Wednesday, 22 May 2024
ประยุทธ์จันทร์โอชา

'บิ๊กตู่' รับแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 รทสช. ลั่น “เป็นสายหลักมอเตอร์เวย์ ไม่ใช่ทางผ่านของใคร”

(25 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการจัดงานของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในช่วงบ่าย ย้ายมาจัดที่อาคาร 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี ในการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต และเปิดแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก นอกจากว่าที่ผู้สมัครส.ส.แล้วยังมีผู้สนับสนุนของแต่ละพื้นที่ได้ถือป้ายไฟป้ายเชียร์ทยอยมาร่วมงาน ซึ่งส่วนใหญ่สวมเสื้อยืดของพรรค รทสช. และมีการเปิดเพลงรณรงค์หาเสียง ซึ่งเป็นเพลงเนื้อหาเชิญชวนให้เลือก พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอยู่พรรค รทสช. พร้อมมีเยาวชนมาถือป้ายเต้นกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ ภายในงานขึ้นป้ายนโยบายต่างๆ ของพรรค เช่น ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เท่ากันทุกช่วงวัย 1,000 บาท/เดือน, คืน 30% เงินสะสมชราภาพผู้ประกันสังคม มาตรา 33, แก้กฎหมายได้ที่ทำกิน ไม่โดนไล่ที่ ไม่ถูกฟ้อง, บัตรสวัสดิการพลัสเพิ่มสิทธิเป็น 1,000บาท/คน ให้วงเงินฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน เป็นต้น

ต่อมา เวลา 14.10 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช. เดินทางมาถึง โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ สมาชิกพรรค ให้การต้อนรับ และนำเข้าห้องรับรอง ก่อนเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ เดินเข้ามายังเวทีจัดงานเพื่อร่วมกิจกรรมท่ามกลางเสียงเชียร์จากผู้สนับสนุน

ในช่วงการเปิดตัวว่าที่ ผู้สมัครส.ส. 400 เขต และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค รทสช.นั้น มีแกนนำพรรค รทสช. อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ นายพีระพันธุ์ นายเอกนัฏ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายชัชวาลล์ คงอุดม นายชุมพล กาญจนะ นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมรทสช. เข้าร่วม โดยมีสมาชิกพรรค รทสช. จากภูมิภาคต่างๆ มาร่วมให้กำลังใจ พร้อมถือธงสัญลักษณ์พรรค รทสช. และป้ายสนับสนุนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ของตัวเอง

นายเอกนัฏ ได้กล่าวต้อนรับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 400 เขต ว่า งานครั้งนี้เป็นการแถลงข่าวครั้งใหญ่ที่สุดของพรรครทสช. เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ตนขึ้นมาคนเดียว หรือกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เท่านั้น แต่จะเป็นการแถลงข่าวร่วมกับขุนพลพรรค รทสช. 400 คนทั่วประเทศ ตนพอมีประสบการณ์ทางการเมืองมาเป็น 10 ปี แต่ยอมรับว่าภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจที่พบกับอุปสรรคมากมาย และเป็นครั้งที่เหนื่อยที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ก็ภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเช่นกัน เพราะพวกเราทุกคนตั้งใจมาร่วมกับพรรค รทสช. และมีปณิธานที่จะสร้างสถาบันทางการเมืองให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติบ้านเมืองโดยรวบรวมเอาคนไทยทั้งแผ่นดินไทยที่มีดีเอ็นเอที่ยึดเป็นหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีผู้นำที่มีส่วนร่วมทางจิตวิญญาณ ที่มีทั้งความจงรักภักดี และความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง มีจิตใจนักสู้เพื่อชาติบ้านเมืองคือ พล.อ.ประยุทธ์

จากนั้น นายเอกนัฏ ได้เชิญว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต พรรค รทสช. ทั้ง 400 คนขึ้นมานั่งบนเวทีแบ่งแยกตามภูมิภาค เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้

ด้าน นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงความพร้อมของพรรคในการลงเลือกตั้ง ว่า เมื่อ 7 เดือนที่แล้วตนได้มาเป็นหัวหน้าพรรค รทสช. เราเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวที่พร้อมส่งว่าที่ผู้สมัครลงเลือกตั้งครบ 400 เขต เราสามารถชนะทุกพรรคที่เกิดมาก่อนเราได้ พรรคของเราค่อยๆ เติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปไม่หวือหวา ตนอยากเห็นพรรคที่เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือดีเอ็นเอที่ทำงานเพื่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และประชาชน ด้วยความ ซื่อตรงไม่โกงไม่กิน ตนขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ และผู้สนับสนุนพรรค รทสช. ที่มาร่วมงานกัน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ถึงวันที่เราต้องใช้สิทธิเลือกตั้ง เลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เลือกตั้งแต่เป็นการเลือกคนที่จะนำพาประเทศให้เดินไปแบบไหน

