Friday, 10 May 2024
รัฐบาล

สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาล ‘ก้าวไกล’ อาจต้องยกเก้าอี้ ประธานสภาฯ ให้เพื่อไทย เพื่อให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(26 พ.ค. 66) เลียบการเมือง..สุดสัปดาห์   ก็ต้องมาขมวดสถานการณ์ส่งท้ายกันให้สะเด็ดน้ำอีกนิดว่า..แม้จะบอกว่าพรรคฝ่ายตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย  ยึดผลประโยชน์ชาติและประชาชน  แต่สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลไม่ได้ราบรื่นแบบโรยด้วยกลีบกุหลาบแม้แต่นิดเดียว...ยิ่งนานวันก็ออกอาการแบบการเมืองเดิมๆ..
เอาล่ะ ไม่พูดพล่ามทำเพลง  เล็ก  เลียบด่วน  ขอหน้าแหกฟันธงไว้สัก 3ประการดังนี้..
ประการที่หนึ่ง –ศึกชิงตำแหน่งประธานสภา   หลังจากมีการประดาบ สำแดงพลังกันพักใหญ่ ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็คงเป็นฝ่ายชนะ..แต่อาจมีข้อแลกเปลี่ยนพิเศษให้กับพรรคก้าวไกล...

ประการที่สอง  - เมื่อตกลงชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยได้ตำแหน่งประธานสภาแล้ว   เพื่อไทยก็จะโอบอุ้มหนุนส่งพิธา   ลิ้มเจริญรัตน์  ไปจนถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีช่วงปลายเดือนก.ค.หรือต้นส.ค.....แน่นอนพรรคเพื่อไทยยกมือหนุนให้พิธา....แต่คะแนนของพิธาจะผ่าน 376 เสียงหรือเกินครึ่งของรัฐสภาเพื่อจะได้เป็นนายกฯหรือไม่อยู่ที่มือของสว.เป็นหลัก...

ประการที่สาม- พิธาคงไปไม่ถึงฝันเพราะสว.ส่วนใหญ่ไม่ยกมือให้  ถึงตอนนั้น พรรคก้าวไกลอาจหนุนนายกฯของพรรคเพื่อไทย  แต่เสียงอาจไม่ถึง 376 เสียงอีกเพราะสว.อาจตั้งแง่ว่า  ตราบใดที่มีพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะไม่โหวตให้...เกมการเมืองก็จะพลิ กโฉมหน้าไปอีก  โดยโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม   พรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้านมีสูงมาก...

อาจมีบางฝ่ายในปีกอนุรักษ์นิยมเชื่อว่า   เมื่อพิธาสอบไม่ผ่าน...ก้าวไกลประกาศไปเป็นฝ่ายค้าน ลุงตู่หรือลุงป้อมอาจพลิกเกมลงสู้ชิงนายกฯแข่งกับพรรคเพื่อไทย  ซึ่งน่าจะชนะแน่เพราะมี250 เสียงจากสว.หนุน  จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย    ลากไปซักปีค่อนปีแล้วค่อยยุบสภานั้น...สูตรนี้”เล็ก  เลียบด่วน”  เห็นว่าคิดได้..ทำได้  แต่ถ้าทำจริงๆน่าจะเข้าทางด้อมส้ม..เลือกตั้งรอบหน้าฟ้าถล่มดินทลายแน่นอน...ขณะที่สูตรยอมหนุนพรรคเพื่อไทย เอาไว้ถ่วงดุลกับก้าวไกล  น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า...

นั่นเป็นการคาดหมายสถานการณ์...ซึ่งไม่ว่าหวยจะออกมาอย่างไรก็ต้องขอบอกว่า  วันก่อนเห็นภาพว่าที่นายกฯทิม  พิธา  ยกคณะไปตัดสูทตัดชุดกันที่ร้านทรงสมัยซั่งฮี้แล้วก็อยากบอกว่าแม้ที่สุดฝันเก้าอี้นายกฯอาจไม่เป็นจริง..แต่กับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎรก็ถือว่าทรงคุณค่า  เท่ระเบิดเถิดเทิงเหมือนกัน.....

มีคนถามไถ่กันมากว่าทำไม..ผู้พันปุ่น  ศิธา  ทิวารี  หนึ่งในแคนดิเดทนายกฯพรรคไทยสร้างไทย   ต้องเล่นบทผู้สื่อข่าวตั้งคำถามและแนะนำให้พรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลทำแอ๊ดวานซ์  เอ็มโอยู  ผูกขากันเดิน..ห้ามพรากจากกัน จนเกิดเรื่องบานปลาย..ก็ตองบอกว่าหากมองชั้นเดียวผู้พันปุ่นน่าจะทำเพื่อพรรคตัวเอง..เพราะตราบใดมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำพรรคไทยสร้างไทยก็จะเป็นตัวช่วยสำคัญตัวหนึ่ง  แต่ถ้าเกมพลิกพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ..เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงคงไม่แฮปปี้ที่จะเห็นคุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธ์   หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย มาร่วมวง..?..

ไปที่พรรคประชาธิปัตย์...ไม่เกินความคาดหมาย  เกมการประชุมใหญ่วิสามัญ  เลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในอีกไม่นานนี้  จากองค์ประชุม 19 ประเภทนั้น..จะให้น้ำหนักการโหวตอยู่ที่ ส.ส.ชุดใหม่  25 คน 70 เปอร์เซ็นต์  อีก 18 ประเภทองค์ประชุม เช่น ประสาขา,ตัวแทนจังหวัด,อดีตส.ส. ฯลฯ  30 เปอร์เซ็นต์...เช่นนี้แล้วใครอยากรู้ว่าหัวหน้าและเลขาคนใหม่เป็นใครก็ต้องไปถาม.”.เลขาต่อ”...กับนายกฯชาย..ที่คุมเสียงส.ส.ชุดใหม่เบ็ดเสร็จ...และขณะที่หลายคนบอกอย่าสิ้นหวัง ฟื้นคืนชีพพรรคได้แน่  แต่อีกไม่น้อยบอกว่า..ที่นี่มืดจริงหนอ..!!!

