสียหายส่งเงินสดมาให้จำนวน 100 บาท พร้อมแสดงอาวุธมีดให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป  ส่วนผู้ต้องหาไม่ได้ติดตามไปแต่อย่างใด  ต่อจากนั้นผู้ต้องหาได้กลับรถ แล้วขับรถไปหาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งกำลังขับขี่รถจยย.ในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยมุ่งหน้าไปทางสี่แยกต้นพยอม พร้อมพูดจาและแสดงอาวุธมีดให้ผู้เสียหายดูเพื่อข่มขู่เอาเงินจากผู้เสียหายที่ 2  แต่ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป ซึ่งผู้ต้องหาก็ไม่ได้ขับติดตามไปแต่อย่างใด  ผู้ต้องหาจึงได้ขับรถกลับมายัง ถ.สุเทพ มุ่งหน้าไปทางประตูวิศวะอีกครั้ง  และ เจอผู้เสียหายที่ 3 ขับรถ จยย.อยู่จึงเข้าประกบอีกครั้ง ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป โดยหลบหนีไปทางประตูเชียงใหม่ ต่อจากนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปในย่านชุมชนวัดอุโมงค์ และ ไปเจอกับผู้เสียหายที่ 4 จึงเข้าประกบอีกครั้ง  โดยครั้งนี้ผู้เสียหายได้มอบเงินเหรียญให้ผู้ต้องหาไป ประมาณ 50 บาท จากนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่ไปทิศทางย่านหมู่บ้านแกรนด์วิว และได้เข้าประกบกับผู้ต้องหาที่ 5 ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าไม่มีเงิน  ผู้ต้องหาจึงได้ขับขี่หลบหนีไป ซึ่งภายหลังผู้เสียหายทั้ง 5 ราย ได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา

จากการสืบสวน ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด การข่าวจากกลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นในพื้นที่ ข้อมูลจากสื่อออนไลน์ต่างๆ  จนกระทั่งสามารถสืบทราบว่าผู้ต้องหา เป็นเยาวชน  

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญตัวมาซักถามปากคำที่ สภ.ภูพิงค์ฯ  ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การยอมรับว่า ได้เป็นคนที่ขับขี่รถจยย. ไปข่มขู่ขอเงินจากบุคคลทั่วไปตามวันเวลาสถานที่เกิดเหตุจริง โดยใช้อาวุธมีดตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้จริง โดยรับว่าสารภาพที่ทำไปเพราะความคึกคะนอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top