Friday, 10 May 2024
รัฐบาล

'ชาวสเปน' รวมตัวขับไล่ 'รัฐบาลซานเชซ' กลางกรุงมาดริด หลังไม่พอใจ 'กม.แบ่งแยกดินแดน - ลดโทษคดีทางเพศ'

เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.66) เอเอฟพีรายงานว่า ประชาชนจำนวนหลายพันคนในกรุงมาดริด ออกมารวมตัวเดินขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลชุดปัจจุบันของนายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ

ผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างโบกธงชาติสเปน พร้อมตะโกนร้องขับไล่ให้ซานเชซลาออกจากตำแหน่ง บางคนชูป้ายที่มีรูปถ่ายของนายกรัฐมนตรีที่มีข้อความเรียกเขาว่า 'คนทรยศ'

จากการประเมินของทางการมาดริด กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนประมาณ 30,000 คนและรวมตัวกันที่จัตุรัสซิเบเลสในเมืองหลวงของสเปน แต่แกนนำในการจัดตั้งการชุมนุมกล่าวว่ามีผู้คนมารวมตัวกันมากกว่า 700,000 คน

การประท้วงถูกจัดตั้งโดยกลุ่มประชาสังคมฝ่ายขวาหลายสิบกลุ่ม และได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอนุรักษนิยม

'ชัยธวัช' ดักคอ 'ส.ส.รัฐบาล' อย่าคิดหนีอภิปราย 152 ลั่น!! 'ก้าวไกล' พร้อมจัดหนัก เช็กบิลรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง

(13 ก.พ. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสข่าว ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล อาจไม่อยู่เป็นองค์ประชุมในการอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ระหว่างวันที่ 15-16 ก.พ. ที่จะถึงนี้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถ้าทำจริง จะยิ่งเปลือยประจานตนเอง กระแสเสื่อมศรัทธาต่อฝ่ายรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นทันที เพราะการอภิปรายเป็นกลไกปกติในการตรวจสอบรัฐบาล

และขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสให้รัฐบาลได้ชี้แจงประเด็นที่สังคมสงสัย โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมามีหลายเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น หากการอภิปรายมาตรา 152 ครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง กลับไม่ร่วมมือแม้แต่เป็นองค์ประชุม ประชาชนจะยิ่งเห็นว่ารัฐบาลเป็นวัวสันหลังหวะ และข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านเป็นความจริง

'รองโฆษกฯ' เผย รบ. ไฟเขียวจดตั้งบริษัท 2 คนได้ เอื้อ กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก หนุน ศก. เติบโตในระยะยาว

(17 ก.พ. 66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดขั้นตอน อุปสรรค เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและทยอยมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา มีสาระสำคัญในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท เริ่มมีผลบังคับใช้ โดยจะเอื้อให้เกิดการก่อตั้งธุรกิจง่ายขึ้น มีความคล่องตัว ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเป็นกลไกสำคัญต่อการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ได้มีการปรับปรุงแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ การลดจำนวนขั้นต่ำของผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเป็น 2 คน จากเดิมที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 3 คน ซึ่งเกณฑ์ในเรื่องนี้จะทำให้มีการจัดตั้งธุรกิจได้ง่าย เอื้อต่อการเกิดธุรกิจขนาดเล็กหรือวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) มากขึ้น โดยกฎหมายได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง กำหนดวิธีประชุมกรรมการ ให้สามารถดำเนินการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

ส่วนการส่งคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ กำหนดวิธีบอกกล่าว เรียกประชุมใหญ่เป็น 2 กรณี ตามชนิดใบหุ้น โดยกรณีผู้ถือหุ้นชนิดระบุชื่อมีการลดขั้นตอนการพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ส่วนกรณีหุ้นชนิดผู้ถือ ได้กำหนดให้มีการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่หรือโฆษณาในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

รัฐบาลเปิด ‘ปฏิบัติการฝนหลวง’ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ใน ‘เชียงใหม่-แม่สอด’

