Wednesday, 22 May 2024
ประยุทธ์จันทร์โอชา

‘อัษฎางค์’ ชี้!! ‘บิ๊กตู่’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช มาตลอด แต่ถูก ‘สื่อ-นักการเมือง’ เอาไปพูดบิดเบือนจน ปชช.เข้าใจผิด

(16 ก.ค. 66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า…

สำนักข่าวอิศรา ที่เคยรายงานทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 พบรายละเอียด ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 102,317,152.64 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี มูลค่า 58,967,022 บาท
- เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท
- ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 4 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท
ทรัพย์สินอื่นฯ 4 รายการ มูลค่า 4,193,000 บาท

นอกจากนี้ แจ้งว่ามีคู่สมรส คือ นางนราพร จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 26,347,382.76 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท
- ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท
- โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 1 คัน 5 ล้านบาท
- ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท
หนี้สินรวมทั้งสิ้น 654,745.06 บาท

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งด้วยว่า ได้รับเงินจากการขายที่ดิน 9 โฉนดแก่บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (บริษัทเครือข่ายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง) จากบิดา (พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา) รวมมูลค่า 540 ล้านบาท และได้แบ่งให้บิดากับน้องรวม 267 ล้านบาท มอบให้ลูก 2 คน 198 ล้านบาท และได้รับเงินจากน้องที่สร้างบ้านให้พ่ออีก 6 ล้านบาท

สรุปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 128,664,535.40 บาท

ส่วนการเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แล้วเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายไม่ได้บังคับ กฏหมายบัญญัติให้แสดงทรัพย์สินเพียง 2 ครั้ง คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่งและหมดวาระ ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ป.ป.ช. จึงไม่ต้องนำมาเปิดเผย

แต่สื่อ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอาจารย์นักวิชาการ เอาไปพูดบิดเบือนจนประชาชนเข้าใจผิด และออกมาโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือ ปปช.ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งส่อแววทุจริต

อัษฎางค์ ยมนาค

‘บิ๊กตู่’ อัปเดตความคืบหน้าการพัฒนาประเทศไทย พร้อมขอทุกคนร่วมมือ-สามัคคี สร้างสิ่งดีๆ สืบต่อไป

(26 ก.ค. 66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ระบุว่า…

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ผมยังคงเฝ้าติดตาม ผลักดัน และกำกับดูแลแผนงาน-โครงการต่างๆ ที่ได้ริเริ่ม หรือสานต่อไว้ในทุกๆ เรื่องอย่างต่อเนื่อง และเสมอต้นเสมอปลาย โดยมีตัวชี้วัดและมุมมองจากประชาคมโลกหลายอย่าง ที่ยืนยันถึงการขับเคลื่อนประเทศของเรานั้น เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับยุคสมัย รองรับการพัฒนาในอนาคต เช่น (1) การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม (2) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ดีขึ้น (3) การพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืน เป็นต้น

โดยในวันนี้ (26 ก.ค.66) ผมขออัปเดตข้อมูลความคืบหน้า และทำความเข้าใจเพิ่มเติม สำหรับพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาพรวมบ้านเมืองของเรา ดังนี้

1. การเงินการคลัง ณ ปัจจุบัน ถือว่ามีเสถียรภาพเข้มแข็งเพียงพอ สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งด่วนที่อาจจะเกิดขึ้น หรือคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนเศษ ของปีงบประมาณ 2566 (นับถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566) เช่น น้ำท่วม-น้ำแล้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นต้น สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สูง มากพอสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในสายตาชาวโลก

2. การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มีความคืบหน้าอย่างมาก เช่น 
(1) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน เส้นทางนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทางรวม 420 กิโลเมตร มีความคืบหน้าในภาพรวมตลอดเส้นทาง มากกว่า 90% คาดว่าแล้วเสร็จภายในปลายปี 2566 นี้ ที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า รองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจ เชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ของประเทศ สำหรับสายเหนือ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร คืบหน้าราว 80% และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร ก็คืบหน้ากว่า 95% (ไม่รวมอุโมงค์รถไฟ 5 กิโลเมตร) 

(2) โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)  คืบหน้ากว่า 82.55% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567 เชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้า-พืชผลทางการเกษตร ระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน กระจายรายได้และความเจริญในภาคอีสาน และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ

3. การสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยจากประคมโลกในด้านต่างๆ เช่น 

(1) รายได้จากการท่องเที่ยวช่วง 7 เดือนนี้ สะสมรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 14 ล้านคน เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากกว่า 0.56 ล้านคน   
(2) นักลงทุนต่างชาติ สนใจลงทุนในพื้นที่ EEC ช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2566  มีมูลค่าการลงทุนกว่า 10,771 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 ของเงินลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย
(3) การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 15% เปรียบเทียบช่วงเดียวกันปี 2565 รวมมูลค่าการลงทุน 48,927 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 3,222 คน อีกทั้งตลาดรถ EV ในประเทศ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง เพียงช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ มียอดจดทะเบียน EV มากถึง 31,738 คัน ขยายตัวถึง 3 เท่า ของจำนวนทั้งหมดในปี 2565

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เดินหน้าเจรจากับต่างประเทศเพื่อการเปิดตลาดการค้าใหม่ และกระชับความสัมพันธ์เพื่อขยายการค้าการลงทุน เช่น ความร่วมมือทางการค้าของไทย-มาเลเซีย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าในระบบเศรษฐกิจระหว่างกันประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท ให้ได้ในปี 2568 โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย เช่น ธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารไทย และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว-การก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ คือ ความพยายามของผมที่ไม่เคยลดละ ที่จะสร้างโอกาส-สร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม ให้กับประชาชนทุกคน โดยผมเห็นว่าความสำเร็จเหล่านี้ เกิดจากความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจกันของคนในชาติ อีกทั้งความสงบสุขของบ้านเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้การพัฒนาต่างๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมขอให้เราทุกคนช่วยกันรักษาบรรยากาศดีๆ นี้ ให้เป็นปกติสุขคู่สังคมไทยตลอดไปด้วยครับ

‘บิ๊กตู่’ ปัด ‘ทักษิณ’ ติดต่อกลับไทย 10 ส.ค.นี้  บอกแค่ได้ยินจากข่าว ส่ายหน้า!! เตรียมแผนรับ

(26 ก.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 8/2566 โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาแล้วใช่หรือไม่ว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 10 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ยิ้ม พร้อมกล่าวว่า “ติดต่อใคร”

จากนั้นผู้สื่อข่าวสอบถามว่าตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของนายทักษิณ ได้โพสต์ข้อความว่าจะเดินทางกลับในวันที่ 10 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามย้ำว่า “ติดต่อใครหรือ ไม่ทราบ เห็นแต่เพียงข่าวเฉยๆ”

ผู้สื่อข่าวสอบถามอีกว่าอย่างนี้ต้องมีการเตรียมแผนในการรับอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวก่อนจะขึ้นไปประชุมด้านบนทันที

‘มท.1’ เร่งหาแหล่งเงินเยียวยา ปชช.เหตุพลุระเบิดนราธิวาส ลั่น!! ภาครัฐจะดูแลให้ดีที่สุด พร้อมล่าตัวเจ้าของโกดังดำเนินคดี

(4 ส.ค. 66) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ตำบลบ้านมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ว่า มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่จะดูแล โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องความแออัด และปัญหาน้ำท่วม จึงจะใช้แนวทางการปฏิรูปที่ดิน เพื่อจัดรูปแบบใหม่

ซึ่งวันเดียวกันนี้ ได้เตรียมทางเลือกมารายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ก่อนจะนำไปให้ประชาชนพิจารณา รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องแหล่งเงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมและอยู่ดีกินดีขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าวงเงินที่ใช้ในการฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์นี้น้อยไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุด จากแหล่งเงินหลายแห่ง หากดูตามประวัติศาสตร์ การจ่ายเงินเกินอำนาจเป็นไปไม่ได้ กฎหมายอนุญาตให้จ่ายได้เท่าไหร่ รัฐฯ พยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย

เมื่อถามต่อถึงการดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังที่หลบหนีไปต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น ขอให้ประชาชนเข้าใจ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น

