Friday, 17 May 2024
พรรคพลังประชารัฐ

‘ไพบูลย์’ แจง อยู่คนละพรรคกับ ‘ลุงตู่’ ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องค่าไฟแพง แต่ยืนยัน!! หาก ‘พปชร.’ เป็น รบ.จะลดค่าไฟเหลือ 2.50 บาท ทันที

(21 เม.ย. 66) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวถึง กรณีที่ยังมีผู้ที่เข้าใจผิดว่า พรรคพลังประชารัฐนั้นมีส่วนร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งนายไพบูลย์ ก็ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจน โดยมีใจความว่า…

‘มิ่งขวัญ’ ย้ำ!! จุดยืนชัดเจน ไม่แตะต้อง-ไม่ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวในรายการ เจาะลึกเลือกตั้ง 66 หัวข้อ ‘ชูจุดขาย เสนอจุดแข็ง’ ทางช่อง 9 MCOT HD เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 66 โดยแสดงจุดยืน ไม่ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ย้ำชัดเจน ว่า “ผมไม่ให้ยุ่งครับ ชัดเจน ไม่เอา”

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่ได้เป็นเผด็จการจำแลง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ชี้ การแก้รัฐธรรมนูญ ใช้บัตรสองใบ เป็นผลงานก้าวข้ามความขัดแย้ง

(21 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรางงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่า ระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย

ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบ ชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลาย ๆ คนพยายามคิดและพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ หรืออะไรอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกและเกิดเป็นความคิดจริง ๆ ว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึกและความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และฝ่ายเสรีนิยม ที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า ผมเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด

พล.อ.ประวิตร ยังระบุอีกว่า เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจาก ‘วงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบ’ นี้ให้ได้เสียที

มีคำถามว่า “ผมจะทำอะไร” ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้น ผมทำเรื่อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบ ๆ และโดยใช้ ‘ความเป็นผม’ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วง ‘รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ’ จาก ‘เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว’ มาเป็น ‘สองใบ’ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิม เพราะมองไม่เห็นว่า แก้ไขแล้วพรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร

ขณะที่พรรคการเมือง บางพรรคโจมตี ส.ว.อย่างรุนแรง ทำนองว่าเป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียง สร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ ‘พลังประชารัฐ’ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแม้แต่ ‘ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล’ ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า “ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500” เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ เป็นผมเองที่เห็นว่า “จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย” แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว.ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดี ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร

‘ชัยวุฒิ’ ช่วย ‘คิง’ สักการะพระเจ้าตาก ลุยหาเสียงประจวบฯ ชูนโยบายหนุนกีฬาวัวลาน สู่การสร้างอาชีพ-สืบสานวัฒนธรรม

‘ชัยวุฒิ’ กราบพระเจ้าตาก หาเสียงประจวบฯ ช่วย ‘คิง ก่อนบ่าย’ พร้อมหนุนชาววัวลาน กีฬาพื้นบ้าน

(21 เม.ย.66) ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย คิง ก่อนบ่าย นายณภัทร ชุ่มจิตตรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.ประจวบคีรีขันธ์ เบอร์ 11 พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ร่วมงานประเพณีวัวลาน กีฬาพื้นบ้านของชาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบปะพี่น้องประชาชน พร้อมสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช บรรพชนที่รักชาติ รักแผ่นดิน ทำเพื่อส่วนรวม เสียสละชีวิต เสียสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินไทย

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวถึงประเพณีวัวลาน ว่า กีฬาวัวลานก็เป็นกีฬาพื้นบ้านที่สำคัญใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หวังว่ากีฬานี้ก็จะได้รับการสืบสาน สืบทอดต่อไป เพราะนอกจากจะเป็นความสนุกสนาน เป็นความเพลิดเพลินของผู้ที่มาเล่น มาชมแล้ว ยังเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย เพราะวัวลานตัวหนึ่ง ถ้าเลี้ยงกันดีๆ ตัวหนึ่งหลายแสนมีราคาที่ดี ก็เป็นรายได้ที่ดีให้พี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงวัวด้วย แล้วก็เป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างวันนี้ผมมาที่ วัดหนองเสือ ที่ประจวบมีแข่งวัวลานเป็นงานวัด ก็มีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ก็มาขายของกัน ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีมาก คือทางรัฐบาล โดยเฉพาะทางพรรคพลังประชารัฐก็จะมีนโยบายสำคัญ ที่จะสนับสนุนกีฬาพื้นบ้านทุกชนิด ทั้งวัวลาน วัวชน ไก่ชน ทุกอย่างที่เป็นกีฬาพื้นบ้านของไทย ต้องได้รับการอนุรักษ์สืบสานต่อไป และที่สำคัญต้องยกระดับให้เป็นกีฬาแห่งชาติด้วย