(3 มี.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ติดตามความพร้อมของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ใน 5 ภูมิภาค 7 ศูนย์ เพื่อเข้าแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มีค่าเกินมาตรฐาน รวมถึงเข้าช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง สร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ การป้องกันการเกิดไฟป่าและบรรเทาปัญหาหมอกควัน ซึ่งทุกหน่วยมีความพร้อมขั้นสูงสุด และสามารถออกปฏิบัติการในทุกโอกาสเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม โดยเมื่อ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับเรื่องขอรับบริการจากพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดกําแพงเพชร ตาก ลําปาง อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ และภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา และระยอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกปฏิบัติการได้ เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม เช่น ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยระดับปฏิบัติการมีค่าต่ำกว่า 60% อากาศมีเสถียรภาพส่งผลให้เมฆไม่ก่อตัวในพื้นที่เป้าหมาย หรือกลุ่มเมฆในพื้นที่เป้าหมายไม่เข้าเงื่อนไขการปฏิบัติการ

เป็นรูปเป็นร่าง!! ไทยเดินหน้าฮับ EV เร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม หลังค่ายรถสัญชาติจีนยักษ์ใหญ่ เริ่มก่อสร้างโรงงานจริงจัง

(17 มี.ค.66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เผยว่า ได้ผลักดันให้การส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท รวมทั้งจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ และสามารถพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีในอนาคตได้ ตามมติคณะกรรมการบีโอไอเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Roadmap 30@30) ที่มีเป้าหมายในปี 2573 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด

ล่าสุด บีโอไอรายงานว่าผู้ผลิตรถ EV จากจีนสองค่าย ได้แก่ เนต้า (NETA) และบีวายดี (BYD) ได้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานผลิตรถ EV ในประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จ 1-2 ปีข้างหน้าโรงงานจะแล้วเสร็จ และยังมีค่ายรถจากจีนและยุโรปยื่นขอรับการสนับสนุนอีกหลายค่าย โดยรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนรถอีวีเพิ่มเติม หรือมาตรการ EV 3.5 ต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3 ที่จะหมดอายุภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวสู่ความเป็นฮับอีวีได้ไม่ยาก

ทั้งนี้นโยบายดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของพี่น้องประชาชน นอกจากกระตุ้นธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เกิดการจ้างงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เมื่อมีการผลิตที่มากขึ้นในไทย จะทำให้ราคาถูกลง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและลดมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ได้ในระยะยาว

เปิดข้อสั่งการ 'นายกฯ' พิชิต PM 2.5 ทั่วไทย เดินหน้าทำทันที เคลียร์เป็นข้อๆ ไม่พูดมาก

(28 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานผลสรุปข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มีรายละเอียดดังนี้

(จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำปาง)

>> ข้อสั่งการ

1.ให้ มท. (จังหวัดเชียงใหม่) ร่วมกับ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ

>> ผลการดำเนินงาน

มท. ร่วมกับ สนง.ทส.จ.เชียงใหม่ ดำเนินการ อาทิ สร้างความยั่งยืนด้วยศาสตร์ พระราชาผ่านโครงการแม่แจ่มโมเดลและดอยหลวงเชียงดาวโมเดล ประชุมถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า/ประชุมร่วมกับกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดที่พักผ่อน Safety Zone นำจิตอาสาภัยพิบัติร่วมกับกิจกรรมแก้ไขปัญหาหมอกควันป่า ประชาสัมพันธ์ผ่านรูปแบบ Online, On Air, On Groud และใช้ระบบสั่งการแบบ Single Command

1) ทส. บูรณาการความร่วมมือกับ จ.เชียงใหม่ เพื่อกำหนดมาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีมาตรการ ดังนี้

1.1) มาตรการป้องกันการลุกลามของไฟ และการป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับทหาร ตำรวจ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร อปท. และผู้นำชุมชนในแต่ละพื้นที่ เข้าไปกำกับการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ อย่างใกล้ชิด เน้นทำความเข้าใจกับหมู่บ้านโดยรอบ และสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังพื้นที่ ทั้งนี้ หากพบเหตุไฟไหม้ป่า สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน (Hottine) เฝ้าระวังไฟป่าของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายเลข 1362

