Sunday, 12 May 2024
ตำรวจไซเบอร์

ตำรวจไซเบอร์จับเครือข่ายหลอกเทรดหุ้นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ อ้างลงทุนเริ่มต้นแค่ 1 พัน สุดท้ายเหยื่อสูญเงินไปเกือบ 2 ล้าน

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2566 ที่ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 แถลงข่าวจับกุมเครือข่ายมิจฉาชีพอ้างตัวมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดัง หลอกลวงให้ลงทุนเทรดน้ำมันผลตอบแทนดี ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินออกไป จำนวน 39 ครั้ง สูญเงินเกือบ 2 ล้านบาท

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ให้เร่งสืบสวนสอบสวน กรณีมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ว่าพบประกาศบน Facebook ให้ชักชวนให้ร่วมลงทุนเทรดน้ำมัน โดยสามารถเริ่มต้นที่เงิน จำนวน 1,000 บาท และจะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นตามจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป

ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ติดต่อโดยการการกดลิงก์เพื่อเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชัน Line ต่อมาจะมผู้อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายบริการและโบรกเกอร์ เข้ามาแนะนำวิธีการลงทุนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเปิดพอร์ต วิธีการ และหมายเลขบัญชีธนาคารในการโอนเงินเข้าในพอร์ต มีฝ่ายบัญชีและฝ่ายการเงิน แนะนำวิธีการถอนเงินออกจากระบบ โดยหลังจากที่ผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้มีการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มมิจฉาชีพ จำนวน 6 บัญชี ทั้งหมด 39 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,881,144 บาท ต่อมาไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ ผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สอท.1 สามารถจับกุมผู้ต้องหา นายณัฐกาญจน์(สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าว ได้ตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนงที่ 276/2566 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยทำการจับกุมได้ที่ บ้านพัก ในตำบลลาดทิพรส อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี เบื้องต้นผู้ต้องหายังไม่ขอให้การใดๆ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า ในปัจจุบันมิจฉาชีพมีการปลอมแปลงตราสัญลักษณ์รวมถึงภาพผู้บริหารของบริษัทที่มีชื่อเสียงไปใช้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงมีการแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐหรือธนาคารต่างๆ อีกด้วย ขอให้ประชาชนหมั่นสังเกต โดยมีจุดสังเกตว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ เช่น การันตีผลตอบแทน (ไม่มีการลงทุนใดที่สามารถการันตีผลตอบแทนได้) หรือ ให้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยก่อนลงทุน ควรตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนที่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบว่าประเภทใบอนุญาตตรงกับบริษัทที่อ้างถึงหรือไม่ หรือหากเป็นการลงทุนควรโอนเงินเข้าบัญชีปลายทางที่เป็นชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ไม่ควรจะเป็นบัญชีบุคคลธรรมดา

ทั้งนี้ หากพบการโฆษณาชักชวนลงทุนที่ไม่น่าไว้ใจ สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต. โทร 1207 กด 2 หรือ สายด่วน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร 1441

ตร.ไซเบอร์รวบขบวนการหลอกให้กู้เงินออนไลน์ หลอกพระโอนเงิน 15 ครั้ง เสียหายกว่า 4 แสนบาท

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบเนื่องจากผู้เสียหาย(พระ) ต้องการจะกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ให้กับโยมแม่ โดยเข้าไปค้นหาใน Google พบบริการสินเชื่อออนไลน์ ผู้เสียหายได้คลิกเข้าไปลงทะเบียนเพื่อขอกู้เงิน ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ เพื่อคุยข้อความทางไลน์และถามว่าผู้เสียหายต้องการเงินเท่าไร หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งลิงก์ Eagleloan (rabbit.xyz) (http://b10.rabbitlon.xyz#/register) มาให้ผู้เสียหายเข้าไปสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าวเสร็จแล้ว มีข้อความเข้าว่าได้รับอนุมัติ โดยแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้กู้รายใหม่ยังไม่มีประวัติการกู้กับทางบริษัทฯ คนร้ายจึงได้ส่งบัญชีธนาคารที่คนร้ายกับพวกเปิดไว้จำนวน 6 บัญชี มาให้ผู้เสียหายต้องชำระค่าบริการต่างๆ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ทำการโอนไป จำนวน 15 ครั้ง