‘ชัยวุฒิ’ ชู!! ‘ลุงป้อม’ คือนายกฯ แห่งโลกความเป็นจริง ลั่น!! ‘พปชร.’ เป็นตัวกลางประสานทุกฝ่าย สู่ความสามัคคี

‘ชัยวุฒิ’ ชูบิ๊กป้อม soft power เป็นนายกบนโลกความจริง ลั่น พปชร. จะรักษาชาติ ศาสนา กษัตริย์ ให้ประเทศเข้มแข็งเดินหน้าต่อได้ และจะลดค่าไฟฟ้าทันทีที่"บิ๊กป้อม"นั่งนายกฯ 

(21 เม.ย.66) พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีใต้ "พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” ที่ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางมด โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม., นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. และนายอุตตม สาวนายน

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า สถานการณ์ในขณะนี้ราคาพลังงานสูงมากซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนคนไทย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเล็งเห็นว่า เราจะต้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 2.50 บาท เราปรึกษากันแล้วว่า เราทำได้ เพราะเรามีทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์หลายคนมานั่งถกปัญหานี้ร่วมกัน แต่นโยบายดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของเราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พลเอกประวิตรเป็นคนแรกที่พูดถึงนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ก็ยังไม่เห็นว่าคนไทยจะหยุดทะเลาะกัน บางคนก็คิดแต่เพื่อตัวเอง คิดถึงแต่ครอบครัวตัวเอง ทำในสิ่งที่คนไทยเขารับไม่ได้ ก็จะนำมาซึ่งการทะเลาะกัน โดยพลเอกประวิตรจึงเห็นว่า เราต้องเข้าข้ามความขัดแย้ง เพื่อมาคุยกัน ช่วยกันทำงานด้วยความสามัคคี เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นอถ้าเรามัวแต่ทะเลาะกัน รัฐบาลบริหารงานไม่ได้ประเทศชาติเดินหน้าไม่ได้ ประชาชนก็ทำมาหากินไม่ได้

"นี่คือที่มาว่ารัฐบาลชุดใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ลุงป้อมจึงเป็นที่นิยมของประชาชน วันนี้ผมเห็นโพลหลายโพล โดยเฉพาะโพลออนไลน์ไม่มีชื่อคะแนนความนิยมให้กับพลเอกประวิตรเลย ผมก็เดินลงพื้นที่ต่างๆเพื่อไปคุยกับพี่น้องประชาชน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะเสียงตอบรับจากประชาชนต้องการให้พลเอกประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีในโลกความเป็นจริงไม่ใช่ในโลกออนไลน์ เพราะว่าพูดจริงทำจริงและพูดในสิ่งที่ทำได้"

ทั้งนี้นายชัยวุฒิยังได้แสดงภาพตราแผ่นดินขึ้นในบริเวณเวทีปราศรัย พร้อมระบุว่า ส่วนบนสุดตรงกลาง คือ ภาพพระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมี หมายถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกฎเป็นภาพจักรและตรีไขว้ เรียกว่า ตรามหาจักรี ความหมายโดยรวม จึงแปลว่า พระมหากษัตริย์ แห่งพระราชวงศ์จักรี ทางด้านซ้ายและขวาของพระมหาพิชัยมงกฎเป็นรูปฉัตร 7 ชั้น เป็นเครื่องหมายแห่งราชาธิปไตย เป็นการประกาศให้รู้ว่า ดินแดนสยาม อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นสยามินทราธิราช ตราเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ชาติของเราจะคงอยู่อย่างเข้มแข็งและมั่นคง 

'สันติ' จัดเต็ม!! ชูชุดนโยบายพลังประชารัฐแบบเต็มสูบ มั่น!! บัตรประชารัฐ 700 ผสาน 'อีสานประชารัฐ' พาเฮ!!

'สันติ' โชว์กึ๋น!! ยกนโยบายพลังประชารัฐ มุ่งมั่นแก้ปัญหาความยากจน ชู!! บัตรประชารัฐ 700 บาท พร้อมเผย 'อีสานประชารัฐ' เมกะโปรเจกต์หยุดแลนด์สไลด์ ช่วยประชาชนต้องอยู่ดี กินดี อย่างยั่งยืน

เรียกว่าเป็นอีกดีเบตเอาใจกองเชียร์ 2 ลุง (ป้อม-ตู่) แห่งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มาแลกหมัดกันเอง ผ่านรายการ 'คมชัดลึก Debate แลกหมัดนโยบาย' เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566

แน่นอนว่าทั้ง 2 พรรคนี้ ล้วนมีบุคลากรที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน หากแต่ปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างก็เดินตามเส้นทางการเมืองของตนผ่านพรรคที่แตกต่าง เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้ คือ ในบางนโยบายอาจจะมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน จะแย่งฐานเสียงกันเองมากแค่ไหน? หรือไม่?