1.2) จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายทหารเป็นผู้ปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสามารถสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ และให้เน้นความสำคัญตั้งแต่ระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน โดยกำนัน และ ผู้ใหญ่บ้านต้องเป็นกลไกสำคัญในการเข้าถึงประชาชน และผลักดันการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จ รวมถึงให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด หากพบการกระทำความผิดจะถูกลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา รวมถึงเสนอข่าวให้สังคมได้รับรู้ เพื่อป้องปรามผู้ที่จะกระทำความผิดรายอื่นๆ

1.3) จัดตั้งทีมด้านสาธารณสุขและจิตอาสา ร่วมกันเข้าไปดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วย ผู้สูงวัย เด็ก ผู้พิการ ในระดับชุมชนอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ รวมทั้ง ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและจิตอาสามีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และประชาสัมพันธ์ขั้นตอนในการดูแลสุขภาพให้ประชาชนเข้าใจง่าย

2.) จ.ลำปาง ดำเนินการ ดังนี้

2.1) ผวจ.ลำปาง ลงพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2562 เพื่อพบปะ/เยี่ยมเยียน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่อบต. วิเชตนคร พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาหมอกควันไฟป่า และการบริหารจัดการขยะตามโครงการ "ลำปาง สะอาด ปราศจากโฟม"

2.2) เข้าร่วมประชุมการตรวจเยี่ยมติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือและพิธีมอบโฉนดที่ดิน "คืนความสุขให้ประชาชนลดความเหลื่อมล้ำของสังคม" โดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห.

2.3) ประสานความร่วมมือกับนายอำเภอ ผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเพื่อพบปะ พูดคุยกับประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบจากไฟป่าหมอกควันและขอความร่วมมือ ในการป้องกันแก้ไขปัญหา รวมทั้งการลดการใช้สารเคมีในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม การท่องเที่ยว การพัฒนาเส้นทางคมนาคมและแหล่งน้ำ

2.4) จัดประชุมนายอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ประจำเดือน โดยเน้นหนักการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบาย มท. แผนพัฒนาจังหวัด/อำเภอ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ติดตามสถานการณ์/มาตการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน โดยให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอต่าง ๆ ตลอดจนออกตรวจพื้นที่ เพื่อติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าในเขตพื้นที่ อ.เมืองลำปาง และรอยต่อระหว่างอำเภอ

>> ข้อสั่งการ

2.การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : สทอภ. ร่วมกับ กษ. ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน

อาทิ การตรวจหาความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ด้วยข้อมูลดาวเทียม TERRAVAQUA ระบบ MODIS พื้นที่ภาคเหนือตอนบน และการพัฒนาระบบสถานีตรวจวัดและรายงานคุณภาพฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5 และ 10 ไมครอน (PM10) ผ่านระบบแอปพลิเคชันแผนที่ออนไลน์ ทั้งนี้ ให้นำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

>> ผลการดำเนินงาน

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยือวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : สทอภ. ดำเนินการใช้ระบบ MODIS เพื่อตรวจหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) 10 ไมครอน (PM10) จุดความร้อน ไฟป่า และพื้นที่หมอกควัน ทั้งนี้ ได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวผ่าน http:/firie.gistda.or.th

/download.html สทอภ.ดำเนินการดังนี้

1) การจัดให้มีระบบเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์หมอกควันและไฟป่า โดยได้พัฒนาระบบเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผล ผลิตแผนที่ค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และรายงานกรวิเคราะห์สถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ (NUSAIS) โดยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ http://gistdaportal.gistda.or.th/pmoc/nusais/

2) การจัดให้มีช่องทางประสานและรายงานสถานการ์ไฟป่า หมอกควัน และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยได้จัดตั้งกลุ่มไลน์ ได้แก่ กลุ่มไลน์-HAZE ไฟป่า 62 กลุ่มไลน์-PMOC กลุ่มไลน์-ศอญ. กลุ่มไลน์-ปกปภ.ช. แก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน รวมถึงช่องทางโทรสารเพื่อส่งข้อมูลถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัด

ภาคเหนือตอนบน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการการทำงาน การรายงานและการเข้าถึงข้อมูลในทุกภาคส่วน

