Friday, 10 May 2024
จีน

'ฝรั่งเศส-ซาอุฯ' ไม่เลือกข้าง หลัง 'ซูแน็ก' กร้าว!! มอง ‘จีน’ เป็นภัยคุกคาม | NEWS GEN TIMES EP.77

'ฝรั่งเศส-ซาอุฯ' ไม่เลือกข้าง หลัง 'ซูแน็ก' กร้าว!! มอง ‘จีน’ เป็นภัยคุกคาม แม้การแก้ปัญหาบนเวทีโลกยังต้องพึ่งจีน

.

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

.

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง .

นายกหนุ่มแห่งอังกฤษ เลือกวิ่งชนกำแพงเมืองจีน หลังลั่น!! ยุคทองความสัมพันธ์ 'จีน-อังกฤษ' จบลงแล้ว

ในคำปราศัยของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายริชชี่ ซูแน็กเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ได้สร้างความงงๆ ให้กับคนทั่วไป แม้แต่นักการเมืองและนักข่าวของอังกฤษเองถ้วนหน้า เมื่อนายซูหนักบอกว่า “ยุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนได้สิ้นสุดลงแล้ว และอังกฤษจะปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่กับจีนให้เข้มแข็งจริงจังเหมือนคู่แข่งขันที่แท้จริง” 

นายซูแน็กยังวิจารณ์ต่อไปว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างอังกฤษกับจีนนั้นเป็นเรื่องอ่อนหัด

เรื่องนี้ดูท่า นายซูแน็กดู จะเอาจริง!! เพราะที่ที่เขาพูดคืองานเลี้ยงประจำปีที่เรียกว่า The Lord Mayor’s Banquet ในกรุงลอนดอน ซึ่งแขกผู้ฟังของเขาก็คือบรรดาผู้นำทางธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การพูดในงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นการประกาศนโยบายต่างประเทศครั้งแรกของนายซูแน็กหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะประเด็นที่เฉพาะเจาะจงกับจีน

แน่นอนว่า การพูดเช่นนี้ออกมา เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ดีว่า ต้องถูกวิจารณ์ว่านี่เป็นพูดให้ดูสวยหรูดูดี แต่เขาก็ดักคอไว้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไป ไม่ใช่วาทศิลป์ที่ให้ฟังเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ประทับใจเท่านั้น

นั่นก็เพราะในปีใหม่ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้นั้น นายซูแน็ก บอกว่า รัฐบาลอังกฤษจะประกาศถึงแผนการที่เขาเรียกว่า 'การทบทวนแผนรวมความมั่นคงของประเทศกับนโยบายต่างประเทศ' ที่เรียกว่า The Integrated Review ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีหน้าตาอย่างไรและต้องคอยดูว่าจะกล้าหาญเด็ดเดียวเหมือนในยุคของนางลิส ทรัสส์เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ไหน 

เนื่องจากมีรายงานว่าในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี 45 วันนั้น นางทรัสส์กำลังวางแผนที่จะจัดประเภทของจีนให้อยู่ในประเทศที่ 'คุกคาม' ต่ออังกฤษ แต่เธอยังไม่ได้ทำเรื่องนี้ ก็ต้องลาออกไปเสียก่อน กลับกันคำปราศัยของนายซูหนักในงานเลี้ยงดังกล่าวเขาเพียงแต่กล่าวว่าจีนมีความท้าทายที่เห็นได้ชัดเจนต่อความเชื่อและผลประโยชน์ของอังกฤษ และจีนได้เพิ่มความท้าทายไปสู่การเป็นเผด็จการมากขึ้นกว่าเดิม โดยนายซูหนักใช้คำว่าจีน 'ท้าทาย' แทนคำว่า 'คุกคาม' ซึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าอ่อนไป 

