Tuesday, 7 May 2024
ประชาธิปัตย์

'นิพนธ์' ผนึก 'ดร.เอ้' ดึงเทคโนโลยี ปลุกสงขลา ปั้นเมืองต้นแบบแห่งการศึกษา เพื่อพัฒนาลูกหลานไทย

'นิพนธ์' จับมือ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ปลุกสงขลา 'เทคโนโลยีกับการพัฒนาเมือง เมืองเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน' ยกสงขลาเมืองต้นแบบการศึกษา ทันสมัย ของประชาธิปัตย์ ยันพรรคมุ่งมั่นสร้างคนตลอดมา

เมื่อ 17 ก.ย. 65 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมามอบนโยบายแนวทางการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายสรรเพชญ บุญญามณี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 สงขลา สมาชิกพรรคปชป. และผู้นำชุมชนในเขตเลือกตั้งที่ 1 สงขลาเข้าร่วมประชุม ณ โรงแรม กรีนเวิลด์ อ.เมือง จ.สงขลากว่า 500 คน โดย มี ดร.สุวัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าทีมการศึกษาทันสมัย พรรคปชป. (ดร.เอ้) มาบรรยายพิเศษในหัวข้อ เทคโนโลยีกับการพัฒนาเมือง 'เมืองเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน'

นิพนธ์ กล่าวว่า ผมอยากเรียนว่า ผมได้รับภารกิจของพรรคปชป.เดินหน้าเตรียมพร้อมการเลือกตั้ง จึงขอถือโอกาสนี้เรียนกับพี่น้องว่า พรรคปชป.พร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง วันนี้ปชป.เขต 1 สงขลาได้แสดงความพร้อมที่จะนำพรรคปชป.พร้อมเดินไปข้างหน้า โดยวันนี้เราจะได้ฟัง ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าทีมการศึกษาทันสมัย พรรคปชป. จะมาบรรยายพิเศษให้ฟัง  

ผมในฐานะรองหัวหน้าพรรคปชป.อดีต อะไรที่เคยผิดพลาดหรือทำให้ทุกคนไม่พอใจก็ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ เพื่อเดินหน้าในการนำประเทศก้าวไปข้างหน้า วันนี้ก็จะได้ฟัง ดร.เอ้พูดถึงอนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะการนำเทคโนใหม่ๆ มาใช้ในด้านการศึกษาและพัฒนาประเทศ ดังนั้นถ้าเมืองเปลี่ยนประเทศ ก็เปลี่ยนไปด้วย และถ้าทำท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศก็เข้มแข็งไปด้วย ส่วนในเรื่องของคดีวันนี้ ผมก็มั่นใจว่าผมไม่ผิดเช่นกัน เพราะถือว่ามีการฮั้วประมูลกันจริง และนิติกรรมทุกอย่างจึงถือเป็นโมฆะ ดังนั้นตำแหน่งรัฐมนตรีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาปกป้องตนเอง ก็ต้องขอขอบคุณทุกความห่วงใยและทุกกำลังใจ

วันนี้ปชป.เรามีผลงานมากมาย เพราะในอดีตปชป.เน้นสร้างคน นั่นคือให้การศึกษากับคน โดยนายชวน ในขณะเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2536 ได้มีนโยบายในเรื่องของนมโรงเรียนทั้งประเทศจนถึงปัจจุบันนี้ ร่วม 30 ปีมาแล้ว ในเรื่องของอาหารกลางวันโรงเรียน หลังนายอภิสิทธิ์เป็นนายก ได้มอบให้ผมทำในเรื่องของอาหารเช้าในโรงเรียนซึ่งสมัยตนเป็นนายกอบจ.ก็ทดลองนโยบายดังกล่าวแก่โรงเรียนตชด.ในจังหวัดสงขลา 10 โรงเรียนโดยใช้งบของ อบจ.สงขลา ทำให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์การเรียนของเด็ก นี่คือสิ่งที่ปชป.สร้างคนกับผลักดันนโยบายกินอาหารเช้าในโรงเรียน ในส่วนของทุน กยศ. นายชวนก็เป็นคนตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา จนถึงปัจจุบันร่วม หกแสนล้านบาท 

นโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ นี่คือคอนเซปต์ของพรรคปชป. ในการสร้างคน และต้องสร้างคนรุ่นใหม่ของประเทศไทยให้รู้ทันเทคโนโลยี จึงต้องมีการสอนให้คนรุ่นใหม่รู้จักมากขึ้น เพื่อให้คนของเรารู้ทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ การรักษาฟรีด้วยบัตรประกันสุขภาพ ในอดีตปชป.ก็เข้ามาดูแลในเรื่องของคุณภาพชีวิต ยกฐานะสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน  รวมถึงการให้เงินแก่ อสม.เป็นค่าตอบแทนในสมัย ท่านอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และนโยบายเงินแก่ผู้สูงอายุตั้งแต่สมัยท่านชวนเป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึงท่านอภิสิทธิ์ เหล่านี้เป็นนโยบายของพรรคปชป.ทั้งสิ้น

ประกันรายได้ผู้สูงอายุก็เป็นอีกนโยบายหนึ่งของพรรคปชป. นอกจากประกันรายได้เกษตรกรที่พรรคปชป.ทำมาแล้ว จึงขอให้พี่น้องเชื่อได้ว่านี่คือนโยบายของพรรคปชป. ส่วนนโยบายกัญชา ที่ทางพรรคปชป.ค้าน เพียงเพื่อไม่ให้มีการนำกัญชามาสูบเสรีเท่านั้น แต่ให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์อย่างเดียว  พี่น้องจึงวางใจได้ว่าสิ่งที่พรรคทำ ทำเพื่อประชาชน ในการสร้างคน และดูแลทุกชีวิตตั้งแต่ครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน นี่คือสิ่งที่มาบอกพี่น้องประชาชน พรรคปชป.จึงเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ ทันสมัย

