Friday, 10 May 2024
รัฐบาล

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมดัน ‘ลอยกระทง’ ขึ้นทะเบียนยูเนสโก ต่อยอดเป็น ‘World Class Festival’ สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาเป็นวันลอยกระทง ซึ่งต้องบอกเลยว่า ลอยกระทงปีนี้คึกคักมากขึ้นหลังจากโควิด-19 ซา หลายพื้นที่จัดกิจกรรมกันสนุกสนาน แม่ค้าพ่อค้าขายของได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

และหากพูดถึงประเพณีไทย ก็มีอยู่หลากหลาย ซึ่งทุกประเพณีล้วนแต่เป็นประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจวบจนถึงปัจจุบัน และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสวยงามและบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของความเป็นไทย 

ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามประชาสัมพันธ์และต่อยอดประเพณีไทยอยู่เนือง ๆ โดยมีการผลักดันวัฒนธรรมไทยไปสู่สายตาประชาคมโลก ยกตัวอย่างเช่น การนำ ‘โนรา’ หรือ ‘Nora, Dance Drama in Southern Thailand’ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity - บัญชี RL) ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 (2003 Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก 

นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในบัญชี RL แล้ว 3 รายการ ได้แก่ โขน (ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2561) นวดไทย (ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2562) และโนรา (ขึ้นทะเบียนในปี 2564)

ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง มีแนวคิดที่จะนำประเพณี ‘ลอยกระทง’ ต่อยอดเป็น World Class Festival ทั้งนี้ จะเป็นโจทย์หลักให้กับทางกระทรวงวัฒนธรรม และคณะกรรมการ Soft Power เพื่อไปคิดกันว่าเราจะทำยังไงให้เทศกาลนี้ทั้ง Celebrative, Festive และ Environmental Friendly มากขึ้นอย่างไร 

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามรักษาประเพณีไทยได้ดำรงอยู่กับแผ่นดินไทยไว้เป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่หลงประเด็นปล่อยให้ประเพณีถูกทำลายไป เพียงเพราะเหตุผลเรื่องการบริหารจัดการไม่ดี ซึ่งมันเป็นคนละประเด็นกัน

ประเพณีและวัฒนธรรมเป็น Intangible Assets หรือ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ที่สร้างขึ้นได้ยากแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างในบางพื้นที่ เช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ถือเป็น Peak Season ของจังหวัดที่รายได้เข้ามาในพื้นที่มากในเทศกาลนี้ ในภาพ Promote ท่องเที่ยวไทยนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีภาพประเพณีลอยกระทงเป็น Highlight เสมอ ๆ ซึ่งนายกฯ ทำถูกแล้ว ไม่หลงประเด็น.

ท้ายนี้หวังว่าประเพณี ‘ลอยกระทง’ จะเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นแบบอย่างที่ดี ในการนำประเพณีหรือวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม นำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวไทย และสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

‘รัฐบาล’ ตั้ง ‘คณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติ’ แก้ปัญหาฝุ่นพิษ รอ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ผ่านสภาฯ

เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค. 66) ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ซึ่งได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีให้แถลงข่าวประเด็น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งค่าฝุ่นพิษสูงมากในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงภาคเหนือว่า นายกรัฐมนตรีให้ความใส่ใจและตั้งใจในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ โดยทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศจะมีวาระหนึ่งที่นำเข้าที่ประชุม คือ การให้ความร่วมมือกันในกลุ่มหมอกควันข้ามพรมแดน พร้อมกับพูดคุยกับกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) เพื่อยกระดับการพูดคุยเรื่องหมอกควันข้ามพรมแดน รวมถึงพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ฉบับของคณะรัฐมนตรี ที่ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้บรรจุผ่านเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว 

ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกาในการหารือและนำเข้าวิปรัฐบาลก่อนจะนำเข้าสู่รัฐสภาต่อไป ซึ่งจะทำงานควบคู่กับพระราชบัญญัติอากาศสะอาดของพรรคเพื่อไทยในแง่ของนิติบัญญัติ ส่วนฝ่ายบริหารจะเป็นพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ฉบับของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความครบถ้วนมากที่สุดในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ระหว่างการแก้กฎหมายจนแล้วเสร็จนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาฝุ่นพิษอย่างยั่งยืน คือ คณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบ Quick Win ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ระหว่างที่กฎหมายหรือพระราชบัญญัติกำลังพิจารณาอยู่ในสภา

