Saturday, 4 May 2024
สีจิ้นผิง

'สื่อมะกัน' หักหน้า 'สีจิ้นผิง' เต้าข่าว!! กองทัพจีนโกงกันยับ คอร์รัปชันยันเชื้อเพลิง จนต้องเติมขีปนาวุธด้วยน้ำเปล่า

(10 ม.ค. 67) กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันใด เมื่อสำนักข่าว Bloomberg ของสหรัฐฯ ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ว่า ตอนนี้จีนกำลังเจอปัญหาคอร์รัปชันเรื้อรังภายในกองทัพที่โกงกันสนั่น จนล่าสุดจับได้ว่ามีการแอบกรอกน้ำเปล่าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในขีปนาวุธที่ฐานทัพในมณฑลซินเจียง จนขีปนาวุธไม่อยู่ในสถานะพร้อมยิงได้เลย หากมีคำสั่งด่วนขึ้นมา

ปัญหานี้ ทำให้ สี จิ้นผิง เสียหน้ามาก และมีคำสั่งให้สังคายนากองทัพจีนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะหน่วย 'Rocket Force' หรือ 'กองทัพขีปนาวุธของจีน' ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตั้งแต่ขีปนาวุธนิวเคลียร์ ไปจนถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้-ไกล และข้ามทวีปที่ติดตั้งในเขตยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่นฐานทัพที่เมืองฮามิ ในมณฑลซินเจียง หรือขีปนาวุธในปฏิบัติการซ้อมรบบริเวณช่องแคบไต้หวัน ที่กำลังตึงเครียดกันอยู่ในขณะนี้

และหากข่าวกรองเป็นจริง อาจต้องมีการประเมินศักยภาพกองทัพจีนใหม่ทั้งหมด เพราะข้อมูลขีปนาวุธของกองทัพจีนที่มีและถูกนำมาโชว์อย่างยิ่งใหญ่ในงานพิธีสวนสนามที่สำคัญ ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพร้อมใช้ยิงจริงๆ ได้กี่เปอร์เซ็นต์?

ว่าแต่ข่าวเรื่องกองทัพจีนแอบกรอกน้ำเปล่า แทนน้ำมันในขีปนาวุธ ตามที่สื่อชั้นนำของสหรัฐอ้างนั้น เป็น Fact News หรือ Fake News กันแน่? วันนี้มาลองถกประเด็นกันหน่อยดีกว่า 

สำหรับข่าววงในของจีนที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชันนั้นมีให้เห็นบ่อยๆ ยิ่งในยุคของผู้นำ สี จิ้นผิง ที่ชูนโยบายปราบโกง กวาดล้างคอร์รัปชันในทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา 

แต่ข่าวการคอร์รัปชันในกองทัพ โดยเฉพาะในกองกำลังขีปนาวุธนั้น มีความแปลกที่ไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะรูปแบบการคอร์รัปชันที่พิสดารกว่าองค์กรอื่น แต่เพราะ กองกำลังขีปนาวุธถือเป็นหน่วยลับ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางทหารและความมั่นคงของชาติ ที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ในหลายๆ เรื่อง 

อีกทั้งยังเป็นหน่วยที่ สี จิ้นผิง ฝากความหวังไว้ค่อนข้างมาก ที่จะเป็นหน้าเป็นตาของกองทัพจีน ว่ามีแสนยานุภาพด้านขีปนาวุธระดับสูงทันสมัย ไม่แพ้ชาติมหาอำนาจใดๆ ในโลก ถ้าหากวันนี้จีนจำเป็นต้องออกศึกจริงๆ ลุงสีแกก็มั่นใจแหละว่าสู้ได้ 

แต่ทว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา ก็มีข่าวการปลดฟ้าผ่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแห่งกองทัพขีปนาวุธออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีข่าวการตรวจสอบทุจริตของหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันในกองทัพ และคนที่หลุดจากตำแหน่งคนแรกคือ หวัง เฟิงเหอ รัฐมนตรีกลาโหม และ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพขีปนาวุธ ที่ประกาศลาออกอย่างกะทันหัน และถูกเก็บตัวเงียบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 

หลังจากนั้นเพียง 3 เดือน ผู้บังคับบัญชาของกองทัพจรวดถูกปลดฟ้าผ่าอีก 3 คนรวด คือ หลี่ หยูเชา, สู จงโป๋ และ จาง เจิ้งจง พร้อมข่าวลือสะพัดเรื่องการยักยอก ฉ้อโกง และการขายความลับของกองทัพจีนผ่านลูกชายของ หลี่ หยูเชา ที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา  