3) การใช้ดาวเทียมสนับสนุนการปฏิบัติการ เพื่อแก้ไขสถานการณ์หมอกควันไฟป่าและค่าฝุ่นละออง

ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ปรับเพิ่มระบบสัญญาณดาวเทียมของสทอภ. ระบบ VRS ให้สามารถประมวลผลและเผยแพร่ข้อมูลให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4) การสนับสนุนทีมเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจประจำ ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แก้ไขไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ เพื่อเพิ่มการดำเนินการในมาตรการให้มากยิ่งขึ้น อาทิ การสนับสนุนการนำเทคโนโลยี

จากดาวเทียมเพื่อชี้เป้า ตรวจสอบ และเข้าดับไฟเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ในทางที่ดีให้ได้ภายใน 7 วัน

5) การควบคุมการเผาในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน แม้ภายหลังวันที่ 30 เม.ย. 2562 เข้าสู่การสิ้นสุดช่วงประกาศห้ามเผาในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน แต่ยังคงอยู่ในช่วงบริหารจัดการเชื้อเพลิงและเศษวัสดุจากการเกษตรหลังช่วงห้ามเผา โดย สทอภ. ได้ติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันรายจังหวัดและจัดส่งข้อมูลสรุปภาพรวม สถานการณ์รายจังหวัดอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดฤดูกาลไฟป่า (31 พ.ค. 2562)

>> ข้อสั่งการ

3.การสร้างการรับรู้วิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้ ทส. ร่วมกับ สธ. กษ. พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องวิธีการป้องกันฝุ่นละอองฯ และเร่งดำเนินการลดปริมาณฝุ่นละอองฯ อาทิ การพ่นละอองน้ำ การทำฝนหลวง รวมทั้ง การรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การลดการเผาป่า การเผาพืชผลทางการเกษตร การใช้น้ำมันดีเซล B20 เป็นต้น

>> ผลการดำเนินงาน

ทส. ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการระยะเร่งด่วน อาทิ การส่งเสริมการใช้น้ำมัน B20 ในรถโดยสารดีเซล ขยายพื้นผิวการจราจร งดเว้นกิจกรรมที่ส่งผลทำให้เกิดฝุ่นละออง มาตรการระยะกลาง

อาทิ พัฒนาโครงข่ายการบริการบริการขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงทุกระบบพัฒนาระบบฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อพื้นที่สีเขียว มาตรระยะยาว อาทิ กำหนดมาตรฐานระบายอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่า EU และ USA

>> ข้อสั่งการ

4.การบรรเทาและแก้ไขปัญหาปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ให้ กษ. (กรมชลประทาน) ร่วมกับหน่วยงานมี่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการทำฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณฝุ่นละออง เกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่

>> ผลการดำเนินงาน

กรมชลประทาน ร่วมกับ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง อาทิ ดส่งรถบรรทุกน้ำ 3 คัน นำไปล้างทำความสะอาดฝุ่นละอองบนพื้นผิวถนนบริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ต่อเนื่องจนถึงถนนประชาธิปก โดยทางกทม. จะแจ้งมายังกรมชลประทานว่า แต่ละคืนจะให้ไปล้างทำความสะอาดถนนสายใด ในเขตไหนบ้าง ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากการจราจรที่คับคั่งในแต่ละวัน นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อมหน่วยฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว หน่วยพร้อมปฏิบัติการอยู่ได้แก่ หน่วยฝนหลวงจังหวัดระยอง จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หวังผลลดมลพิษได้ทั้งในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงจังหวัดราชบุรี นครปฐม สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และ นครสวรรค์ซึ่งมีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

(กรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ : เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)

>> ข้อสั่งการ

1.การเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

-ให้ ดศ. ร่วมกับ มท. กษ.กปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ช่องทางการเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ เช่น ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก

ออนไลน์ (Agri-Map Online) ระบบปฏิบัติการเฝ้าระวังและเตือนล่วงหน้า น้ำหลาก-ดินถล่ม (Early Warning System) ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air4Thai) เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถทราบข้อมูลข่าวสารและนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างทันต่อสถานการณ์