นายจักรพล กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าว่ากรุงเทพมหานครติดอันดับ 12 ของโลก เชียงใหม่ติดอันดับ 23 ของโลก ค่า AQI ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index) อยู่ที่ 154 - 156 อยู่ในโซนสีแดง ทั้งนี้ ทุกปีประเทศไทยจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะวางแผนที่จะทำการรับมืออย่างครบถ้วนและครบทุกมิติ ด้วยการเพิ่มมาตรการภาษีบริเวณเขตชายแดนของการนำเข้าสินค้า การใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV การเพิ่มโทษ (Polluters Pay Principle: PPP) ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มาตรการเหล่านี้จะเป็นการปลุกระดมให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกร ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคสังคม ที่ทำการศึกษาและพยายามจะฝ่าฟันปัญหาฝุ่นพิษให้ลุล่วงไปอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นระหว่างการเดินทางช่วงเช้าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยกับภาวะ PM 2.5 จะรุนแรงขึ้นอีกในปลายปีนี้ รวมถึงไตรมาสหนึ่งของปีหน้า อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำทุกวิถีทางให้ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ค่า AQI ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index) จะสูงระดับนี้ และอยากให้เป็นปีสุดท้ายที่จะทำให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องเผชิญฝุ่นพิษนี้ เราตระหนักดีถึงพิษทางเศรษฐกิจและพิษทางสุขภาพ ยืนยันรัฐบาลจะตั้งใจแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

นายจักรพล กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเปิดแนวกั้นไฟที่จังหวัดเชียงใหม่ และประชุมร่วมผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมทั้งประชุมกับภาคภาคีสังคม พร้อมทั้งมอบนโยบายการดูแลป่า 11 แปลงใหญ่ รวมถึงการเผาพืชผลทางการเกษตรหรือเผาเพื่อเอาผลิตผลต่าง ๆ และการเพิ่มโทษของ Contract Farming ในการที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่จะนำมาซึ่งฝุ่นควัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการพูดถึงค่าฝุ่นพิษที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากการเผาไร่อ้อยในปริมณฑล ซึ่งได้มีการเฝ้าระวัง และติดตามอย่างเข้มข้นแล้ว ขณะที่ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เดินทางไปร่วมการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ที่นครดูไบ ได้มีการใส่สารัตถะในการให้ความสำคัญเรื่อง PM 2.5 เพื่อจะนำมาเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการพูดคุยกับกรอบประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเผาและเกิดมลพิษข้ามพรมแดน ตรงนี้จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับปัญหา PM 2.5 เป็นอย่างมาก โดยมอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุข เข้ามากำกับดูแลปัญหา PM 2.5 รวมทั้งในส่วนฝ่ายนิติบัญญัติได้มีการพูดคุยพรรคร่วมกับรัฐบาลที่จะพยายามขับเคลื่อนพระราชบัญญัติอากาศสะอาดในภาคของนิติบัญญัติอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งมีการหารือกับนักวิชาการและนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยในวันพรุ่งนี้ (14 ธันวาคม 2566) จะเดินทางไปที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อทำโมเดลในเรื่องของการเลี่ยงการเผา เปลี่ยนจากการเผาให้เป็นฟางให้เป็นมูลค่าทางหน้าดินให้เกิดนวัตกรรมทางการเกษตรที่ยั่งยืนต่อไป

นอกจากนั้น นายจักรพล ได้ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนถึงปัญหาฝุ่นพิษที่สูงในวันนี้ว่าไม่ได้เกิดจากจังหวัดปทุมธานี แต่เป็นเขตปริมณฑล โดยฝุ่นพิษที่สูงในวันนี้เกิดจากการเผาเพื่อเตรียมหน้าดินในเรื่องของการทำไร่อ้อย โดยจะมีมาตรการของ ธกส. ในการที่จะเปลี่ยนการเผาให้เป็นทุน รวมถึงมีการพิจารณาเรื่อง คาร์บอนเครดิต คาร์บอนฟุตพริ้นท์ การเปลี่ยนจากการเผามาเป็นการรับซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าจากการเผาให้มาเป็นมูลค่าแทน ทั้งนี้ สิ่งที่ทำได้ทันทีนั้น คือ ใครเผาหรือก่อมลพิษ เจ้าหน้าที่รัฐสามารถจับได้เลยซึ่งมีโทษอยู่แล้ว หากเป็นในต่างจังหวัดก็จะมีเกษตรจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการซึ่งจะทำงานร่วมกับนายอำเภอของแต่ละจังหวัด โดยได้มีการเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำงานอย่างเข้มข้นในการตรวจจับ ตรวจสอบ เฝ้าระวัง นอกจากนั้นต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยยังไม่เด็ดขาด โดยในการผลักดันครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย ทั้งในเรื่องของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติให้ความเข้าใจและมีความเห็นตรงกันในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมาปัญหา PM 2.5 ไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างจริงจัง หากเราไม่ขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหานี้ในทุกมิติก็จะสร้างผลกระทบเป็นอย่างมากเพราะฉะนั้นครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

