Sunday, 5 May 2024
สีจิ้นผิง

‘สี จิ้นผิง’ เยือนทำเนียบฯ หารือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน พร้อมพัฒนาความมั่นคง โครงสร้างพื้นฐาน และรถไฟไทย-จีน

วันที่ 19 พ.ย. 65 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และศาสตราจารย์เผิง ลี่หยวน ภริยา ได้ลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึก ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ

โดยการเยือนไทยของประธานสีในรอบนี้ นับว่าเป็นการเยือนไทยครั้งแรกในรอบ 11 ปี และเป็นการเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ทั้งสองร่วมกันหารือถึงการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือ โดยนายกฯ ฝ่ายไทย เสนอให้เสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ และหารือยุทธศาสตร์ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคง

'สี จิ้นผิง' เข้าเฝ้าฯ 'ในหลวง-พระราชินี' พร้อมกราบบังคมทูลจะทำงานร่วมกับไทยต่อไป เพื่อสานสายสัมพันธ์พิเศษที่ใกล้ชิดสนิทสนมดั่งเครือญาติของทั้งสองประเทศ

ฮวา ชุนอิง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน ได้โพสต์รูปภาพนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีของไทย พร้อมข้อความผ่าน Twitter โดยระบุว่า…

นายกหนุ่มแห่งอังกฤษ เลือกวิ่งชนกำแพงเมืองจีน หลังลั่น!! ยุคทองความสัมพันธ์ 'จีน-อังกฤษ' จบลงแล้ว

ในคำปราศัยของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายริชชี่ ซูแน็กเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ได้สร้างความงงๆ ให้กับคนทั่วไป แม้แต่นักการเมืองและนักข่าวของอังกฤษเองถ้วนหน้า เมื่อนายซูหนักบอกว่า “ยุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนได้สิ้นสุดลงแล้ว และอังกฤษจะปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่กับจีนให้เข้มแข็งจริงจังเหมือนคู่แข่งขันที่แท้จริง” 

นายซูแน็กยังวิจารณ์ต่อไปว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างอังกฤษกับจีนนั้นเป็นเรื่องอ่อนหัด

เรื่องนี้ดูท่า นายซูแน็กดู จะเอาจริง!! เพราะที่ที่เขาพูดคืองานเลี้ยงประจำปีที่เรียกว่า The Lord Mayor’s Banquet ในกรุงลอนดอน ซึ่งแขกผู้ฟังของเขาก็คือบรรดาผู้นำทางธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การพูดในงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นการประกาศนโยบายต่างประเทศครั้งแรกของนายซูแน็กหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะประเด็นที่เฉพาะเจาะจงกับจีน

แน่นอนว่า การพูดเช่นนี้ออกมา เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ดีว่า ต้องถูกวิจารณ์ว่านี่เป็นพูดให้ดูสวยหรูดูดี แต่เขาก็ดักคอไว้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไป ไม่ใช่วาทศิลป์ที่ให้ฟังเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ประทับใจเท่านั้น

นั่นก็เพราะในปีใหม่ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้นั้น นายซูแน็ก บอกว่า รัฐบาลอังกฤษจะประกาศถึงแผนการที่เขาเรียกว่า 'การทบทวนแผนรวมความมั่นคงของประเทศกับนโยบายต่างประเทศ' ที่เรียกว่า The Integrated Review ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีหน้าตาอย่างไรและต้องคอยดูว่าจะกล้าหาญเด็ดเดียวเหมือนในยุคของนางลิส ทรัสส์เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ไหน 

เนื่องจากมีรายงานว่าในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี 45 วันนั้น นางทรัสส์กำลังวางแผนที่จะจัดประเภทของจีนให้อยู่ในประเทศที่ 'คุกคาม' ต่ออังกฤษ แต่เธอยังไม่ได้ทำเรื่องนี้ ก็ต้องลาออกไปเสียก่อน กลับกันคำปราศัยของนายซูหนักในงานเลี้ยงดังกล่าวเขาเพียงแต่กล่าวว่าจีนมีความท้าทายที่เห็นได้ชัดเจนต่อความเชื่อและผลประโยชน์ของอังกฤษ และจีนได้เพิ่มความท้าทายไปสู่การเป็นเผด็จการมากขึ้นกว่าเดิม โดยนายซูหนักใช้คำว่าจีน 'ท้าทาย' แทนคำว่า 'คุกคาม' ซึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าอ่อนไป 