สวัสดีครับ

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

พิธา โพสต์เคลียร์ เก้าอี้ ประธานสภาฯ ขอให้ทุกพรรค เดินหน้าทำงาน ปรับจูนนโยบายร่วมกัน เพื่อตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ

วันที่ (26 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความ ถึงการแย่งชิงเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้พรรคการเมือง 8 พรรคที่เตรียมจัดตั้งรัฐบาลจับมือกัน และนำประเด็นนี้ไปพูดคุยกันในวงเจรจา

"เรื่อง ประธานสภา ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่เล็กมากถ้าหากเทียบกับภารกิจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พวกเรามา

ดังนั้น พรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือเกี่ยวแขนกันไว้ให้มั่นคง ทำภารกิจยุติสืบทอดอำนาจรัฐประหาร พาประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยให้สำเร็จจงได้

พวกเราต่างก็รับทราบวิธีคิด หลักการ เหตุผล ของทุกฝ่ายชัดเจนแจ่มแจ้งในประเด็นนี้กันแล้ว ดังนั้น ผมขอให้เรื่องตำแหน่งประธานสภานี้ ให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับไปพูดคุยกันผ่านตัวแทนแต่ละพรรคในวงเจรจาจะดีที่สุด

ตอนนี้ ขอให้ทุกพรรคเดินหน้าทำงานปรับจูนนโยบายร่วมกัน ตั้งรัฐบาลให้สำเร็จตามความคาดหวังของประชาชนครับ" นายพิธา โพสต์
 

เกมยากของ ‘พิธา’ – ‘ก้าวไกล’  เมื่อเจอกับด่านความมั่นคงสูง เขาจะค้ำถ่อพ้นไปหรือเปล่า

ก้าวไกล-พิธา ต้องฝ่า 3 ด่าน ที่เป็นปราการใหญ่ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
-จุดยืนในการแก้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดทางให้วิจารณ์สถาบันได้มากขึ้น ลดโทษจำคุก-ปรับ ให้สถาบันฟ้องเอง ก้าวไกลมีจุดยืนชัดว่า จะแก้ไข ม.112 แต่พรรคร่วมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย จึงไม่มีข้อตกใน mou ก้าวไกลก็ยืนยันจะแก้ผ่านกลไกของสภา
-การขอแรงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ที่พรรคก้าวไกลดิ้นรนจะปิดสวิทต์เขามาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ต้องขอรับการสนับสนุนผ่านการเจรจา-พูดคุย-แลกเปลี่ยน ไม่ใช่ใช้มวลชนไปกดดันเหมือนที่ผ่านมา เวลานี้สมาชิกวุฒิสภาบางคนท่าทีชัดว่า จะไม่ยกมือสนับสนุน บางคนก็จะยกมือให้ บางคนจะยกมือสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไข

-การถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42000 หุ้น ไอทีวียังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ในการจดตั้งอยู่ ต้องแยกให้ออกนะครับระหว่างบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) กับสถานีข่าวไอทีวี สถานีข่าวไอทีวี หยุดเผยแพร่ภาพไปแล้ว แต่บริษัทไอทีวี ยังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์อยู่ มีกำไรด้วย พิธาอ้างว่า เป็นหุ้นในมรดก เขาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก แต่ผู้รู้ก็โต้แย้งว่า ถ้าเป็นหุ้นในกองมรดก ในใบหุ้นต้องสลักหลังชื่อไว้ด้วย “มรดก” แต่ใบหุ้นไอทีวีของพิธา ไม่มีการใส่วงเล็บไว้หลังชื่อ

นี้เป็นปราการ 3 ด่านที่พิธาจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ส่วนตำแหน่งประธานสภาจะเป็นของใครพิธาส่งสัญญาณมาแล้วว่า เป็นเรื่องเล็ก ให้ไปคุยกันในวงคณะทำงาน จะเป็นของก้าวไกล หรือเพื่อไทยให้จบในวงคณะทำงาน

ด่านต่อไปคือ การจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองในฝ่ายบริหาร คือตำแหน่งรัฐมนตรี ทีมีการคำนวณออกมาแล้วว่า 8.6 ส.ส.ต่อรัฐมนตรี 1 คน แล้วอย่างนี้แสดงว่าพรรคเล็ก 1-2 เก้าอี้จะไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี ใช่หรือไม่ หรือมีตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆให้ เป็นประจำสำนักนายกฯ หรือไปกินตำแหน่งในสัดส่วนของสภา เป็นตำแหน่งในกรรมาธิการคณะต่างๆ 

ด่านต่อไป คือการยกร่างนโยบายรัฐบาลที่จะต้องแถลงต่อสภา ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล โดยคณะทำงานจะต้องไปนั่งถกแถลงกันให้ตกผลึก นโยบายของแต่ละพรรคที่จะใส่เข้าไปมีอะไรบ้าง พรรคร่วมฯว่าอย่างไร แล้วเขียนมาเป็นนโยบายรัฐบาล

จะเห็นว่า”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังมีอีกหลายด่าน หลายปราการในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก้าวไกลไม่ได้ชนะขาดพรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องอาศัยแรงจากพรรคอื่นๆด้วย และแรงจากพรรคอื่นกลับเป็นพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงรองเป็นอันดับสอง จึงทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจต่อรองสูงมาก ยิ่งสูงมากขึ้น เมื่อพรรคภูมิใจไทย ประกาศชัดไม่ร่วมกับพรรคก้าวไกล