>> ผลการดำเนินงาน

1) กษ. ได้ดำเนินการจัดทำ "คู่มือระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri-Map Online) ซึ่งเป็นเครื่องมือแสดงผลข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศพร้อมระบบแนะนำผลการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตด้วยพืชทดแทน ในรูปแบบเว็บแผนที่แบบออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานสามารถได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กษ. วท. (โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมพัฒนาระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งาน

ได้ที่ http://agri-map-online.moac.go.th/

1) ทส. ดำเนินการ ดังนี้

2.1) กรมทรัพยากรน้ำ ได้ดำเนินการจัดทำ "ระบบปฏิบัติการเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้าน้ำหลาก-ดินถล่ม (Early Warining System " เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งานได้ที่ http://ews.dwr.go.th/ews/mainreport.php

2.2) กรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำระบบรายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศประเทศไทย (Air4thai) ประกอบด้วย ข้อมูลแผนที่คุณภาพอากาศ ข้อมูลอุตตุนิยมวิทยา (ทิศทางลมในภูมิภาคอาเซียน ความกดอากาศ) ข้อมูลย้อนหลังรายชั่วโมง ข้อมูลสภาพฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพ/ปริมณฑล และสถานการณ์

หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครื่อข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งานได้ที่ http://air4thai.pcd.go.th/webV2/index.php

(สรุปข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายแก่กษตรกรแห่งชาติ)

1.การแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก

- ให้สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเข้าใจและร่วมมือกับเกษตรกรในการแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เช่น การลดการเผาในที่โล่ง และการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกข้าวโพด เป็นต้น

(จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี)

>> ข้อสั่งการ

1.ข้อเสนอ ด้านการเกษตร การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงาน

- ให้ อก. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กก. ทส. พณ. ศธ. อว. เป็นต้น ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยกำหนดรายละเอียดแผนการดำเนินงานและรูปแบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการ เพื่อลดต้นทุน ลดมลพิษ ลดปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ อนึ่ง จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากการบรรทุกอ้อยเกินขนาดที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ถนนเสียหายและส่งผลกระทบเกิดเป็นวงจรปัญหาต่อเนื่อง

>> ผลการดำเนินงาน

อก. รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแนวทางในการเก็บเกี่ยวอ้อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกษตรกรชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาลสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ลดความเดือดร้อนของชุมชน ลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5

(จังหวัดชัยภูมิ)

>> ข้อสั่งการ

1.การลดฝุ่นและมลพิษ PM2.5 จากการเผาอ้อย

- ให้ กษ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลและแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมลพิษ PM2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็ก ผู้ป่วย และผู้สูงอายุ

>> ผลการดำเนินงาน

อก.รายงานผลการดำเนินงานโดยได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ดังนี้

1) มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562

1.1) มาตรการทางกฎหมาย ออกระเบียบให้โรงงานน้ำตาลลดการรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบในแต่ละปี และจะทำให้อ้อยไฟไหม้หมดไปภายใน 3 ปี

1.2) มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ขยายโครงการส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562 - 2564 เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย จัดซื้อรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย รถแทรกเตอร์ รถบรรทุกอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตรอื่น ๆ ในวงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท โดยมีผลการดำเนินงาน (ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2562 คือ พัฒนาแหล่งน้ำ/อุปกรณ์ จำนวน 31 ราย เป็นเงิน 8,025,000 บาท รถตัดอ้อย/รถคีบอ้อย จำนวน 328 ราย เป็นเงิน 2,048,842,690 บาท รถแทรคเตอร์/บรรทุกอ้อย จำนวน 119 ราย เป็นเงิน 130,452,000 บาท รวมทั้งสิ้น 478 ราย เป็นเงิน 2,187,319,690 บาท

1.3) มาตรการขอความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ เพื่อเป็นต้นแบบการเก็บเกี่ยวและขนส่งอ้อยให้โรงงาน ในการกำหนดพื้นที่ปลอดการเผาอ้อยเป็นจังหวัดต้นแบบ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.ชัยภูมิ จ.เลย และ จ.อุตรดิตถ์

