Wednesday, 1 May 2024
ประยุทธ์จันทร์โอชา

เปิดปรากฏการณ์ 'สังคมไทย' เริ่มย้อนไปนึกถึงผลงาน 'ลุงตู่' คุณความดี 9 ปีเริ่มทะลัก พอรู้ลุงต้องพัก ใจมันก็หวิวๆ โหวงๆ

(1 ก.ย.66) จากเฟซบุ๊ก 'Trachoo Kanchanasatitya' โดยนายตราชู กาญจนสถิตย์ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ '10 ข้อคิดของผมกับลุงตู่' ระบุว่า…

1. ผมโล่งอกดีใจที่ลุงจะไม่มีใครด่าลุงแบบไร้หลักการและเหตุผลอีกแล้ว เค้าจะด่าใครต่อไปก็ด่าไป แค่ไม่ด่าลุงแล้วกัน ผมพอใจตรงนี้

2. ใจมันหวิว ๆ โหวง ๆ นิดนึง ที่คนที่เคยรักษาความปลอดภัยให้เราจาก โรค M79 และ เชื้อโควิด จะไม่ดูแลเราแล้ว 

3. ดีใจที่อีกไม่นาน คำว่า เผด็จการ ในสายตาของใครหลาย ๆ คนจะชัดเจนขึ้น เผด็จการไม่ใช่การเป็นทหาร แต่นักการเมืองประชาธิปไตยบางคนอาจเผด็จการมากกว่า

4. ลุงแกล้งโง่เป็น ดีกว่าคนแกล้งฉลาด แต่โง่บรม

5. ลุงทำได้ไง ให้ซาอุดีอาระเบีย มาคืนดีกับไทย ผมทำงานปีแรก คือ ปีที่ซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์กับไทย ไม่มีใครง้อให้คืนดีมาได้ นี่จะเกษียณอยู่แล้ว มีนายกคนนึงทำได้ เราจะต่อยอดไปไกลมาก

6. ลุงทำให้ผมเห็นว่า ลุงไม่โม้ว่าลุงเก่ง ลุงไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่ลุงพร้อมเรียนรู้และฟังทีมงาน แต่ลุงมีการตัดสินใจที่ไม่เข้านอกออกในใคร อะไรดี อะไรไม่ดี ลุงฉลาดที่จะรู้ และตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุด

7. ลุงไม่ทำงานเอาหน้า งานของลุงอาจจะสำเร็จหลังจากลุงลงจากตำแหน่งไปนานแล้ว วันนั้นลุงรู้ว่า คนจะลืมไปแล้วว่าลุงคิดและผลักดัน มีคนจะมาเคลมเครดิต แต่ลุงไม่แคร์ ลุงทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ

8. ลุงไม่ได้เป็นหมอ ลุงไม่ได้เรียนเรื่องการผลิตวัคซีน มีคนเคยคิดว่า ไทยคงได้วัคซีนโควิดน้อยกว่าใคร แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัคซีนเหลือบาน เพราะคนไทยกลัววัคซีนมากกว่า กลัวโควิด…บ้าป่าววะ

9. คนชอบบอกว่า ลุงโง่ ผมก็งงมากว่า ลุงโง่ตรงไหน เอาอะไรมาวัด คนโง่เค้าจะสอบได้คะแนนแบบลุงเหรอ ไอ้คนที่ว่าลุงโง่ กล้ามาทดสอบไอคิวกะลุงไหม (อาจจะกล้า แต่ลุงคงไม่เสียเวลากะคนพวกนี้ ช่างมัน)

10. ลุงตู่เป็นมนุษย์ที่ลงลึก ลงรายละเอียด ติดตามอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกโซเชียล ลุงอ่านเองไหม ผมไม่รู้ แต่เดาได้ว่าลุงสร้างทีมเพื่อทำให้ลุงต้องรู้ ผมว่าลุงรู้ทุกเรื่อง แค่เราไม่รู้ว่าลุงรู้ เท่านั้นแหละ