รวมเป็นเงิน จำนวน 408,723 บาท หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ทำการขอถอนเงินคืน ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าต้องฝากเงินเข้าไปอีก ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2
รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 408,723 บาท

ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 6 คน ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอหมายจับ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.2 ได้ออกสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ดังนี้

1. นายฐิติวัชร ชาวอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.66          

2. นายเอกภิเชฐ ชาวอำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66

ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด"

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองราย ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึกการจับกุม และนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจนากูร ผกก.2 บก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

ตำรวจไซเบอร์รวบเจ้าพ่อบัญชีม้า หลอกปั่นยอดไลก์แลกเงิน อึ้ง! พบเปิดกว่า 600 บัญชี

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สืบเนื่องจากคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยเชิญชวนให้ทำธุรกิจโปรโมทสินค้าและโฆษณาเพื่อหารายได้พิเศษ ด้วยการกดไลก์/กดแชร์ เพิ่มยอดเข้าชม(ปั่นยอดวิว)และคอมเม้นสินค้าเพื่อรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ตามภารกิจที่คนร้ายแจกจ่ายมาให้ โดยมีเงื่อนไขการทำงานจะต้องจ่ายเงินแรกเข้า และการจ่ายงานให้จะมากน้อยตามเงินลงทุน เมื่อเปิดบัญชีแล้ว คนร้ายจะจ่ายงานให้ โดยต้องเข้าไปชมยูทูป กดไลก์ กดแชร์ และส่งมอบงานเข้ามาในระบบ จึงจะได้รับผลตอบแทน

โดยครั้งแรก ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ลองสมัครและโอนเงินไป 2,000 บาท จากนั้นระบบได้แจ้งให้เข้าไปกดไลก์กดติดตามสินค้าออนไลน์ เมื่อทำตามปรากฏว่าได้ค่าตอบแทนจริง จึงหลงเชื่อทำภารกิจต่อไปอีกหลายครั้ง และโอนเงินเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงภารกิจที่ 7 ปรากฏว่าไม่ได้เงินคืนโดยมิจฉาชีพอ้างว่าทำผิดกติกาและขอให้โอนเงินเพิ่มเพื่อถอนเงิน และต่อมายังถูกหลอกให้โอนเงินโดยอ้างเงื่อนไขต่างๆอีกหลายครั้ง จนผู้เสียหายโอไปทั้งสิ้น จำนวน 12 ครั้ง สูญเงินกว่า 3,171,249 บาท และจากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน พบว่าเกี่ยวข้องกับนายพลากร (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดสงขลา

กระทั่งเจ้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ และได้สืบสวนทราบว่า นายพลากรฯ ถูกควบคุมตัวในคดีอื่นอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา จึงได้ทำหนังสือขออายัดตัวไว้ และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดสงขลา จึงเข้าทำการจับกุมตัว ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” และส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบถามผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่าตนได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวนมากเพื่อใช้สมัครเล่นพนันออนไลน์ และเพื่อขายให้ผู้อื่น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ต้องหาเคยเปิดบัญชีธนาคารแบบออนไลน์แล้วแล้วยกเลิกหลายครั้ง โดยปัจจุบัน มีบัญชีธนาคารที่ยังใช้งานได้และปิดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นถึง 600 บัญชี