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า พรรค รทสช. อยากให้ประเทศเรา เป็นประเทศที่อยู่ที่มีความสุขและมีความมั่นคง เป็นประเทศที่มีความสามัคคีปรองดอง เพราะเราคือคนที่เคยสวมเสื้อต่างกันมาใส่เสื้อพรรคที่มีสามสี 8 ปีที่ผ่านมาตนเชื่อว่าพี่น้องทุกคน เห็นว่าการพัฒนาโครงข่ายดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ทำอยู่ ทำแล้ว และจะทำต่อไปให้ดีกว่าเดิม แล้วอย่างนี้พวกเราทั้ง 400 ชีวิตต้องสู้หรือไม่ เราไม่ได้สู้เพื่อพรรค รทสช. หรือพล.อ.ประยุทธ์ แต่เราจะสู้เพื่อคนไทยทั้งชาติ เราจะมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนำพรรคอีกหนึ่งคน จากการประชุมผู้บริหารพรรค รทสช. เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ประชุมได้มีมติเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อนำทัพเราสู่สนามเลือกตั้ง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. กล่าวปราศรัยตอนหนึ่ง ว่า ตนขอบคุณผู้สมัครส.ส. ทั้ง 400 คน วันนี้ตนมีเพื่อร่วมอุดมการณ์ และมีพระเอกทั้งหมดอยู่ข้างตน หนังเรื่องหนึ่งต้องมีพระเอกนางเอกแต่ผู้ร้ายต้องแพ้ทุกที เราต้องอยู่ฝ่ายพระเอก เพราะสุดท้ายก็รักกับนางเอกทุกคน ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของเรามาจากหลากหลายช่วงวัย จึงทราบว่าคนแต่ละยุคแต่ละวัยคิดอะไร และเราจะทำอะไรให้ทำอะไรให้พวกเขาบ้าง เราจะขับเคลื่อนไปสู่ความมั่งคั่ง มั่นคงและยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ของเรา เพราะทุกคนคือหุ้นส่วนของประเทศไทย ไม่ใช่บริหารธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์ เราต้องมีนโยบายที่จับต้องได้ และตามกฎหมายทุกประการ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามว่า ประเทศและเศรษฐกิจเดินหน้ามาได้จนถึงวันนี้เพราะใคร ผู้เข้าร่วมจึงตะโกนตอบว่า “ลุงตู่” เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้คิดเล่นๆ ว่าถ้าเรามี 400 คนไปนั่งในสภาฯ จะทำอย่างไร แต่เราจะไม่ทำเหมือนคนอื่นเขาทำ เพราะเราจะร่วมกันทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตนอาจจะพูดจาขวานผ่าซากและพูดไม่เพราะนิดหนึ่ง แต่เป็นคนจริงใจ และเรามีหัวใจอันยิ่งใหญ่ รักทุกคนเท่าๆ กัน ตนมีหัวใจสีม่วง คือหัวใจของคนที่ใกล้จะตาย จึงไม่พูดความเท็จ ไม่ใช่ว่าตนจะตายแต่เปรียบเทียบให้ฟัง ว่าเราทั้งหมด 400 คนรับปากจะดูแลคนไทยทั้ง 70 ล้านคนไปพร้อมกัน และทุกคนได้มีเป้าหมายร่วมกันคือ รวมไทยสร้างชาติ

ช่วงหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดพร้อมหันไปชี้ถามว่าที่ ผู้สมัครส.ส.เขตที่นั่งอยู่ข้างหลัง ว่า เรามีดีเอ็นเอที่ตั้งใจจะพัฒนาบ้านเมืองร่วมกันหรือไม่ และกล่าวต่อว่า ตนคือผู้ชายคนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจ ตั้งใจจะทำพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็ง

“เราไม่ใช่ทางผ่าน แต่เราเป็นสายตรง สายใหญ่ สายหลักมอเตอร์เวย์ ไม่ใช่ทางผ่านของใคร ผลงานของรัฐบาลต้องบอกว่า มีนับไม่ถ้วน หลายคนนั่งรถมาไม่รู้ว่าถนนนี้สร้างในสมัยใคร หรือโทรศัพท์ได้ใช้การดีขนาดนี้ได้อย่างไร และยังมีอย่างอื่นที่จะทำอีกเยอะแยะ คือ ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ และขอบวกอีกนิดหนึ่ง คือ ‘พลัส’ ที่ต้องทำอีก เพราะประเทศไทยเปลี่ยนแปลงทุกวัน ประเทศไทยต้องไปต่อ และลูกหลานต้องอยู่ดีกินดีกว่ารุ่นเรา วันนี้เราอยู่ใน โลกของความย้อนแย้ง โลกแห่งความผันผวน โลกแห่งความไม่แน่นอน เราจึงต้องบริหารบ้านเมืองเพื่อตอบสนอง คนไทยและทั่วโลก” นายกฯ กล่าว

"ถ้าหัวใจ 1 ดวง มีไว้เพื่อที่จะรักคนอื่น  400 ดวง ของ 400 ส.ส. จาก รทสช.นี้ ก็มีไว้เพื่อรักและดูแล คนไทย 70 ล้านคน"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช. กล่าวในเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี เมื่อวันที่ 25 มี.ค.66

‘เสี่ยเฮ้ง’ แจง ไม่ลงเขต 1 ชลบุรี ขยับขึ้นปาร์ตี้ลิสต์แทน เตรียมลุยสู้ศึกหาเสียง หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯ อีกสมัย

‘สุชาติ’ แจงส่งน้องเมียลงเขต 1 ชลบุรี รทสช.แทน เหตุ ‘สนธยา’ ไม่รับคำท้าศึกช้างชนช้าง เลือกขึ้นปาร์ตี้ลิสต์พท. เลยตัดสินใจขยับไปบัญชีรายชื่อ ลุยสู้ศึกใหญ่ โซนตะวันตก-กลาง-ตะวันออก หนุน ‘ประยุทธ์’ นั่งนายกฯต่อ ลั่นต้องชนะสงครามเลือกตั้ง ไม่แค่ชนะศึกเขตที่เป็นแชมป์เก่า

(27 มี.ค.66) เมื่อวานนี้นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ แทนการลงสมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 1 ซึ่งเป็นแชมป์เก่า ว่า ตนไม่เพียงแต่รับผิดชอบพื้นที่ จ.ชลบุรี หรือภาคตะวันออกเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลพื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคกลาง และภาคตะวันตก ให้กับพรรคด้วย การลงในแบบบัญชีรายชื่อจะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

‘นักเขียนซีไรต์’ เทียบจุดแข็ง-จุดอ่อน ‘ว่าที่นายกฯ’ ชี้ ‘ลุงตู่’ ทันโลก-รอบรู้ ส่วน ‘โทนี่’ สร้างภาพว่าตนเก่ง

(27 มี.ค. 66) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรี’ มีเนื้อหาดังนี้...