ดร.เอ้ กล่าวตอนหนึ่ง ที่นี่ถือเป็นดินแดนที่มีสุภาพบุรุษที่เป็นลูกผู้ชายที่ชื่อนายนิพนธ์บุญญามณี เพราะเป็นผู้ทุ่มเทเสียสละไม่ใช่เฉพาะจังหวัดสงขลา แต่ยังดูแลประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งบุคคลแบบนี้หาได้ยากไม่ว่าที่ไหน ดังนั้นถ้ารักนิพนธ์ ต้องเลือกสรรเพชญ นโยบายพรรคปชป.อุดมการณ์ ทันสมัย พรรคเราเป็นพรรคที่เป็นตัวแทนประชาชนทุกคน เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่ว่าสิ่งดีวันใด เราคิดถึงพี่น้องประชาชนเสมอ วันนี้พรรคเราจะดูแลพี่น้องประชาชน ดูแลลูกหลานให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่วันนี้โลกมันเปลี่ยนมีการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้

แลกกันคนละหมัด 'ประชาธิปัตย์' vs 'ภูมิใจไทย' เลือกตั้งครั้งใหม่ ความเกรงใจคงไม่ต้องมีให้กัน

น่าสนใจยิ่งกับการช่วงชิงฐานทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ถึงขั้น 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลั่นวาจาออกมาแล้วว่า “เลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจกัน”

ที่กล่าวมาต้องการสื่อให้เห็นว่า เกมแย่งชิงพื้นที่ภาคใต้ถูกลากเข้ามาเล่นกันในสภาแล้ว 'ประชาธิปัตย์ จับมือกับ 'เพื่อไทย' ให้ถอน พ.ร.บ.กัญชา - กัญชง ออกไปปรับปรุงก่อน เพื่อให้ครอบคลุมการควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงกัญชา กัญชง รวมถึงต้องการให้กัญชา กัญชง เป็นยาเพื่อการแพทย์อย่างแท้จริง โดยมี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ นำทีม 

แน่นอนว่า โดยธรรมชาติของกฎหมายจากฟากรัฐบาลนั้น ยังไงทางฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างพรรคเพื่อไทย เขาก็ต้องออกมาคัดค้านอยู่แล้ว แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมค้านด้วย ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจ

“คนที่พูดในสภา ผมฟังแล้วไม่รู้จะเถียงอย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ความจริง เอาการเมืองนำผลประโยชน์ของประชาชน ก็จะเห็นว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวยังคิดได้เลย ใกล้ช่วงเลือกตั้งเลยเอาเรื่องการเมืองมาโยงเพื่อหาคะแนน” อนุทินกล่าวและว่า

“ดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ พรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนกันเอง ใกล้เลือกตั้งที่จะถึง ก็จะได้ไม่ต้องเกรงใจ” 

ด้าน สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ได้คัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยเฉพาะการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือใช้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีเจตนาที่ต้องการเห็นเนื้อหาในการกำกับควบคุมการใช้กัญชา ให้อยู่ในกรอบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน เนื่องจากร่างกฎหมายที่รับหลักการ และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ มีการแก้ไขโดยเพิ่มเนื้อหาจำนวนมาก จากเดิมมี 45 มาตรา แต่คณะ กมธ. ปรับแก้เพิ่มเป็น 95 มาตรา คือ มีการเพิ่มใหม่ 69 มาตรา และมีการตัดบางมาตราทิ้ง โดยเฉพาะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจจะกำกับดูแลควบคุมไม่ดีพอ เช่น การให้ประชาชนทั่วไปขอจดแจ้งปลูกกัญชาครัวเรือนบ้านละ 15 ต้น ใช้เพื่อประโยชน์ในครัวเรือน แต่มีการบัญญัติไว้ว่าเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เพื่อประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน

“หากไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป อาจทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบรอบด้านได้ แต่หากถอนออกไป จะทำให้แก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายได้” สาทิตย์ กล่าว

ไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง แต่ในสภายังลามมาถึงการแก้ไข พ.ร.บ.เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่มีบางพรรคการเมืองเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง เหลือ 2% บ้าง 1% บ้าง 0.50% บ้าง แต่ด้าน พรรคภูมิใจไทย ก็ได้เสนอให้ดอกเบี้ยเป็น 0% คือ ไม่คิดดอกเบี้ย พ่วงท้าย ไม่มีคิดเพิ่มสำหรับคนผิดนัด ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และให้มีผลย้อนหลังด้วย

จะเรียกว่า พรรคภูมิใจไทย หาเสียงกับ กยศ.เต็มสูบ เพื่อยกมาเป็นผลงานของพรรคเลยก็ไม่ผิด ทั้งๆ ที่แต่ข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ริเริ่มขึ้นมาสมัย 'นายหัวชวน' ครั้นเป็นนายกรัฐมนตรี

และนั่นก็ทำให้ก่อนหน้า ได้มีข้อท้วงติงมากมายกับการแก้กฎใหม่ของเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเฉพาะในประเด็นของการไม่คิดดอกเบี้ย ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนผิดนัด ซึ่งมันจะทำให้นักศึกษาที่กู้ยืมเงินไปบางคนขาดระเบียบ ขาดวินัยทางการเงิน คือมีงานทำแล้วก็ไม่จ่าย ไม่หนีไปไหน เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มี ไม่มีคนตามทวงเงินกู้ นายประกันก็ไม่ต้อง อนาคตของเงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะเป็นอย่างไร จะขาดสภาพคล่องไหม? เมื่อเงินเก่าไม่ไหลคืน รัฐบาลต้องตั้งงบใหม่เข้ากองทุนงั้นเหรอ? ยังมีงบบริหารจัดการอีกปีละ 2,000 กว่าล้าน จะเอามาจากไหน? โอ๊ย!! สารพัด!!