อย่างไรก็ตามการกล้าออกมาประกาศว่ายุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนหมดสิ้นแล้วก็ถือได้ว่า แข็งกร้าวใช้ได้ไม่น้อย ในขณะที่จีนกำลังมีบทบาทเด่นชัดในเวทีโลกทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจขณะนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษหมาดๆ และหนุ่มที่สุด และมีเชื้อสายอินเดียผู้นี้ ย่อมตระหนักดีว่าจีนมีบทบาทอย่างสำคัญต่อโลกในด้านต่างๆ เช่นเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก (ฟังๆ ดูก็ขัดแย้งกันอยู่ว่าอังกฤษจะเอาอย่างไงกับจีน)

>> ทีนี้เมื่ออังกฤษ จะไม่ให้ความสำคัญกับจีน แล้วอังกฤษจะให้ความสำคัญกับใคร?

นายซูหนักประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะยังคงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อผนึกกำลังทางการทูตและธุรกิจให้เกิดการแข่งขันที่มีพลังยิ่งขึ้น (ในการสู้กับจีน) 

กลับมาที่คำถามว่า ทำไมจู่ๆ นายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้นี้จึงออกมาประกาศเปรี้ยงว่า ยุคทองกับจีนจบสิ้นลงแล้ว!!

ผู้สื่อข่าวบีบีซีบอกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายซูแน็กถูก ส.ส. พรรคคอนเซอเวทีฟด้วยกันกดดันว่าอังกฤษควรมีท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีนตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ๆ อีกด้านหนึ่งนายซูแน็กก็ถูกคณะกรรมการด้านต่างประเทศของสภาผู้แทนตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของอังกฤษที่มีต่อจีนหลังจากที่คณะกรรมการชุดนี้ไปพบกับประธานาธิบดีของไต้หวัน และมีคำถามต่อไปอีกด้วยว่านโยบายต่างประเทศของอังกฤษต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิคเป็นอย่างไรและอังกฤษจะสามารถเพิ่มอิทธิพลของตนในภูมิภาคนี้ได้หรือไม่

เพราะฉะนั้นนายซูแน็กจึงใช้โอกาสที่พบพูดจากับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศในงานเลี้ยงของนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนประกาศถึงท่าทีของอังกฤษที่มีต่อจีนอย่างแข็งกร้าว ว่าต่อจากนี้ไปความสัมพันธ์นั้นจะเปลี่ยนเป็นการแข่งขันที่อังกฤษเอาจริง ไม่เหมือนกับท่าทีของรัฐบาลอังกฤษเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่อดีตนายกฯ ยุคนั้นอย่างนายเดวิด แคมเมอรอน พยายามที่จะดึงจีนให้มาเป็นมิตรทางเศรษฐกิจและคู่ค้าที่สำคัญ โดยไม่เป็นศัตรูทางการเมือง

ทว่าคำประกาศที่ดูจะตัดญาติขาดมิตรไม่ยี่หระกับจีนของนายซูแน็ก ก็ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจาก ส.ส. พรรคเดียวกัน เช่น อดีตหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ เซอร์ เอียน ดังคั้น สมิท ที่เป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษมีนโยบายไม่อ่อนกับจีนว่า "กระทรวงต่างประเทศอังกฤษจะใช้วิธีการอย่างไรที่จะสร้างความตื่นตระหนกวิตกให้จีนบ้างในคำประกาศว่าจะกระทำอย่างจริงจังนี้ช่วยขยายความหน่อย" ส่วนแน่นอนพรรคฝ่ายค้าน คือ เลเบอร์ วิจารณ์ว่า "คำพูดนี้จืดเหมือนโจ๊ก และใช้วาจาเปลี่ยนไปมากับนโยบายที่มีต่อจีน"

ผลสำรวจชี้ ‘คนจีนเกินครึ่ง’ ยังเบรกเที่ยวนอก แม้จะ ‘เปิดพรมแดน’ ให้ในวันพรุ่งนี้ก็ตาม

ผลการศึกษาล่าสุดชี้คนจีน ‘เกินครึ่ง’ ยังไม่มีแผนเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า จนกระทั่งถึง 1 ปีขึ้นไป หรือต่อให้รัฐบาลจีนมีการเปิดประเทศในวันพรุ่งนี้ก็ตามที