“ว่าที่นายกรัฐมนตรี”

ถ้าดูคนที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทีละคน​ ก็จะตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น

ดูว่าใครมีประสบการณ์และความสามารถที่จะบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันดับแรก​ ก็เห็นว่ามี พล.อ.ประยุทธ์ กับ คุณทักษิณ เท่านั้นที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี​

+ คุณทักษิณเป็นมาก่อน...เป็นมานานจนทหารยึดอำนาจจากคุณยิ่งลักษณ์​ (2544-2557) สิ่งที่เขาทำมีประโยชน์ก็มี​ ส่วนมากจะเป็นเรื่องประชานิยม​ และหลายๆ เรื่องก็เป็นโทษแก่ประชาชน​ อย่างโครงการจำนำข้าว​นั้นเละเทะ​ สูญเสียภาษีและข้าวไปมากมาย​ แต่กลายเป็นประโยชน์มหาศาลแก่คนโกงชาติ​ และชาวนาฆ่าตัวตาย 22 คน

จนแทบจะพูดได้ว่าทุกนโยบาย​ ทุกโครงการ เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักโกงชาติทั้งนั้น​ เพราะคนโกงชาตินั้นมีนโยบายส่วนตัวคือ​ ‘แปลงเงินภาษีเป็นของตน’ หรืออย่างที่คนรู้ทันเรียกกันว่า​ ‘ทำธุรกิจในการเมือง’

คุณทักษิณ สร้างภาพตัวเองว่าเก่ง​ รอบรู้​ ทันโลก​ ความคิดก้าวล้ำ​กว่าใคร​ แต่สำหรับผมเห็นว่าเขาตกยุคไปแล้ว​ สิ่งที่เขาเก่งตอนมีอำนาจก็อย่างที่คนสนใจเรื่องบ้านเมืองรู้นั่นแหละ​ ว่าเก่งอะไรและอย่างไร

เขาเป็นพ่อค้า​นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น​ ซึ่งร่ำรวยมาด้วยวิธีเดียวกับที่เขาใช้ในการเมืองนั่นแหละ​

เลือกตั้งครั้งนี้...ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล​ คุณทักษิณก็จะบริหารราชการแผ่นดินหรือชักเชิดคนในพรรคอยู่นอกประเทศเหมือนที่เคยทำมา

เปิดข้อสั่งการ 'นายกฯ' พิชิต PM 2.5 ทั่วไทย เดินหน้าทำทันที เคลียร์เป็นข้อๆ ไม่พูดมาก

(28 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานผลสรุปข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มีรายละเอียดดังนี้

(จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำปาง)

>> ข้อสั่งการ

1.ให้ มท. (จังหวัดเชียงใหม่) ร่วมกับ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ

>> ผลการดำเนินงาน

มท. ร่วมกับ สนง.ทส.จ.เชียงใหม่ ดำเนินการ อาทิ สร้างความยั่งยืนด้วยศาสตร์ พระราชาผ่านโครงการแม่แจ่มโมเดลและดอยหลวงเชียงดาวโมเดล ประชุมถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า/ประชุมร่วมกับกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดที่พักผ่อน Safety Zone นำจิตอาสาภัยพิบัติร่วมกับกิจกรรมแก้ไขปัญหาหมอกควันป่า ประชาสัมพันธ์ผ่านรูปแบบ Online, On Air, On Groud และใช้ระบบสั่งการแบบ Single Command

1) ทส. บูรณาการความร่วมมือกับ จ.เชียงใหม่ เพื่อกำหนดมาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีมาตรการ ดังนี้

1.1) มาตรการป้องกันการลุกลามของไฟ และการป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับทหาร ตำรวจ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร อปท. และผู้นำชุมชนในแต่ละพื้นที่ เข้าไปกำกับการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ อย่างใกล้ชิด เน้นทำความเข้าใจกับหมู่บ้านโดยรอบ และสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังพื้นที่ ทั้งนี้ หากพบเหตุไฟไหม้ป่า สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน (Hottine) เฝ้าระวังไฟป่าของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายเลข 1362

1.2) จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายทหารเป็นผู้ปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสามารถสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ และให้เน้นความสำคัญตั้งแต่ระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน โดยกำนัน และ ผู้ใหญ่บ้านต้องเป็นกลไกสำคัญในการเข้าถึงประชาชน และผลักดันการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จ รวมถึงให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด หากพบการกระทำความผิดจะถูกลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา รวมถึงเสนอข่าวให้สังคมได้รับรู้ เพื่อป้องปรามผู้ที่จะกระทำความผิดรายอื่นๆ

1.3) จัดตั้งทีมด้านสาธารณสุขและจิตอาสา ร่วมกันเข้าไปดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วย ผู้สูงวัย เด็ก ผู้พิการ ในระดับชุมชนอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ รวมทั้ง ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและจิตอาสามีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และประชาสัมพันธ์ขั้นตอนในการดูแลสุขภาพให้ประชาชนเข้าใจง่าย

2.) จ.ลำปาง ดำเนินการ ดังนี้

2.1) ผวจ.ลำปาง ลงพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2562 เพื่อพบปะ/เยี่ยมเยียน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่อบต. วิเชตนคร พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาหมอกควันไฟป่า และการบริหารจัดการขยะตามโครงการ "ลำปาง สะอาด ปราศจากโฟม"

2.2) เข้าร่วมประชุมการตรวจเยี่ยมติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือและพิธีมอบโฉนดที่ดิน "คืนความสุขให้ประชาชนลดความเหลื่อมล้ำของสังคม" โดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห.