'สื่อทำเนียบ' ยกคำ 'นายกฯ' วาทะแห่งปี "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" 

(26 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2566 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม

‘แกง’ คือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่า แกล้ง ‘ส้ม’ คือ สีของพรรคก้าวไกล ส่วนคำว่า ‘ผลักรวม’ ล้อมาจากคำว่า ‘ผักรวม’ เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว นิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และ ถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และ ข้ออ้างทางการเมือง ส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล ‘มีลุง’ ก็ไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม ‘ตระบัดสัตย์’

ดังนั้น แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ของการจัดตั้งรัฐบาลที่ว่า ‘ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง’ ได้เป็นอย่างดี

>>นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง : เซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’

นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ ‘เศรษฐา’ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เงาของคนในตระกูล ‘ชินวัตร’ ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกัน ว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

>>นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์ : รองกอง

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คนที่นายกรัฐมนตรีต้องเชื่อใจ และ ปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และ ถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯ หลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯ ที่ชื่อ ‘ภูมิธรรม’ ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตนาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรก ก็ยังเป็น ‘ท่านรอง ภูมิธรรม’ ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีรุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกอง ผลดก พวงยาว กิ่งใหญ่

>>นายสุทิน คลังแสง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ : พลิกทินสู่ดาว

ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้น เคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล ‘คลังแสง’ ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝัน ว่าชีวิตนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และ ลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสาน สู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน

>>พ.ต.อ. ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม : ทวี สอดไส้

ยิ่งกว่านอนมา สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียว แบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

แม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง 3 เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหน คงไม่ต้องเดา

>>นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ : มาเฟียละเหี่ยใจ​

นักการเมืองชื่อดังแห่งจังหวัดอุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลง ถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้”

หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ เป็นโต้โผปราบปราม ‘ผู้มีอิทธิพล’ จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน ‘ลูกเขย’ ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุม ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล 2 โครงการ งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน 24 ชั่วโมง สั่ง ‘ลูกเขย’ ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดา สปิริตต้องมากกว่าคนอื่น

>>วาทะแห่งปี

“ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย​”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง 4 เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน จนชาวโซเชียล อดแซวไม่ได้

หากถามนักข่าวหลายคนที่คุ้นเคย และ ตามติดภารกิจนายเศรษฐา ต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงคำว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ 3 เดือนเหมือน 3 ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มาทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ ‘ภูเก็ตก็แค่ปากซอย’ นักข่าวพิสูจน์แล้ว นายกฯ ทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรง คือ การสื่อสาร หลายครั้งนำภัยมาสู่ตน เมื่อขึ้นศักราชใหม่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อไป

‘พิธา’ คว้าฉายา ‘ดาวดับ’ สภาปี 66 หลังชวดเก้าอี้นายกฯ ด้านสภาผู้แทนราษฎรได้ฉายา ‘สภาลวงละคร’ ไปครอง

(27 ธ.ค. 66) ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภาตลอดปี 2566 ทั้งนี้ การตั้งฉายาการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง สส. และ สว.เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทุกปี ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ สส. และ สว.อย่างใกล้ชิด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนขอเป็นกำลังใจให้ สส. และ สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ สส. และ สว. ที่บกพร่องในการทำหน้าที่ ขอให้ทบทวน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชนต่อไปซึ่งมีความเห็นร่วมกัน ดังนี้

1.) สภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา ‘สภาลวงละคร’
สภาที่มีการชิงไหวชิงพริบ เพื่อเป็นเจ้าของอำนาจ มีการเจรจาจับมือกันหลายฝ่าย โดยในครั้งแรกพรรคเพื่อไทยเล่นตามบทเป็นมวยรอง แต่สุดท้ายใช้สารพัดวิธีพลิกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีแต่การหักเหลี่ยมเฉือนคม ตั้งแต่การเลือกนายกรัฐมนตรี จนถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้กระทั่งการหักหลังฝ่ายเดียวกันเองระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลที่เคยเป็นฝ่ายเดียวจับมือต่อสู้กันมาก่อน จนถึงขั้นฉีกเอ็มโอยู (MOU) ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเล่นตามบทของพรรคอันดับรอง จับมือกอดคอกันอย่างหวานเจี๊ยบ เปรียบเสมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่มีแต่ฉากการหลอกลวง