อย่างไรก็ตามการกล้าออกมาประกาศว่ายุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนหมดสิ้นแล้วก็ถือได้ว่า แข็งกร้าวใช้ได้ไม่น้อย ในขณะที่จีนกำลังมีบทบาทเด่นชัดในเวทีโลกทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจขณะนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษหมาดๆ และหนุ่มที่สุด และมีเชื้อสายอินเดียผู้นี้ ย่อมตระหนักดีว่าจีนมีบทบาทอย่างสำคัญต่อโลกในด้านต่างๆ เช่นเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก (ฟังๆ ดูก็ขัดแย้งกันอยู่ว่าอังกฤษจะเอาอย่างไงกับจีน)

>> ทีนี้เมื่ออังกฤษ จะไม่ให้ความสำคัญกับจีน แล้วอังกฤษจะให้ความสำคัญกับใคร?

นายซูหนักประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะยังคงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อผนึกกำลังทางการทูตและธุรกิจให้เกิดการแข่งขันที่มีพลังยิ่งขึ้น (ในการสู้กับจีน) 

กลับมาที่คำถามว่า ทำไมจู่ๆ นายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้นี้จึงออกมาประกาศเปรี้ยงว่า ยุคทองกับจีนจบสิ้นลงแล้ว!!

ผู้สื่อข่าวบีบีซีบอกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายซูแน็กถูก ส.ส. พรรคคอนเซอเวทีฟด้วยกันกดดันว่าอังกฤษควรมีท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีนตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ๆ อีกด้านหนึ่งนายซูแน็กก็ถูกคณะกรรมการด้านต่างประเทศของสภาผู้แทนตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของอังกฤษที่มีต่อจีนหลังจากที่คณะกรรมการชุดนี้ไปพบกับประธานาธิบดีของไต้หวัน และมีคำถามต่อไปอีกด้วยว่านโยบายต่างประเทศของอังกฤษต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิคเป็นอย่างไรและอังกฤษจะสามารถเพิ่มอิทธิพลของตนในภูมิภาคนี้ได้หรือไม่

เพราะฉะนั้นนายซูแน็กจึงใช้โอกาสที่พบพูดจากับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศในงานเลี้ยงของนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนประกาศถึงท่าทีของอังกฤษที่มีต่อจีนอย่างแข็งกร้าว ว่าต่อจากนี้ไปความสัมพันธ์นั้นจะเปลี่ยนเป็นการแข่งขันที่อังกฤษเอาจริง ไม่เหมือนกับท่าทีของรัฐบาลอังกฤษเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่อดีตนายกฯ ยุคนั้นอย่างนายเดวิด แคมเมอรอน พยายามที่จะดึงจีนให้มาเป็นมิตรทางเศรษฐกิจและคู่ค้าที่สำคัญ โดยไม่เป็นศัตรูทางการเมือง

ทว่าคำประกาศที่ดูจะตัดญาติขาดมิตรไม่ยี่หระกับจีนของนายซูแน็ก ก็ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจาก ส.ส. พรรคเดียวกัน เช่น อดีตหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ เซอร์ เอียน ดังคั้น สมิท ที่เป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษมีนโยบายไม่อ่อนกับจีนว่า "กระทรวงต่างประเทศอังกฤษจะใช้วิธีการอย่างไรที่จะสร้างความตื่นตระหนกวิตกให้จีนบ้างในคำประกาศว่าจะกระทำอย่างจริงจังนี้ช่วยขยายความหน่อย" ส่วนแน่นอนพรรคฝ่ายค้าน คือ เลเบอร์ วิจารณ์ว่า "คำพูดนี้จืดเหมือนโจ๊ก และใช้วาจาเปลี่ยนไปมากับนโยบายที่มีต่อจีน"