11. ทองคำเปลวที่ลุงแปะหลังพระ ล้นออกมาแล้วครับ วันนี้ใครหลายคนเห็นทองหลังพระแล้ว ลุงไม่ต้องพูดเองครับ จะมีคนจำนวนมากพูดให้ลุงเอง ลุงอ่านเรื่องดี ๆ ของลุงให้ทันเถอะครับ

12. อ้าว เกินโควตา 10 ข้อแล้วเหรอ กฎนี้ใครคิด กฎผิดฉันไม่ผิด ไปแก้กฎก่อน อยากเขียนอีกสัก 100 ข้อ ยื่นญัตติด่วนเลย

ขออนุญาตใช้คำว่า รักและเคารพ อย่างที่สุดนะครับ

'สนธิญา' ร้อง ปอท. ตรวจสอบ 'วิโรจน์ ก้าวไกล' พูดมั่วในรายการกรรมการข่าวฯ กรณี 'บิ๊กตู่' พ้นนายกฯ แล้วยังเป็น ปธ.ยุทธศาสตร์ชาติ มีอำนาจปลดคนได้

(7 ก.ย.66) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายสนธิญา สวัสดี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี รอง ผกก.3 บก.ปอท.เพื่อร้องทุกข์ให้ ตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ที่มีการไปร่วมรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา โดยมีใจความในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีการกล่าวอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่าแม้พลเอกประยุทธ์ จะพ้นสภาพจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็จะยังคงเป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งถือว่ายังคงสามารถกำกับดูแลการทำงานหรือสามารถปลดคนทำงานได้

ทั้งนี้ หลังจากตนได้ศึกษาข้อมูลทั้งหมดจึงพบว่า คำพูดดังกล่าวของนายวิโรจน์ถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากประธานยุทธศาสตร์ชาติจะต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการที่พลเอกประยุทธ์พ้นวาระจากการเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถ เป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติได้ตามที่นายวิโรจน์เก่าอ้าง ซึ่งถือว่าการออกมาให้ข้อมูลผ่านสื่อแบบนี้เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในวันนี้จึงเดินทางมาพร้อมกับคลิปรายการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวันเกิดเหตุทั้งหมด มาให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ตรวจสอบว่าเข้าข่ายการกระทำความผิด การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่

ส่วนนายสรยุทธ์ ผู้ประกาศคนดังเบื้องต้นตนเองไม่ได้มีการร้องขอให้ตำรวจตรวจสอบเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นการทำงานของสื่อมวลชนในการสอบถามข้อมูลซึ่งควรต้องเป็นหน้าที่ของผู้ให้ข้อมูลในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนซึ่งก็คือตัวนายวิโรจน์

"ยืนยันว่าในวันนี้ที่เดินทางมาเป็นการเดินทางมาด้วยตนเองในฐานะประชาชนคนไทยที่ต้องการเห็นความถูกต้อง ไม่ได้มีการรับงานมาจากใคร และส่วนตัวอยากให้นายวิโรจน์ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่การออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับประชาชนแบบนี้"นายสนธิญา กล่าว

สำหรับกรณีนี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ แถลงนโยบาย  หลังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สมัยแรก

ย้อนไปในวันนี้ เมื่อ 9 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบาย 11 ด้าน ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังนั่งเก้าอี้นายกฯ สมัยแรก

เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลชุดนี้มีข้อแตกต่างด้านเงื่อนไขและเวลา ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ คือ ต้องสืบทอดสานต่อภารกิจจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาประเทศไว้ก่อนแล้วเป็น 3 ระยะ และรัฐบาลนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นจากพรรคการเมืองจึงไม่มีนโยบายที่ใช้หาเสียง หวังคะแนนประชานิยม เป็นฐานทางการเมือง

สำหรับนโยบายที่แถลงนั้น จำแนกเป็น 11 ด้าน ดังนี้

1. การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์

2. การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ แบ่งเป็น
2.1ระยะเร่งด่วน รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
2.2 เร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้
2.3 พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ และระบบป้องกันประเทศให้ทันสมัย
2.4 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศบนหลักการนโยบายการต่างประเทศ

3. การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ

4. การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา และศิลปวัฒนธรรม

5. การยกระดับคุณภาพ และบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน

6. การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

7. การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน

8. การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม

9. การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

10. การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ

11. การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระยะเฉพาะหน้า

‘ธนกร’ เข้าเยี่ยม ‘ลุงตู่’ หลังไม่ได้เจอกันนานนับเดือน บอกลุงตู่ดูสดชื่นแจ่มใส พร้อมฝากความคิดถึงถึงพี่น้องทุกคน

(22 ก.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความ ในเฟซบุ๊ก ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ ระบุว่า…

ผมไม่ได้เจอลุงตู่มานานนับเดือน แต่ได้ไลน์คุยกับท่านทุกวัน วันนี้จึงไปเยี่ยมท่านด้วยความคิดถึง พูดคุยกันนานร่วม 2 ชั่วโมง เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ท่านสดชื่นมาก สุขภาพดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส และยังถามถึงทุก ๆ คน ที่เคยทำงานร่วมกันมา

วันนี้ ลุงตู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวการเมืองแล้วแต่ยังคงเป็นห่วงบ้านเมือง ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ท่านยังฝากความห่วงใย ฝากความคิดถึง ฝากความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนไทยทุกคนครับ 

ผมสอบถามท่านว่า ได้ดู ‘ติ๊กต็อก’ บ้างไหม ท่านบอกได้ดูบ้าง ผมบอกมีแต่คนคิดถึงท่าน ผลงานท่านถูกนำออกมาโพสต์เต็มไปหมด ไม่ถูกด้อยค่าเหมือนสมัยตอนเป็นนายกเลย ท่านถามเพราะอะไร ผมบอกสงสัย AI เลิกทำงาน ท่านหัวเราะ ผมเรียนท่านว่า สิ่งที่เราเห็นในติ๊กต็อกตอนนี้ คือของจริงที่ประชาชนแสดงออก ยืนยันว่า ท่านทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง มีผลงานชัดเจน

วันนี้ ผมมีความสุขมากครับ ที่ได้เจอลุงตู่ จริง ๆ แล้วไม่อยากไปรบกวนท่านเพราะช่วงนี้ท่านคงอยากพักผ่อน ผมชวนท่านไปไหว้พระ พักผ่อนต่างจังหวัดบ้าง ท่านบอกว่า ช่วงนี้ขอให้เวลากับครอบครัวก่อน เพราะที่ผ่านมาทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มที่ ไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวเลย จากนี้แล้วค่อยว่ากัน  

สำหรับผมแล้ว ‘ลุงตู่’ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักตลอดชีวิต เป็น ‘สุภาพบุรุษผู้ปิดทองหลังพระ’ ตั้งใจ ทุ่มเท ทำงาน ไม่พูด ไม่อวด ถึงวันนี้ ‘แผ่นทอง คือ ผลงานของท่าน’ ถูกกล่าวขาน ชื่นชม นำเสนอทั้งในโลกโซเชียลว่า ผลงานนี้ สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศและคนไทยทุกคน 

ด้วยรักและเคารพ
สส. ธนกร วังบุญคงชนะ 
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ปล. ขอทำความเข้าใจท้ายสุดครับ วันนี้ลุงตู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว ผมก็ไปเยี่ยมเยียน ‘ลุงตู่’ ตามปกติในฐานะเป็นคนที่ผมเคารพรักนะครับอย่าโยงการเมืองอีกนะจ๊ะ

ย้อนคำ ‘บิ๊กตู่’ 8 ปี ทุ่มเท ‘ไม่หันเหสู่ทุจริต-เรียกทรัพย์’ หวังบ้านเมืองใสสะอาด เงินทุกบาททุกสตางค์ถึง ปชช.

จากรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ได้เชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งช่วงหนึ่งของรายการ พลเอกประยุทธ์ ได้เล่ามุมมองและเรื่องราวสําหรับผู้นําที่หมดอํานาจ ว่ากลัวหรือไม่ หากมีการไล่บี้ไล่เช็งเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น หรือต้องติดคุกติดตะรางอย่างเกาหลี ซึ่งในแง่นี้ควรระวังและต้องป้องกันอะไรบ้าง โดยระบุว่า…

“ผมป้องกันมา 8 ปีแล้ว…โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องทุจริต ผมคิดว่าใจผมยังไม่คิดจะทุจริต และรู้ตัวว่าหากเข้ามาอย่างงี้มันอันตราย…สามารถไปถามได้เลยว่าผมเคยเรียกเงินใครสักบาทไหม…ทุกโครงการเคยเอาเงินมาส่งผมไหม…เพราะฉะนั้นขอยืนยันตรงนี้ว่า บ้านเมืองต้องมีผู้นําที่บริสุทธิ์ หากวันหน้าใครจะมาแกล้งหรือฟ้อง ก็แล้วแต่เถอะครับ…ผมยืนยันในตัวเองเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าผมไม่มี ดังนั้น ประเทศไทยต้องใสสะอาดในวันข้างหน้าทุกมิติ”

แล้วการตรวจสอบรอบ ๆ ข้าง จะเพิ่มความเข้มข้นได้ขนาดไหน? “มีคิดกันไว้แล้วกับท่านหัวหน้าพรรค ซึ่งคิดว่าวันข้างหน้าต้องมีกฎหมายควบคุมอะไรเพิ่มอีกสักหน่อย ในเรื่องของคณะทํางานที่จะต้องไปติดตาม เพราะวันนี้มีในระบบกันหมดแล้ว แต่ตามแล้วก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง มันต้องมีอะไรติดตามกํากับดูแลการทํางานของส่วนราชการเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางทีมันต้องไปดูเอง คราวนี้การไปดูเองก็เขาก็ต้องไปในนามของรัฐบาล หรือในนามของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอันนี้จะเป็นการตรวจสอบได้ตามระเบียบสํานักนายก ที่ผ่านมาทําตรงนี้ยังไม่ได้ เพราะทำไม่ทัน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คิดไปแล้ว แต่ไม่ทัน มันต้องอยู่อีกสองปี…”

“แล้วจริงๆ ผมเปิดช่องทางสื่อสารกับประชาชนอยู่แล้ว หากลองไปดูหลายเรื่องที่เราสามารถแก้ไขปัญหาได้มันเป็นเพราะอะไร? เพราะได้มีการเปิดช่องทางติดต่อสื่อสาร คือมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่ทําเนียบรัฐบาล มีสํานักปลัดนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดหลายเรื่องพอรับมา ก็มีการส่งให้ไปแก้ปัญหาหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยมีคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ไปทําไปดูมาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมง หรือเรื่องที่ดินต่างๆ พอทําตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าทําแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าทําในหน้าที่ในกรอบของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีบางทีอํานาจมันไม่พอ มันน้อย…เพียงแต่ว่าไปตรวจสอบใบต่างๆ แล้วหาวิธีการว่านายกฯ ควรจะทําอย่างไร แต่ถ้าเรามีคณะทํางานตรงนี้ออกมามันสามารถตามได้หมดเลย แต่ต้องระวังว่ามันจะซับซ้อนกันหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องมีกฎหมาย มีระเบียบออกมา…”

“ผมไม่ต้องการที่จะอะไรกับใครนะ…ผมแค่ต้องการให้บ้านเมืองมันใสสะอาด และเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องลงสู่ประชาชน ลงสู่ประเทศของเรา เพราะเงินเหล่านี้ไม่ได้หามาง่ายๆ…” พลเอกประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘บิ๊กตู่’ ส่งความปรารถนาดี ความห่วงใยใน ’วันลอยกระทง‘ อวยพรคนไทยให้สุขสมหวัง - ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดีต่อนทท.