2) แผนการดำเนินการระยะยาว

2.1) กำหนดนโยบายลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ คือ ปีการผลิต 2563/2564 อ้อยไฟไหม้เหลือร้อยละ 30 ปีการผลิต 2564/2565 อ้อยไฟไหม้เหลือร้อยละ 0-5

2.2) แนวทางการนำใบอ้อยที่เกิดจากมาตรการตัดอ้อยสดมาเพิ่มมูลค่า เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร 50 บาทต่อตัน

2.3) การจูงใจให้มีการตัดอ้อยสด โดยนำค่าจ้างตัดอ้อยสดมาเป็นฐานในการคำนวณราคาอ้อย

2.4) ส่งเสริมชาวไร่อ้อยทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อรองรับเครื่องจักรกลการเกษตรและการใช้รถตัดอ้อยในการเก็บเกี่ยวและเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อซื้อเครื่องสางใบและรถตัดอ้อยมากขึ้น

3) แผนงาน/โครงการตามงบประมาณ ปีงบประมาณ 2563

3.1) โครงการจัดการผลิตอ้อยแปลงใหญ่เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพอ้อย โดยใช้เทคโนโลยี Smart Farming วงเงิน 10,000,000 บาท เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อย การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล

3.2) โครงการการพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์อัดเม็ดจากอ้อยด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ วงเงิน 7,000,000 บาท เพื่อลดการเผาอ้อยก่อนตัดเข้าโรงงาน ส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าและลดการนำเข้าอาหารสัตว์จากต่างประเทศ

3.3) โครงการการพัฒนาต้นแบบแผ่นกั้นเสียงจากวัสดุเหลือใช้จากอ้อย วงเงิน 2,270,000 บาท เพื่อส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดการเผาอ้อยก่อนตัดเข้าโรงงานและส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้ง

ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่า

(จังหวัดนราธิวาส)

>>ข้อสั่งการ

1.การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)

- ให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 25) ในแต่ละระดับ (ความเข้มข้นตั้งแต่ 20 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป) พร้อมกับแนะนำวิธีการป้องกันให้แก่ประชาชน

(จังหวัดพะเยาและน่าน)

>>ข้อสั่งการ

1.การสร้างการรับรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตพื้นที่ จ.น่าน

- ให้ ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน วิธีการป้องกัน และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม

(บริเวณสวนรักษ์ธรรมชาติ (วงเวียนหลักสี่) ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร)

>>ข้อสั่งการ

1.การพัฒนาสวนสาธารณะและเพิมพื้นที่สีเขียวในเขตกรุงเทพมหานคร

- ให้ กทม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างภายในสวนสาธารณะ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงภูมิทัศน์ ปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยลดฝุ่นละออง (PM2.5) เพิ่มเติมในพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ตามความเหมาะสมต่อไป

(จังหวัดเชียงราย)

>>ข้อสั่งการ

1.การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่ลดการสร้างมลพิษและสิ่งแวดล้อม

- ให้ พน. ร่วมกับ คค. ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการส่งเสริมให้ประชาชน หน่วยงานราชการ และระบบขนส่งสาธารณะใช้ยานพาหนะที่ลดการสร้างมลพิษ และสิ่งแวดล้อม โดยให้กำหนดแผนการดำเนินงานการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการสร้างมลพิษและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน

>> ผลการดำเนินงาน

1.พน. ดำเนินการ ดังนี้

1) อยู่ระหว่างดำเนินการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการสร้างมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกำลังดำเนินโครงการจัดทำแผนพัฒนาสถานีประจุแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยในวันที่ 8 มี.ค. 2564 ได้ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก

2) แนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมในไทย และมีแผนที่จะของบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการจัดทำโครงการสนับสนุนการลงทุนในการซื้อขายยานยนต์ฟฟ้า โดยสนับสนุนในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ในสถานศึกษา นิติบุคคล และประชาชนทั่วไป

3) ออกประกาศกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเชลหมุนเร็วและกลุ่มเบนซินให้เทียบเท่าระดับยูโร 5 เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2562 ซึ่งมาตรฐานใหม่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันและผู้ผลิตรถยนต์มีระยะเวลาเพียงพอในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

4) ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซลพ.ศ. 2563 กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจะต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล ร้อยละ 9 - 10 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลในภาคขนส่ง ซึ่งช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่เกิดจากภาคขนส่งได้ประมาณร้อยละ 35 - 13.5 ทั้งนี้ ข้อมูลในเดือน ธ.ค. 2563 พบว่ามีปริมาณการใช้ บี 10 เฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 ล้านลิตร/วัน และในปี 2564 จะดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ โทรทัศน์ วิทยุสื่อสิ่งพิมพ์

>>ข้อสั่งการ

2.การกำหนดตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

- ให้ ทส. ร่วมกับ มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดในการป้องกัน บรรเทาและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยให้การกำหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดในลักษณะลำดับขั้นที่สอดคล้องกับการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นต่อเนื่อง และนำไปสู่การขจัดปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างถาวร

>> ผลการดำเนินงาน

มท. ดำเนินการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุ ตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมประสิทธิภาพการติดตามและตรวจสอบคุณภาพอากาศและบัญชาการดับไฟป่า เน้นย้ำการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมทั้งกำหนดมาตรการ 4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ สำหรับพื้นที่เกิดไฟป่า โดย 4 พื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ (1) พื้นที่ป่าสงวนป่าอนุรักษ์ (2) พื้นที่เกษตรกรรม (3) พื้นที่ชุมชน/เมือง และ (4) พื้นที่ริมทาง โดยมี 5 มาตรการในการบริหารจัดการ ดังนี้

(1) ระบบบัญชาการเหตุการณ์

(2) สร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชน เด็กและเยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลป่า

(3) ลดปริมาณเชื้อเพลิง โดยให้จัดแนวกันไฟ การควบคุมการเผา

(4) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

(5) จัดตั้งทีมประชารัฐ โดยบูรณาการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ที่มา : รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ นรม. ของ มท. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2564)

มท. ร่วมกับ ทส. กำหนดแนวทาง/ตัวชี้วัดร่วม (Joint KPls) ตามแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรฐานการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยกำหนดตัวชี้วัดระดับจังหวัดเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคเหนือ โดยให้กำหนดตัวชี้วัดจุดความร้อนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือลดลงร้อยละ 20 ของจำนวนจุดความร้อนที่เคยเกิดในปีงบประมาณ 2563 ตลอดจนรับทราบความเห็นจาก 17 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรับทราบข้อเท็จจริง เพื่อใช้ในการพิจารณาความเป็นได้ ความเหมาะสม รวมทั้งการส่งเสริมมาตรการ/วิธีการดำเนินการ/แนวทางปฏิบัติร่วมกัน ก่อนกำหนดตัวชี้วัดใหม่ (ที่มา : รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ นรม. ของ มท. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2564)

(ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และโครงการรับขนส่งมวลชลขนาดรองสายสีทอง ระยะที่ 1 (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สถานีคลองสาน))

‘รัฐบาล’ ชวนร่วมงาน ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ หนุน ยกระดับพิพิธภัณฑ์ - ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั่วประเทศ

(29 มี.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 21 – 25 เมษายน 2566 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชนกว่า 30 หน่วยงาน ได้ร่วมกันจัดงาน ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ ที่บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี รวมถึงสมเด็จพระบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ และร่วมฉลองเนื่องในวาระครบรอบวันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 241 ปี พร้อมจัดกิจกรรมและจำหน่ายสินค้าวัฒนธรรมไทย 76 จังหวัด ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรม ทั้งนี้ มีรูปแบบงานและกิจกรรม 8 ส่วนหลัก ได้แก่

1.) พิธีทางศาสนา ประกอบด้วย วันที่ 20 เมษายน 2566 พิธีบวงสรวงเทพยดา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และโรงละครแห่งชาติ และ วันที่ 21 เมษายน 2566 พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 99 รูป ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ และพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง ณ ศาลหลักเมือง