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพราะพรรคก้าวไกลประกาศเอง “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” เท่ากับปปฏิเสธสองพรรคนี้ตั้งแต่ก่อนลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง 25 เสียง เป็นแค่ตัวแปรเล็กๆที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก เว้นแต่นักแสวงหาบางคน อาจจะดิ้นรนนำพาไปสู่การแสวงหาอำนาจ แต่ก็ยากจำสำเร็จ เว้นแต่ดีลระหว่างพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยเดินต่อไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ค่อยมาพูดกัน เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีเวลา 60 วันในการรับรองผลการเลือกตั้ง ถ้ารับรองได้ครบ 95% ก็สามารถเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภาได้ ส่วนใน 60 วันจะพิจารณา และรับรองผลการเลือกตั้งได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนในการทำผิดกฎหมายของผู้สมัครที่มีคะแนนนำมาอันดับ 1 รวมถึงความยุ่งยากในการสืบสวนสอบสวน พยานหลักฐานในการร้องเรียน จะมี “ใบแดง-ใบเหลือง-ใบส้ม” ก็มากน้อย
ใบส้ม-ใบเหลือง คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใบส้มจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใช้ผู้สมัครคนเดิม ไม่ต้องเปิดสมัครใหม่ แต่คนที่โดนใบส้มจะหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว ส่วนใบเหลือง ก็ไม่ต้องเปิดรับสมัครใหม่เช่นกัน แต่ผู้สมัครที่โดนใบเหลือง ยังมีสิทธ์เป็นผู้สมัครอยู่

ส่วนใบแดง เป็นการตัดสิทธิ์ของผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมาย ผ่านการพิจารณาตัดสินของศาล ถ้าเขตเลือกตั้งใดโดยใบแดง กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยเปิดรับสมัครใหม่ แต่คนเก่าที่โดยใบแดงหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว

เวลานี้การพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆอยู่ในขั้นการสอบสวนของชุดสอบสวนของ กกต.จังหวัด จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนมีมากน้อยแค่ไหน พยานหลักฐานเป็นอย่างไร ข้อร้องเรียนยุ่งยากซับซ้อนหรือไม่ และ 60 วันจะทันต่อการรับรองให้ครบ 95% หรือไม่
ถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรแพลมออกมาจาก กกต.ถึงข้อร้องเรียน ผลการพิจารณา แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีข้อร้องเรียนมาก เช่น จัดเลี้ยง สัญญาว่าจะให้ ซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับคอการเมืองติดตามกระชั้นชิดสำหรับการเมืองในช่วงนี้ กระพริบตาเกมเปลี่ยน ตามไม่ทัน

นายหัวไทร

มิ.ย.นี้ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเดินหน้า จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล 

เดือนมิถุนายนนี้ อย่ากะพริบตากับการกลับมาของสถานีข่าวไอทีวี ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)กับบริษัทไอทีวี ซึ่งศาลปกครองกลางพิพากษาให้บริษัทไอทีวี ชนะคดี

ถ้าศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ไอทีวีอาจจะกลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์ใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งปัจจุบันไอทีวียังคงสถานะความเป็นบริษัทผลิตสื่ออยู่ ตามวัตถุประสงค์เพื่อสู้คดีกับ สปน. ส่วนจะผลิตสื่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่ เช่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น

ไม่ใช่แค่ไอทีวีอาจจะกลับมา แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ด้วย และอาจจะกระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่จะดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่พิธาติดปัญหาถือหุ้นไอทีวีอยู่ในนามชื่อของตัวเอง แม้จะอ้างว่าเป็นมรดกก็ตาม แต่โดยหลักแล้ว หุ้นมรดกปกติจะต้องมีวงเล็บต่อท้ายชื่อผู้ถือหุ้นว่า “มรดก”

ถ้าพิธาถูกตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า มีความผิดฐานถือหุ้นสื่อ ก็จะมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะพิธาถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี 2549 หลังจากพ่อเขาเสีย จะมีผลในทางลบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 ด้วยหรือไม่

และมีผลต่อการรับรองผู้สมัครทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ แปลความได้ว่า การรับรองผู้สมัครไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือระเบียบพรรคก้าวไกลก็ลอกมาจากรัฐธรรมนูญ ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ หรือถือหุ้นสื่อด้วย พิธาก็ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่

แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาพรรคก้าวไกล มี ส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อรวมกัน 151 ที่นั่ง 151 ที่นั่งนี้จะโมฆะหรือเปล่า อันจะนำไปสู่การทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะไปด้วย ต้องจัดเลือกตั้งใหม่หรือเปล่า

ถ้าพิจารณาตามข้อมูลที่รับรู้รับทราบกันก่อนหน้าบวกกับประเด็นใหม่ไอทีวี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แม้จะมีคะแนนมหาชนจำนวนมาก แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย…จริงไหมครับ

‘จตุพร’ ชี้ ‘ทักษิณ’ เป็นคนไม่มีสัจจะ เกมกลับบ้าน เป็นแค่กลยุทธ์ ทางการเมืองเท่านั้น

9 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ใครได้...ใครเสีย..." โดยกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร หลอกคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นคนไม่มีสัจจะมักจะได้รับสิ่งที่ไม่มีสัจจะกลับคืน ยิ่งอ้างว่า ครอบครัวชินวัตร ยังไม่ให้กลับบ้าน เพราะกลัวถูกหลอก โดยนัยยะข่าวนี้สะท้อนถึงมีการดีลกันมาต่อเนื่องนับตั้งแต่หาแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แต่กลับไปไม่ถึง และไม่เป็นจริง