'สีจิ้นผิง’ เยือนซาอุฯ กระชับสัมพันธ์อาหรับ MBS ต้อนรับสมเกียรติ ผิดกับครั้ง ‘ไบเดน’

มกุฎราชกุมาร เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบีย ต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี (8 ธ.ค.) ด้วยพิธีการซึ่งมุ่งให้เกียรติอย่างเต็มที่ เป็นการส่งสัญญาณว่า ‘ริยาด’ มีความสนใจเพิ่มพูนสายสัมพันธ์กับปักกิ่งให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงแม้สหรัฐฯแสดงท่าทีจับตามองอย่างระแวงระวัง

กองทหารราชองครักษ์ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งขี่ม้าอาหรับและถือธงชาติจีนและธงชาติซาอุดีฯ เข้าคุ้มกันรถยนต์ของ สี ขณะที่แล่นเข้าสู่พระราชวังหลวงในกรุงริยาด และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ออกมาต้อนรับด้วยการยื่นมือให้สัมผัสพร้อมรอยยิ้มสดชื่น ในทันทีที่ผู้นำจีนก้าวลงจากรถ

จากนั้นผู้นำทั้งสองได้จัดการประชุมอย่างเป็นทางการ โดยที่มกุฎราชกุมาร ‘แสดงความปรารถนาให้เขา, คณะผู้แทนของเขา พำนักอย่างมีความสุข’ ระหว่างอยู่ในซาอุดีอาระเบีย สำนักข่าวเอสพีเอ ของทางการซาอุดีอาระเบียรายงาน

บรรยายกาศเช่นนี้ช่างตรงกันข้ามกับการต้อนรับแบบเรียบ ๆ ที่จัดให้แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองที่มีรอยร้าวฉานสืบเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่พอใจนโยบายด้านน้ำมันของซาอุดีฯ และกรณีสังหารโหด ‘จามาล คาชอกกี’ นักหนังสือพิมพ์ซาอุดีเมื่อปี 2018

ทั้งนี้ในคราวนั้นเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เพียงแต่ยกกำปั้นมาชนกับไบเดนเท่านั้น ไม่ได้มีการจับมือกัน

สหรัฐฯ ซึ่งเฝ้าจับตามองอย่างระแวงระวังทั้งต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการที่สายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับ ริยาด กำลังอยู่ในช่วงต่ำสุด ให้ ‘จอห์น เคอร์บี้’ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ออกมาแถลงในวันพุธว่า การเยือนครั้งนี้เป็นตัวอย่างของความพยายามของจีนที่จะแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก แต่จะไม่ทำให้นโยบายที่สหรัฐฯ มีต่อตะวันออกกลางเปลี่ยนแปลงไป

สี เดินทางถึงซาอุดีอาระเบียตั้งแต่วันพุธ โดยกระทรวงการต่างประเทศจีรายงานว่า ทางกองทัพอากาศซาอุดีฯ ได้ส่งเครื่องบินมาคุ้มกันตั้งแต่ที่เครื่องบินของผู้นำจีนเข้าสู่น่านฟ้าของซาอุดีอาระเบีย และเมื่อเดินทางมาถึง ก็มีการยิงปืนสลุต 21 นัด รวมทั้งมีเชื้อพระวงศ์อาวุโสของซาอุดีหลายท่านมาต้อนรับ สี ที่สนามบิน

ทางด้าน เจ้าชายอับดุลลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย แถลงวันพุธว่า ริยาดจะยังคงเป็นหุ้นส่วนพลังงานที่ไว้วางใจได้สำหรับปักกิ่ง และสองประเทศจะกระชับความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานพลังงานด้วยการจัดตั้งศูนย์ประจำภูมิภาคสำหรับโรงงานจีนในซาอุดีฯ