รอยเตอร์ - จีนเป็นประเทศที่ยังคงมาตรการควบคุมโควิด-19 เข้มงวดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งในแง่ของการตรวจ PCR และการกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ แม้กระแสประท้วงคำสั่งล็อกดาวน์และนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ จะทำให้ภาครัฐต้องยอมผ่อนคลายข้อจำกัดในประเทศลงบ้างก็ตาม

ผลการศึกษา China Consumption Recovery ซึ่งสรุปจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวจีน 4,000 คน โดยบริษัทที่ปรึกษา Oliver Wyman พบว่า สาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้คนจีนหลีกเลี่ยงการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้ก็คือ ‘กลัวติดโควิด-19’ รองลงมือคือ กังวลว่ารัฐบาลจีนอาจจะปรับเปลี่ยนกฎสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศเมื่อไหร่ก็ได้

“คนจีนระมัดระวังตัวกันมากขึ้น” อิมเค วูเตอร์ส (Imke Wouters) หุ้นส่วนฝ่ายค้าปลีกและสินค้าโภคภัณฑ์ของ Oliver Wyman ให้ความเห็น “ดังนั้นต่อให้พวกเขาสามารถออกนอกประเทศได้ เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนก็จะยังไม่กลับมาในทันที”

ชาวจีนผู้ตอบแบบสอบถาม 51% ระบุว่า พวกเขาจะเลื่อนแผนท่องเที่ยวต่างประเทศออกไปก่อน และหากจะเดินทางก็คงเลือกจุดหมายปลายทางใกล้ ๆ บ้านเป็นอันดับแรก ตัวอย่างเช่น ‘ฮ่องกง’ ซึ่งคนจีน 34% บอกว่าเป็นสถานที่แรกที่พวกเขาอยากไปหลังจากที่มีการเปิดพรมแดน

ผลสำรวจความคิดเห็นนี้จัดทำเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. หลังจากที่มีการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งมีการรับรองตำแหน่งผู้นำจีนสมัยที่ 3 ให้แก่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ท่ามกลางความคาดหมายในขณะนั้นว่ารัฐบาลปักกิ่งคงจะเร่งเปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

จีนเคยเป็นตลาดส่งออกนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก ทว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยใช้จ่ายเงินมากถึง 127,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 แทบจะลดลงเป็นศูนย์ หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศปิดพรมแดนเมื่อช่วงต้นปี 2020 และห้ามพลเมืองเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่มีสาเหตุจำเป็น

การที่ผู้นำปักกิ่งยึดนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเข้มงวดส่งผลบั่นทอนเศรษฐกิจจีนเองอยู่ไม่น้อย และคาดกันว่ารัฐบาลน่าจะมีการปรับนโยบายเร็ว ๆ นี้ แต่นักวิเคราะห์ก็เตือนว่าการเปิดประเทศจีนจะเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนพอสมควร

รัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดทั่วประเทศ ผู้ติดเชื้อกักตัวที่บ้านได้ ไม่ต้องไปสถานกักกัน

ทางการจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม โดยยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะต้องแยกกักตัวอยู่ในสถานที่ส่วนกลาง ซึ่งหมายถึงผู้ติดโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงสามารถกักตัวที่บ้านของตนเองได้ และให้รายงานผลด้วยตนเอง

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนยังประกาศลดความถี่และขอบเขตของการตรวจ PCR เพื่อหาเชื้อสำหรับการใช้พื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ลงอีกด้วย ยกเว้นในโรงพยาบาลและโรงเรียนที่ยังต้องให้มีการตรวจหาเชื้อต่อไป

คณะกรรมการฯ ยังประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบใหม่ อาทิ ควรใช้ข้อจำกัดอย่างการล็อกดาวน์แบบชี้เป้าพื้นที่ให้ชัดเจนมากขึ้น อย่างการกำหนดอาคาร ยูนิต และชั้นบางชั้น แทนที่จะล็อกดาวน์ทั้งเขตหรือทั้งเมือง