2.3) ประสานความร่วมมือกับนายอำเภอ ผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเพื่อพบปะ พูดคุยกับประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบจากไฟป่าหมอกควันและขอความร่วมมือ ในการป้องกันแก้ไขปัญหา รวมทั้งการลดการใช้สารเคมีในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม การท่องเที่ยว การพัฒนาเส้นทางคมนาคมและแหล่งน้ำ

2.4) จัดประชุมนายอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ประจำเดือน โดยเน้นหนักการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบาย มท. แผนพัฒนาจังหวัด/อำเภอ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ติดตามสถานการณ์/มาตการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน โดยให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอต่าง ๆ ตลอดจนออกตรวจพื้นที่ เพื่อติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าในเขตพื้นที่ อ.เมืองลำปาง และรอยต่อระหว่างอำเภอ

>> ข้อสั่งการ

2.การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : สทอภ. ร่วมกับ กษ. ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน

อาทิ การตรวจหาความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ด้วยข้อมูลดาวเทียม TERRAVAQUA ระบบ MODIS พื้นที่ภาคเหนือตอนบน และการพัฒนาระบบสถานีตรวจวัดและรายงานคุณภาพฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5 และ 10 ไมครอน (PM10) ผ่านระบบแอปพลิเคชันแผนที่ออนไลน์ ทั้งนี้ ให้นำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

>> ผลการดำเนินงาน

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยือวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : สทอภ. ดำเนินการใช้ระบบ MODIS เพื่อตรวจหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) 10 ไมครอน (PM10) จุดความร้อน ไฟป่า และพื้นที่หมอกควัน ทั้งนี้ ได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวผ่าน http:/firie.gistda.or.th

/download.html สทอภ.ดำเนินการดังนี้

1) การจัดให้มีระบบเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์หมอกควันและไฟป่า โดยได้พัฒนาระบบเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผล ผลิตแผนที่ค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และรายงานกรวิเคราะห์สถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ (NUSAIS) โดยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ http://gistdaportal.gistda.or.th/pmoc/nusais/

2) การจัดให้มีช่องทางประสานและรายงานสถานการ์ไฟป่า หมอกควัน และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยได้จัดตั้งกลุ่มไลน์ ได้แก่ กลุ่มไลน์-HAZE ไฟป่า 62 กลุ่มไลน์-PMOC กลุ่มไลน์-ศอญ. กลุ่มไลน์-ปกปภ.ช. แก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน รวมถึงช่องทางโทรสารเพื่อส่งข้อมูลถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัด

ภาคเหนือตอนบน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการการทำงาน การรายงานและการเข้าถึงข้อมูลในทุกภาคส่วน

3) การใช้ดาวเทียมสนับสนุนการปฏิบัติการ เพื่อแก้ไขสถานการณ์หมอกควันไฟป่าและค่าฝุ่นละออง

ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ปรับเพิ่มระบบสัญญาณดาวเทียมของสทอภ. ระบบ VRS ให้สามารถประมวลผลและเผยแพร่ข้อมูลให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4) การสนับสนุนทีมเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจประจำ ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แก้ไขไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ เพื่อเพิ่มการดำเนินการในมาตรการให้มากยิ่งขึ้น อาทิ การสนับสนุนการนำเทคโนโลยี

จากดาวเทียมเพื่อชี้เป้า ตรวจสอบ และเข้าดับไฟเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ในทางที่ดีให้ได้ภายใน 7 วัน

5) การควบคุมการเผาในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน แม้ภายหลังวันที่ 30 เม.ย. 2562 เข้าสู่การสิ้นสุดช่วงประกาศห้ามเผาในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน แต่ยังคงอยู่ในช่วงบริหารจัดการเชื้อเพลิงและเศษวัสดุจากการเกษตรหลังช่วงห้ามเผา โดย สทอภ. ได้ติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันรายจังหวัดและจัดส่งข้อมูลสรุปภาพรวม สถานการณ์รายจังหวัดอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดฤดูกาลไฟป่า (31 พ.ค. 2562)

>> ข้อสั่งการ

3.การสร้างการรับรู้วิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ให้ ทส. ร่วมกับ สธ. กษ. พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องวิธีการป้องกันฝุ่นละอองฯ และเร่งดำเนินการลดปริมาณฝุ่นละอองฯ อาทิ การพ่นละอองน้ำ การทำฝนหลวง รวมทั้ง การรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การลดการเผาป่า การเผาพืชผลทางการเกษตร การใช้น้ำมันดีเซล B20 เป็นต้น

>> ผลการดำเนินงาน

ทส. ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการระยะเร่งด่วน อาทิ การส่งเสริมการใช้น้ำมัน B20 ในรถโดยสารดีเซล ขยายพื้นผิวการจราจร งดเว้นกิจกรรมที่ส่งผลทำให้เกิดฝุ่นละออง มาตรการระยะกลาง

อาทิ พัฒนาโครงข่ายการบริการบริการขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงทุกระบบพัฒนาระบบฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อพื้นที่สีเขียว มาตรระยะยาว อาทิ กำหนดมาตรฐานระบายอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่า EU และ USA

>> ข้อสั่งการ

4.การบรรเทาและแก้ไขปัญหาปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ให้ กษ. (กรมชลประทาน) ร่วมกับหน่วยงานมี่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการทำฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณฝุ่นละออง เกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่

>> ผลการดำเนินงาน

กรมชลประทาน ร่วมกับ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง อาทิ ดส่งรถบรรทุกน้ำ 3 คัน นำไปล้างทำความสะอาดฝุ่นละอองบนพื้นผิวถนนบริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ต่อเนื่องจนถึงถนนประชาธิปก โดยทางกทม. จะแจ้งมายังกรมชลประทานว่า แต่ละคืนจะให้ไปล้างทำความสะอาดถนนสายใด ในเขตไหนบ้าง ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากการจราจรที่คับคั่งในแต่ละวัน นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อมหน่วยฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว หน่วยพร้อมปฏิบัติการอยู่ได้แก่ หน่วยฝนหลวงจังหวัดระยอง จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หวังผลลดมลพิษได้ทั้งในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงจังหวัดราชบุรี นครปฐม สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และ นครสวรรค์ซึ่งมีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

(กรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ : เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)

>> ข้อสั่งการ

1.การเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

-ให้ ดศ. ร่วมกับ มท. กษ.กปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ช่องทางการเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ เช่น ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก

ออนไลน์ (Agri-Map Online) ระบบปฏิบัติการเฝ้าระวังและเตือนล่วงหน้า น้ำหลาก-ดินถล่ม (Early Warning System) ระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศ (Air4Thai) เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถทราบข้อมูลข่าวสารและนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างทันต่อสถานการณ์

>> ผลการดำเนินงาน

1) กษ. ได้ดำเนินการจัดทำ "คู่มือระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri-Map Online) ซึ่งเป็นเครื่องมือแสดงผลข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศพร้อมระบบแนะนำผลการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตด้วยพืชทดแทน ในรูปแบบเว็บแผนที่แบบออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานสามารถได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กษ. วท. (โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมพัฒนาระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งาน

ได้ที่ http://agri-map-online.moac.go.th/

1) ทส. ดำเนินการ ดังนี้

2.1) กรมทรัพยากรน้ำ ได้ดำเนินการจัดทำ "ระบบปฏิบัติการเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้าน้ำหลาก-ดินถล่ม (Early Warining System " เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งานได้ที่ http://ews.dwr.go.th/ews/mainreport.php

2.2) กรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำระบบรายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศประเทศไทย (Air4thai) ประกอบด้วย ข้อมูลแผนที่คุณภาพอากาศ ข้อมูลอุตตุนิยมวิทยา (ทิศทางลมในภูมิภาคอาเซียน ความกดอากาศ) ข้อมูลย้อนหลังรายชั่วโมง ข้อมูลสภาพฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพ/ปริมณฑล และสถานการณ์

หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ผ่านระบบเครื่อข่ายอินเตอร์สามารถเข้าใช้งานได้ที่ http://air4thai.pcd.go.th/webV2/index.php

(สรุปข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายแก่กษตรกรแห่งชาติ)

1.การแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก

- ให้สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเข้าใจและร่วมมือกับเกษตรกรในการแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เช่น การลดการเผาในที่โล่ง และการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกข้าวโพด เป็นต้น

(จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี)

>> ข้อสั่งการ

1.ข้อเสนอ ด้านการเกษตร การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงาน

- ให้ อก. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กก. ทส. พณ. ศธ. อว. เป็นต้น ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยกำหนดรายละเอียดแผนการดำเนินงานและรูปแบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการ เพื่อลดต้นทุน ลดมลพิษ ลดปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ อนึ่ง จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากการบรรทุกอ้อยเกินขนาดที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ถนนเสียหายและส่งผลกระทบเกิดเป็นวงจรปัญหาต่อเนื่อง

>> ผลการดำเนินงาน

อก. รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแนวทางในการเก็บเกี่ยวอ้อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกษตรกรชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาลสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ลดความเดือดร้อนของชุมชน ลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5

(จังหวัดชัยภูมิ)

>> ข้อสั่งการ

1.การลดฝุ่นและมลพิษ PM2.5 จากการเผาอ้อย

- ให้ กษ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลและแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมลพิษ PM2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็ก ผู้ป่วย และผู้สูงอายุ

>> ผลการดำเนินงาน

อก.รายงานผลการดำเนินงานโดยได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ดังนี้

1) มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562

1.1) มาตรการทางกฎหมาย ออกระเบียบให้โรงงานน้ำตาลลดการรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบในแต่ละปี และจะทำให้อ้อยไฟไหม้หมดไปภายใน 3 ปี

1.2) มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ขยายโครงการส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562 - 2564 เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย จัดซื้อรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย รถแทรกเตอร์ รถบรรทุกอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตรอื่น ๆ ในวงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท โดยมีผลการดำเนินงาน (ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2562 คือ พัฒนาแหล่งน้ำ/อุปกรณ์ จำนวน 31 ราย เป็นเงิน 8,025,000 บาท รถตัดอ้อย/รถคีบอ้อย จำนวน 328 ราย เป็นเงิน 2,048,842,690 บาท รถแทรคเตอร์/บรรทุกอ้อย จำนวน 119 ราย เป็นเงิน 130,452,000 บาท รวมทั้งสิ้น 478 ราย เป็นเงิน 2,187,319,690 บาท

1.3) มาตรการขอความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ เพื่อเป็นต้นแบบการเก็บเกี่ยวและขนส่งอ้อยให้โรงงาน ในการกำหนดพื้นที่ปลอดการเผาอ้อยเป็นจังหวัดต้นแบบ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.ชัยภูมิ จ.เลย และ จ.อุตรดิตถ์

2) แผนการดำเนินการระยะยาว

2.1) กำหนดนโยบายลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ คือ ปีการผลิต 2563/2564 อ้อยไฟไหม้เหลือร้อยละ 30 ปีการผลิต 2564/2565 อ้อยไฟไหม้เหลือร้อยละ 0-5

2.2) แนวทางการนำใบอ้อยที่เกิดจากมาตรการตัดอ้อยสดมาเพิ่มมูลค่า เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร 50 บาทต่อตัน

2.3) การจูงใจให้มีการตัดอ้อยสด โดยนำค่าจ้างตัดอ้อยสดมาเป็นฐานในการคำนวณราคาอ้อย

2.4) ส่งเสริมชาวไร่อ้อยทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อรองรับเครื่องจักรกลการเกษตรและการใช้รถตัดอ้อยในการเก็บเกี่ยวและเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อซื้อเครื่องสางใบและรถตัดอ้อยมากขึ้น