ตามมาด้วยข่าวการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของ อู่ กั๋วฮวา อดีตรองผู้อำนวยการกองกำลังขีปนาวุธและหัวหน้าแผนการลับที่สาม ที่ทางการจีนประกาศว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว แต่อดีตเพื่อนร่วมงานออกมาเปิดเผยว่าเขาฆ่าตัวตายจากความเครียดที่เกิดจากหน้าที่การงาน 

ต่อมาเดือนตุลาคม ก็มีคำสั่งปลด หลี่ ฉางฝุ รัฐมนตรีกลาโหมที่มาแทนตำแหน่งของ หวัง เฟิงเหอ ได้ไม่ทันข้ามปี และถูกสั่งเก็บตัวเงียบ ไม่ออกสื่อให้เห็นหน้าอีกเลย

การสังคายนากองทัพขีปนาวุธ ยังไม่จบแค่นั้น วันที่ 29 ธันวาคม ก่อนปิดสิ้นปี ก็มีคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพรวดเดียวอีก 9 คน แถม 5 ใน 9 คนที่ถูกเด้ง ก็ยังเป็นคนของกองทัพขีปนาวุธเสียด้วย 

ข่าวลือจึงยิ่งสะพัดว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลภายในกองทัพขีปนาวุธจีนอยู่เยอะมากทีเดียว ที่ทำให้เกิดการสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูงในหน่วยนี้ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการ 'ล้างบาง' ก็ว่าได้ จนกระทั่งสื่อมะกันออกมาแฉหนึ่งในปัญหาการคอร์รัปชันในกองทัพขีปนาวุธ คือ การยักยอกน้ำมันเชื้อเพลิง จนต้องกรอกน้ำเปล่าเข้าไปในถังน้ำมันแทน 

สื่อตะวันตกยังขยายความว่า ทหารในกองทัพแอบยักยอกเอาน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้เองบ้าง เอาไปใช้แทนแก๊ซหุงต้ม เติมหม้อไฟบ้าง จนไม่มีน้ำมันจริงไว้เติมขีปนาวุธ

*** แต่ทั้งนี้ สื่อสายเอเชียบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่า ข่าวเรื่องเติมน้ำเปล่า แทนน้ำมันในขีปนาวุธตาม ที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ อ้าง น่าจะเป็น Fake News มากกว่า เพราะกองทัพจีนไม่น่าเติมน้ำมันเต็มถังทิ้งค้างไว้ในตัวขีปนาวุธนานๆ อยู่แล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำลงไปในถังเชื้อเพลิงแทนก็ได้ 

เพราะหากทำเช่นนั้น จะกลายเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการยักยอกน้ำมันเสียอีก เพราะเข้าข่ายการก่อวินาศกรรม บ่อนทำลายชาติ กลายเป็นคดีความมั่นคงร้ายแรงที่จะไม่จบแค่การถูกปลด ถูกเด้งจากตำแหน่งแน่นอน

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในแง่มุมนี้ ข่าวเรื่องการแอบเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมันไม่น่าจะจริง แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่องคอร์รัปชัน ยักยอกเชื้อเพลิง ทรัพย์สิน หรือการขายความลับให้ชาติคู่อริ น่าจะมีมูลมากกว่า ที่สั่นสะเทือนกองกำลังขีปนาวุธจีนอยู่ในตอนนี้

และยังถือเป็นการหยามสี จิ้นผิง อย่างไม่น่าให้อภัย เนื่องจากสี จิ้นผิง เป็นคนอนุมัติงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพขีปนาวุธ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำจีนเพื่อขยายแสนยานุภาพทางทหาร ให้ครอบคลุมไปไกลทั่วโลกด้วย เมื่อหวังมากย่อมแค้นมากเป็นธรรมดา 

อีกทั้งปัญหานี้มันไม่ได้มีแค่มิติการคอร์รัปชัน แต่เป็นเรื่องของความจงรักภักดีต่อชาติ และรัฐบาลจีนด้วย จึงเชื่อได้ว่า การล้างบางภายในกองทัพขีปนาวุธ รวมถึงกองกำลังหน่วยอื่นๆ จะมีตามมาอีกระลอกใหญ่อย่างแน่นอนในไม่ช้านี้