นอกจากนี้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงควรยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ภายใน 5 วันหากไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ขณะที่โรงเรียนสามารถเปิดทำการต่อไปได้หากไม่มีการแพร่ระบาดในวงกว้าง, ห้ามปิดกั้นทางออกหรือทางหนีไฟอย่างเข้มงวดโดยมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และประชาชนต้องสามารถเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ได้ในกรณีฉุกเฉิน 

สตม.รวบผู้ต้องหาแดนมังกรหนีคดีฉ้อโกง ผู้เสียหาย 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย กว่า 6,000 ล้านบาท

กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กรณีสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย มีหนังสือขอให้จับกุมและผลักดัน นายเต๋อ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดี ในความผิดฐานฉ้อโกง โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด คือ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2557 นายเต๋อได้จดทะเบียนและก่อตั้งบริษัท Jiahe โดยไม่มีการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลการเงินฝากสาธารณะ นายเต๋อได้แนะนำโครงการลงทุน "Great Health Industry" แก่นักลงทุนโดยการออกใบปลิวของขวัญ การจัดกิจกรรมและทัวร์ฟรี จากนั้นได้ถอนเงินฝากสาธารณะไปอย่างผิดกฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ของการทำกำไร ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ จำนวน 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 1.27 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.35 พันล้านบาท) และในปี พ.ศ.2564 นายเต๋อ ได้หนีออกจากท่าอากาศยานนานาชาติโดยเที่ยวบิน Shanghai-Pudong  กก.1 บก.สส.สตม.ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเต๋อ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 ได้รับการตรวจลงตราประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 

'สีจิ้นผิง’ เยือนซาอุฯ กระชับสัมพันธ์อาหรับ MBS ต้อนรับสมเกียรติ ผิดกับครั้ง ‘ไบเดน’

มกุฎราชกุมาร เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบีย ต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี (8 ธ.ค.) ด้วยพิธีการซึ่งมุ่งให้เกียรติอย่างเต็มที่ เป็นการส่งสัญญาณว่า ‘ริยาด’ มีความสนใจเพิ่มพูนสายสัมพันธ์กับปักกิ่งให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงแม้สหรัฐฯแสดงท่าทีจับตามองอย่างระแวงระวัง

กองทหารราชองครักษ์ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งขี่ม้าอาหรับและถือธงชาติจีนและธงชาติซาอุดีฯ เข้าคุ้มกันรถยนต์ของ สี ขณะที่แล่นเข้าสู่พระราชวังหลวงในกรุงริยาด และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ออกมาต้อนรับด้วยการยื่นมือให้สัมผัสพร้อมรอยยิ้มสดชื่น ในทันทีที่ผู้นำจีนก้าวลงจากรถ

จากนั้นผู้นำทั้งสองได้จัดการประชุมอย่างเป็นทางการ โดยที่มกุฎราชกุมาร ‘แสดงความปรารถนาให้เขา, คณะผู้แทนของเขา พำนักอย่างมีความสุข’ ระหว่างอยู่ในซาอุดีอาระเบีย สำนักข่าวเอสพีเอ ของทางการซาอุดีอาระเบียรายงาน

บรรยายกาศเช่นนี้ช่างตรงกันข้ามกับการต้อนรับแบบเรียบ ๆ ที่จัดให้แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองที่มีรอยร้าวฉานสืบเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่พอใจนโยบายด้านน้ำมันของซาอุดีฯ และกรณีสังหารโหด ‘จามาล คาชอกกี’ นักหนังสือพิมพ์ซาอุดีเมื่อปี 2018

ทั้งนี้ในคราวนั้นเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เพียงแต่ยกกำปั้นมาชนกับไบเดนเท่านั้น ไม่ได้มีการจับมือกัน