แล้วคนที่มีวินัยทางการเงิน จ่ายครบ ไม่บิดไม่เบี้ยว มันจะเป็นธรรมกับคนเหล่านี้ไหม? เข้าใจได้ว่ากฎหมายล้าสมัยก็ต้องมีการปรับปรุง แต่การปรับปรุงแบบ 'สุดซอย' เช่นนี้ มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตเพียงใด? ใครจะรับผิดชอบ? ต้องเจียดเงินจากภาษีประชาชนไปโปะทุกปีจากการออกนโยบายหาเสียงแบบสุดโต่งงั้นเหรอ?

อันที่จริงแล้ว หากย้อนกลับไปถึงปฐมเหตุของเรื่องความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลระหว่าง 'ประชาธิปัตย์' กับ 'ภูมิใจไทย' นั้น มีมานานพอควร แต่ขยายผลมากขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยประกาศจะยึดพื้นที่ 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน 15 ที่นั่ง ตั้งแต่ ระนอง, ภูเก็ต, พังงา, กระบี่, ตรัง และสตูล ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เดิมเป็นของประชาธิปัตย์ทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ประชาธิปัตย์ กร้าว!! ประกาศเป็นยุทธศาสตร์เลยว่า ต่อจากนี้จะต้องยึดคืนพื้นที่หลังจากครั้งเลือกตั้งปี 2562 ได้สูญเสียที่นั่งหลายพื้นที่ให้กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ

ป้ายสี!! ยกสอง 'ประชาธิปัตย์' ปะทะ 'ภูมิใจไทย' ศึกภาคใต้!! ใต้ประชาธิปไตย 'เงินสด'

หลังจากนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ออกมาพูดว่า ในฐานะ ส.ส.ภาคใต้ ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียง แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่เคยใช้ในทางการเมือง แต่ก็ต้องเหนื่อยและต้องรับใช้ประชาชนตลอดชีวิต เห็นทุกพรรคบอกจะแลนด์สไลด์ ไว้รอดูตอนเลือกตั้ง

แน่นอนครับว่า เมื่อพูดถึงความว่า ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียงในเวลานี้ ทุกคนก็นั่งยิ้มมุมปาก เพราะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า มีการใช้เงินซื้อเสียงกันมโหฬาร เพียงแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ตรวจการเลือกตั้ง ไม่มีศักยภาพพอในการตรวจจับการทุจริตการเลือกตั้ง จึงรับรองผลว่า 'การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม'

นายชวนคนเดียวอาจจะเป็นข้อยกเว้นไม่มีการซื้อเสียง ไม่เลี้ยงน้ำชา-กาแฟใคร แต่ในสังคมนักเลือกตั้ง ตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เทศบาล อบจ. ส.ส. มีการใช้เงินเพื่อการเลือกตั้งทั้งนั้น และการใช้เงิน (Money Politic) ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และวงเงินมากขึ้น (ประชาธิปไตยเงินสด) เป็นยอดเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดหวั่นกับการเข้าไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ทุจริตฉ้อโกงในอนาคต และนี้คือวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย

ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ก็พอจะพูดได้ว่า ส.ส.ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียงการเลือกตั้ง แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว 'เงิน' เป็นปัจจัยหนึ่งในการชี้วัดผลการเลือกตั้ง

เมื่อนายชวนออกมาพูดว่าภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียง จึงเกิดปฏิกิริยาโต้กลับจากคู่ต่อสู่ทางการเมืองทันที

นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา เขต 7 พรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุใจความว่า "ในอดีตอาจจะไม่มีจริง แต่ปัจจุบันมีการเตรียมการในพื้นที่เขต 7 บ้านผม อำเภอนาทวี และ อำเภอสะบ้าย้อย คนที่เคยเป็นอดีต ส.ส. ประกาศตัวเคยทำงานใกล้ชิดท่าน ทำงานการเมืองสุจริตแบบท่าน สั่งให้ทีมเดินเก็บบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และ สัญญาว่าจะให้เงิน 500 บาท บอกกับคนทั่วไปอย่างไม่ละอาย ว่ารอบนี้เลือกตั้ง จะใช้เงิน 100 ล้านบาท เพื่อซื้อให้ชนะ ขอให้ท่านตรวจสอบมีจริงหรือไม่"

ด้าน นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา ที่แพ้ให้กับ นายณัฏฐ์ชนน ในการเลือกตั้งปี 2562 และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 7 พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้ด้วยความดุเดือด โดยมีการแคปโพสต์ที่ นายณัฏฐ์ชนน ระบุไว้ ก่อนตอบกลับดังนี้...

"ผมเห็นท่านโพสต์เรื่อง 'เด็กขี้ร้อง' มาหลายหนหลายครั้ง ก็ยังสงสัยว่า 'เด็กขี้ร้อง' นั้นคือใคร บัดนี้กระจ่างแล้วครับว่าเป็นตัวท่าน ขนาดยังไม่มีการเลือกตั้งก็ร้องแล้ว อย่าไปร้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหมายถึงผู้นำท้องที่และผู้นำท้องถิ่น เพราะเขาเหล่านั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะเอือมระอากับนักการเมืองประเภท 'คางคกขึ้นวอ' มาร้องผมนี่สิครับ"

นายศิริโชค ระบุอีกว่า "ท่านเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ ว่านักการเมืองสมัยนี้บางคนหน้าด้านมาก ได้มาเพราะการซื้อเสียงแต่ตอนนี้เกลียดการซื้อเสียงมาก (เวลาออกสื่อ) คงจะลืมว่าในอดีตเคยหอบเงิน 60 กว่าล้านบาทมาหล่นเรี่ยราดไว้แถวนี้ ผมแนะนำครับให้กินน้ำมันตับปลาให้มากๆ จะได้ไม่หลงลืมว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้ในอดีต"

"ท่านไม่ต้องกลัวจนขี้ขึ้นสมอง เฝ้าท่องคาถาเสียงดี เสียงดี และส่งคลิป เสียงดี ไปตามกลุ่มต่าง ๆ เท่านั้นก็พอครับ แต่สำหรับผมขอเลือกที่จะลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแล้วเจอกันวันเลือกตั้ง ขอให้โชคดีครับ"