อย่างไรก็ตามจากดีเบตในครั้งนี้ ทาง THE STATES TIMES ได้ตามเกาะติดชุดนโยบายที่กำลังสร้างกระแสอย่างมากในช่วงนี้จาก 'พรรคพลังประชารัฐ' ที่ครั้งนี้ได้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มาแสดงวิสัยทัศน์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ...

นายสันติ เปิดฉากในรายการว่า “หลายๆ ท่าน (2 พรรค) เคยอยู่ร่วมกัน แม้ตอนนี้ต้องแยกกันไปในทิศทางการเมืองของตน แต่สำหรับรวมไทยสร้างชาติ และท่านหัวหน้าพรรค พลเอกประยุทธ์ ก็เป็นที่เคารพรักของพี่น้องในพรรคพลังประชารัฐอย่างมาก แต่ว่าในเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชน ฉะนั้นในเมื่ออยู่คนละพรรคเราก็ขอมาช่วยกันรังสรรค์ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเพื่อก้าวข้ามปัญหาต่างๆ

"อะไรที่สามารถสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือ สร้างงาน สร้างอาชีพแก่พี่น้องประชาชนในบางส่วนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล จุนเจือให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในอนาคต เพื่อให้พวกเขาได้ก้าวข้ามความยากจนให้ได้ ภายใต้นโยบายของแต่ละพรรค ที่มุ่งมั่นคิดถึงแต่ความอยู่ดีกินดีของประชาชน” 

เมื่อถูกถามว่า นโยบายของพรรค พปชร.ด้านใดที่กำลังมัดใจประชาชนได้ดีที่สุด? นายสันติ กล่าวถึงเรื่องบัตรสวัสดิการของพลังประชารัฐ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันกับทางรวมไทยสร้างชาติ ว่า...

“จะพรรคไหนก็ตามแต่ หากมองเห็นว่าบัตรประชารัฐหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เราก็ควรช่วยกันส่งเสริม ผมเองในฐานะที่อยู่กระทรวงการคลัง และเป็นประธานคณะกรรมการบัตรประชารัฐบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อน มองเห็นมิติในเนื้อนโยบาย ระเบียบ และกฎเกณฑ์แบบรอบด้าน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกพัฒนาและมีการปรับกฎเกณฑ์โดยพรรคพลังประชารัฐให้มีความทันสมัยขึ้น ดียิ่งขึ้น

"อย่างเช่น ค่าโดยสารในระบบขนส่งมวลชนของรัฐและเอกชนร่วม ซึ่งกำหนดไว้ให้ 750 บาทต่อเดือนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ก็จะปรับขึ้นเป็น 1,500 บาท เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งชาวต่างจังหวัดและชาวกรุงเทพฯ ได้ใช้บริการรถโดยสารหลากรูปแบบด้วยความเสมอภาค ทั้งรถตู้ รถไฟฟ้าบนดิน ใต้ดินหลากสี

"เช่นเดียวกันกับค่าครองชีพผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่เดิมจะอยู่ที่ 200-300 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในยุคนี้แล้วนั้น ก็จะขยับเพิ่มเป็น 700 บาท โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐภายใต้พรรคพลังประชารัฐนั้น จะเป็นการนำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หลังจากได้รับเลือกตั้ง โดยจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ ประมาณ 18 ล้านคน จากเดิมที่ปัจจุบันได้รับกันอยู่ราว 14.5 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม นายสันติ มองว่า พลังประชารัฐก็ไม่ได้มองว่าบัตรประชารัฐที่ถูกยกระดับเพื่อเติมให้แก่ประชาชนในกรอบ 22 ล้านคนบ้าง หรือ 14.5 ล้านคนบ้างนั้น จะถูกใช้เป็นกลไกเดียวในการช่วยเหลือปัญหาปากท้องประชาชน หากแต่ทางพรรคยังได้เตรียมแนวทางอื่นไว้อีกด้วย โดยเฉพาะแนวทางในการเร่งมอบเงินเพิ่มให้ในบัตรอีก 30,000 บาท แก่ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐ ให้สามารถเอาไปเป็นเงินเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพได้

"นอกเหนือจากการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรเป็น 700 บาทต่อเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายพยุงฐานะในครอบครัวให้สามารถมีความเป็นอยู่พอไปได้แล้วนั้น ทางพรรคพลังประชารัฐก็เตรียมทุนให้กับผู้ถือบัตรประชารัฐอีกคนละ 30,000 บาท ได้นำไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพโดยนำทุนไปประกอบสัมมาอาชีพต่างๆ ได้ แต่เราไม่ได้ให้เปล่านะ เพราะเขาจะต้องมาฝึกอาชีพก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว ขายอาหาร เปิดร้านของชำ เป็นเกษตรกร ปลูกพืชไร่ ปลูกผักปลูกผลไม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ พอเข้ามาฝึกแล้ว เราก็จะเติมทุนให้ เพื่อที่จะไปมีอาชีพ แล้วจะพ้นจากความยากจนต่อไป"

ไม่เพียงแค่นโยบายการเติมค่าครองชีพและต่อยอดอาชีพโดยพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น นายสันติ ยังกล่าวถึงอีกแนวนโยบายสำคัญ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่จะช่วยพลิกความเป็นอยู่ของคนอีสานแบบขนานใหญ่ ผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์แห่งภาคอีสานในชื่อ 'อีสานประชารัฐ' ผ่านเวทีแห่งนี้อีกด้วย

"สำหรับแรงผลักดันสำคัญของ 'อีสานประชารัฐ' นั้น ก่อนอื่นผมคงต้องเรียนแบบนี้ว่า โครงการดังกล่าวถูกคิดขึ้นมาจากท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของเรา หลังจากที่ท่านได้ลงไปทำงานดูแลเรื่องน้ำของทั่วประเทศ ไม่ว่าจะน้ำแล้ง หรือแม้แต่น้ำท่วมในภารเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ซึ่งท่านก็ไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการดูแลเรื่องที่ทำกินเรื่องที่ดิน ด้วยการนำที่ดินเสื่อมโทรมที่อยู่ในป่าสงวน มาทำเป็นเอกสารสิทธิให้พี่น้องประชาชนนำไปใช้เพาะปลูกเพื่อทำมาหากินหลายล้านไร่ โดยไม่ถูกส่วนราชการจับไปดำเนินคดี เหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ท่านพลเอกประวัตร อยากเห็นโครงการที่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างประเทศที่จะนำมาสู่ความยั่งยืนแก่ประชาชนและประเทศ

"อีสานประชารัฐ จึงเป็นโครงการที่ท่านต้องการพัฒนาให้พื้นที่ภาคอีสาน กลายเป็นพื้นที่สร้างอาชีพ สร้างงาน ให้คนถิ่น ได้ทำงานที่บ้านเกิด ซึ่งตนยังไม่เคยเห็นว่าพรรคไหนคิดในเรื่องของการพัฒนาภาคอีสานเพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวภาคอีสานได้มีการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้อยู่ดีกินดี เพิ่มทักษะความรู้ความสามารถแบบนี้ ยังไม่มีใครมีนโยบายเหล่านี้จริงๆ แต่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเหล่านี้ นโยบายที่จะทำให้พี่น้องชาวอีสาน ได้สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้อย่างเต็มที่ ทำจริง ทำทันที เพื่อคนอีสาน"

‘บิ๊กป้อม’ นำทีม ‘พปชร.’ บวงสรวงรับพลังดาวพฤหัส ก่อนขึ้นรถไฟ มุ่งหน้าเปิดปราศรัยหาเสียง ‘เมืองย่าโม’

‘บิ๊กป้อม’ นําบวงสรวงรับพลังดาวพฤหัส ก่อนยกทัพหลวงขึ้นขบวนรถไฟ มุ่งหาเสียงเมืองย่าโม บอก “ไม่ร้อนเลย”

(22 เม.ย.66) ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นรถไฟ ขบวนรถเร็ว 135 กรุงเทพมหานคร-อุบลราชธานี  ซึ่งเป็นขบวนรถไฟที่มีประชาชนทั่วไปร่วมโดยสารด้วย เดินทางไปปราศรัยหาเสียงจ.นครราชสีมา 

โดยพล.อ.ประวิตร สวมใส่เสื้อโปโลสีขาวทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน และใส่กางเกงยีนส์ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี ซึ่งก่อนพล.อ.ประวิตร จะขึ้นรถไฟ ได้แวะทักทายประชาชนที่มาใช้บริการที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รวมถึงมีแฟนคลับตะโกนให้กำลังใจว่า “ลุงป้อมสู้ๆ” และเมื่อพล.อ.ประวิตร ขึ้นมาถึงบริเวณชานชลา ได้เยี่ยมชมรางรถไฟ ก่อนจะเดินขึ้นขบวนรถไฟ และเดินสำรวจภายในขบวน พร้อมพูดคุยกับสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ร้อนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ร้อนเลย ขณะที่นายสันติ กล่าวว่า “สบายดีครับ”