‘เศรษฐา’ รอลุ้น!! เผยเชิญ ‘สี จิ้นผิง’ เยือนไทย ด้านจีนระบุสนใจ ‘แลนด์บริดจ์’ ทั้งรัฐ-เอกชน

(29 ม.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ ว่า ได้มีการประชุมชั่วโมงกว่ากับ นายหวัง อี้ ซึ่งท่านได้มาตั้งแต่ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา และมีการพูดคุยกันในหลายมิติ โดยมีการเซ็นสัญญาระหว่าง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องวีซ่าฟรีของทั้งสองประเทศในการเดินทางไปมา เริ่มต้นวันที่ 1 มี.ค. เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เป็นความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ที่ทั้งสองประเทศมีให้กันและมิตรภาพที่มีต่อกันมา ซึ่งจะครบ 50 ปีในปีหน้านี้ ถือเป็นมิติที่ดีในการที่เราจะสนับสนุนการไปมาหาสู่กันระหว่างสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องความสำคัญกับเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างสูง ได้มีการพูดคุยกัน นายหวัง อี้ บอกว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย อยากให้นักท่องเที่ยวไทยไปด้วย ซึ่งตรงนี้ตนยืนยันว่าเราสนับสนุนการเดินทางไปมาของประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังบอกไปด้วยในเรื่องของจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่กลับเข้ามาสู่จำนวนปกติ ซึ่งก่อนโควิด-19 ไม่แน่ใจจำนวนอาจจะประมาณ 2,000 ไฟล์ท ปัจจุบันเหลือแค่ 1,200 ไฟล์ท ก็จะมีการยกระดับการเดินทางสองประเทศเพื่อให้การไปมาหาสู่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และเริ่มมั่นใจว่าอนาคตอันใกล้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาสูงขึ้น ขณะที่ประเทศไทยจะไปท่องเที่ยวประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมอันดีงามด้วย จะเป็นผลดีของทั้งสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศไทยยืนยันเจตนารมณ์ว่าเราให้การสนับสนุนการเป็นประเทศกลาง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนได้มีการพูดคุยกันในหลาย ๆ มิติ และต่อไปในอนาคตก็ยินดีสนับสนุนให้มีการเจรจาในลักษณะนี้เกิดขึ้น โดยตอนที่ดำริว่าจะมีการพูดคุยกันก็บอกให้เป็นประเทศในเอเชีย ซึ่งจีนเลยบอกว่าเป็นประเทศไทย นั่นบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่เรามีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทำให้เขาเลือกประเทศไทย ถือเป็นการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งแรกก็ว่าได้ เป็นที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทย

นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศได้มีการพูดคุยกันในหลายมิติ ทั้งเรื่องการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆไม่ใช่แค่รถอีวีอย่างเดียว เรื่องการไปมาหาสู่รถไฟความเร็วสูง ที่จะมีขึ้นจากประเทศไทยผ่านหนองคาย ผ่านลาว และเข้าประเทศจีน ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ว่าเรื่องการเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าได้มีการพูดคุยกัน โดยให้คณะทำงานของสองประเทศมาทำงานร่วมกันต่อ รวมถึงการค้าขายด้านการเกษตรกรรม ทั้งเรื่องการค้าโค ซึ่งจีนมีความต้องการอย่างมาก แต่ด่านกักกันตรวจเชื้อโรคอยู่ที่ลาว ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศไม่สะดวกจึงได้ขอร้องอย่าให้มีด่านกักกัน และตรวจโรคนี้เกิดขึ้นในไทย ซึ่งประเทศจีนก็รับปากที่จะดำเนินการในเรื่องนี้

นายกฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการเซ็นสัญญาด้านเกษตรกรรมระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และทูตจีนด้วย 

เมื่อถามว่า คาดว่ามูลค่าทางการค้าจะเพิ่มกี่เปอร์เซ็น นายเศรษฐา กล่าวว่า คาดเดาไม่ได้จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นจากการที่เรามีความสัมพันธ์กันดีมาอย่างยาวนาน และปีหน้าจะครบ 50 ปี ตนได้เรียนเชิญ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มาเยือนประเทศไทยด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้ารถไฟไทย-จีน นายเศรษฐา กล่าวว่า มีแผนงานอยู่แล้ว ขอให้แผนงานทั้งหมดออกมาเป็นรายละเอียดแล้วจะแถลงให้ทราบอีกที