'อนุทิน' เคลียร์ทุกปม ความขัดแย้ง 'ปชป.' ลั่น!! ไม่คิดโต้กลับ แม้ถูกหักในสภาฯ 

เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 20 กันยายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลังมีการโต้เถียงเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง ว่า เรื่องของกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละพรรค อย่าไปเรียกว่าความขัดแย้งเลย กรณีของ กยศ. พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เห็นว่ามีดอกเบี้ย แต่พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เห็นว่าไม่มีดอกเบี้ย ทีอย่างนี้ไม่เห็นบอกว่าขัดแย้งเลย เพราะฉะนั้นมีความเห็นต่างกันได้ เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค เราต้องเคารพกติกา ส่วนกฎหมายกัญชาเสียงส่วนใหญ่ให้ไปทบทวน เราก็ต้องฟัง ยืนยันไม่มีความขัดแย้งอะไร 

เมื่อถามว่าขณะนี้เคลียร์ใจกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ หลังมีรูปคู่กับนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอนุทิน กล่าวว่าไม่มีอะไรผิดใจกันเลย ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ เมื่อวานยังใส่ชุดเหมือนกันเลย

เมื่อถามว่าได้คุยกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บ้างหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย ซึ่งปกติก็ไม่ได้คุยกับหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว เพราะจะมีวิปรัฐบาล มีอะไรก็คุยผ่านวิปรัฐบาลไป

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ นายอนุทิน เคยพูดว่าต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องเกรงใจกันมีนัยอะไรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีนัยอะไร  

เมื่อถามต่อว่าต่อไปจะกลายเป็นว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอกฎหมายอะไรมาพรรคภูมิใจไทยจะไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าไปคิดแบบนั้นว่าจะต้องคนละทีสองที มันไม่ใช่ กฎหมายอะไรก็ตามถ้าไม่เห็นด้วย ก็หมายถึงว่าจะมีผลไม่ดีต่อประชาชนนี่คือหลักของพรรคภูมิใจไทย แต่อะไรที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมสนับสนุน

เมื่อถามว่าหากกฎหมายกัญชาไม่ผ่านวาระ 3 พรรคภูมิใจไทยจะถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะไปถอนอะไรล่ะ จะเลือกตั้งแล้วมิใช่หรือ เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ถ้าวาระ 3 ไม่ผ่านก็เป็นเรื่องของสภาฯ และที่มาบอกว่าอยากจะให้มีกฎหมายมาคุมกัญชาอย่างละเอียดรอบคอบ แสดงว่าที่พูดไปแสดงว่าไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ซึ่งกฎหมายนี้มี กมธ.ที่มาจากทุกพรรคทุกฝ่าย ซึ่งทั้งหมดก็เห็นชอบในช่วงรับหลักการ ตอนเข้าไปมี 45 มาตรา ตอนออกมามี 95 มาตรา ปุถุชนที่ไหนก็ต้องคิดได้ว่ามันต้องละเอียดขึ้น มีความรอบคอบระมัดระวังในการบังคับใช้มากขึ้น แต่ที่นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านบอกว่ารับหลักการ 45 มาตรา มิใช่ 95 แล้วมาบอกว่าพรรคภูมิใจไทยเกเรเป็นเด็กๆ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเด็กมากกว่า ซึ่งมันคนละเรื่องกัน

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่พรรคภูมิใจไทยขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไปเจาะพื้นที่ภาคใต้ นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่สามารถไปห้ามความความคิดคนอื่นได้ แต่เรื่องพวกนี้พรรคภูมิใจไทยไม่คิด คนเข้ามาจังหวัดบุรีรัมย์เยอะแยะไป

“มีคนจะมาดึง ส.ส.อ่างทอง 2 คนพี่น้องจากเราไปด้วยซ้ำ แต่ผมไม่บอกหรอกว่าใคร ซึ่งสองคนพี่น้องก็หัวเราะเป็นโจ๊กเลยบอกว่าโอ้ยไม่ดูตาม้าตาเรือเข้ามาในพื้นที่” นายอนุทิน กล่าว

'บิ๊กป้อม' ฟุ้ง!! พปชร.ให้กำเนิด 'มาดามเดียร์' แม้ย้ายไปอยู่พรรคอื่นก็ถือว่ากำเนิดจากพรรคเรา

'พล.อ.ประวิตร' ฟุ้งพปชร.ให้กำเนิด 'มาดามเดียร์' บอกตอนอยู่ด้วยตนดูแลอย่างดี บอกไม่รู้กกต.วางไทม์ไลน์เลือกตั้งจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ชี้ยุบสภายังไม่แน่ การเมืองทุกวันนี้มีแต่คาดการณ์

(22 ก.ย. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.วทันยา บุนนาค อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลาออกจากพรรค มาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ขออนุญาตท่านในฐานะหัวหน้าพรรคแล้วใช่หรือไม่ ว่า ตอนอยู่กับตนก็ดูแลเป็นอย่างดี แม้จะย้ายไปอยู่พรรคอื่นก็ถือว่ากำเนิดจากพรรคเรา ดังนั้นพรรคเราก็ต้องดี ก็ถือว่าเขาโอเค เมื่อถามว่าจะมีส.ส.จากพรรคอื่นย้ายเข้ามาอยู่พรรคพลังประชารัฐหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่รู้ สื่อรู้หรือไม่ ตนไม่ทราบ

'ประชาธิปัตย์ พร้อมสู่สนามการเลือกตั้ง' เป็นประโยคของ 1 ใน 2 ของ 'ขุนพล' ประชาธิปัตย์ภาคใต้ 'นิพนธ์ บุญญามณี' ที่กล่าวกับ สื่อในส่วนกลาง เมื่อถูกถามถึงความพร้อมของการเข้าสู่ 'สนามการเลือกตั้ง'