นายจตุพร กล่าวว่า นายทักษิณ ประกาศกลับบ้านหลายครั้งคงเชื่อว่า ประชาชนยังรักตัวเองอยู่มากมาย โดยประกาศกลับบ้านร่วม 20 ครั้งแต่ไม่กลับ เท่ากับมุ่งหวังผลเพียงคะแนนเสียง จนการเลือกตั้งปี 2566 ได้เปลี่ยนกระดานการเมืองไปมาก และเป็นบทเรียนของคนไม่ยึดมั่นสัจจะวาจา ซ้ำร้ายชอบหลอกเอาความรู้สึก ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นของเล่น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ข่าวครอบครัวชินวัตรหารือไม่ให้ทักษิณกลับบ้านนั้น เริ่มออกอาการรวนมาตั้งแต่ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้าหมายแลนด์สไลด์ หรือพรรคเพื่อไทยไม่มาอันดับหนึ่ง แต่พรรคก้าวไกลมาแรงแซงโค้งชนะเลือกตั้งเป็นพรรคที่หนึ่ง จึงต้องมีการจัดเกมการเมืองกันใหม่ในการกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับบ้านเลย แต่ผู้นำที่จิตใจมีแต่ความขลาดกลัว จึงไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบ

“มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีสมัยทักษิณ มีอำนาจ อย่างน้อยต้องติดคุก ส่วนเสื้อแดงก็เข้าคุก และบางคนตายในคุกก็มี แต่ทักษิณ คนเป็นหัวหน้าคนอื่นต้องมีความละอาย เมื่อลูกน้องไม่หนี ตัวเองจะหนีไม่ได้ ต้องอยู่จนวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้หรือการทำหน้าที่นั้นๆ แต่ทักษิณหนีไป ส่วนคนไทยเป็นคนให้โอกาสตลอดเวลา และพร้อมรับคำโกหกของทักษิณ ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า แม้มีบางคนวิเคราะห์การไม่กลับบ้านของทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่วันที่ทักษิณออกจากไทยล่าสุดเมื่อปลาย ก.ค. 2551 ก็ไปในวันที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (หลังจากไทยรักไทยถูกยุบ) เป็นนายกฯ จนไม่กล้ากลับมา

ดังนั้น การไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกลับบ้าน แต่อยู่ที่ตัวของทักษิณเอง จะยืนหยัดและพร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินคดีจนถึงที่สิ้นสุดให้จำคุก 10 ปีหรือเปล่า รวมทั้ง ย้ำว่า ทักษิณ ไม่อยากติดคุก ตราบใดถ้ายังคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าเรือนจำก่อนนั้น ก็ไม่มีทางได้กลับมา และยิ่งพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็กลับมาไม่ได้ เพราะกลับมาไม่ติดคุกคนก็ออกมาเต็มถนน

“ยังไม่เข็ดเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอยกันอีกหรือ ถ้าทักษิณ ประกาศกลับในช่วงวันเกิดและไม่เป็นภาระกับพรรคเพื่อไทย แล้วยังให้สัจจะวาจาจะกลับในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรักษาการนายกฯ อยู่ แค่การที่ตัวเองเบี้ยวหลายรอบ ผิดสัจจะนับสิบหน จุดจบของคนชอบหลอกคนอื่น คือ ตัวเองก็จะถูกหลอกเช่นกัน”

อีกทั้ง เห็นว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ พูดยืนยันการกลับบ้านในเดือน ก.ค. ซึ่งใกล้มาแล้ว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่เป็นใจอะไรให้กลับบ้านเลย ดังนั้น การทรยศ หักหลัง หลอกลวง ประชาชน จะกลายเป็นโมฆะบุรุษทันที หรือจากรัฐบุรุษก็กลายเป็นทรราช

“คนผิดสัจจะวาจาครั้งแรกก็เสียคนแล้ว แต่ทักษิณผิดวาจากลับบ้านมาตั้ง 20 ครั้ง จึงไม่มีความเป็นคนให้เสียได้อีกแล้ว ดังนั้น เกมนี้เหมือนโยนหินถามทาง ย่อมมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาเกมการเมืองในอนาคตที่ใครไม่คาดคิดว่า จะกล้าทำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมมีร่องรอยเสมอ”

ดังนั้น ตนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า สุดทางเดินการเมืองจะนำไปสู่การรัฐประหาร และขณะนี้เกมยังเดินอยู่ระหว่างทาง และยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รอแจกใบเหลือง ส้ม หรือดำ และยังจะมีจำนวนที่มากกว่าที่ระบุออกมาด้วย เพราะนี่คือเกมระหว่างทางไปสู่การยึดอำนาจปลายทาง

อีกทั้ง การไม่กลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก ทั้งที่ความจริงแล้วทักษิณไม่ต้องการกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เอาลูกสาวสมัครแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหลอกเอาความรู้สึกของประชาชนมาเป็นของเล่น ดังนั้น การเมืองครั้งนี้จะเห็นความตลบตะแลงที่ใหญ่มาก แต่ต้องแลกมาด้วยวิกฤตศรัทธา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของวิกฤตศรัทธาคือ การลวงโลกและการดูถูกประชาชน โดยพยายามเจรจาแลกเปลี่ยน ถ้าทำกันจริงประชาชนจะต่อต้านอย่างรุนแรง

“เกมกลับบ้าน ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น จึงอย่าได้ประมาท แม้ใจของทักษิณไม่กล้าก็ตาม แต่การบอกกลับบ้าน ซึ่งเป็นการหลอกลวง เป็นธรรมชาติของผีที่ชอบหลอกมาตลอด จนไม่มีความละอายใจเลย เมื่อเป็นผู้นำแล้วประกาศกลับบ้าน ถึงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ต้องกลับ กลัวอะไรกับติดคุก ลูกน้องคุณยังไม่กลัวกันเลย”