2.) วุฒิสภา ได้รับฉายา ‘แตก ป. รอ Retire’
ล้อมาจากฉายาของวุฒิสภาในปี 65 คือ ‘ตรา ป.’ ที่ สว.ทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อประโยชน์ของ 2 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ ‘ป.ประยุทธ์’ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หรือ ‘ป.ประวิตร’ แบบไม่มีแตกแถว แต่ในปีนี้ทั้ง ‘2 ป.’ ได้แยกทางกัน ซึ่งในการลงมติเลือกนายรัฐมนตรีที่ผ่านมา สว.ฝ่าย ป.ประยุทธ์ ได้ลงมติยอมสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน สวนทางกับ ป.ประวิตร ที่งดออกเสียง และ สว.กำลังจะหมดอำนาจหน้าที่ในเดือน พ.ค. 67 จึงเป็นเสมือนการรอเวลาเกษียณ หมดเวลาการทำหน้าที่ สว.

3.) นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา ‘(วัน) นอ-มินี’
เนื่องจาก ตำแหน่งนี้เป็นที่แย่งชิงของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมาก่อน ก่อนที่จะเห็นร่วมกันว่า ใช้โควตาคนนอก พรรคเพื่อไทย จึงได้เสนอชื่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติในขณะนั้น เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคก้าวไกลก็ยอมรับ ดังนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ จึงเป็นเสมือนนอมินีของการแย่งชิงครั้งนี้ ทั้งที่จำนวนเสียง สส.ที่มีก็ไม่ได้เพียงพอต่อการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ก็ถือเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่พรรคพร้อมให้การสนับสนุน ทั้งยังเคยเป็นคนของพรรคเพื่อไทยมาก่อนด้วย

4.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา ‘แจ๋วหลบ จบแล้ว’
คำว่า ‘แจ๋ว’ เปรียบเสมือน บทบาทของ ‘ผู้รับใช้’ ซึ่งเกือบ 10 ปีที่ผ่าน นายพรเพชร ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า เป็นผู้รับใช้ คสช. แต่เมื่อเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน บทบาทของนายพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภา พยายามหลบแรงปะทะ ไม่แสดงความเห็นที่เสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งมากนัก รวมถึงไม่ออกสื่อ เพื่อรอเวลาวุฒิสภาหมดวาระในการทำหน้าที่ สว. 6 ปี ในเดือน พ.ค. 67

5.) นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นควรว่า ควรงดตั้งฉายา เนื่องจากเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ และยังไม่ได้เริ่มทำงานในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

6.) ดาวเด่น
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นว่า ‘ไม่มีผู้ใดเหมาะสม’ และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว

7.) ดาวดับ
ได้แก่ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มีความโดดเด่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จนกระทั่งรู้ผลเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้จำนวน สส.มากที่สุด เดินสายขอบคุณประชาชน พบหน่วยงานต่างๆ ประหนึ่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว พลอยให้บรรดาด้อมส้มเรียก ‘นายกฯ พิธา’ ทำให้เกิดกระแส ‘พิธาฟีเวอร์’ แต่สุดท้ายกลับไปไม่ถึงดวงดาว สภาไม่ได้เหยียบ ทำเนียบไม่ได้เข้า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งแขวน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จากคดี ‘หุ้นไอทีวี’ ที่ยังลูกผีลูกคน จึงเป็นดาวที่เคยจรัสแสง แต่ตอนนี้ได้ดับลงแล้ว

8.) วาทะแห่งปี66
ได้แก่ วาทะของ ‘นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หนึ่งในแกนนำทีมเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ลุกขึ้นชี้แจงคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 ที่ผ่านมาว่า “เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราเป็นพรรคอันดับ 2 มีความยินดีร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล และถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเป็นพรรคอันดับ 2 สามารถที่จะแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้ากลไกการเมือง และรัฐธรรมนูญมันปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญแบบนี้ เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิด เพราะว่ายิ่งเราจับมือกัน ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้”