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พ.ต.อ.ปกรณ์กิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 ,พ.ต.ท.เอนก ยอดหมวก รอง ผกก.3 บก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 3 นําโดย พ.ต.ท.ศราวุธ ตะดวงดี สว.กก.3 บก.สอท.2  พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เศรษฐีใจบุญ!! ครอบครัว “อริยะ” ถวายข้าวสาร กว่า 1,000 ถุง น้ำดื่ม เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด

ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสมชาย เลิศอริยานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักรถขุด KOBELCO และรถบด SAKAI พร้อมศูนย์อะไหล่และศูนย์บริการครบวงจร 30 สาขา ทั่วประเทศไทย 

เดินทางพาครอบครัวเลิศอริยานันท์ เข้ากราบขอพรจากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมทั้งยังได้มอบข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง อีกทั้ง ยังได้มอบน้ำดื่ม จำนวน 1,100 แพค ตลอดจนทางครอบครัวเลิศอริยานันท์ยังได้มอบเงินทำบุญ อีกจำนวนกว่า 1 แสนบาท มอบให้กับท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้่ายวันเกิด 

ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่าน  พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ชัยมงคลคาถา พร้อมทั้งประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวเลิศอริยานันท์อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ตำรวจไซเบอร์เตือน ระวังเพจขายสินค้าออนไลน์ปลอมระบาดหนัก ที่ผ่านมาพบประชาชนตกเป็นเหยื่อมากเป็นอันดับ 1

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่าได้รับรายงานจากการตรวจสอบสถิติการรับแจ้งความผ่านศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์พบว่าในช่วงที่ผ่านมายังคงมีผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงขายสินค้าและบริการออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 1.ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 2.ซื้อสินค้าแต่ได้รับสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ(ได้ไม่ตรงปก) 3.ซื้อสินค้าแต่ได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีคุณต่ำ 4.การใช้หลักฐานการโอนเงินปลอมเพื่อหลอกลวงผู้ขาย เป็นต้น 

โดยมิจฉาชีพจะฉวยโอกาสมองหาสินค้าที่ประชาชนสนใจเป็นจำนวนมากในช่วงเวลานั้นๆ เริ่มจากการสร้างเพจเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา แล้วตั้งชื่อเพจให้เหมือนหรือคล้ายคลึงกับเพจเฟซบุ๊กที่มีการซื้อขายสินค้าจริง ประกอบกับคัดลอกรูปภาพสินค้า เนื้อหา และโปรโมชัน จากเพจจริงมาใช้ให้เพจมีความเคลื่อนไหว สร้างความน่าเชื่อถือ มีการขายสินค้าในราคาถูกกว่าปกติ มีการการันตีสินค้า รีวิวสินค้าปลอมจากบัญชีเฟซบุ๊กอวตาร เมื่อหลอกลวงผู้เสียหายได้ทรัพย์สินเป็นจำนวนมากแล้ว ก็จะเปลี่ยนชื่อเพจเฟซบุ๊กหลอกลวงขายสินค้าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้วมิจฉาชีพยังได้ใช้วิธีการซื้อบัญชีเพจเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้วมาใช้สร้างความน่าเชื่อถือหลอกลวงขายสินค้าให้แก่ประชาชนอีกด้วย ยกตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น การหลอกลวงขายทุเรียนในช่วงฤดูกาลผลไม้, การหลอกลวงขายเครื่องปรับอากาศในช่วงสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM 2.5, หลอกลวงขายแผงโซลาร์เซลล์ในช่วงค่าไฟฟ้าสูงขึ้น, หลอกลวงเอาเงินค่ามัดจำที่พักในฤดูกาลท่องเที่ยว เป็นต้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 65 – ๘ ก.ค. 66 มีประชาชนถูกหลอกลวงซื้อขายสินค้าและบริการสูงสุดเป็นลำดับที่หนึ่ง กว่า 111,139 เรื่อง หรือคิดเป็น 38.11% ของจำนวนเรื่องการรับแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด และมีความเสียหายรวมกว่า 1,644 ล้านบาท  