ถามว่าทำไม 'สื่อ' ถึงให้ความสำคัญกับความพร้อมของประชาธิปัตย์ในสนามการเลือกตั้งที่ภาคใต้ เพราะสำหรับประชาธิปัตย์ ภาคใต้คือ ที่มั่น ที่สุดท้าย ที่จะต้องรักษาด้วยชีวิตกับการเลือกตั้งในครั้งที่จะถึงนี้ ส่วนสนามเลือกตั้งในภาคอื่น ๆ และแม้แต่กทม. ยังยากที่ประชาธิปัตย์จะกลับไปปักธงเพื่อได้สส. เป็นกอบเป็นกำเหมือนในอดีต 

ประชาธิปัตย์ มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะมีการปรับขบวนทัพด้วยการเอาคนรุ่นใหม่ ลงสนามเลือกตั้งแทนนักการเมืองรุ่นเก่าที่ลาออก เพื่อย้ายไปอยู่ยังพรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองจำนวนมากที่หอบกระสุนเงินเข้ามาเพื่อแย่งชิงที่นั่งของ สส.ในภาคใต้ เช่นพรรคภูมิใจไทย,พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคพลังประชารัฐ, พรรคสร้างอนาคตไทย ที่พร้อมใจกัน ยาตราทัพ เข้ามาเพื่อทำศึกสงครามในภาคใต้ เพราะเชื่อว่ามี เปอร์เซ็นของชัยชนะที่สูงกว่าการไปทำศึกสงครามกับพรรคเพื่อไทย ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ 

สนามของภาคใต้สำหนรับประชาธิปัตย์จึงเป็นมวยรุมที่มีพรรคการเมืองที่มีชื่อชั้นอย่างน้อย 4 พรรคมะรุมมะตุ้ม จนกลายเป็น มวยหมู่ ที่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับประชาธิปัตย์มากกว่าการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา ที่ต้องเสียที่นั่ง ให้กับพลังประชารัฐ13 ที่นั่ง และภูมิใจไทย อีก 8 ที่นั่ง และ พรรคอื่นๆอีก 7  ที่นั่ง 

แต่...เชื่อว่า หลังการพ่ายแพ้อย่างยับเยินในครั้งที่แล้วในภาคใต้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ มีการถอดบทเรียนของความพ่ายแพ้ที่ได้รับ และมีการแก้เกมมีการวางแผนในการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้อย่างรอบคอบเพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม เลือดเก่าไหนออกเป็นเรื่องปกติของการเมืองหลายคนออกไปกลายเป็นการขจัดจุดอ่อนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประเด็นสำคัญ ผู้รับผิดชอบในการเลือกตั้งต้องมีการเทรนบรรดาเลือดใหม่อย่างไรให้เข้าตาประชาชน เพราะจุดอ่อนของว่าที่ผู้สมัครที่สำคัญที่สุดคือขาดประสบการณ์ทางการเมืองเขี้ยวและ คม ยังไม่ลากดิน อาจเสียเชิงและเสียที่ให้กับคู่ต่อสู้ได้ง่าย 

จุดอ่อนของประชาธิปัตย์ในยุคที่จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรคคือ งานด้านสื่อสารกับสังคมของพรรคในภาพรวมที่ขาดความโดดเด่นทั้งที่ยึดกุมกระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ คือกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงเกษตรฯ ที่มีผลงานในเรื่องการประกันราคาพืชผลและในเรื่องของการค้า-การขายการสื่อสารต่อสังคมของจุรินทร์ขาดความเฉียบคมแม้แต่เรื่องของปาล์มน้ำมันที่สร้างความร่ำรวยให้เกษตรกรในภาคใต้ ซึ่งควรจะเป็นโบว์แดงของพรรค ก็ยังไม่มีการหยิบยกให้เป็นประโยชน์เพื่อชี้ให้เห็นถึงผลงานของพรรค

ชาวสวนชุมพรปลื้ม!!! “จุรินทร์”ควง”สินิตย์”รุกสร้างเงินให้มังคุดใต้ปีหน้า นำเอกชนทำสัญญาซื้อล่วงหน้า 4,000 ตัน เพิ่มราคาให้ 20%

นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดกิจกรรม “พาณิชย์เดินหน้าอมก๋อยโมเดล@ชุมพร สินค้ามังคุด และเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนามสัญญาข้อตกลงมาตรฐานของกรมการค้าภายใน การซื้อขายมังคุด และพบปะเกษตรกร โดยมีนางโสรดา เลิศอาภาจิตร์ ผู้ตรวจราชการรักษาการรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และนายกองเอกพุทธ กฤชคงพันธุ์รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เข้าร่วมด้วยที่วิสาหกิจชุมชนมังคุดคุณภาพวังใหม่  อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร

นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ถือโอกาสมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องเกษตรกรคนชุมพรที่ปลูกมังคุด ช่วง 2 ปีมานี้ถือเป็นยุคทองของเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ทั่วทั้งประเทศ เพราะราคาผลไม้ในภาพรวมดีมาก โดยเฉพาะ 2 ตัวสำคัญ เช่น 1.ทุเรียน 2.มังคุด แต่บางช่วงราคาตกเพราะผลผลิตออกมาก ที่จังหวัดชุมพรปลูกมากคือ ทุเรียนและมังคุด สำหรับทุเรียนปีที่แล้วราคาเฉลี่ยทั้งประเทศ หมอนทองเกรดส่งออกเฉลี่ย 145 บาท/กก. มังคุดเกรดส่งออกเฉลี่ย 60 บาท/กก. มังคุดเกรดคละเฉลี่ย 37 บาท/กก. เงาะโรงเรียน เฉลี่ย 25.50 บาท/กก. ภาพรวมถือว่าราคาผลไม้ทั้งประเทศถือว่าดีมาก ปีนี้เป็นห่วงว่าจะส่งออกได้ไหมเพราะตลาดจีนมีปัญหาเรื่องด่าน สุดท้ายราคาไม่ตกเพราะกระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรฯจับมือภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ประชุมผู้ส่งออก  และโลจิสติกส์เปลี่ยนระบบการขนส่งจากเดิมที่ส่งออกทางบกเป็นหลักเป็นทางเรือแทน ทำให้ผลไม้ไทยสามารถส่งออกไปจีนได้ ซึ่งปีนี้ประสบความสำเร็จราคาผลไม้ดีมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการทำงานเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯจับมือกันประสบความสำเร็จ และปีนี้จะใช้โมเดลนี้เดินหน้าต่อ ไม่ให้ผู้ปลูกผลไม้เดือดร้อน ซึ่งอยากให้ปีหน้าดีกว่าปีนี้ ซึ่งพี่น้องต้องช่วยทำผลไม้ที่มีคุณภาพ ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อทั้งหมด ต้องรักษาคุณภาพ ซื่อสัตย์กับตัวเองและลูกค้า ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าทำได้ เราช่วยพี่น้องได้

'จุรินทร์' เดินหน้าเปิดตัว 4 ปชป.สมุทรสาคร ชู!! 'ไม่เอาล้มเจ้า-ไม่เอายาเสพติด-เร่งฟื้นประมง'

'จุรินทร์' ควง 'สาธิต' เปิดตัว 4 ปชป.สมุทรสาคร ชาวบ้านเชียร์ลั่นเป็นนายก! ประกาศเดินหน้าฟื้นประมง ไม่เอาล้มเจ้า ไม่เอายาเสพติด

เมื่อ 22 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค ซึ่งดูแลภาคกลาง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันนำ 'จุรินทร์ ออนทัวร์' มาที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 4 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายชวพล วัฒนพรมงคล นักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นรองนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร เป็นรองประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร, เขต 2 นายภูดิส แก้วตระกูลโชติ วิศวกรหนุ่ม อดีตรองนายก อบต.ท่าทราย, เขต 3 นายธนวัฒน์ ทองโต (สจ.ช้าง) เป็นทนายความ และ เขต 4 นายนิติรัฐ สุนทรวร อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เขต 3

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนและพรรคประชาธิปัตย์ มีความรู้จักมักคุ้นกับคนในพื้นที่มาเป็นเวลานาน จึงได้เตรียมการเรื่องพื้นที่โดยเฉพาะการปรับตัวให้เข้ากับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะการเลือกตั้งเที่ยวหน้าจะไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่เป็นการเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว นำคะแนนพรรคกับคะแนนคนมามัดรวมกันเป็นข้าวต้มมัด แต่การเลือกตั้งเที่ยวหน้า จะแยกเป็นบัตร 2 ใบเพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่แก้ไขเสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ให้เสรีภาพกับประชาชนในการเลือกคนกับพรรคได้

นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังได้เตรียมนโยบายไว้ชัดเจนแล้ว โดยในภาพรวมเราจะมุ่งหน้าทำงานทั้งด้านการเมืองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน ไม่แยกเฉพาะการเมืองทิ้งเศรษฐกิจ หรือทำแต่เศรษฐกิจทิ้งการเมือง เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองจะต้องเดินไปด้วยกัน เวลาแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ต้องแก้ปัญหาการเมืองไปด้วย เพราะฉะนั้นนโยบายทางการเมืองของประชาธิปัตย์ จึงมีจุดยืนชัดเจน คือยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนั้นประชาธิปไตยที่ประชาธิปัตย์ต้องการเห็น ก็จะต้องเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือเรียกง่ายๆ ว่า 'ประชาธิปไตยท้องอิ่ม' เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากทางเศรษฐกิจได้ภายใต้กลไกการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนล้มเจ้านั้น ประชาธิปัตย์ไม่เอา

นายจุรินทร์ยังกล่าวอีกด้วยว่า เศรษฐกิจสมุทรสาคร จะต้องเดินหน้าด้วยเศรษฐกิจ 3 ขา

ขาที่ 1 อุตสาหกรรม เพราะเป็นตัวจักรขับเคลื่อนที่สำคัญทางเศรษฐกิจของสมุทรสาคร

ขาที่ 2 เกษตรกรรม มีความสำคัญกับชาวสมุทรสาครโดยเฉพาะบ้านแพ้วซึ่งปลูก มะพร้าว ลำไย กล้วยไม้ มะนาว และมีพืชผลการเกษตรอื่นๆ ที่เราจะทิ้งฐานการเกษตรไม่ได้เพราะยังทำเงินให้เศรษฐกิจฐานรากของจังหวัด

ส่วนขาที่ 3 คือ การเดินหน้าด้วยการประมง ซึ่งภายใต้หลักคิดของประชาธิปัตย์คือการพื้นฟื้นประมงกลับคืนมาให้เจริญเติบโตก้าวหน้าไปด้วยกันได้ ทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ โดยรูปธรรมที่เกิดขึ้นในอนาคต คือ การแก้ไข พ.ร.ก.ประมง ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความเคร่งครัดจนทำให้ธุรกิจประมงเดินหน้าต่อไปไม่ได้

"แม้เราจะยอมรับกติกา IUU แต่ต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมกับประเทศไทย และไม่มีผลในการบั่นทอนกิจการการประมงของประเทศด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีจุดสมดุลของมันอยู่ ดังนั้นในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า จึงหวังว่าพี่น้องประชาชนจะสนับสนุนผู้สมัครของพรรคทุกคน และให้เราปักธงประชาธิปัตย์ในจังหวัดสมุทรสาครได้อีกครั้งหนึ่ง"

จากนั้นมีเสียงจากชาวบ้านที่เข้าร่วมการเปิดตัวผู้สมัคร ได้ตะโกนให้กำลังใจ นายจุรินทร์ หัวหน้าพรรค และผู้สมัครของพรรค ว่า “ประชาธิปัตย์จงเจริญ ขอให้ท่านได้เป็นนายก เพื่อมาฟื้นประมงสมุทรสาคร” ท่ามกลางเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง

หลังจากนั้นหัวหน้าพรรค ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราก็ได้ ส.ส. มาอย่างต่อเนื่องหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ท่านณรงค์ สุนทรวร ท่านอเนก ทับสุวรรณ มาถึง น.ต.สุธรรม ระหงส์ มาจนถึง นิติรัฐ สุนทรวร เพียงแต่ครั้งที่แล้วเราเว้นไปครั้งเดียว แต่เที่ยวหน้าก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีโอกาส และการเปิดตัวครบทั้ง 4 เขตในวันนี้ถือว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรกๆ ที่มีความพร้อมเปิดตัวครบ

“เราก็มั่นใจว่าเสียงตอบรับจากประชาชนมีแน่นอน และมั่นใจว่าเรามีโอกาสที่จะปักธงได้อีกครั้งที่จังหวัดสมุทรสาคร เพราะชาวบ้านกับเรามีความสัมพันธ์กันมานาน ท่านอเนก ทับสุวรรณก็ยังอยู่กับพรรค และสมาชิกของเราก็สนับสนุนอยู่ รวมทั้งคนรุ่นใหม่ๆ ที่เดินเข้ามาเป็นสมาชิกก็มีจำนวนมากที่เข้ามาช่วยกัน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

พร้อมกับตอบผู้สื่อข่าวถึงจุดขายใหม่ของพรรค ที่เน้นการแก้ไขเศรษฐกิจคู่กับการเมืองว่า เป็นจุดขายที่เราได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับการเมืองต้องแก้ควบคู่กันไป ต้องเป็นประชาธิปไตยท้องอิ่ม

“นี่เป็นสิ่งที่ผมมั่นใจว่าประชาชน และประเทศไทยยามนี้ต้องการ และต้องการเห็นความชัดเจนในรายละเอียดของนโยบายที่จะตามมาว่า ประชาธิปไตยท้องอิ่มประกอบด้วยอะไรบ้าง ที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และทำให้คนไทยทั้งประเทศท้องอิ่มขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น นี่คือจุดยืนที่เราประกาศชัดเจน และจุดยืนประชาธิปัตย์ที่เราก็แสดงออกด้วยการพูดจามาก่อนหน้านี้ก็คือ เรายึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และที่สำคัญคือ ไม่เอาล้มเจ้า ไม่เอายาเสพติด ซึ่งเป็นจุดที่ผมคิดว่ามีความสำคัญ และสังคมก็ต้องการเห็นการเดินหน้าที่มีความชัดเจนในสิ่งเหล่านี้” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การประกาศจุดยืนลักษณะนี้จะเป็นการแบ่งข้างประชาชนหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้แบ่งข้างหรอก แต่เป็นการแสดงจุดยืนในทางการเมืองที่พรรคการเมืองต้องมีความชัดเจนในเรื่องจุดยืนทางการเมือง"

'จุรินทร์' ย้ำ ประชาธิปัตย์ ไม่เอายาเสพติด! หนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี หวั่น สร้างปัญหาอนาคตชาติระยะยาว

วันนี้ (25 ต.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ.... ที่จะมีการเสนอเป็นระเบียบวาระเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ว่า 

ประชาธิปัตย์ สนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี อันนี้ถือว่าเป็นจุดยืน เพราะฉะนั้นรายละเอียดต่อมาก็จะใช้หลักนี้ในการพิจารณาต่อไปในการดำเนินการ

“กัญชาทางการแพทย์นั้นเป็นประโยชน์ แต่กัญชาเสรี อย่างน้อยที่สุดมันจะสร้างปัญหาให้กับอนาคตของประเทศระยะยาว อันนี้จึงเป็นที่มาที่เราบอกชัดเจนว่าเราไม่สนับสนุนกัญชาเสรี แต่สนับสนุนกัญชาที่จะไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวย้ำ

‘จุรินทร์-นิพนธ์’ ควงแขนลุยนครศรีธรรมราช เปิดตัว 8 ว่าที่ผู้สมัครส.ส. สู้ศึกเลือกตั้ง

‘จุรินทร์’ ควง ‘นิพนธ์’ ลุยนครศรีฯ เปิดตัว 8 ผู้สมัครส.ส.ฯ เปรียบ 76 ปี ประชาธิปัตย์มีแก่น มีรากแก้วอุดมการณ์ จิตวิญญาณรับใช้ประชาชนเป็นที่ตั้ง ด้าน ‘นิพนธ์’ เย้ย พวกกระโดดน้ำหนี ไปไม่ถึงฝั่งสักราย วอน ชาวประชาธิปัตย์อย่าหวั่นไหว ยัน ปรากฏการณ์อดีตรุนแรงกว่าปัจจุบันมาก แต่ปชป.ก็ยังอยู่มาได้

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก่อนเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่หอประชุมเมืองนครศรีธรรมราช ทุ่งท่าลาด ถึงการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า วันนี้จะได้เปิดตัวผู้สมัครใน 8 เขตก่อน แม้ความจริงตั้งใจจะเปิดตัวทั้ง 9 เขต แต่เกิดอุบัติเหตุอย่างที่ทราบกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยังจะเปิดตัวไปก่อน 8 เขต ส่วนอีกเขตนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ขณะนี้มีผู้เสนอตัวพร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตที่แกว่งไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร พรรคก็พร้อมจะส่งครบทุกเขตในนครศรีธรรมราช ไม่ได้มีความกังวลอะไร 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้สมัคร ส.ส. ที่จะมาลงแทนนั้น มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขอยังไม่พูดถึงในตอนนี้ และให้เป็นหน้าที่ของรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ซึ่งจะเป็นผู้ไปดำเนินการมา แต่ตามที่ได้รับแจ้ง ก็มีผู้เสนอตัวมาแล้วหลายคน ขอให้เป็นเรื่องภายใน เมื่อถึงเวลาพรรคจะได้พิจารณาตัดสินใจ ไม่มีอะไรยาก และจะเป็นคนที่พรรคจะต้องพิจารณาในเรื่องอุดมการณ์