นายจตุพร ย้ำว่า การห้ามทักษิณกลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก นั้นหมายความว่า มีการดีลกันมาตลอด เป็นดีลที่ถูกปัดและปฏิเสธมาแต่ต้น จนผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามความต้องการ แม้ปฏิเสธไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในภายหลัง แต่คนไม่เชื่อคำพูดเสียแล้ว

“ถ้ากลับมาในวัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ รักษาการ แล้วเข้าคุกจะกลัวเรื่องการถูกหลอกทำไม เพราะการเข้าคุกเป็นไปตามคำพิพากษา แต่การไม่กลับมาทำให้เสื่อมหนักไปอีก ยิ่งมาถึงวันเลือกประธานสภา แล้วมาโหวตนายกฯ หากเป็นไปตามการแลกเปลี่ยนกันแล้ว จะยิ่งทำให้เกิดวิกฤตศรัทธารุนแรง ประชาชนจะออกมาเต็มท้องถนนแล้วจะปกครองกันอย่างไร”

พร้อม สงสัยว่า เพียงแค่วันที่ 8 มิ.ย.เท่านั้น ทำไมต้องรีบสื่อสารจะไม่กลับบ้านกันแล้ว นอกจากต้องการตรวจสอบอาการของคนว่า ใครหลอกใคร ที่ถูกหลอกกันมาเป็นทอดๆ เช่นกัน เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะ ชอบหลอกคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นหลอกไม่แตกต่างกัน ซึ่งทางเดินของโมฆบุรุษจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ นอกจากบอกชื่อตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นความจริงเดียวที่เหลืออยู่

นายจตุพร ประเมินว่า เมื่อยิ่งใกล้วันทักษิณกลับบ้านใน ก.ค.นี้ เกมการเมืองเดินมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ตนคาดว่า กรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน่าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ จะได้เข้าประชุมสภาผู้แทน ได้เลือกประธานสภา ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย โดยอาจเป็นนายสุชาติ ตันเจริญ หรือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวเลือกจะได้รับตำแหน่ง

“หลังจากนั้น ช่วงรอพระบรมราชโอกงการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งประธานสภาและรองประธาน จะเป็นช่วงเวลาที่นายพิธา จะถูกศาล รธน.สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่จะเห็นร่องรอยความขัดแย้งแล้ว เนื่องจากการเลือกประธานสภา ย่อมรู้ได้ชัดเจนแล้วว่า ใครจะเลือกใครอย่างไร”

‘จตุพร’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ โดยบางส่วนใน 312 เสียง จะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง

10 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำพูด...เป็นนาย?" โดยกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า เป็นข้อหาที่ผสมเกมการเมืองได้จัดเตรียมไว้ หากไม่เข้ามาเล่นการเมืองแล้ว การถือหุ้นสื่อก็ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายกำหนดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อจึงกลายเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพทางสังคมสื่อไอทีวีไม่ได้ออกอากาศ อีกทั้งในข้อกฎหมายแล้ว บริษัทยังไม่ได้ปิดและไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ ยังรายงานบัญชีทุกปี ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ได้สนใจว่า ไอทีวีออกอากาศหรือไม่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ไอทีวีไปอยู่ในเครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขายอย่างดี นอกจากนี้ ยังแต่งตัวหุ้นกรณีของนายพิธา จนครบถ้วนตามกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่ออีกด้วย โดยมีการถาม-ตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังนั้น การถือหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นเรื่องการเมือง และนายพิธา ควรสงสัยมากที่สุดกับคนในฝ่ายเซ็น MOU ร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากทางอื่นเลย

"นายพิธา เมื่อเดิมพันด้วยแคนดิเดตนายกฯ จึงตกเป็นเป้าถูกการเมืองเล่นงาน ซึ่งในอดีตมีนักการเมืองโดนกันแทบทุกฝ่าย มีทั้งคนรอดและไม่รอดจากศาล รธน. ดังนั้น วันนี้นายพิธา จึงเจออุปสรรค ต้องต่อสู้ทุกคดีความตามกฎหมายในด่านต่างๆ ต้องมีสมาธิไปต่อสู้คดีการเมืองในทุกด่าน รวมทั้งต้องทำใจรับผลทุกกรณี แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม”

นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา แม้ไม่ถูกร้องเรียนเป็นคดีถือหุ้นสื่อก็ตาม แต่ความจริงไม่สามารถได้เป็นนายกฯ ถึงมี 8 พรรครวมเสียง 312 ยังจับมือกันมั่นแน่น รวมทั้งออกข่าวร่วมกันว่า กำลังประสาน ส.ว. 100 คน ซึ่งบรรดากองเชียร์ฟังแล้วคงสบายใจมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ว่ากันไปให้บรรเจิด

"เรื่อง 100 ส.ว. มันเป็นเรื่องร้อยเล่ห์ มันไม่มีจริง แต่สามารถนำมาคุยให้ฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความสุขกันได้ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่ขาดเสียง ส.ว.อยู่ 64 คนเลย แค่หาเพียง 30 เสียงให้ได้ก่อนก็ยังยาก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงอย่างน้อย 376 เสียงจากทั้งหมดของสองสภา 750 เสียง จึงมีค่าเท่ากับศูนย์ เหตุนี้นายพิธา จึงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกฯ เลย"

พร้อมประเมินว่า ถ้านายพิธา มีอุบัติเหตุการเมืองขวางไม่ให้ไปถึงโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว แม้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่มาเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะมีเสียง 8 พรรค 312 เสียงเหมือนกัน และต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 64 เช่นกัน จึงยากจะตั้งรัฐบาลได้ไม่แตกต่างกัน

"ดังนั้น เมื่อหมากโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลมันตัน ให้จับตาไว้จะมีปรากฎการณ์โคตรงูเห่าเกิดขึ้น โดยบางส่วนใน 312 เสียงจะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้"