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา บช.สอท. ได้เร่งปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง มีคดีสำคัญหลายคดี สามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายได้หลายราย และตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงแม้จะมีข้อดีหลายๆ ประการ แต่ก็เป็นช่องทางหนึ่งให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ หลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชนโดยมิชอบ

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ พร้อมแนวทางการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้
1.ระมัดระวังการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่ไม่มีหน้าร้าน ควรติดต่อซื้อจากบริษัท หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรง
2.ระมัดระวังการซื้อสินค้าราคาถูก จำไว้ว่า ของฟรีไม่มีในโลก ของถูกต้องถูกอย่างมีเหตุผล
3.หากจะซื้อสินค้าผ่านเพจในเฟซบุ๊ก ต้องระมัดระวังเพจปลอม หรือเพจลอกเลียนแบบ โดยเพจจริงควรจะมีผู้ติดตามสูง มีการสร้างขึ้นมานานแล้ว และมีรายละเอียดการติดต่อร้านชัดเจน อย่างน้อยสามารถโทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามได้

4.ตรวจสอบความโปร่งใสของเพจ ว่ามีการเปลี่ยนชื่อมาก่อนหรือไม่ ผู้จัดการเพจอยู่ในประเทศหรือไม่
5.ตรวจสอบว่ามีสินค้าจริงหรือไม่ โดยขอดูภาพหลายๆ มุม สอบถามรายละเอียดสินค้าที่เกี่ยวข้อง ผลิตจากที่ใด เงื่อนไขการรับประกัน วิธีการใช้งาน เป็นต้น
6.ตรวจสอบการรีวิวสินค้า ผู้ที่เคยสั่งซื้อได้รับสินค้าหรือไม่ คุณภาพสินค้าเป็นอย่างไร ระวังการรีวิวปลอม ควรตรวจสอบตัวตนผู้รีวิวว่าเป็นอวตารหรือไม่

7.ก่อนโอนชำระเงินค่าสินค้า ให้ตรวจสอบประวัติของร้าน และชื่อหมายเลขบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน ว่ามีประวัติไม่ดีหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ Google, Blacklistseller, chaladohn เป็นต้น
8.เมื่อชำระเงินแล้ว ควรติดตามการจัดส่งจากผู้ซื้อ หรือขอดูหลักฐานการส่งสินค้า เพื่อยืนยันว่าส่งสินค้าให้จริง
9.หากท่านไม่ได้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าว ควรปฏิเสธรับสินค้า และห้ามชำระเงิน หากไม่มั่นใจให้สอบถามบุคคลในบ้านให้ชัดเจน
10.กดรายงานบัญชี หรือเพจในเฟซบุ๊กปลอม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อ
11.หากสินค้ามีปัญหาให้รวบรวมพยานหลักฐาน เช่น ข้อความการสนทนา หลักฐานการชำระเงิน คำสั่งซื้อสินค้า แล้วติดต่อกับผู้ขายให้แก้ไขปัญหา ส่งสินค้าคืน หรือเคลมสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด

ตำรวจไซเบอร์จับคาผ้าเหลือง เครือข่ายสรรพากรเก๊หนีจนมุมคากุฏ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรไปหาผู้เสียหายหลอกว่ามาจากกรมสรรพากร แล้วอ้างว่าจะทำเรื่องลดภาษีให้ แต่ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ต่อมาให้แอด LINE แล้วกรอกลิงก์ทำตามขั้นตอน หลังจากนั้นมือถือผู้เสียหายค้าง ทำอะไรไม่ได้ เมื่อใช้การได้ปกติพบว่าเงินในบัญชีที่ติดตั้งแอพธนาคาร 3 บัญชีถูกโอนออกไปหมด รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท จากการรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดมหาสารคาม ออกหมายจับ นายอันนพ อายุ 46 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร

ต่อมาในวันที่ 10 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า นายอันนพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ มาปรากฏตัวบริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่ภายในวัดดังกล่าว จึงได้แสดงตัว และอ่านหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนให้ผู้เสียภาษีระมัดระวังกลลวงจากมิจฉาชีพด้วย ซึ่งในปีที่แล้ว พบมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายภาษีในกรณีต่างๆ เช่น อ้างว่าจะคืนภาษีให้ อ้างว่าเป็นหนี้ภาษีอากรค้างกรมสรรพากร หรือในเรื่องอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขให้กดลิงก์ปลอมตามที่ส่งให้ทางแอพพลิเคชั่น LINE หรือให้แจ้งรหัส OTP 6 หลัก โดยอ้างว่าจะดำเนินการให้ จึงขอย้ำเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร โทรหาส่ง SMS แจ้งให้ประชาชนยื่นแบบหรือให้ชำระภาษีประจำปี เพราะอาจทำให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธเนตร กาละกุล สว.กก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

🚨ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย🚨

🚨ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย🚨

🏡มุกใหม่มิจฉาชีพ หลอกยกเลิกสัญญาซื้อขายบ้าน-ที่ดิน ยอมโดนยึดมัดจำ ลวงผู้เสียหายผิดนัด

⚠️ กลลวงมิจฉาชีพ เริ่มต้นจะขอซื้อบ้านหรือที่ดิน โดยจวางเงินมัดจำเป็นจำนวนที่สูง มีการระบุวันโอนขายที่ดินไว้
⚠️ ก่อนถึงวันโอนบ้านหรือที่ดิน มิจฉาชีพจะโทรศัพท์มาแจ้งผู้ขาย ขอยกเลิกการซื้อขาย และยอมให้ยึดเงินมัดจำ จนผู้เสียหายหลงเชื่อและไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อโอนตามสัญญา
⚠️ วันโอนตามสัญญา มิจฉาชีพจะไปสำนักงานที่ดินและนั่งรอผู้ขายตั้งแต่เช้า เพื่อให้กล้องวงจรปิดบันทึกภาพ และมีพยานบุคคล ซึ่งส่งผลให้ผู้ขายเข้าข่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย และมิจฉาชีพสามารถเรียกค่าปรับได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินมัดจำ

ข้อควรระวัง
✅ ผู้ขายควรตรวจสอบประวัติของผู้ที่มาติดต่อขอซื้อบ้านหรือที่ดิน เพื่อป้องกันการถูกหลอกจากกลุ่มมิจฉาชีพ

 ❌ไม่เชื่อ  ❌ไม่รีบ  ❌ไม่โอน

 "ตำรวจไซเบอร์ ให้ความรู้ รู้ทันความคิดมิจฉาชีพ"

#ตำรวจไซเบอร์ #เตือนภัยออนไลน์ #ซื้อขายบ้านหรือที่ดิน #กรมที่ดิน

💌 ด้วยความห่วงใย จากตำรวจไซเบอร์
☎️ ปรึกษาสอบถามโทร 1441 หรือ 081-866-3000
🌐 แจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com
📱 Line:@police1441 แชทบอทกับหมวดขวัญดาว ตลอด 24 ชั่วโมง

ตำรวจไซเบอร์จับพ่อค้าป้ายทะเบียนปลอม พบส่งขายทั่วไทย ค้นบ้านเจอของกลางอื้อ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากกรณีมีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมรถยนต์หรูติดป้ายทะเบียนปลอมวิ่งผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางโดยไม่ชำระค่าบริการจำนวนหลายครั้ง เช่น กรณีรถ BMW ติดป้ายแดงปลอมวิ่งผ่านด่าน M-Flow ค้างค่าชำระกว่า 7,000 บาท กรณีต่างชาติขับรถเบนซ์ป้ายแดงปลอม ผ่านด่าน M-Flow พบว่าค้างค่าผ่านทางสูงสุด 20 อันดับแรก และ อีกหลายกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จึงออกสืบสวนหาข่าว จากการสืบสวนทราบว่าได้มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ“ขายป้ายแดง พร้อมเล่ม” ได้มีการโพสต์ขายแผ่นป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก (ป้ายปลอมและสมุดคู่มือประจำรถปลอม) ส่งขายออนไลน์ทั่วประเทศ ในราคา 3,500 – 8,500 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการล่อซื้อจนทราบว่าผู้ที่เป็นแอดมินเพจดังกล่าวชื่อ นายศิวพัฒน์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายศิวพัฒน์ฯ ได้แล้วที่จังหวัดสระบุรี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการ (ผู้ส่งของ) ได้มาจากการส่งแผ่นป้ายทะเบียนพร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมจากพื้นที่จังหวัดตราด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอติรุจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา

จนกระทั่งวันที่ 11 ก.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ต.หนองเสม็ด อ.เมืองตราด จ.ตราด โดยพบแผ่นป้ายทะเบียนอยู่ในบ้านจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึด และจับกุมนายอติรุจ ในความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.4 เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น นายอติรุจ ให้การรับว่าตนเองได้ซื้อแผ่นป้ายทะเบียน
(ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถมาจากนายศิวพัฒน์ฯ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งนายศิวพัฒน์ฯ เป็นแอดมิน
ในราคา 3,500 บาท และตนเป็นผู้นำส่งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่งเป็นประจำ ซึ่งตนเองได้สั่งซื้อมาแล้วจำนวนหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่าแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวเป็นของปลอม และตนเองมาทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมเกี่ยวกับผู้ที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ (ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆ จนตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 จับกุมตามหมายจับของศาลอาญาในวันนี้

ตำรวจไซเบอร์ ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าการซื้อขายแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หรือสมุดคู่มือประจำรถในเพจต่างๆ อาจจะถูกเจ้าของเพจที่เป็นมิจฉาชีพหลอกหรืออาจจะได้แผ่นป้ายรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถปลอม ซึ่งจากหลายครั้งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กวดขันจับกุมผู้ที่กระทำผิดในการใช้และครอบครองแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถที่ผิดกฎหมายมาตลอด จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าถ้าต้องการแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือประจำรถที่ถูกกฎหมายควรจะไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกในพื้นที่ต่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพต่อไป

ตำรวจไซเบอร์จับกุมแอดมิน VK กลุ่ม DARKSIDE อัปคลิปอนาจารและโปรโมตเว็บพนัน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ต่าง ๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนให้ถึงต้นตอของขบวนการอย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. ได้ตรวจสอบพบ แอปพลิเคชัน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ได้มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน

ต่อมาวันที่ 12 ก.ค.66 พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ ชุดสืบสวนได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี และ กก.สส.ภ.จว.เพชรบุรี นำหมายค้นศาลจังหวัดเพชรบุรี เข้าตรวจค้นบ้านพักในพื้นที่ หมู่ 3 ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จว.เพชรบุรี พบนายอัครนันท์ พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ซิมการ์ด 2 ซิม จากการตรวจสอบตรวจพบหลักฐานยืนยันว่านายอัครนันท์ฯ เป็นแอดมิน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีรหัสป้องกัน หรือต้องได้การรับเชิญจากผู้จัดการ และ กลุ่มอื่น ๆ ที่มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ รวมแล้ว 19 กลุ่ม มีผู้ติดตามรวมกว่า 250,000 คน

จึงได้ร่วมกันจับกุม นายอัครนันท์ อายุ 27 ปี ในความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การพนัน จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เบื้องต้นจากการสอบถามผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับทำมาแล้วหลายปีเคยได้เงินมากสุดถึง 100,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันได้ผันตัวเป็นเอเย่นคอยส่งงานการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันไปยังแอดมินกลุ่มอื่น ๆ โดยทำหน้าที่เป็นคนกลางหักหัวคิว