“ผมก็มั่นใจสำหรับคนใหม่ที่จะมีอุดมการณ์ประชาธิปัตย์เต็มร้อย เหมือนท่านชวน หลีกภัย ท่านบัญญัติ เหมือนผม ที่เป็นผู้แทนมา 11 สมัย ไม่เคยเปลี่ยนพรรค ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นผมมั่นใจว่าคนใหม่ที่จะเข้ามา สามารถที่จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชได้อีกคนหนึ่ง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

พร้อมกับตอบคำถามสื่อมวลชน ที่ถามว่าการที่ผู้สมัครย้ายพรรคในช่วงนี้ จะส่งผลกระทบต่อจำนวน ส.ส.เป้าหมายของพรรคหรือไม่นั้นว่า อาจจะมีนิดหน่อย แต่ไม่กระทบในภาพรวม เพราะมีคนใหม่ที่เดินเข้ามาเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งด้วย เพราะฉะนั้นภาพรวมเที่ยวหน้า พรรคก็ยังมั่นใจ ทั้งตนและเลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค ทุกคนคิดตรงกันว่าเราต้องได้มากกว่าเดิมแน่นอน ส่วนเกิดประเด็นปัญหาในเขตไหนอย่างไรนั้น ก็ต้องแก้ปัญหากันไป และการย้ายพรรค มันก็มีทุกพรรค เหมือนที่ตนเคยทายไว้ว่า พอใกล้เลือกตั้งไม่มีพรรคไหนหรอกที่ไม่มีคนเข้าคนออก ประชาธิปัตย์ก็เหมือนกัน 

“สิ่งหนึ่งที่มีคนถามผมเหมือนกันว่า ประชาธิปัตย์ อยู่มาได้ 76 ปี ในอดีตมีทั้งคนเข้าก็เยอะ คนเดินออกก็มี แต่ทำไมถึงอยู่ยั้งยืนยงมาได้ ผมก็เคยตอบไปว่าที่ประชาธิปัตย์อยู่ยั้งยืนยงมาได้ 76 ปี และจะก้าวต่อไปนั้น ก็เพราะว่าประชาธิปัตย์ยังมีแก่น ที่หลุดร่วงไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ อาจจะเป็นเปลือก เป็นใบ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีหลุดร่วงออกไปบ้าง แต่ว่าต้น รากแก้วของความเป็นประชาธิปัตย์ ของอุดมการณ์ และจิตวิญญาณของการรับใช้ประชาชนที่ตั้งใจเดินหน้าให้ประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองยังอยู่ เพราะฉะนั้น ต้นไม้ประชาธิปัตย์จึงยังสามารถแผ่กิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกใบมาได้ตลอดระยะเวลา 76 ปี เพื่อรับใช้ประชาชน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

และเพิ่มเติมอีกด้วยว่า นี่คือประสบการณ์ที่เราได้ประสบมา แล้วก็ไม่ได้หวั่นไหว ทุกคนจึงพร้อมกันเดินหน้าต่อไป ทุกคนยังเหนียวแน่นอยู่กับพรรค ตัวเลขสมาชิกพรรควันนี้ ประชาธิปัตย์ยังมีสมาชิกมากที่สุดที่เป็นทางการเป็นลำดับ 1 ของประเทศ 1 แสน 1 หมื่นคน และช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็มีสมาชิกใหม่เข้ามาถึง 4 หมื่นกว่าคน ในช่วง 3 ปี เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ผนึกกำลังคนที่ยังเป็นแก่น เป็นต้น เป็นรากแก้วของประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนต่อไป ผมยังมั่นใจว่าประชาชนเข้าใจเรา แล้วก็พร้อมที่จะเดินเคียงข้างไปกับเรา 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคจำเป็นต้องกลับไปทบทวนหาสาเหตุของปัญหาก่อนหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า อย่างน้อยต้องไปถามคนเป็นเบื้องต้นก่อน คนจะต้องเป็นคนตอบคำถามว่า เพราะอะไร ทำไม หลายคนพรรคก็ให้ทุกอย่างเท่าที่พรรคจะให้ได้ อย่างน้อยก็โอกาส สถานภาพในการทำหน้าที่ การให้จิตวิญญาณให้อนาคตในการรับใช้ประชาชน เราก็ให้เต็มที่ทุกคน และประชาธิปัตย์ก็ให้ความสำคัญกับทุกคน แต่ว่าแต่ละคนอาจจะต่างจิตต่างใจ ก็ต้องให้คนเป็นคนตอบเสียก่อนว่า เพราะเหตุอะไรอย่างไร หรือถ้าจะไม่ตอบ ก็คือไม่ตอบ แต่พรรคก็เข้าใจดี ในสถานการณ์อย่างนี้ พอจะเลือกตั้งมันมีทั้งคนเข้า คนออกเสมอ ทุกพรรคการเมือง บางครั้งบางพื้นที่เราส่งผู้สมัครได้คนเดียวในนามพรรค แต่มี 2-3 คนที่พรรคตัดสินใจว่าไม่สามารถส่งเขาได้ ถ้าเขาจะเป็นผู้แทน หรือเขาจะลงสมัคร ก็ต้องย้ายพรรค เราก็เข้าใจได้ หรือว่าเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ขอ 1-2-3-4-5 แล้วเราไม่สามารถสนองตอบให้ได้ เพราะประชาธิปัตย์ก็ต้องคำนึงถึงภาพรวมของพรรค บางทีมันก็อาจจะทำให้ต้องเปลี่ยนพรรคไป ตนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พรรคก็ต้องเดินหน้าต่อไปอย่างหนักแน่น มั่นคง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top