(27 พ.ย.66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความผ่าน Facebook เนื่องในเทศกาลวันลอยกระทงวันนี้ว่า ”เนื่องในโอกาสเทศกาลลอยกระทงของไทย เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว และชาวไทยจะได้ร่วมกันสืบสานประเพณีสำคัญของประเทศ ที่ชาวต่างชาติให้ความนิยมอยากมีส่วนร่วมในเทศกาลนี้

ผมขอฝากความปรารถนาดีและความห่วงใย ขอให้พี่น้องประชาชนถือปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางราชการ ทั้งมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และด้านความปลอดภัยต่างๆ เช่น เรื่องท่าน้ำ ดอกไม้ไฟ โคมลอย การสัญจร ฯลฯ 

ท้ายนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขสมหวังดังคำอธิษฐาน และร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเหมือนคนในครอบครัวด้วยครับ“

'พีระพันธุ์' โพสต์ยินดี 'ลุงตู่' ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เชื่อ!! ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของชาติ

(30 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความยินดีกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีวานนี้ (29 พ.ย.2566) โดยระบุว่า…

เมื่อคืนผมดีใจมากพอทราบข่าวพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ให้เป็นองคมนตรี ผมรีบติดต่อท่านทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และภารกิจใหม่อันมีเกียรติยศและมีความสำคัญยิ่งทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อประเทศ และต่อสถาบันหลักของชาติ

ผมดีใจมากเพราะมีคนดีอีกคนหนึ่งได้รับโอกาสนี้ โดยเฉพาะเมื่อท่านไม่ใช่เพียงเป็นแค่คนดีจริงๆเท่านั้น แต่เป็นคนดีที่มีความสามารถมีความรอบรู้ในการบริหารและการพัฒนาบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต

ผมเชื่อมั่นและมั่นใจว่าท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของประเทศในการสร้างความมั่นคงและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นและความเจริญมากยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับท่านเป็นที่สุดครับ ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’

นอกจากนี้ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็ได้แสดงความยินดี กับพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เพราะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมานาน สร้างคุณูปการให้กับสังคม และประชาชนไว้อย่างมากมาย

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยทำงานร่วมกับพรรคมาระยะหนึ่ง พวกเราได้เห็นความตั้งใจจริงในการเข้ามาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พ้นจากการเมืองไปแล้ว พร้อมทั้งได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำงานสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งองคมนตรีต่อไป

‘เทพไท’ เผย ‘ลุงตู่’ ลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม ปิดฉากทางการเมืองไทย พร้อมขึ้นหิ้งสู่ ‘องคมนตรี’

(3 ธ.ค. 66) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ‘เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง’ ดังนี้…

ลุงตู่ ลงจากหลังเสือ อย่างสง่างาม

หลังจากผมได้โพสต์เพลง ‘สดุดีลุงตู่’ ในสื่อโซเชียลช่องยูทูปได้ไม่นาน ปรากฏว่า มียอดผู้เข้าชม 1 แสนคนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และรวมจากสื่อทุกช่องทาง มียอดผู้เข้าชมนับล้านวิว ในเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กระแสความนิยมในตัวลุงตู่ ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่ได้ลดต่ำลงไปเลย และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้นำประเทศ ซึ่งมาจากการรัฐประหาร ผ่านการเลือกตั้ง เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสุดท้ายได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็น ‘องคมนตรี’ ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุด

การได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี ของพลเอกประยุทธ์ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการวางมือทางการเมืองแบบเด็ดขาด ถือได้ว่าได้ก้าวลงจากตำแหน่งแบบสง่างามหรือสมูทที่สุด

ก่อนหน้านี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร เมื่อลงจากตำแหน่ง หรือที่เรียกกันว่าลงจากหลังเสือ อาจจะถูกเสือแว้งกัดได้ แต่กรณีของลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ได้ลงจากตำแหน่งอย่างมีเกียรติ และส่งไม้ต่อให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากขั้วอำนาจใหม่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทุกประการ นับว่าเป็นนิมิตหมายใหม่ ที่รัฐบาลเก่ากับรัฐบาลใหม่เปลี่ยนผ่านอำนาจ ส่งมอบงานกันอย่างมีไมตรีต่อกัน ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว ปิดฉากทางการเมืองอย่างเป็นทางการ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘ขึ้นอยู่บนหิ้ง’ แล้ว คงไม่ลงมาเกลือกกลั้วกับการเมืองอีกแน่นอน