ทั้งนี้ จีน ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นคู่ค้าสำคัญของซาอุดีอาระเบียที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และการขยายความสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้ความพยายามในการแตกแขนงเศรษฐกิจของตะวันออกกลางทำให้อเมริกากังวลหนักเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีนในโครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนไหวในอ่าวอาหรับ

การเยือนของประธานาธิบดีสี ยังเกิดขึ้นขณะที่ตลาดพลังงานโลกแขวนอยู่กับความไม่แน่นอน หลังจากมหาอำนาจตะวันตกบังคับใช้มาตรการจำกัดราคาน้ำมันของรัสเซียที่หันไปเพิ่มปริมาณการจัดส่งน้ำมันให้จีนพร้อมส่วนลด

สำนักข่าวเอสพีเอ รายงานด้วยว่า เมื่อวันพุธ บริษัทจีนและซาอุดีฯ ได้ลงนามข้อตกลง 34 ฉบับครอบคลุมการลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสารสนเทศ บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง การขนส่ง การก่อสร้าง ฯลฯ โดยไม่มีการระบุมูลค่า แต่ก่อนหน้านี้เอสพีเอรายงานว่า สองประเทศจะทำข้อตกลงกันรวมมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์

เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงว่า การเยือนคราวนี้นอกจาก สีจะหารือกับฝ่ายซาอุดีฯ แล้ว หลังจากนั้นริยาดยังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระหว่างจีนกับผู้นำอาหรับซึ่งจะถือเป็น หลักหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาความสัมพันธ์จีน-อาหรับ

‘สีจิ้นผิง’ ส่งคำอวยพร 'ตรุษจีน' ถึงชาวจีนทุกคน ขอจงมีสุขภาพแข็งแรงและความสุขตลอดปีเถาะ

(19 ม.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันพุธที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวคำอวยพรถึงประชาชนชาวจีนทุกคน ขณะร่วมพูดคุยทางออนไลน์กับสาธารณชนทั่วประเทศ ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน

สีจิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ได้พูดคุยผ่านระบบวิดีโอกับบุคลากรการแพทย์ในโรงพยาบาล ผู้สูงอายุที่สถานสวัสดิการ คนงานที่บ่อน้ำมันอันห่างไกล นักเดินทางและพนักงานที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ผู้ค้าขายและลูกค้าที่ตลาดค้าส่ง และชาวหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย

‘ผอ.CIA’ เย้ย ‘จีน’ ยากยึดไต้หวันภายในปี 2027 ฟาก ‘จีน’ เชื่อ!! ไต้หวัน ไม่เหมือน ยูเครน!!

(28 ก.พ. 66) ไม่นานมานี้ วิลเลียม เบิร์นส ผู้อำนวยการสำนักหน่วยข่าวกรองสหรัฐ (CIA) ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ (26 ก.พ. 66) ว่า สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่เตรียมจะยกพลบุกไต้หวันอย่างแน่นอนภายในปี 2027 นั้น เริ่มกังวลถึงแสนยานุภาพของกองทัพจีนว่าจะทำสำเร็จหรือไม่?

แม้ทุกคนรู้ว่า จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และต้องการผนวกดินแดนอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2027 ในยุคสมัยของ สี จิ้นผิง แต่สิ่งที่ ผอ. CIA คนนี้ได้ตั้งข้อสงสัยว่า หาก สี จิ้นผิง มีความคิดที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองไต้หวันจริง ๆ ผู้นำจีนจะยังมั่นใจอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ ที่กองทัพจีนจะสามารถยึดไต้หวันได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ 

เพราะจากตัวอย่าง สงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ ที่ผ่านมา ซึ่งเคยคาดว่า กองทัพรัสเซียจะสามารถยึดเมืองเคียฟได้อย่างง่ายดาย แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเสียแล้ว จากความช่วยเหลือด้านอาวุธของสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันตก ที่เสริมให้กองทัพยูเครนมีศักยภาพเพียงพอที่จะยื้อการสู้รบกับกองทัพรัสเซียได้นานเป็นปี และสร้างความบอบช้ำให้กับรัสเซีย ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจอย่างมาก 