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ชี้!! ‘พปชร.’ ยังไม่จับมือใคร ย้ำ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขอทำให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันได้

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ย้อน พปชร. ยังไม่แย้มจับใคร ลั่น อยากปักธงที่ 1 ของโคราช ย้ำ ก้าวข้ามขัดแย้ง ต้องทำให้ทุกฝ่ายร่วมกันได้ 

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะกรรมการบริหารพรรค ปราศรัยหาเสียงจ.นครราชสีมา ว่า การนั่งรถไฟในวันนี้ เพื่อดูวิถีของประชาชน ตามที่ตนได้บอกเรื่องการพัฒนาภาคอีสาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่น เพื่อช่วยทำงานในภาคอีสาน และให้เด็กอาชีวะมีงานทำในพื้นที่อุตสาหกรรม การมานั่งรถไฟครั้งนี้เพื่อดูระบบตามนโยบายโครงการอีสานประชารัฐ ของพรรคให้ได้ก่อน เพื่อทำให้หลายจังหวัดในภาคอีสานมีความเจริญ คนมีงานทำเป็นการสร้างงาน และถ้าทำได้จริงเชื่อมจะเชื่อมต่อไปที่ภาคตะวันออกและไปที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าตั้งเป้าส.ส.นครราชสีมาไว้ อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นหัวหน้าทีมภาคอีสาน ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม เพราะหัวหน้าพรรคคงไม่ต้องมาดูในระดับพื้นที่ ขณะที่นายสันติ กล่าว แทรกว่า อยากได้ส.ส.ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐอยากปักธงเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสาน ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “อยากสิครับ ไม่น่าถาม อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า อยากให้พี่น้องชาวอีสานเลือกผม  เพื่อให้ได้ที่หนึ่ง เมื่อถามย้ำว่าหากได้ที่หนึ่งแล้วจะเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องการเป็นนายกฯต้องไปเลือกกันในสภาฯ ไม่ใช่มาเลือกกันตรงนี้

‘ประวิตร’ เผย ไม่มีปัญหา ยินดีให้ ป.ป.ช. เปิดข้อมูลไต่สวน กรณีนาฬิกายืมเพื่อน จะได้รู้ความจริง ยันไม่ได้ไปเอาของใครมา

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลปกครอง มีคำพิพากษาให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง ว่า “ผมอยากให้เปิดจะได้รู้ความจริง จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร อยากให้เปิดนานแล้ว ไม่มีปัญหาเลย ผมไม่ได้ไปเอาของใครมา ผมยืมเขามาก็คืนเขาแล้ว”

'บิ๊กป้อม' เดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้ง 

22 เม.ย.2566 - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะกรรมการบริหารพรรค ปราศรัยหาเสียง จ.นครราชสีมา ว่า การนั่งรถไฟในวันนี้ เพื่อดูวิถีของประชาชนตามที่ตนได้บอกเรื่องการพัฒนาภาคอีสาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่น เพื่อช่วยทำงานในภาคอีสาน และให้เด็กอาชีวะมีงานทำในพื้นที่อุตสาหกรรม การมานั่งรถไฟครั้งนี้เพื่อดูระบบตามนโยบายโครงการอีสานประชารัฐของพรรคให้ได้ก่อน เพื่อทำให้หลายจังหวัดในภาคอีสานมีความเจริญ คนมีงานทำ เป็นการสร้างงาน และถ้าทำได้จริงจะเชื่อมต่อไปที่ภาคตะวันออกและไปที่ จ.กาญจนบุรีได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งเป้าส.ส.นครราชสีมาไว้ อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค เพราะเป็นหัวหน้าทีมภาคอีสาน ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม และหัวหน้าพรรคคงไม่ต้องมาดูในระดับพื้นที่ ขณะที่นายสันติ กล่าวแทรกขึ้นว่า อยากได้ส.ส.ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐอยากปักธงเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสานใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “อยากสิครับ ไม่น่าถาม อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า อยากให้พี่น้องชาวอีสานเลือกผม เพื่อให้ได้ที่หนึ่ง เมื่อถามย้ำว่า หากได้ที่หนึ่งแล้วจะเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องการเป็นนายกฯ ต้องไปเลือกกันในสภาฯ ไม่ใช่มาเลือกกันตรงนี้

ถามถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศชัดเจนว่าไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็ว่ากันไป เพราะตนยังไม่ได้ประกาศว่าจะจับมือกับใคร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top