‘บิ๊กตู่’ เผยความในใจ ไม่ได้เข้ามาเพื่อทุจริต แต่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองด้วยความตั้งใจ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุการณ์รัฐประหาร ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พร้อมยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาในการทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ตนและคณะทำงานทุกท่านนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อทำการทุจริต แต่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองด้วยความตั้งใจ จากใจจริง โดยระบุว่า…

“วันแรกวันที่ 22 บ้านผมเนี่ย ร้องไห้ทั้งบ้าน เอาล่ะ พูดไปเดี๋ยวก็ไม่ดี ถ้าไม่อยากให้ผมเป็นอย่าง งี้เลย แต่ผมบอกไม่ได้ ต้องทํา แล้วผมก็ไม่ได้บอกใคร พี่ ๆ ผมบอกทีหลังทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่ได้ไง วันหน้าเกษียณก็โดนด่าอีก ปล่อยให้เป็นอย่างงี้ได้ไง? เพราะฉะนั้น อย่ารอเวลา เวลาของเรามันใกล้จะหมดแล้ว คําว่าหมดก็คือหมดจากเวทีโลก ถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอยู่แบบเดิม มันจะกลับมาอีกไม่ได้เลย เราจะเป็นประเทศที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วันนี้ไม่ถึงขั้นนั้น เราเริ่มเดินหน้าได้แล้ว ด้วยความร่วมมือของทุกท่านในปัจจุบัน ใครก็ตามที่ยังเฉื่อยแฉะ ยังรอเวลา ผมว่าผมไม่ปล่อยให้ท่านรออยู่แล้วนะ”

“การทุจริตผิดกฎหมาย อะไรที่ร่ำลือกันมาว่าวันนี้ก็มีอยู่ 50% ส่ง คสช. สลึงพวกผมยังไม่ได้เลย ผมไม่มีต้นทุน ไม่มีต้นทุนในการทํางาน ไม่ได้เสียเงินสักสลึงเข้ามาทํางาน เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องการที่จะเอากําไรกลับไป…ไม่มี เพราะฉะนั้นผมยืนยันว่าพวกเราเข้ามาด้วยความตั้งใจ ทุกคนเข้ามาด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ ความรู้ความสามารถ เกียรติยศของแต่ละท่าน ผมเข้ามาด้วยชีวิต นะ ผมแตกต่าง…ผมอาจจะมีคุณวุฒิหรือมีความรู้ความสามารถไม่เท่าบรรดาพี่ ๆ แต่ผมก็เอาชีวิตเข้ามา ถ้าผมทํา 22 พฤษภาคม ทําจัดระเบียบไม่ได้ ผมก็กลายเป็นกบฏ แล้วผมได้อะไรขึ้นมา นั่นแหละคือสิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้จิตใจผม เพราะผมปล่อยไปไม่ได้ เพราะผมสงสารลูกหลานผมในวันข้างหน้า เขาจะอยู่กันยังไง แล้วประเทศไทยมันจะเข้มแข็งกับเขาได้ยังไง…”

‘บิ๊กตู่’ ควงคณะรัฐมนตรีคู่ใจ ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เยี่ยมชมโครงการรถไฟทางคู่ ‘มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ’

(17 ส.ค. 66) ที่จังหวัดสระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงข่ายคมนาคมระบบราง งานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ

และตรวจเยี่ยมงานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ช่วงอุโมงค์มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อรองรับและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับการเดินทางและศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสต์ติก เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างชัดเจน และมีความปลอดภัย

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย

โดยจุดแรก นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจติดตามความก้าวหน้างานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จ (อุโมงค์ที่ 1) ช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ซึ่งสัญญาที่ 3 เป็นงานอุโมงค์รถไฟ จำนวน 3 อุโมงค์ ได้แก่

อุโมงค์ที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีมาบกะเบา สถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ จ.สระบุรี มีความยาว 5.85 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นการออกแบบที่มีระบบความปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยภายในอุโมงค์มีช่องอพยพผู้โดยสารทุก ๆ ระยะ 500 เมตร ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 98.130

อุโมงค์ที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีหินลับ และสถานีมวกเหล็กใหม่ จ.สระบุรี มีความยาว 650 เมตร กว้าง 11.00 เมตร สูง 7.30 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์เดี่ยว รางคู่ โดยช่องอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์อื่น ๆ ทำให้มองเห็นปากอุโมงค์ทั้งสองฝั่งได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ

อุโมงค์ที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนลำตะคอง ระหว่างสถานีคลองขนานจิตร อ.ปากช่อง และสถานีคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร กว้าง 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร ลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยอุโมงค์ทั้ง 3 แห่ง มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ซึ่งในอนาคตได้มีการวางแผนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม เนื่องจากโดยรอบเป็นภูเขาและป่าร่มรื่น

นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ขึ้นขบวนรถไฟไปยังอุโมงค์ผาเสด็จ ระยะทาง 300 เมตร เพื่อเยี่ยมชมอุโมงค์ผาเสด็จ ก่อนขึ้นขบวนรถไฟกลับไปยังบริเวณพื้นที่โครงการฯ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ มีความก้าวหน้าเกิดผลสำเร็จเป็นไปแผนที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ระบบราง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการพัฒนาประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่รัฐบาลได้วางแผนไว้

พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับจากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้สำหรับประชาชนและประเทศชาติ ในการพัฒนาไปสู่อนาคต ส่วนบางโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษา ก็ขอให้ดำเนินการต่อให้เกิดผลสำเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป

หากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการเดินขบวนรถได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว โดยขบวนรถโดยสาร จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิม 50 กม./ชม. และขบวนรถสินค้า จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 60 กม./ชม. จากเดิม 29 กม./ชม. ลดระยะเวลาการเดินทาง มีความตรงต่อเวลาของขบวนรถ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ และประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนกับผู้โดยสารรถไฟ ด้วยการแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนนให้เป็นทางต่างระดับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และเปิดเดินรถในทางคู่ใหม่บางส่วนได้ภายในปี 2567 นี้

อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินลอดใต้แม่น้ำแห่งแรกของไทย แค่ 2 นาที เชื่อมความเจริญสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

'บิ๊กตู่' ชวนประชาชนนั่งข้ามเจ้าพระยาผ่านรถไฟฟ้าใต้ดินลอดอุโมงค์แม่น้ำเจ้าพระยา ความสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ที่ใช้เวลาเพียง 2 นาที เชื่อมฝั่งธน-เกาะรัตนโกสินทร์ สู่มหานครแห่งความสุข 

(20 ส.ค.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยได้ติดตามทุกโครงการของรถไฟฟ้ามหานคร ให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนและมีความสำเร็จให้ตรงตามเวลาตามเป้าหมาย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้หนึ่งในสายรถไฟฟ้าที่เป็นเส้นทางการเดินทางและใกล้แหล่งท่องเที่ยวชุมชนเก่าคือ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วง หัวลำโพง-บางแค เป็นโครงการเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ไปฝั่งธนบุรี ความพิเศษของเส้นทางระหว่างสถานีสนามไชยกับสถานีอิสรภาพ เป็นเส้นทางผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย เป็นระยะทางประมาณ 200 เมตร โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดเดินเครื่องหัวเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้าลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา (Eastbound TBM Launching Ceremony) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายฯ สัญญา 2 ช่วงสถานีสนามไชย - สถานีท่าพระ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 กระทั่งแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา

ตรงนี้เป็นเส้นทางที่สะดวกในการเชื่อมระหว่างพระนคร (เกาะรัตนโกสินทร์) ไปยังฝั่งธนบุรี และเป็นจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกของไทย แหล่งสถานศึกษา 3 มหาวิทยาลัย (ม.ศิลปากร วังท่าพระ-ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล วังหลัง) และโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงทำให้เส้นทางนี้สามารถลดปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยเป็นอย่างมาก

“โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงสถานีสนามไชย-สถานีอิสรภาพ รถไฟฟ้าจะต้องผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 นาที แต่ต้องก่อสร้างด้วยเทคนิคพิเศษ เนื่องจากเป็นการขุดอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความลึกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร และตัวอุโมงค์รถไฟฟ้าขุดลึกลงไปจากก้นแม่น้ำอีก 10 เมตร หรือลึก 30 เมตรจากผิวดิน โดยในบางช่วงที่ลึกที่สุดจะลึกไปถึง 38 เมตรเทียบเท่าตึก 10 ชั้น โดยที่บริเวณจุดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีความลึก 30.86 เมตรใต้ท้องน้ำและลึก 9.71 เมตรจากใต้ท้องน้ำถึงหลังอุโมงค์ พิกัดจุดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากสถานีสนามไชย 323.92 เมตร“ น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายฯ นี้ ผ่านย่านเมืองเก่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงมีความตั้งใจที่จะให้มีแผนพัฒนาให้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่วิจิตรทั้งภายนอกและภายในให้สอดรับกับบริบทในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งมีความสวยงามมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมผสมเข้าไปด้วย เช่น สถานีวัดมังกร, สถานีสนามไชย, สถานีอิสรภาพ, สถานีสามยอด จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าแวะชมไปด้วย

“การเชื่อมความเจริญใต้น้ำเจ้าพระยา ขยายความเจริญสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งธนบุรีและเกาะรัตนโกสินทร์ ฝั่งพระนคร เป็นการเชื่อมสู่มหานครแห่งความสุข เชื่อมคนสองฝั่งเมืองเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเป็นความทันสมัยที่ไม่หลงลืมวัฒนธรรมความเป็นไทยที่จะสอดแทรกไว้ตามสถานีต่างๆ ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่อนุมัติงบประมาณและเป็นผลงานการพัฒนาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความมุ่งมั่นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบรถไฟฟ้าได้มากขึ้น และยกระดับเชื่อมการเดินทาง ล้อ-ราง-เรือ ได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

‘เสี่ยเฮ้ง’ ยัน!! เคียงข้าง ‘บิ๊กตู่’ อยู่แล้ว ชี้!! ต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ-ผู้ให้โอกาส

(23 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้แสดงความยินดีกับว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยความจริงใจ ส่วนเรื่องโผ ครม.นั้น ตนเองไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ และตนจะได้ตำแหน่งอะไรหรือไม่นั้น ยืนยันว่ายังไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

เมื่อถามถึงบทบาทของตัวนายสุชาติ ในพรรคจะเป็นอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่มองถึงขณะนั้น คงต้องดูกันทีละเรื่อง แต่สิ่งที่เห็นเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา พรรค รทสช. โหวตนายกฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และภายในพรรคถือว่ามีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และยังยืนหยัดที่จะทำพรรคการเมืองให้เป็นที่พึ่งพาของประชาชน

เมื่อถามว่า ณ วันนี้ยังอยู่กับพรรค รทสช.ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ก็ต้องอยู่ อยู่แล้ว เราทำงานมาด้วยกันและเราสร้างบ้านมาด้วยกัน ส่วนที่เคยบอกว่าใจเป๋นั้น เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างพรรคให้แข็งแรงขึ้น และใหญ่ขึ้น 

เมื่อถามย้ำว่า พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายกับพรรค รทสช.ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า วันนี้มติพรรคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ไม่มีใครแตกความสามัคคี 

เมื่อถามถึงสัดส่วน 4 เก้าอี้รัฐมนตรีของพรรค รทสช. นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเลยว่าพรรคได้อะไร ตรงไหน เพียงแต่ต้องการให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้

เมื่อถามอีกว่า หากประกาศรายชื่อบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีในส่วนของพรรคแล้ว ไม่มีชื่อของท่าน จะทำให้ผิดหวังจนต้องออกจากพรรคหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เราต้องยอมรับและต้องเคารพกติกา เราไม่ได้ยึดติดตรงนี้เราแค่คิดว่าจะทำงานเพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินไปด้วยกันได้ และมีอุดมการณ์เดียวกัน

เมื่อถามย้ำว่า การพิจารณาเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคจะพิจารณาอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นนี้ ต้องรอดูความชัดเจนว่าเมื่อขั้นตอนการเลือกนายกฯ จบแล้วขั้นตอนต่อไป ในเรื่องต่าง ๆ ก็คงต้องรอให้จบก่อนแล้วค่อยคิดถึงแนวทางของพรรคว่าจะเป็นไปในแนวทางแบบไหนอย่างไร รวมถึงโครงสร้างและมติของพรรคว่าจะเป็นอย่างไร