ผ.อ. CIA ผู้นี้ได้ให้สัมภาษณ์ย้ำชัดอีกว่า จากผลลัพธ์ของสงครามในยูเครน รัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะไม่ยอมให้จีนยกกองทัพรุกรานไต้หวันอย่างเด็ดขาด และพร้อมจะใช้กำลังทางทหารเข้าแทรกแซงเหมือนกัน ถ้าเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว 

วิลเลียม เบิร์นส มั่นใจ ว่าหากสหรัฐอเมริกาแสดงจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนในข้อพิพาทไต้หวัน จะทำให้จีนต้องกลับมาประเมินศักยภาพกองทัพตัวเองใหม่ เพราะการเปิดศึกครั้งนี้ จะไม่ง่ายอย่างที่รัฐบาลจีนคิดอีกต่อไป 

ความขัดแย้งระหว่างจีน และไต้หวัน เกิดขึ้นในปี 1949 เมื่อกองทัพคอมมิวนิสต์จีน ของ เหมา เจ๋อตุง ชนะสงครามกลางเมืองและจัดตั้งรัฐบาลกลางที่กรุงปักกิ่ง พรรคก๊กมินตั๋งของ เจียง ไคเช็ก จึงลี้ภัยมาจัดตั้งรัฐบาลของตนเองบนเกาะไต้หวัน 

แล้วหลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างก็ประกาศตนเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนใหญ่บนเวทีโลก แต่สุดท้ายในปี 1978 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศรับรองรัฐบาลปักกิ่งเป็นรัฐบาลจีนเดียว ตามมาด้วยการถอนการรับรองสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในสมัยของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ที่ทำให้ไต้หวันถูกลดบทบาท กลายเป็นดินแดนปกครองตนเองที่ถูกจีนอ้างสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายจีนเดียวนับแต่นั้นมา

พญามังกรผงาด 'สี จิ้นผิง' นั่ง 'ประธานาธิบดีจีน สมัยที่ 3' อย่างเป็นทางการ พ่วง ปธ.กรรมาธิการทหารกลางของจีนอีกหนึ่งสมัย

ปักกิ่ง, (10 มี.ค.66) (ซินหัว) — วันศุกร์ (10 มี.ค.) สีจิ้นผิง ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (CMC) อย่างเป็นเอกฉันท์ ณ การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ชุดที่ 14 ซึ่งกำลังดำเนินการประชุมอยู่ในปัจจุบัน
 

‘สีจิ้นผิง’ แต่งตั้ง ‘หลี่เฉียง’ นั่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

(11 มี.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อแต่งตั้งหลี่เฉียงเป็นนายกรัฐมนตรีจีน ณ การประชุมครั้งที่ 1 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ชุดที่ 14 ซึ่งกำลังดำเนินการประชุมอยู่ในปัจจุบัน

‘ในหลวง’ ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความยินดี ‘สี จิ้นผิง’ ในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สมัยที่ 3

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความยินดีไปยัง นายสี จิ้นผิง (Mr. Xi Jinping) ในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สมัยที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ความว่า

ฯพณฯ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กรุงปักกิ่ง 

ในโอกาสอันสำคัญที่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าในนามของประชาชนชาวไทย ขอแสดงความยินดีด้วยใจจริง และขออำนวยพรให้ท่านประธานาธิบดีประสบความสำเร็จในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ  และภารกิจแห่งรัฐทุกประการ

‘สี จิ้นผิง’ เตรียมบินลัดฟ้า เดินทางเยือน ‘รัสเซีย’ หลังได้รับคำเชิญจาก ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ 

สี จิ้นผิงเตรียมเดินทางเยือน ‘รัสเซีย’ อย่างเป็นทางการ

ปักกิ่ง, 17 มี.ค. (ซินหัว) — วันศุกร์ (17 มี.ค.) ฮว่าชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศว่าสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 20-22 มี.ค. ตามคำเชิญของวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top