ผมขอแสดงความชื่นชมยินดีกับตำแหน่งองคมนตรีของลุงตู่อีกครั้งหนึ่ง หวังว่าท่านคงได้นำความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต และความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘รทสช.’ ยึดมั่น 3 สถาบันหลัก ‘ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์’ ลั่น!! พร้อมเดินหน้าต่อแม้ไร้ ‘ลุงตู่’ ปัดตอบ ปม ‘ปชป.’ บางส่วนจ่อย้ายซบอก

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการทำงานของพรรค รทสช. ที่จะยึดเหนี่ยวฐานเสียงเดิมของพรรคเป็นอย่างไรต่อไป หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรี ว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นพรรคก็ไม่ได้มีท่านอยู่ และท่านได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แต่พรรคยังเดินหน้าไปตามปกติ ทุกคนทำงานทางการเมือง ส่วนตนในฐานะหัวหน้าพรรค พยายามทำหน้าที่ให้ดีทั้งการดูแลพรรคและ ดูแลประชาชนในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากจะต้องเปลี่ยนจุดขายจะเปลี่ยนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวยืนยันว่า “ไม่ครับ จุดขายของเราคือเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คือจุดขายหลัก”

เมื่อถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถูกจับตามองว่า อาจจะมีสมาชิกบางส่วนไหลมาอยู่กับพรรค รทสช. นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ อันนี้ไม่ทราบ ไม่มีความเห็น”

เมื่อถามย้ำว่า พรรค รทสช.พร้อมที่จะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีความเห็นใดๆ อะไรยังไม่เกิด ก็ไม่พูด”

ย้อน 3 ไทม์ไลน์ แนวทางกู้วิกฤต PM 2.5 ของ ‘พลเอกประยุทธ์’ ‘ขอความร่วมมือเพื่อนบ้าน-เร่งคุมปัญหาในประเทศ-ชู EV ปรับสมดุล’

>> เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 66 ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่

แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย...

1.) ภายในประเทศ รัฐบาลได้ขับเคลื่อน ‘แม่แจ่มโมเดล’ ที่บูรณาการทุกภาคส่วน ในทุกระดับ อย่างครบวงจร และขยายผลไปในทุกพื้นที่ของภาคเหนือต่อไป 

2.) ภายนอกประเทศ รัฐบาลได้ใช้การเจรจาและขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในการจำกัดปัญหาหมอกควันนี้ นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองเชียงใหม่ สายโรงพยาบาลนครพิงค์-แยกแม่เหียะสมานสามัคคี ที่อยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อก่อสร้างในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งการส่งเสริมการใช้และผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมตามทิศทางของโลก แต่เป็นการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทยในศตวรรษหน้าอีกด้วย 

>> เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 66 สั่งการ ครม.แก้ปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (28 มี.ค. 66) ได้มีการหารือ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยผมขอให้กำกับดูแลลงในรายละเอียดมากขึ้น เน้นแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาจริงๆ ได้แก่...

1.) การเผาป่า/ไฟป่า ‘นอกประเทศ’ ที่เป็นสาเหตุหลักในปัจจุบัน ช่วงเดือนมีนาคมนี้ พบจุดความร้อนสะสมสูงถึง 25,209 จุด ทั้งนี้ผมได้ใช้ทั้งช่องทางการทูตและช่องทางส่วนตัว หารือ/ขอความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในการควบคุมการเผาต่างๆ เพื่อลดผลกระทบร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ 