จากนั้น นายสุชาติ หัวเราะพร้อมระบุว่า “แหม! จะอำลาอะไรกัน ผมก็อยู่กับนายกฯ อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะจบกันตรงนี้ แล้วจะไปไหน ท่านมีบุญคุณกับเรา เราก็ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณกันอยู่แล้ว เรารู้ว่าใครคือคนที่ให้โอกาสเราในห้วงเวลาที่ผ่านมา” ภายหลังผู้สื่อข่าวสอบถามว่าได้อำลานายกฯ หรือไม่

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘เศรษฐา' ได้ตำแหน่งนายกฯ อวยพรขอให้บริหารราชการราบรื่น-สำเร็จด้วยดี

(23 ส.ค.66) หลังการประชุม ครม. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินมาพร้อมกัน 

วันนี้นายกรัฐมนตรี มีท่าทียิ้มแย้ม และก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ กลับพบว่า นายกฯ ถอนหายใจ พร้อมมองไปบนฟ้า ก่อนจะพูดว่า "เฮ้อ อากาศมันก็ดีเนาะ ฝนไม่ค่อยตกดีนะ”

ก่อนจะกล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมครม.ปกติ ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ช่วงนี้ก็มีหลายเรื่องที่จะต้องพิจารณา ซึ่งไม่ได้มีผลผูกพันอะไร เป็นเพียงการประชุมเวทีต่างประเทศเป็นเรื่องของกำหนดการที่วางไว้ก่อนแล้ว จึงไม่มีผลผูกพันอะไรทั้งสิ้น เป็นแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เราจะต้องร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการสานต่อในรัฐบาลต่อไป 

นายกรัฐมนตรี ได้ถอนหายใจ ก่อนที่จะบอกว่า เรื่องที่สื่อมวลชนต้องการจะถามตนในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ในขณะนี้ และ ครม.รักษาการ ก็ขอแสดงความยินดีกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้ผ่านการพิจารณาในกระบวนการรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็มีกระบวนการขั้นตอนต่อไป

วันนี้ได้นายกรัฐมนตรี ก็รอโปรดเกล้าฯ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นการจัด ครม. ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้เสนอทูลเกล้าขึ้นไป และเมื่อได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็จะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ส่วนรัฐบาลตนก็จะหมดหน้าที่พร้อมกันตรงนั้น

“และเมื่อมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเรียบร้อย ผมก็หมดหน้าที่ ซึ่งต้องมีพิธีถวายสัตย์ฯ มี ครม.ให้เรียบร้อย จากนั้นผมก็หมดหน้าที่ของผมไปแล้ว ก็คงแสดงความยินดีกับคุณเศรษฐา อีกครั้งหนึ่ง ขอให้ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินในโอกาสต่อไป" 

พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อยและอีกไม่กี่วัน โดยเฉพาะการตรวจคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรี จะต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้น ขอให้ใจเย็น ๆ ส่วนตัวไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น และอย่านำปัญหาไปใส่ให้กับใคร ซึ่งตนเองยอมรับในกติกาทั้งหมด เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด การเมืองก็ว่ากันไป 

ส่วนจะริเริ่มประเพณีเชิญนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนรับหน้าที่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอดูสถานการณ์ก่อน ขณะที่วันนี้ตนเองได้แสดงความยินดีไปแล้ว ในนามคณะรัฐมนตรี 

ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงขณะนี้ ยืนยันว่าสิ่งไหนที่ทำได้ ก็จะทำไปตามกฎหมาย แต่หลายอย่างจำเป็นจะต้องทำ เพราะมีระยะเวลา สิ่งไหนทำได้ก็ทำ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ก็ให้รัฐบาลใหม่ 

ส่วนการฝากงานรัฐบาลใหม่นั้นวันนี้ไม่ต้องฝาก เพราะทั้งหมดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ โดยหลายแผนงานที่ทำในปัจจุบัน ทำใหม่ ทำต่อ ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลใหม่จะพิจารณา 

ส่วนจะฝากงานนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาลใหม่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ขอฝาก และไม่ขอตอบ เพราะตนเองไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง 

เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ มีปรากฏการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี โหวตสนับสนุนนายเศรษฐา พลเอกประยุทธ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้อง 

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สว.สายพลเอกประยุทธ์ กับ สว. สายพลเอกประวิตร หักกันใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า ไม่มี ทุกคนมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

วันนี้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

ประกาศราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

จึงทรงพระราชดำริว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top