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า นายหวัง อี้ได้พูดขึ้นมาเองว่า ทางการจีนสนใจโครงการแลนด์บริดจ์และต้องการข้อมูลเพิ่ม และไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว แต่เอกชนจีนก็สนใจที่จะส่วนร่วม เพราะเขาทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่เราดำริขึ้นมาว่าควรจะมีแลนด์บริดจ์ เพราะการลงทุนที่จะข้ามมาจากประเทศจีนในช่วงหลายปีหลังบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศจีนมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในเมืองไทย และไม่ใช่แค่มาสนองตอบแค่ความต้องการของคนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีท่าเรือน้ำลึก มีโครงการเมกกะโปรเจกใหญ่ ๆ อย่างแลนด์บริดจ์ ที่จะมาซับพอร์ตตรงนี้ ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ก็จะเดินทางไปประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ เพื่อจัดทำโรดโชว์

‘3 คนข่าวดัง’ ขอยก 3 ผู้นำ ‘อินเดีย-จีน-ญี่ปุ่น’ ต้องฉายานี้ ‘มาหาภารตะ - จิ๋นสีฮ่องเต้ - เห็นเงียบๆ แต่งานเพียบ’

(1 ก.พ. 67) วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย), ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) และดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้พูดถึงผลงานของผู้นำ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงผลงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 พร้อมตั้งฉายาให้ผู้นำแต่ละประเทศ

ด้าน วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย) ได้ให้ฉายา ‘นเรนทรา โมที’ ประธานาธิบดีอินเดียว่า ‘มาหาภารตะ’ โดยอธิบายว่า มหาภารตะคือคัมภีร์ที่ชาวอินเดียและชาวโลกรู้จักกันอยู่แล้ว สำหรับ ‘นเรนทรา โมที’ กับย่างก้าวของอินเดียในปีที่ผ่านมา ก็อยากเติมสระอาไว้ให้ กลายเป็น ‘มาหาภารตะ’

สำหรับอินเดีย เป็นประเทศที่คบค้าได้กับทุกชาติ แต่ ‘นเรนทรา โมที’ จะยึดผลประโยชน์ของอินเดียไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และเขาใช้คำว่า ‘ภารตะ’ เป็นคำแทนประเทศอินเดียอยู่บ่อย ๆ ด้วย ส่วนการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ เชื่อว่าไม่มีใครโค่นเขาลงได้แน่นอน

ทางด้าน ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) ได้ให้ฉายา ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีนว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’ โดยอธิบายว่า ชื่อของสี จิ้นผิง ไปสอดคล้องพ้องเสียงกับจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนในอดีตผู้ที่เคยรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งก็ตรงกับปณิธานของสี จิ้นผิง ที่ต้องการรวบรวมฮ่องกง ไต้หวัน และน่านน้ำต่างๆ มาให้ได้ภายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงเป็นเหมือนการสถาปนาแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหม่ขึ้นมา จึงให้ฉายาว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’

ปิดท้ายด้วย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้ให้ฉายา ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า ‘เห็นเงียบ ๆ แต่งานเพียบ’ โดยอธิบายว่า งานเพียบก็คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องในมุ้งการเมือง ทั้งเรื่องการปรับ ครม. เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะดูนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา บวกกับบุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่นิ่งเงียบด้วย แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาและงานให้ต้องแก้ไขเยอะมาก ก็ต้องมาตามดูกันว่าจะสามารถอยู่ต่อในสมัยที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ก็ต้องไล่แก้ปัญหามากมาย อาจจะต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความวุ่นวายและปัญหา

‘สีจิ้นผิง’ เตรียมเยือน 'ฝรั่งเศส-เซอร์เบีย-ฮังการี' 5-10 พ.ค.นี้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ส่งเสริมสันติภาพ และการพัฒนาของโลก

(1 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮว่าชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศว่าสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเดินทางเยือนฝรั่งเศส เซอร์เบีย และฮังการีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-10 พ.ค. นี้

ฮว่ากล่าวว่า การเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป็นไปตามคำเชิญของเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อเล็กซานดาร์ วูซิก ประธานาธิบดีเซอร์เบีย และทามาส ซูลิออค ประธานาธิบดีฮังการี และวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี

ด้าน หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงฯ อีกคน กล่าวว่านี่เป็นการเดินทางเยือนยุโรปครั้งแรกของผู้นำจีนในรอบเกือบ 5 ปี ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของจีนกับฝรั่งเศส เซอร์เบีย ฮังการี และยุโรป รวมถึงส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top