9.) เหตุการณ์แห่งปี คือ ‘เลือกนายกรัฐมนตรี’
ถือเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีมากถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 13 ก.ค. 66 ซึ่งบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ คือ นายพิธา แต่ปรากฎว่าได้รับความเห็นชอบไม่ถึง 376 เสียง ทำให้มีการโหวตเลือกผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. 66 แต่ปรากฎว่า ในที่ประชุมรัฐสภากลับมีการถกเถียงกันถึงข้อบังคับการประชุมว่าจะสามารถเสนอรายชื่อนายพิธาซ้ำได้หรือไม่ เนื่องจากมีความเห็นว่า ญัตติที่เสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีตกไปแล้ว ไม่สามารถนำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ แม้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะเปิดลงมติตามข้อตามข้อบังคับที่ 151 ปรากฎว่า เสียงกึ่งหนึ่งเห็นว่า ไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้

จากนั้น ช่วงเช้าของวันที่ 21 ส.ค. 66 นายชัยธวัช ตุลาธน ได้แถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น นพ.ชลน่าน ในนามของพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจับมือตั้งรัฐบาลเพื่อไทย 314 เสียงกับ 11 พรรคการเมืองที่เคยเป็นพรรครัฐบาลเดิม ในสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเหตุให้วันที่ 22 ส.ค. 66 นายวันมูหะมัดนอร์ ได้นัดประชุมรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อพิจารณาบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 3 โดยมีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้ายก็ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาด้วยเสียง 482 เสียง ต่อไม่เห็นชอบ 165 เสียง และงดออกเสียง 81 เสียง ทำให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

10.) คู่กัดแห่งปี
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ลงมติเห็นว่า ควรงดตั้งฉายาคู่กัดแห่งปี เนื่องจากเพิ่งเปิดสมัยประชุมได้เพียงสมัยเดียว และเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงตรงกับช่วงปิดสมัยประชุม จึงยังไม่มีใครเป็นคู่กัดที่ชัดเจน มีเพียงการปะทะคารมในบางเหตุการณ์เท่านั้น

11.) คนดีศรีสภา 66
สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มี สส. หรือ สว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

'เอกนัฎ' ชม!! ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล ถือว่ามาถูกทาง วอน 'สส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาล' เปิดใจให้โอกาสกับประเทศ 

(3 ม.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันก็จะสามารถปรับวิธีคิดในการบริหารจัดการใช้งบประมาณ ตนเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสจากวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนไม่อยากให้โอกาสที่เป็นของประเทศที่เกิดจากวิกฤตต้องสูญเสียไป ขณะที่ประเทศไทยมองประเทศเพื่อนบ้านตาปริบ ๆ จีดีพีเพิ่ม 5-6 เปอร์เซนต์ ที่เราคาดการกันไว้จีดีพีประเทศไทยปีนี้อย่างดีก็เพิ่มประมาณ 3 เปอร์เซนต์กว่า ถ้าจะทำได้ต้องรีบใช้งบฯ ฉบับนี้ ตนยังมีความหวังกับประเทศนี้

นายเอกนัฎ กล่าวต่อว่า งบประมาณฉบับนี้มีการตั้งงบขาดดุลไว้ 6.93 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุนที่มีการตั้งงบไว้ 7.18 แสนล้านบาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว มีการตั้งงบรายจ่ายสูงกว่าเงินที่เรารับมาในสัดส่วนที่ตรงกับเงินที่นำไปลงทุน แบบนี้ตนถือว่าเริ่มติดกระดุมถูกเม็ด เพราะเห็นความสำคัญกับงบลงทุน เพื่อไปเติมเต็มขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างรายได้ อย่ามองแค่เฉพาะยอดเงินที่ปรากฏในงบประมาณเท่านั้น จะต้องใช้งบลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ ขอให้รัฐบาลมีระบบการรวมศูนย์การใช้งบประมาณ รวมถึงการเร่งสานต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, รถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง หลังจากพิจารณาผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว จะต้องเร่งใช้เงินภายใน 4-5 เดือน ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 โดยให้ท้องถิ่นนำไปกระจายใช้ 

ส่วนการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าการใช้งบประมาณเกิดการทุจริต ดังนั้นงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรให้แต่ละหน่วยงานเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบการใช้งบ ให้การใช้งบเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือบรรยากาศ จะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งประชาชน 

“สำหรับรัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณของการยุติความขัดแย้ง ผ่านการเลือกตั้งมา 2 รอบแล้วผมหวังว่า จะเป็นการสิ้นสุดวาทกรรมเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตย ผมหวังว่าสส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะช่วยกันพิจารณาผลักดันผ่านงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน เราอยากมีเงินมาลงทุนกับคุณภาพชีวิต ให้กับประชาชน หวังว่าสส.ทุกท่านจะเปิดใจให้โอกาสกับประเทศ ขอให้สส.ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน และใช้โอกาสนี้ในการรวมมือกันทำงานไม่ใช่แค่พิจารณางบฯ เท่านั้น แต่ต้องติดตามการใช้งบต่างๆ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ มีความโปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุด ผมมั่นใจว่าถ้าเราร่วมมือกันเราทำได้” นายเอกนัฎ กล่าว

บทสรุป!! อภิปรายร่างงบประมาณ 67 วาระแรก ฉลุย!! สส.ยกมือผ่านร่าง 311 ต่อ 177 เสียง

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 67 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย

โดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปว่า “การจัดงบฯ แบบนี้ ยังไม่ตอบโจทย์สะท้อนปัญหาประเทศ ต่างจากพรรคไทยรักไทย และเพื่อไทยในอดีต ท่านนายกฯ ได้รับโอกาสเป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องทำให้สมกับว่าเป็นตัวจริง ทุกข้อติติงของพวกเรามาพร้อมกับข้อเสนอเป็นประโยชน์ต่อทุกคน อยากให้พวกเรามองไปข้างหน้า”

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า “การเลือกตั้งครั้งหน้า โจทย์เราไม่ใช่ว่าจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ แต่โจทย์ของพวกเราคือ พร้อมเป็นรัฐบาลบริหารประเทศหรือไม่ เวทีครั้งนี้ไม่ใช่เวทีที่พวกตนจะทำลายล้างรัฐบาล แต่เป็นเวทีซ้อมมือเพื่อเอาชนะรัฐบาล ด้วยการทำงานที่เต็มเปี่ยมและข้อเสนอที่ดีกว่า พวกเราจะชนะด้วยการเก็บเกี่ยวปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า มาแข่งกันเอาชนะใจประชาชน แม้พวกตนชนะการเลือกตั้ง แต่แพ้กติกาการจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน วันนี้อำนาจอยู่ในมือรัฐบาลขอให้ทำให้ดี เพราะเชื่อว่าผู้แพ้จากการทำงาน 4 ปีต่อจากนี้จะโดนบดขยี้ด้วยฉันทามติประชาชน ทั้งนี้ พวกตนไม่สามารถโหวตเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้”

จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปิดท้ายว่า “ในนามรัฐบาล ขอบคุณสมาชิกที่ร่วมกันพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ที่รัฐบาลเสนอ ขอเรียนว่าแม้การจัดงบรายจ่ายภายใต้เวลาที่เร่งด่วน และมีงบประจำ งบผูกพันที่รัฐบาลต้องดูแลอย่างเป็นธรรม แต่ยังมุ่งหวังทำชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น สำหรับงบที่พิจารณาวาระอยู่นี้ มีไฮไลต์คือ 4 เพิ่ม 1 ลด ได้แก่ จัดงบประมาณเพิ่มขึ้น, งบลงทุน เงินคงคลังเพิ่มขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้น มั่นใจจะขยายฐานภาษีผ่านการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นธรรม และ 1 ลด คือลดการขาดทุน แม้จะเหลือเวลาใช้งบไม่นาน จะทำให้มีประสิทธิภาพและใช้อย่างมีคุณค่า”

กระทั่งหลังจากการอภิปรายยุติลง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุมได้เปิดให้มีการลงมติ ผลปรากฏว่า มี สส.เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จำนวน 311 คน (ลงคะแนนผ่านระบบ 310 คน แจ้งเพิ่มเติม 1 คน) ไม่เห็นด้วย 177 คน (ลงคะแนนผ่านระบบ 176 คน แจ้งเพิ่มเติม 1 คน) งดออกเสียง 4 คน เท่ากับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2567 ผ่านการรับหลักการในวาระแรก

หลังจากนั้น ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ จำนวน 72 คน โดยใช้เวลาในการแปรญัตติ 30 วัน นัดประชุมครั้งแรกวันที่ 8 มกราคม 2567

‘โพลนิด้า’ เปิดผลสำรวจ ปชช.ต่อภาพรวมกรณีของ ‘ทักษิณ’ ชี้!! ร้อยละ 39.62 มองว่าไม่ส่งผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาล

(21 ม.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘กรณีทักษิณ ชินวัตร กับความอยู่รอดของรัฐบาล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความอยู่รอดของรัฐบาล จากกรณีทักษิณ ชินวัตร ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.62 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเลย

รองลงมา ร้อยละ 21.98 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลอย่างมาก และร้อยละ 4.28 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ส่งตัวทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าเรือนจำ จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนการชุมนุมของเสื้อเหลือง เสื้อแดง และ กปปส. ในอดีต พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.60 ระบุว่า จะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่แน่นอน

รองลงมา ร้อยละ 41.30 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ แต่ไม่ใหญ่โตเหมือนในอดีต ร้อยละ 11.15 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนในอดีตแน่นอน และร้อยละ 5.95 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ลับลวงลึก ‘ก้าวไกล’ ไม่ใช้บริการ ม.151 เบนเข็มกวาดเก้าอี้ สว.- เลือกตั้งนายกฯ อบจ.

ถูกต้อง…ตรงเผงอย่างที่เพื่อนสื่อมวลชนบางสำนัก ผู้สันทัดกรณีหลายคนสรุปว่า…ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็ ‘ก้าวไม่ไกล’ เท่าไหร่..ไปได้แค่มาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ

“มาตรา 152 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่ลงมติก็ได้”

พรรคก้าวไกลไม่ใช้บริการ มาตรา 151 อภิปรายแบบลงมติ รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายคะแนนไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง พ้นจากตำแหน่งทันที...จะว่าไปก็พอเข้าใจได้ระดับหนึ่งว่า รัฐบาลเพิ่งทำงานได้ครึ่งปี จะขยี้จับขึ้นเขียงเชือดเลยก็อาจจะเร็วไป...แต่มองในอีกมุม มาตรฐานและฝีมือตามราคาคุยของพรรคก้าวไกล มันน่าจะทำได้...

เรื่องหมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ส.ป.ก.โคราช /-ส.ป.ก.โฉนดทองคำสุดซอย กรณีนักโทษเทวดา ฯลฯ อย่างน้อยก็มี รมต. 2-3 คนให้อภิปรายไม่วางใจแบบลงมติได้...แต่ก้าวไกลไปไม่ถึง…

เป็นธรรมดาอยู่เองที่งานนี้...พรรคก้าวไกลของคุณพี่ชัยธวัช ตุลาธน เพื่อนเลิฟผู้นำจิตวิญญาณพรรคก้าวไกล ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะถูกตั้งคำถามว่า...ใช่หรือไม่เบื้องลึกจริงแกนนำพรรคก้าวไกลตัวจริงเสียงจริงยังเกรงอกเกรงใจ…แพ้ทางทักษิณ ชินวัตร เลยต้องใช้ยุทธวิธี ‘แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง’

ถ้าฝ่ายค้านไม่เปลี่ยนใจ...ก็คงจะได้อภิปรายทั่วไปต้นเดือนเม.ย. ต่อคิวหรือตามหลังสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่จะอภิปรายจัดหนักจัดเต็มในวันที่ 25 มี.ค. งานนี้ถ้า สว. โชว์ฟอร์มดี ๆ ก้าวไกล-ประชาธิปัตย์ ก็อาจจะเป็นได้แค่เดินตามรอยโปรในเกมกอล์ฟเท่านั้น...

อย่างไรก็ตาม ก็จะเป็นอีกเวทีใหญ่ที่พรรคก้าวไกลได้ปล่อย สส.หน้าใหม่ แถวสี่ แถวห้าออกมาโชว์ฟอร์ม ให้สปอตไลต์ฉายจับ เพราะงานใหญ่ของพรรคก้าวไกลตอนนี้คือ การเดินเกมลึกยึดเวทีเลือกตั้ง สว.ชุดใหม่ 200 คน ซึ่งจะมาจากการเลือก (ไขว้) กันเองใน 20 กลุ่มวิชาชีพ ในราวเดือนก.ค.