2.) การควบคุมและดับไฟป่า ‘ในประเทศ’ ทั้งป่าอนุรักษ์และป่าสงวน โดยผมได้สั่งการให้บูรณาการเครื่องมือ เจ้าหน้าที่ และแผนงานจากทุกภาคส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ชุดดับไฟป่า, เฮลิคอปเตอร์ดับไฟป่า, การทำฝนหลวง, การสร้างแนวกันไฟ ตลอดจนอาสาสมัครในพื้นที่ ทำงานร่วมกับฝ่ายปกครอง-ฝ่ายทหาร เพื่อลดปัญหาเป็นการเร่งด่วนด้วย

3.) การกำกับดูแลการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ‘ในประเทศ’ ซึ่งผมให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ใช้กลไกที่มีอยู่ในทุกระดับ ขอความร่วมมือและสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น เพื่อลดการเผาลงให้ได้มากที่สุด รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป  

4.) การให้คำแนะนำด้านสุขภาพ เช่น ลดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงนี้ และควรสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาแสบตา คันตา ตาแดง ระคายเคืองผิวหนัง ไอ หายใจลำบาก หรือแน่นหน้าอก ฯลฯ ขอให้เข้ารับบริการ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานพยาบาลของรัฐที่ใกล้บ้านในทันทีได้ทุกแห่ง

ทั้งนี้ ผมได้ติดตามและได้รับรายงานการป้องกัน รวมทั้งการแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าโดยพื้นฐานแล้ว คนไทยเป็นผู้มีน้ำใจและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นหากได้รับทราบข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้อง ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ทำให้ทุกปัญหาของบ้านเมืองคลี่คลายลงไปได้ ในทางที่ดีเสมอครับ

>> เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 มีการประชุม 3 ฝ่าย (ไทย-ลาว-เมียนมา) เพื่อร่วมแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

สุขภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เป็นสิ่งที่ผมและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จากการติดตามประเมินผลการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง หลายมาตรการประเทศไทยเราสามารถควบคุมและจำกัดปัญหา PM 2.5 ได้เองเป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลดปัญหาหมอกควันข้ามแดนนั้น จำเป็นจะต้องกระชับความร่วมมือกับประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งในวันนี้ผมได้ริเริ่มให้มีการประชุมสามฝ่าย ผ่านระบบ Video Conference เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน กับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่เห็นพ้องต้องกันในหลายเรื่อง ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน ทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยั่งยืน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่…

1.) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ รวมถึงแนวทางดำเนินการด้านกฎหมายของแต่ละประเทศ เพื่อควบคุมที่ต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือเกษตรกรในการบริการจัดการของเสีย-ซากพืชผลทางการเกษตร โดยแปรให้เป็นพลังงาน เช่น (1) การทำโรงไฟฟ้า BCG ที่เปลี่ยนของเสียให้เป็นปุ๋ย, พลังงานไฟฟ้า หรือน้ำมันดีเซล (2) การทำโรงงานไบโอก๊าซขนาดเล็ก ตามชุมชนขนาดเล็ก และ (3) การแปรรูปเศษซากที่เหลือจากการเกษตรเป็นวัสดุที่เป็นรายได้ เป็นต้น   

2.) การใช้ประโยชน์กลไกทุกระดับ ในรูปแบบทวิภาคี เช่น คณะกรรมการชายแดนในระดับจังหวัด และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 42 เพื่อให้ผู้นำอาเซียน ได้ร่วมกันพิจารณาสั่งการ และเร่งรัดการปฏิบัติให้มีผลเป็นรูปธรรมและรอบด้าน 

3.) การจัดตั้งระบบเตือนภัยและส่งเสริมประสิทธิภาพการดับไฟ, การบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการพัฒนาความสามารถเจ้าหน้าที่ เพื่อลดจุดความร้อนและควบคุมมลพิษในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  

ซึ่งมาตรการทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ โดยจัดทำแผนร่วมกันในรายละเอียด และขับเคลื่อนในทุกระดับต่อไป โดยบรรยากาศการประชุมสามฝ่ายในวันนี้ เป็นไปด้วยความราบรื่นและเต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นพลังแห่งความร่วมมือระหว่างกัน ที่จะนำมาสู่การคลี่คลายปัญหานี้ได้ โดยเร็ววันครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top