สหรัฐฯ ซึ่งเฝ้าจับตามองอย่างระแวงระวังทั้งต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการที่สายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับ ริยาด กำลังอยู่ในช่วงต่ำสุด ให้ ‘จอห์น เคอร์บี้’ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ออกมาแถลงในวันพุธว่า การเยือนครั้งนี้เป็นตัวอย่างของความพยายามของจีนที่จะแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก แต่จะไม่ทำให้นโยบายที่สหรัฐฯ มีต่อตะวันออกกลางเปลี่ยนแปลงไป

สี เดินทางถึงซาอุดีอาระเบียตั้งแต่วันพุธ โดยกระทรวงการต่างประเทศจีรายงานว่า ทางกองทัพอากาศซาอุดีฯ ได้ส่งเครื่องบินมาคุ้มกันตั้งแต่ที่เครื่องบินของผู้นำจีนเข้าสู่น่านฟ้าของซาอุดีอาระเบีย และเมื่อเดินทางมาถึง ก็มีการยิงปืนสลุต 21 นัด รวมทั้งมีเชื้อพระวงศ์อาวุโสของซาอุดีหลายท่านมาต้อนรับ สี ที่สนามบิน

ทางด้าน เจ้าชายอับดุลลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย แถลงวันพุธว่า ริยาดจะยังคงเป็นหุ้นส่วนพลังงานที่ไว้วางใจได้สำหรับปักกิ่ง และสองประเทศจะกระชับความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานพลังงานด้วยการจัดตั้งศูนย์ประจำภูมิภาคสำหรับโรงงานจีนในซาอุดีฯ

ทั้งนี้ จีน ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นคู่ค้าสำคัญของซาอุดีอาระเบียที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และการขยายความสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้ความพยายามในการแตกแขนงเศรษฐกิจของตะวันออกกลางทำให้อเมริกากังวลหนักเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีนในโครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนไหวในอ่าวอาหรับ

การเยือนของประธานาธิบดีสี ยังเกิดขึ้นขณะที่ตลาดพลังงานโลกแขวนอยู่กับความไม่แน่นอน หลังจากมหาอำนาจตะวันตกบังคับใช้มาตรการจำกัดราคาน้ำมันของรัสเซียที่หันไปเพิ่มปริมาณการจัดส่งน้ำมันให้จีนพร้อมส่วนลด

สำนักข่าวเอสพีเอ รายงานด้วยว่า เมื่อวันพุธ บริษัทจีนและซาอุดีฯ ได้ลงนามข้อตกลง 34 ฉบับครอบคลุมการลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสารสนเทศ บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง การขนส่ง การก่อสร้าง ฯลฯ โดยไม่มีการระบุมูลค่า แต่ก่อนหน้านี้เอสพีเอรายงานว่า สองประเทศจะทำข้อตกลงกันรวมมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์

เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงว่า การเยือนคราวนี้นอกจาก สีจะหารือกับฝ่ายซาอุดีฯ แล้ว หลังจากนั้นริยาดยังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระหว่างจีนกับผู้นำอาหรับซึ่งจะถือเป็น หลักหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาความสัมพันธ์จีน-อาหรับ

'ไทย’ ผงาด!! โอกาสครั้งใหญ่ หลังญี่ปุ่นเตรียมถอยทัพการลงทุนออกจากจีน | Summary Reporter EP.24

'ไทย’ ผงาด!! โอกาสครั้งใหญ่ หลังญี่ปุ่นเตรียมถอยทัพการลงทุนออกจากจีน

.

#THESTATESTIMES
#ReporterJourney
#SummaryReporter
#ญี่ปุ่น
#จีน
#การลุงทุน

แดนมังกรติดใจ ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนกว่า 90% | THE STATES TIMES Y WORLD EP.36

แดนมังกรติดใจ ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนกว่า 90%

เกษตรกรไทยรายได้สะบัด คึกคักทั้งประเทศ

.

ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y World

.