เมื่อ 14 พ.ค. 2566 ก้าวไกลเป็นแชมป์เลือกตั้งคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ใน 44 จังหวัด ถ้าบริหารจัดการดี ๆ น่าจะยึดเก้าอี้ สว. ได้หลายสิบเก้าอี้…

แล้วหลังจากนั้น…ราวเดือนก.พ. 2568 ก็ถึงวาระการเลือกตั้งสจ. - นายกอบจ. พร้อมกันทั่วประเทศ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่ว่าก็น่าจะออกฤทธิ์ออกเดชในเชิงบวกให้กับพรรคส้ม...ต้องรอดูว่า 76 นายกอบจ. จะแหวกม่านบ้านใหญ่มาได้กี่จังหวัด…

วันก่อนคุณลุงพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ของตะวัน ไปประกาศที่ภูเก็ตว่าไม่เอาแลนด์บริดจ์ แต่จะเอาแลนด์สไลด์…จังหวัดภูเก็ตต้องเด็ดทั้งเกาะ...ได้ 3 สส. แล้วต้องเอานายกอบจ. ด้วย

พร้อม ๆ กับที่อุดรธานีก็เดินงานกันอย่างขันแข็ง ส่ง ‘คณิศร ขุริรัง’ ตั้งเป้าล้ม ‘วิเชียร ขาวขำ’ หวังจะเปลี่ยนอุดรธานีจากเมืองหลวงคนเสื้อแดง เป็นเมืองหลวงสีส้ม กันเลยทีเดียว…

สรุปความตามท้องเรื่อง...ก้าวไกลอภิปรายทั่วไป ไปงั้น ๆ…ความมุ่งมั่นอยู่ที่งานใหญ่เลือกตั้ง สว.ชุดใหม่ และยุทธการยึด อบจ.โน่น

สวัสดี!!

'รทสช.' ยัน!! รัฐพร้อมแจงฝ่ายค้านทุกเรื่อง แม้จะยังไม่ได้ใช้งบฯ-ไร้ปมทุจริต ขอแค่อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ไม่หวังใช้เวทีตีกินทางการเมืองเป็นพอ 

(7 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านมีมติยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามการทำงานของรัฐบาล ว่า ตนมั่นใจรัฐบาลพร้อมชี้แจงและตอบทุกคำถามของฝ่ายค้าน และถือเป็นโอกาสที่จะอธิบายการทำงานของรัฐบาลให้กับประชาชนได้เข้าใจ 

เมื่อถามว่า 6 เดือนของการทำงานรัฐบาล มองว่าเร็วไปหรือไม่ ที่ถูกอภิปรายฯ? นายธนกร กล่าวว่า ถือเป็นการใช้เวทีสภาซักถามการทำงานตามขั้นตอนถือเป็นความชอบธรรมตามกลไกรัฐสภา แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่งเริ่มเดินหน้าทำงานเข้าสู่เดือนที่ 6 ที่สำคัญร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ยังไม่ผ่านวาระ 2-3 ยังไม่ได้ใช้งบฯ และยังไม่มีข้อมูลการทุจริตเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาลออกมา 

"ฝ่ายค้านสามารถยื่นอภิปรายรัฐบาลได้ทุกเมื่อ หากเห็นว่ามีความบกพร่อง แต่ผมมองว่าร่างพ.ร.บ.งบฯ ยังไม่ผ่านสภา รัฐบาลจึงยังไม่ได้ใช้งบประมาณ จึงคิดว่าฝ่ายค้านคงยังไม่มีข้อมูลหลักฐานเรื่องการทุจริต จึงขอให้ใช้เวทีสภาในการอภิปรายทั่วไปในครั้งนี้อย่างสร้างสรรค์ หวังว่าจะไม่ใช้โอกาสนี้ สร้างวาทกรรมเพื่อโจมตีทางการเมืองเช่นเดิม" นายธนกร กล่าว

มติสภาฯ 298 ต่อ 166 เสียง 'เห็นชอบ' วาระ 3 จับตา สว.ถก 26 มี.ค. ต่อ คาด!! พ.ค. บังคับใช้

(22 มี.ค.67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระ 2-3 จำนวน 41 มาตรา

หลังที่ประชุมมีการลงมติรายมาตราในวาระ 2 เสร็จสิ้น ที่สุดที่ประชุมได้เข้าสู่ขั้นตอนการลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ฯ ในวาระ 3

ผลปรากฏว่ามติที่ประชุม 298 ต่อ166 เสียง ลงมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2567 เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยมีผู้งดออกเสียง 1 เสียงไม่ลงคะแนน 1 เสียง

สำหรับขั้นตอนหลังสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ จากนี้จะเป็นการพิจารณาในส่วนของ วุฒิสภา (สว.) พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นด่านสุดท้าย ในวันที่ 26 มี.ค.67

จากนั้นสภาฯ จะนำร่าง พ.ร.บ.ไปยังรัฐบาลเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ซึ่งคาดว่างบประมาณปี 2567 จะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.67


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top