2.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และโรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วย พิธีเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ประดิษฐานภาพพระบรมฉายาลักษณ์และเครื่องราชสักการะ 10 รัชกาล การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ชมพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน (Night Museum), การสาธิตอาหารไทยโบราณ ในรูปแบบตลาดย้อนยุค, การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม 76 จังหวัด ผลิตภัณฑ์ Cultural Product of Thailand (CPOT) ของดี 50 เขต กทม. และจุดถ่ายภาพย้อนยุคบริการประชาชน

3.) สวนสันติชัยปราการ ประกอบด้วย การแสดงมัลติมีเดีย ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ จัดแสดงอุโมงค์ไฟเรืองแสง ระหว่างวันที่ 21 เมษายน – 7 พฤษภาคม 2566 นิทรรศการสวนแสงจัดแสดงพระราชประวัติ 10 รัชกาล จัดฉายหนังกลางแปลง และการแสดงวงดุริยางค์จากเครือข่ายเยาวชนไทย

4.) หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ประกอบด้วย การประกวดภาพถ่ายกิจกรรมงานใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ สาธิต และจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย และกิจกรรมชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

แก้ที่ต้นตอ!! รัฐบาล เชื่อมโยงฐานข้อมูลเกษตรกร หวังแก้ไขปัญหาหนี้สินตรงจุดแบบพุ่งเป้า

เมื่อวันที่ 2 เม.ย.66 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผนึกกำลังขับเคลื่อนการพัฒนาและบูรณาการการเชื่อมโยงฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การผลักดันแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรแบบพุ่งเป้า ตรงจุดและยั่งยืน ตามนโยบายรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนภาคเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 14 หน่วยงาน ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลที่สามารถสะท้อนสถานะหนี้และศักยภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือนเกษตรกร ผ่านการเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษา และสร้างความเข้าใจถึงสาเหตุและต้นตอของปัญหาหนี้ของครัวเรือนเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญให้ผู้กำหนดนโยบายและสถาบันการเงินสามารถนำไปใช้ในการออกแบบ และผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรได้อย่างตรงจุดและยั่งยืนยิ่งขึ้น

6 ภาพจำ ‘ผลงานรัฐบาล’ ที่อยู่ในความทรงจำของประชาชน

เริ่มจากภาพการต่อสู้กับวิกฤติโควิด-19 ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงปี 2566 ระหว่างทางต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากมาย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า โรคระบาดนี้เกิดขึ้นครั้งแรกของโลก ไม่มีใครรู้ดีกว่าใคร และที่สำคัญ ไม่มีใครที่มีวัคซีน แต่ผลสุดท้าย รัฐบาลก็สามารถฝ่าทุกกระแสดรามา ทำให้ประชาชนคนไทย ก้าวข้ามจากโควิด-19 และได้ฉีดวัคซีนกันถ้วนหน้า

เชื่อมโยงจากเรื่องโควิด-19 มาถึงการได้เปิดประเทศ ต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และหลาย ๆ ประเทศที่มีวิทยาการก้าวล้ำกว่าประเทศไทย ยังเปิดบ้านเปิดเมือง ‘ช้ากว่า’ เราอยู่ไม่น้อย ถึงวันนี้ นักท่องเที่ยวเดินแบกเป้กันเต็มเมือง ส่วนหนึ่งเพราะการวางมาตรการการดูแลป้องกันที่เข้มงวด จึงสามารถเปิดประตูประเทศได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่น่าประทับใจ

พูดถึงความสัมพันธ์ต่างประเทศ ‘รัฐบาล’ ถือว่ามีภาพจำที่ดีไม่น้อย โดยเฉพาะกับงานใหญ่อย่าง ‘การประชุมเอเปค’ เมื่อปลายปี 2565 ซึ่งการจัดงานผ่านพ้นไปด้วยดี และที่ดีมากกว่านั้น คือภาพความสัมพันธ์ของลุงตู่กับผู้นำหลายต่อหลายชาติ แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายไม่กี่ช็อต ที่ถูกนำเสนอตามหน้าสื่อ แต่สำหรับในเวทีโลกแล้ว นี่คือ ‘พลัง’ ของความเป็นประเทศไทย ที่จะถูกฉายและขับเคลื่อนต่อไปในเวทีระดับนานาชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top