นายจตุพร เชื่อว่า เกมการเมืองแบบนี้ อาจะหลอกได้ในบางเวลาเท่านั้น แต่จะถูกจับได้อยู่ดี เนื่องจากคนที่ย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งมาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีชนักในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทั้งสิ้น อีกอย่างรูปถ่ายในวันไปอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิป่าร้อยต่อฯ นั้น ยังสะท้อนเบื้องหลังรอยยิ้มเบิกบานเข้าตามแผนการเมืองได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น ภาพๆนี้ ยังถูกปล่อยออกมาสื่อสารทางการเมืองเพื่อเขย่าขวัญสาธารณะ

อีกทั้งย้ำว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีสัจจะใดๆ ใครจะพูดอะไรก็ได้ วันนี้เรื่องไม่กลับบ้าน ทักษิณก็ไม่เหลือสถานภาพคนให้เสียอีกแล้ว แต่สิ่งสำคัญ กลับสร้างภาพให้ครอบครัวเบรคไม่ให้กลับบ้านแสดงถึงที่ผ่านมามีการดีลกันในทุกขั้นตอน เพราะหลุดคำว่า "กลัวจะถูกหลอก" ออกมา

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวของทักษิณ เราเคยพยากรณ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว กระทั่งถึงวันนี้ สรุปได้ชัดเจน คือ ไม่กลับมา และอีกอย่างยังตอกย้ำว่ามี การดีลทางการเมืองกันจริง อย่างไรก็ตาม ตามประสาการเมืองไม่มีสัจจะ แม้คุยกันต่อหน้าราบรื่น ยิ้มรับการแลกเปลี่ยนด้วยดี แต่ลับหลังพฤติกรรมปกติของนักการเมืองมักถามพวกตัวเองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเมืองเป็นเช่นนี้มาตลอด ดังนั้น ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันใหม่ มาจัดความสมดุลให้เป็นจริง พร้อมกับแบ่งสรรทรัพยากรของชาติกันให้เท่าเทียม ขจัดการเหลื่อมล้ำ เพื่อจะได้นับหนึ่งประเทศกันเสียที

"แต่การเปลี่ยนแปลงสู่การนับหนึ่งประเทศใหม่ เกิดได้ยากมากภายใต้สมการการเมืองแบบไร้สัจจะ เอาเปรียบและมุ่งแสวงหาประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ นักเลือกตั้งก็คิดแต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ไม่คิดถึงประเทศในวันต่อไป นักการเมืองจะไม่มีใจเป็นรัฐบุรุษ มีแค่จิตใจของนักเลือกตั้งเท่านั้น เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายจตุพร กล่าว

4 สัญญาณอันตราย

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจว่า วิกฤตเพดานหนี้สหรัฐฯ แม้จะมีข้อยุติชั่วคราวไปแล้ว แต่ได้สะท้อนปัญหาการคลังที่รัฐบาลหลายประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทย ซุกไว้ใต้พรมและพร้อมที่จะประทุได้อีกทุกเมื่อ หากไม่มีการแก้ไขที่ต้นเหตุ ใน 4-5 ปีข้างหน้า แนวโน้มฐานะการคลังจะเลวร้ายลงจากสาเหตุ 4 ประการ ประกอบด้วย

1. ดอกเบี้ยสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้งบชำระหนี้สาธารณะสูงขึ้นอย่างมาก
2. ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์โลก ทำให้ทุกประเทศต้องจัดงบประมาณด้านการทหารสูงขึ้น
3. การแก้ปัญหาโลกร้อนและการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้รัฐต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น
4. สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้กับรัฐในด้านบำเหน็จบำนาญ เบี้ยยังชีพคนชรา และการรักษาพยาบาล

ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 2.0% อาจเป็นการซ้ำเติมภาระหนี้รัฐบาลและประชาชนขึ้นอีก รวมทั้งยังอาจทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นและเศรษฐกิจในภาพรวมชะลอตัวลง ดังนั้นในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง รัฐบาลอาจต้องเตรียมพร้อมมาตรการกระตุ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากทั่วโลกเปิดประเทศหลังโควิด โดยเฉพาะจีน น่าจะเป็นโอกาสเหมาะสมที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund ที่มีรายได้มาจากการจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทย โดยกองทุนดังกล่าวควรเข้ามาดูแลปัญหาและต้นทุนที่การท่องเที่ยวก่อเกิดกับประเทศไทย เช่น การประกันภัยและการรักษาพยาบาลนักท่องเที่ยว การบูรณะและฟื้นฟูทรัพยากรที่เสื่อมทรามลง การลดผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยว
 

‘ลุงป้อม’ แก้ปัญหาน้ำ สานต่อโครงการตามแนวพระราชดำริฯ ป้องกันราษฎรขาดแคลนน้ำ อุปโภค-บริโภค-เกษตรกรรม

วันนี้ (12 มิ.ย.66) เวลา14.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จ.เพชรบูรณ์ หลังจากในช่วงเช้าได้เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาต เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในป่าสงวนแห่งชาติ ตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) โดยในช่วงบ่าย พล.อ. ประวิตร และคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ เพื่อตรวจ ติดตามความคืบหน้า โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำ อ่างเก็บน้ำคลองลำกุง ต.วังท่าดี อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ 

พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปและรับทราบผลการดำเนินงานจาก  นายสุชาติ กาญจนวิลัย ผอ.โครงการชลประทานเพชรบูรณ์ ซึ่งโครงการดังกล่าว เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2519 โดยความรับผิดชอบของกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรจากการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค และการเกษตรกรรม ในขณะนั้น ต่อมาในปี 2547 - 2548 รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริ ว่า " ควรพิจารณาวางโครงการเก็บกักน้ำตอนบน ของลำน้ำสาขาแม่น้ำป่าสัก ไว้ให้มากเพื่อใช้ในด้านการเกษตร และป้องกันอุทกภัย เนื่องจากน้ำเหนือเขื่อนป่าสักมีจำนวนมาก โดยให้พิจารณาจัดเก็บกักให้เหมาะสม " ทั้งนี้กรมชลประทานได้น้อมนำมาปฏิบัติ ซึ่งโครงการดังกล่าว มีระบบส่งน้ำแบ่งเป็นประเภท ระบบท่อส่งน้ำและระบบคลองส่งน้ำ มีความยาวรวม 99 ก.ม. และหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีพื้นที่รับประโยชน์ที่เป็นพื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝน จำนวน 50,000 ไร่ และในฤดูแล้ง จำนวน 22,000 ไร่ รองรับพื้นที่ 4 ตำบล ของ อ.หนองไผ่ จ. เพชรบูรณ์ ซึ่งการก่อสร้าง งป. ปี 62-70 ได้ดำเนินการไปแล้ว 78.93 % (1,250 ล้านบาท)

พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำชับ กรมชลประทาน ให้เร่งรัดการก่อสร้างระบบส่งน้ำอ่างเก็บน้ำคลองลำกง ให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามแผนงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ ป้องกันการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และเพื่อการเกษตรกรรม ตามแนวพระราชดำริฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งเสริมการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจท้องถิ่น จ.เพชรบูรณ์ และ จังหวัดใกล้เคียงด้วย จากนั้นได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินทางกลับ กทม.

‘จตุพร’ ฟันธง กรณีหุ้นไอทีวี แม้มีคลิปเสียงหลุด ‘พิธา’ ก็ไม่ได้นั่งเก้าอี้

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ข่าวดี…มาก่อนข่าวร้าย?” โดยเชื่อว่า คลิปเสียงประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีจงใจหลุดออกมาปฎิบัติการตอกลิ่มขัดแย้งให้พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังช่วงชิงนายกฯ ถึงที่สุดปลายทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคว้านายกฯ ไปครองสำเร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีหุ้นไอทีวี เกี่ยวข้องทั้งทางการเมืองและกฎหมาย โดยไอทีวีเกิดขึ้นในปี 2535 ต้องการให้เป็นสื่อเสรี เป็นช่องทางสาธารณะของประชาชน ไม่อยู่ใต้การครอบงำของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจได้

กระทั่งไอทีวีมาอยู่ในมือของชินคอร์ป แล้วเกิดปัญหากับนักข่าวหลายคน นักข่าวที่มีทัศนคติเป็นปัญหากับเจ้าของก็ถูกสั่งให้ออก เมื่อเกิดปัญหาจ่ายค่าสัมปทานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จนถูกฟ้องร้องยกเลิกสัญญาพร้อมเรียกเงินค้างจ่ายค่าสัมปทานระบบ UHF

อย่างไรก็ตาม บริษัทไอทีวีถูกขายต่อกันหลายทอด จนมาอยู่กับบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน โดยบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับบริษัทพลังงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมไอทีวี อีกทั้งได้สัมปทานไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในด้านพลังงานในปัจจุบัน แล้วไอทีวี กลายเป็นประเด็นการเมืองและถกเถียงด้านกฎหมายคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

อีกทั้ง กล่าวว่า ถ้านายพิธา เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็นนักการเมือง หรือไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขอบเขตกฎหมายไม่สามารถเข้าไปจัดการกับการถือหุ้นไอทีวีได้ แต่ความจริงคือ นายพิธา เมื่อเป็นนักการเมือง กฎหมายมีข้อห้ามถือหุ้นสื่อ จึงเกิดรอยปริทางอำนาจขึ้นอย่างเดือดระอุ

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปกติมีหน้าที่แจกข่าวดีเป็นส่วนใหญ่ โดยข่าวดีที่แจกแล้ว คือ ยกเลิก 3 คำร้องจากผู้ร้อง 3 คนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี จากนั้นจึงนำไปไต่สวนตามข้อหาคดีอาญา ม.151 ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 เกี่ยวกับการรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครเลือกตั้ง ดังนั้น แสดงว่า คำร้องคุณสมบัติต้องห้ามการถือหุ้นสื่อน่าจะมีมูลพอสมควร จึงต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินคดีอาญา

รวมทั้ง กล่าวว่า เส้นทางของ ม.151 แม้มีการสร้างจินตนาการถึงการต่อสู้ได้ยาวนานถึง 3 ศาลกว่าจะผลยุติ แต่เมื่อไต่สวนจนมีความปรากฎ กกต. สามารถใช้ ม.98 (3) ของ รธน. 2560 ยื่นให้ ศาล รธน.วินิจฉัยได้ อีกอย่างผู้ร้อง 3 คนที่ถูกยกคำร้องนั้น ยังสามารถมายื่นใช้สิทธิตาม รธน.ได้ด้วย ซึ่ง กกต. อาจได้ชี้แจงให้ผู้ร้องรับทราบด้วยแล้ว

“ในข่าวดีที่ กกต. แจ้งยกคำร้องการถือหุ้นสื่อนั้น ยังมีข่าวร้ายคือ ทันที่นายพิธา ได้รับการรับรอง ส.ส. ผู้ร้องเดิมทั้ง 3 คนยังร้องต่อไปได้ หรือเมื่อผลจากตั้งกรรมการไต่สวน กกต.ก็ดำเนินการเอง โดยไม่จำเป็นให้แต่ละสภายื่นตรวจสอบคุณสมับัติห้ามถือหุ้นสื่อเลยก็ได้”

นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า มันง่ายไปหรือไม่ที่บริษัทไอทีวีประชุมผู้ถือหุ้นโดยเปิดเผยผ่านช่องทางโชเชียลมีเดีย แล้วมีรายงานการประชุมออกไป ถัดจาดนั้นตามด้วยหลุดคลิปเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเสียงในการประชุมกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน

อย่างร็ตาม ผู้คนไม่สนใจว่า ทางกฎหมายบริษัทไอทีวียังอยู่ และยังไม่ได้ปิดบริษัท หรือจดทะเบียนยกเลิกบริษัท จึงทำให้เกิดอารมณ์แรกที่ชัดเจน คือ การบันทึกรายงานการประชุมกับคลิปเสียงที่ออกไม่ตรงกัน ได้กลายเป็นข่าวดีกล่อมสร้างบรรยากาศดีใจของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

“วันนี้ ถ้าเอาอารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความชอบธรรมและอธิบายสาธารณะแล้ว ย่อมได้ทางการเมืองแน่นอน แต่ข้อกฎหมายนั้น มันยังดิ้นยากอยู่ เหตุคลิปเสียงนี้ออกมาจะเรียงร้อยทุกเรื่องให้มีนัยยะสำคัญ โดยไม่รู้ใครหย่อนออกมาให้กระจายไปในสาธารณะ และมีเจตนาอะไร แต่ก็เป็นข่าวดีสร้างขวัญกำลังใจให้นายพิธา กับผู้สนับสนุน ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ปลายทางของการเมือง”

นายจตุพร กล่าวว่า อีกมุมหนึ่งการหลุดคลิปเสียงนั้น อาจส่งแรงกระเพื่อมและตอกลิ่มให้พรรคการเมืองจำนวน 312 เสียงก็ได้ เพราะคลิปเสียงดูเหมือนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกมพลิกแล้ว และเกิดความชอบธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นกับนายพิธา ทั้งที่หากไม่มีคลิปเสียง กกต.ก็สามารถปิดเกมถือหุ้นสื่อได้อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญ นายจตุพร เชื่อว่า กกต.ได้ปล่อยข่าวดีมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคก้าวไกลมาต่อเนื่อง โดยเริ่มยกคำร้องการถือหุ้นสื่อ 3 คำร้อง ตามด้วยยกคำร้องการยุบพรรค 4 คำร้องในเวลากลางวันของวันอาทิตย์ และกระจายสะพัดสาธารณะในช่วงกลางคืนทันที ปรากฎการณ์นี้แสดงถึง กกต.กำลังลดความกดดันทางการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งเริ่มระอุเดือดขึ้นกับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

อีกทั้ง เห็นว่า การสร้างข่าวดี ด้วยการยกคำร้องต่างๆ นั้น ทำให้ กกต.เริ่มกลายเป็นตัวดีในอารมณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ในปลายทางของการไต่สวน กกต.อาจจะกำไม้เด็ดไว้ในมือ เพื่อจัดการและมุ่งหวังผลในทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในสถาการณ์ประทุขึ้นเมื่อปลายทาง

“เมื่อรายงานการประชุมหลุดออกมาในช่วงบรรยายสร้างข่าวดีของ กกต. แล้วเกิดคลิปเสียงหลุดออกมาอีกจากผู้อำนวยการสร้างข่าวดีคนเดิมที่ออกแบบสร้างให้เกิดความขัดแย้งในฝากฝั่งพรรคที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย และจะยิ่งตอกลิ่มหนักขึ้น เมื่อ กกต. รับรอง ส.ส.ให้เกิน 475 เสียง และที่ไม่รับรองก็จะจัดการเลือกตั้งด่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แล้วความวุ่นวายจะประทุประเดประดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

นายจตุพร กล่าวว่า การคิดอ่านทางการเมืองในรอบนี้ ถึงนายพิธา จะถูกหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่มีกรณีถือหุ้นไอทีวีมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นก็ตาม ย่อมหาเสียงไม่ได้ถึง 376 เสียงอยู่ดี ดังนั้น แม้มีคลิปเสียงหลุดออกมา นายพิธา ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ อยู่ดี

“สิ่งสำคัญ ทางที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางนั้น จะเห็นคู่มวยอย่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยกำลังเริ่มตั้งท่าเดือดใส่กันในกรณีเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ซึ่งฟันธงได้เลยว่า คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ) ส่วนใครจะโหวตกันบ้าง คอยดูงูเห่าจะเลื้อยเพ่นพ่านในห้องประชุมสองสภาวันโหวตเลือกนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองครั้งนี้ อะไรที่ดีอย่างผิดปกติ ย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้น ร่องรอยเรื่องคลิปหลุดสืบสาวกันไม่ยาก แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปลายทางที่กำหนดความต้องการไว้ เพราะการเมืองเป็นกลเกม และในกระดานแห่งอำนาจที่ต้องช่วงชิงกันรอบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายการออกแบบไว้.

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขุดแผนปลุกผี itv โยง ‘ภูมิใจไทย’ ระบุ เป็นการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 – ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า หรือนี่คือการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

ข้อเท็จจริงชัด ๆ คือ

1.ความเกี่ยวโยงของนิกม์กับภูมิใจไทยหลีกกันไม่พ้น
2.ความเกี่ยวโยงของชิโนไทยกับกัลฟ์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อินทัชที่ถือหุ้นใหญ่ไอทีวีอีกต่อก็เป็นข้อเท็จจริง
3.ทั้งภูมิใจไทยและชิโนไทยมี อนุทิน ชาญวีรกูล ในสมการ
4.หากก้าวไกลสะดุดเรื่องหุ้นไอทีวี พรรคภูมิใจไทยที่ความหวังเหือดแห้งริบหรี่ ก็จะมีโอกาสขึ้นมาในทันที
สังคมคลางแคลงใจ ทฤษฎีสมคบคิดหรือเปล่า? ต้องติดตาม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top