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. สั่งการ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ พร้อมทีมสืบสวนดำเนินการจับกุม

ตำรวจไซเบอร์จับเจ้าของบัญชีหลอกลงทุน exchange อ้างแค่ให้เพื่อนยืม ทำเหยื่อสูญกว่า 1.2 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1  เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ภายใต้การอำนวยการของ  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  ชุดจับกุมนำโดย  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้ร่วมกันจับกุม น.ส.สมฤทัย อายุ 26 ปี  ผู้ต้องหา ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรี

สืบเนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายรายนี้จะใช้บัญชีเฟสบุ๊ก สร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ติดต่อเข้าคุยกับผู้เสียหาย โดยจะชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ผ่านทางแพลตฟอร์มชื่อ C.P.GROUP (https://www.cp-group.cc) อ้างว่าได้กำไรดี และเพื่อที่จะติดต่อส่งข้อมูลกันได้สะดวกขึ้น และต่อมาคนร้ายได้เปลี่ยนช่องทางการสื่อสารไปผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งผู้เสียหายเห็นว่ามีความน่าสนใจ จึงหลงเชื่อและร่วมลงทุนเทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยโอนเงินไปร่วมลงทุน เข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมด จำนวน 1,196,999 บาท แต่ภายหลังไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงเชื่อว่าถูกหลอกลองทำให้ได้รับความเสียหาย จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนร้องทุกข์ดำเนินคดีคนร้ายให้ได้รับโทษตามกฎหมาย

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 สืบสวนทราบว่าคนร้าย คือ  น.ส.สมฤทัย ได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ อพาร์ทเม้นท์ ในเขตพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร จึงสั่งการให้  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ติดตามไปจับกุมตัว โดยชุดสืบสวนได้ประสานให้บิดาของ น.ส.สมฤทัยฯ นำ น.ส.สมฤทัยฯ เข้ามามอบตัวที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ (อาคารบี) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 10.00 น. และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้าน  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.สมฤทัย มีหมายจับติดตัวค้างเก่า ที่ยังมีผลบังคับใช้อีกจำนวน ๒ หมายจับ คือ หมายจับ  ศาลจังหวัดระนอง ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “สนับสนุนผู้อื่นให้ฉ้อโกงประชาชน และสนับสนุนผู้อื่นให้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ หมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนฉ้อโกง” รวมทั้งหมดเป็น 3 หมายจับ และเมื่อนำชื่อ น.ส.สมฤทัย บุคคลตามหมายจับ มาตรวจสอบในระบบ Blacklistseller.com (https://www.blacklistseller.com/) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ตรวจสอบคนโกง เช็คบัญชีมิจฉาชีพ รู้ทันกลโกง พบว่า น.ส.สมฤทัย มีชื่อเป็นบุคคลเฝ้าระวัง เป็นมิจฉาชีพ เป็นผู้ที่หลอกขายสินค้า หลอกให้โอนเงิน โกงเงิน โกงการส่งสินค้า หลายรายการ และได้ตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (https://thaipoliceonline.com/) ยังพบอีกว่า มีความเชื่อมโยงในระบบแจ้งความออนไลน์ 9 CaseID จากการตรวจสอบพบมีผู้เสียหายจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติฯ กล่าวว่า ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว ขอความร่วมมือผู้พบเห็นข้อความชักชวนลงทุนต่าง ๆ ไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมเตือนบุคคลที่สนใจการลงทุน ให้รู้เท่าทันกลลวงในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการอ้างผลการลงทุนได้ค่าตอบแทนที่สูงเกินจริง และข้อสำคัญเพื่อป้องการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ต้องไม่เร่งรีบตัดสินใจเชื่อเมื่อพบเห็นข้อมูลเชิญชวนต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย ขอให้ตรวจสอบตัวตนผู้มาเชิญชวนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังในการโอนเงิน ตามหลักการ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจรออนไลน์ทุกรูปแบบ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top