3) แผนงาน/โครงการตามงบประมาณ ปีงบประมาณ 2563

3.1) โครงการจัดการผลิตอ้อยแปลงใหญ่เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพอ้อย โดยใช้เทคโนโลยี Smart Farming วงเงิน 10,000,000 บาท เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อย การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล

3.2) โครงการการพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์อัดเม็ดจากอ้อยด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ วงเงิน 7,000,000 บาท เพื่อลดการเผาอ้อยก่อนตัดเข้าโรงงาน ส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าและลดการนำเข้าอาหารสัตว์จากต่างประเทศ

3.3) โครงการการพัฒนาต้นแบบแผ่นกั้นเสียงจากวัสดุเหลือใช้จากอ้อย วงเงิน 2,270,000 บาท เพื่อส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดการเผาอ้อยก่อนตัดเข้าโรงงานและส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้ง

ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่า

(จังหวัดนราธิวาส)

>>ข้อสั่งการ

1.การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)

- ให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 25) ในแต่ละระดับ (ความเข้มข้นตั้งแต่ 20 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป) พร้อมกับแนะนำวิธีการป้องกันให้แก่ประชาชน

(จังหวัดพะเยาและน่าน)

>>ข้อสั่งการ

1.การสร้างการรับรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตพื้นที่ จ.น่าน

- ให้ ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน วิธีการป้องกัน และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม

(บริเวณสวนรักษ์ธรรมชาติ (วงเวียนหลักสี่) ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร)

>>ข้อสั่งการ

1.การพัฒนาสวนสาธารณะและเพิมพื้นที่สีเขียวในเขตกรุงเทพมหานคร

- ให้ กทม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างภายในสวนสาธารณะ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงภูมิทัศน์ ปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยลดฝุ่นละออง (PM2.5) เพิ่มเติมในพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ตามความเหมาะสมต่อไป

(จังหวัดเชียงราย)

>>ข้อสั่งการ

1.การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่ลดการสร้างมลพิษและสิ่งแวดล้อม

- ให้ พน. ร่วมกับ คค. ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการส่งเสริมให้ประชาชน หน่วยงานราชการ และระบบขนส่งสาธารณะใช้ยานพาหนะที่ลดการสร้างมลพิษ และสิ่งแวดล้อม โดยให้กำหนดแผนการดำเนินงานการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการสร้างมลพิษและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน

>> ผลการดำเนินงาน

1.พน. ดำเนินการ ดังนี้

1) อยู่ระหว่างดำเนินการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการสร้างมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกำลังดำเนินโครงการจัดทำแผนพัฒนาสถานีประจุแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยในวันที่ 8 มี.ค. 2564 ได้ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก

2) แนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมในไทย และมีแผนที่จะของบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการจัดทำโครงการสนับสนุนการลงทุนในการซื้อขายยานยนต์ฟฟ้า โดยสนับสนุนในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ในสถานศึกษา นิติบุคคล และประชาชนทั่วไป

3) ออกประกาศกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเชลหมุนเร็วและกลุ่มเบนซินให้เทียบเท่าระดับยูโร 5 เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2562 ซึ่งมาตรฐานใหม่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันและผู้ผลิตรถยนต์มีระยะเวลาเพียงพอในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

4) ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซลพ.ศ. 2563 กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจะต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล ร้อยละ 9 - 10 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลในภาคขนส่ง ซึ่งช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่เกิดจากภาคขนส่งได้ประมาณร้อยละ 35 - 13.5 ทั้งนี้ ข้อมูลในเดือน ธ.ค. 2563 พบว่ามีปริมาณการใช้ บี 10 เฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 ล้านลิตร/วัน และในปี 2564 จะดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ โทรทัศน์ วิทยุสื่อสิ่งพิมพ์

>>ข้อสั่งการ

2.การกำหนดตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

- ให้ ทส. ร่วมกับ มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดในการป้องกัน บรรเทาและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยให้การกำหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดในลักษณะลำดับขั้นที่สอดคล้องกับการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นต่อเนื่อง และนำไปสู่การขจัดปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างถาวร

>> ผลการดำเนินงาน

มท. ดำเนินการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุ ตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมประสิทธิภาพการติดตามและตรวจสอบคุณภาพอากาศและบัญชาการดับไฟป่า เน้นย้ำการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมทั้งกำหนดมาตรการ 4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ สำหรับพื้นที่เกิดไฟป่า โดย 4 พื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ (1) พื้นที่ป่าสงวนป่าอนุรักษ์ (2) พื้นที่เกษตรกรรม (3) พื้นที่ชุมชน/เมือง และ (4) พื้นที่ริมทาง โดยมี 5 มาตรการในการบริหารจัดการ ดังนี้

(1) ระบบบัญชาการเหตุการณ์

(2) สร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชน เด็กและเยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลป่า

(3) ลดปริมาณเชื้อเพลิง โดยให้จัดแนวกันไฟ การควบคุมการเผา

(4) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

(5) จัดตั้งทีมประชารัฐ โดยบูรณาการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ที่มา : รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ นรม. ของ มท. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2564)

มท. ร่วมกับ ทส. กำหนดแนวทาง/ตัวชี้วัดร่วม (Joint KPls) ตามแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรฐานการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยกำหนดตัวชี้วัดระดับจังหวัดเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคเหนือ โดยให้กำหนดตัวชี้วัดจุดความร้อนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือลดลงร้อยละ 20 ของจำนวนจุดความร้อนที่เคยเกิดในปีงบประมาณ 2563 ตลอดจนรับทราบความเห็นจาก 17 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรับทราบข้อเท็จจริง เพื่อใช้ในการพิจารณาความเป็นได้ ความเหมาะสม รวมทั้งการส่งเสริมมาตรการ/วิธีการดำเนินการ/แนวทางปฏิบัติร่วมกัน ก่อนกำหนดตัวชี้วัดใหม่ (ที่มา : รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ นรม. ของ มท. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2564)

(ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และโครงการรับขนส่งมวลชลขนาดรองสายสีทอง ระยะที่ 1 (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สถานีคลองสาน))

‘บิ๊กตู่’ ซัดฝีมือมนุษย์พวกขาดสติ-ขาดสามัญสำนึกพ่น ‘กำแพงวัดพระแก้ว’

ถามกลับใครพ่นหน้าบ้านตัวเองยอมไหม  ยันตร.ใช้กฎหมายอย่างระมัดระวังที่สุด ใช้มากหาว่ารังแก ปชช.

(30 มี.ค.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2566 ถึงเหตุการณ์พ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว เพื่อแสดงออกถึงการยกเลิกมาตรา 112 ว่า…

“ผมได้ย้ำและสั่งการไปแล้วกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วมนุษย์บางคนก็ขาดสติ เข้าใจกันหรือยัง และบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเฝ้าทั้งหมด แต่คนเรามันต้องมีสำนึก ไม่เช่นนั้นตำรวจเขาก็ต้องวางเรียงรายทางทั้งหมด ถ้าประชาชนคนในชาติไม่รัก ไม่สามัคคีกัน มันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก มันก็จะแย่ไปเรื่อยๆ ถ้าปล่อยปะละเลย ซึ่งทางตำรวจเองก็พยายามใช้กฎหมาย อย่างระมัดระวังที่สุด ใช้มากไปก็จะหาว่ารังแกประชาชน ใช้น้อยไปก็หาว่าไม่เด็ดขาดแล้วจะให้ทำอย่างไรละ สื่อก็ต้องช่วยกัน มันควรหรือไม่ที่ไปทำอย่างนั้น ถ้าใครไปพ่นหน้าบ้านตัวเองยอมไหม ถ้าเราไม่ยอมก็ต้องไปเตือนพวกเขาเหล่านั้นสิ ไม่ใช่เสนอข่าวว่าไอ้นี่ไปทำโน้น ไอ้โน้นไปทำนี่ ไอ้นี่ขัดแย้งกันอย่างนี้ หรือไอ้นี่ไปขัดแย้งกับทางนั้น มันก็อยู่กันอย่างนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก แก้กันให้ตาย กี่นายกฯก็ทำกันไม่ได้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

ตามดูแนวทาง 'บิ๊กตู่' กู้สถานการณ์ PM 2.5 ฝ่า Fake News สุดต่ำ!! ที่สังคมก้มหน้ามักเชื่อ

ไม่ทำอะไร เอาแต่สวดมนต์!! ดูจะกลายเป็นวาทกรรมที่ถูกยกมาเชือดเฉือนในโลกโซเชียล ซึ่งเผยแพร่ออกมาทั้งจากปากเกรียนคีย์บอร์ด รวมถึงขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยจับโป๊ะไปแล้วว่าเป็นเรื่องปั่นในช่วงปี 2562

มาในปีนี้ ปี 2566 วาทกรรมน้ำเลว ก็ยังถูกหยิบออกมาใช้คะคานกันในทางการเมืองอีกแบบไม่รู้จบ

วันนี้ THE STATES TIMES จึงตรวจสอบถ้อยคำจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่าในปี 2566 นี้ มีถ้อยคำใดหลุดให้ประชาชนไปสวดมนต์ไล่ฝุ่นตาม Fake News ที่ยังหลุดว่อนอยู่บ้าง...

‘บิ๊กตู่’ เตรียมหารือ ‘เลขาธิการอาเซียน’ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5

เมื่อวานนี้ (30 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงาน่วา ดร.เกา กิม ฮวน (Dr. Kao Kim Hourn) เลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ไทยพร้อมสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อความสำเร็จและความเข้มแข็งร่วมกันของประชาคมอาเซียน พร้อมย้ำว่าไทยยังยึดมั่นในระบบพหุภาคีและภูมิภาคนิยม ซึ่งอาเซียนจะเป็นส่วนสำคัญในนโยบายต่างประเทศของไทยต่อไป

ทางด้านเลขาธิการอาเซียน กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือภูมิภาคอาเซียนจะเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็งในอนาคต ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้เห็นความก้าวหน้าของอาเซียนในทุกด้าน ขณะเดียวกันภาคีภายนอกก็ให้ความสนใจและต้องการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก ขอบคุณไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่สำคัญ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันในการส่งเสริมความร่วมมือและการบูรณาการในภูมิภาคเสมอมา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการอาเซียน ได้หารือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน ดังนี้

ไทยยินดีที่อาเซียนยังคงบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ท่ามกลางความท้าทายมากมาย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นควรที่จะเร่งฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ RCEP นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลของอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานของอาเซียน รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจของภูมิภาคให้ทันสมัย สอดรับกับบริบทใหม่ของการค้าโลก โดย พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ข้อริเริ่มด้านดิจิทัลของอาเซียน ส่วนเลขาธิการอาเซียน ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาเซียนให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ อาทิ ทางไซเบอร์ เป็นความท้าทายที่อาเซียนควรร่วมกันจัดการ โดยขอให้เลขาธิการอาเซียนหารือเพื่อดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม การดำเนินการในภาพรวม ในฐานะภูมิภาคจะทำให้เกิดผลสำเร็จที่เห็นผลลัพธ์อย่างจริงจังได้ ขณะเดียวกัน ยังได้มีการหารือถึงการเพิ่มขีดความสามารถ และการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยธรรมชาติ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนอาเซียนในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดยเลขาธิการอาเซียนย้ำความพร้อมของสำนักเลขาธิการอาเซียนที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่ โดยยังได้ขอบคุณและชื่นชมไทยที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ต่างๆ ของอาเซียน

จากนั้น พลเอกประยุทธ์ กล่าวขอบคุณสำนักเลขาธิการอาเซียนที่สนับสนุนการทำหน้าที่ผู้ประสานงานของอาเซียนในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยมาโดยตลอด จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ซึ่งทั้งสองยังเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนวาระความยั่งยืนให้เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียนต่อไป ส่งเสริมความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความยั่งยืนของภูมิภาค ซึ่งไทยยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากสำนักเลขาธิการอาเซียนในการส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนในด้านนี้

พร้อมกันนี้ ไทยยินดีที่การจัดทำวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ. 2025 มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีหวังว่าวิสัยทัศน์ใหม่ของอาเซียนจะมีความครอบคลุม มองไปข้างหน้า และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในภูมิภาค สร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนที่เป็นความท้าทายที่รุนแรงของภูมิภาค พร้อมขอรับการสนับสนุนจากเลขาธิการอาเซียนในการผลักดันการแก้ไขปัญหา ขอให้ช่วยประสาน หารือ หรือสนับสนุนการจัดการประชุมจัดอย่างเร่งด่วนกับประเทศสมาชิกเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะการลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) ให้ได้โดยเร็ว เพราะส่งผลไม่ใช่แค่ไทย แต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย ทั้งทางสุขภาพและการท่องเที่ยว ซึ่งเลขาธิการอาเซียนเห็นด้วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งอาเซียนมีกลไก (Mechanism) ที่จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ และพร้อมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

2 ป. นั่งคู่!! ระหว่างรอเวลาเปิดรับสมัครส.ส. ร่วมลุ้นเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคตัวเอง

(3 เม.ย.66) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทย-ญี่ปุ่น) ตั้งแต่เวลา 07.00 น. บรรดาแกนนำและว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร (กทม.) จากพรรคการเมืองต่าง ๆ พร้อมด้วยกองเชียร์และผู้สนับสนุนแต่ละพรรค ทยอยเดินทางมาถึงสถานที่สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร(กกต.กทม.) กำหนดไว้ ซึ่งกกต. ประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.)  กำหนดเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. โดยใช้พื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 2  เป็นสถานที่รับสมัคร

ผู้สื่อข่าวรายงาน ระหว่างรอเวลาเปิดรับสมัครส.ส. แกนนำพรรคการเมืองต่าง ๆ ทยอยเข้าอาคารกีฬาเวสน์ 2 ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัครส.ส. เพื่อร่วมเป็นกำลังใจและลุ้นการจับสลากเบอร์ที่ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครของพรรคตนเอง พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)  และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั่งเก้าอี้บริเวณโถงกลางของอาคาร ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้รองรับหัวหน้าพรรค แกนนำพรรค และผู้ติดตามผู้สมัครส.ส.


ที่มา : https://www.thaipost.net/hi-light/353485/

‘บิ๊กตู่’ ย้ำ!! ไม่ได้มอง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นคู่แข่ง ปัด!! รวมกันวันหน้า วันนี้แยกมาก็คือแยก

‘ประยุทธ์’ แจงปมไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์ หวังส่งไม้ต่อให้ "พีระพันธุ์" หลังได้นั่งนายกฯ อีก 2 ปี ปัดมอง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นคู่แข่ง แค่แยกมาอยู่คนละพรรค โอดบังคับใครไม่ได้ แค่พรรคตัวเองก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เตือนคนแซะต้นเหตุทำสภาล่ม เป็นผู้ใหญ่แล้วพูดจาให้ระวัง

(3 เม.ย.66) อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทย-ญี่ปุ่น) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการลงสนามการเมืองอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก ว่า ก็ดี มาครั้งแรกก็เรียบร้อยดี ไม่มีใครทะเลาะกัน ไม่มีใครใช้ความรุนแรงต่อกัน แถมอยู่คนละพรรคก็มาทักทายกัน สวัสดีกัน ทุกคนก็คือคนไทยด้วยกัน บางคนก็คุ้นเคยกัน ก่อนหน้านี้ตนก็รู้จักกับแกนนำพรรคหลายคน คุ้นเคยกัน 

อย่างไรก็ตาม หลายอย่างเปลี่ยนไป เพราะอยู่กันคนละพรรคแต่ความผูกพันส่วนตัวไม่มีปัญหา ความเป็นเพื่อน ความคุ้นเคย การทำงานร่วมกัน แต่การที่เขาจะเลือกพรรคไหนก็เป็นเรื่องของเขา ก็เพียงแต่ขอว่าให้ทุกคนช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง ถ้าหวังแต่เพียงหาเสียง สมมติว่าได้จากนโยบายที่หาเสียง แล้วทำไม่ได้จะตอบประชาชนว่ายังไง บางอย่างที่ตนกลัวว่ามันอันตรายพอสมควร เช่น การใช้จ่ายงบประมาณ ถ้าทำตรงนี้ต้องบอกว่ารายได้จะเอามาจากไหน บางนโยบายล่อไป 9 แสนล้านบาท จะเอามาจากไหนนี่คือสิ่งที่อันตรายและต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ต้องดูว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร 

เมื่อถามว่า ตอนที่นั่งติดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พูดคุยกันไป สนุกสนานกันไป เมื่อถามย้ำว่า วันนี้มาในฐานะคู่แข่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เห็นแข่งอะไรกับใครเลย เมื่อกี้นั่งคุยกัน ก็แหย่กันไปแหย่กันมา ท่านก็ทำของท่านตนก็ทำของตน แต่ให้รู้ว่าวันนี้เราอยู่คนละพรรคแล้ว ส่วนจะคิดว่าจะรวมกันวันหน้าหรือเปล่า ตนก็แจ้งแล้วว่าตนแยกมา แยกก็คือแยก ไม่อย่างนั้นตนจะมานั่งสัมภาษณ์ตรงนี้ทำไม ก็ให้ พล.อ.ประวิตรสัมภาษณ์ไปแล้ว พรรคตนก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top