#THESTATESTIMES
#THESTATESTIMESYWORLD 
#YWORLD
#จีน
#ทุเรียน
#ส่งออกทุเรียน

‘ทางรถไฟจีน-ไทย’ หั่นเวลาเดินทาง กระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น

(15 ธ.ค. 65) สำนักข่าวซินหัว เผยเรื่องราวของ ‘ปัณรส บุญเสริม’ วัย 32 ปี นักแปลประจำโครงการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ที่เล่าเรื่องราววัยเด็กเกี่ยวกับทางรถไฟที่เชื่อมโยงบ้านของเธอในจังหวัดเชียงใหม่ กับบ้านปู่ย่าตายายในนครราชสีมา ซึ่งทำให้ครอบครัวของเธอต้องใช้เวลามากมายยามสัญจรไปมาหาสู่กันด้วยรถไฟ

ปัณรส กล่าวว่า รถไฟในไทยทำให้ผู้คนเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลเพราะให้บริการเชื่องช้าเกินไป และหวังว่าทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย จะเสร็จสมบูรณ์และเริ่มเปิดใช้โดยเร็วที่สุด

ทางรถไฟจีน-ไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายทางรถไฟข้ามเอเชีย จะเป็นทางรถไฟความเร็วสูงรางมาตรฐานสายแรกของไทย โดยมีการคาดการณ์ว่าทางรถไฟฯ ระยะที่ 1 ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับจังหวัดนครราชสีมา จะลดระยะเวลาเดินทางจากเดิมมากกว่า 4 ชั่วโมง เหลือเพียงกว่า 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ปัณรส มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่หลายแห่งในจีน ขณะเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยหนานไคในเทศบาลนครเทียนจินทางตอนเหนือของจีน และได้เห็นว่าทางรถไฟความเร็วสูงมีบทบาทยกระดับชีวิตคนในท้องถิ่น ทำให้เธอมองว่าทางรถไฟจีน-ไทยจะไม่เพียงอำนวยความสะดวกการเดินทางของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น แต่ยังช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ โดยรอบ

ปัณรส กล่าวว่า ปกติการเดินทางด้วยรถยนต์ระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมา จะกินเวลาราว 2 ชั่วโมง 30 นาที แต่การสัญจรจะสะดวกสบายและประหยัดเวลาขึ้นมาก หากโครงการทางรถไฟฯ ปัจจุบันเสร็จสิ้น ทั้งเสริมว่าการคมนาคมขนส่งสำคัญต่อการท่องเที่ยวมาก และการคมนาคมขนส่งที่ดีจะทำให้ผู้คนท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางรถไฟจีน-ไทย จะเป็นทางรถไฟจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชายแดนอย่างหนองคาย ซึ่งจะมีสะพานเชื่อมต่อกับทางรถไฟจีน-ลาว ทำให้อนาคตสามารถเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ผ่านลาว ไปสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

'จีน' เผยยอดค้นหาเที่ยวบินระหว่างประเทศพุ่ง 7 เท่า หลังยุติการกักตัวคนเข้าประเทศ 8 ม.ค.66

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงวานนี้ (26 ธ.ค.) ว่า จีน จะ ยกเลิกมาตรการกักตัว ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้าจีน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เป็นต้นไป หลังจากที่บังคับใช้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มานานกว่า 3 ปี โดยเงื่อนไขเดียวที่ยังคงมีอยู่คือ ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางมายังจีนเป็นเวลา 48 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จีนจะปรับลดระดับมาตรการจัดการเกี่ยวกับโควิด-19 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ Category A ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด สู่ระดับ Category B ที่ผ่อนคลายลงมากด้วย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนเท่ากับเป็นการยกเลิกนโยบายคุมเข้มโควิดที่เรียกว่า นโยบาย 'โควิดเป็นศูนย์' (Covid Zero) ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจจีน และเป็นตัวจุดชนวนให้ประชาชนต้องลุกฮือขึ้นประท้วงใหญ่ทั่วประเทศช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่ต้องกักตัวหลังเดินทางถึงจีนอีกต่อไป จากเดิมที่ต้องกักตัวเป็นเวลาถึง 8 วัน (แบ่งเป็น 5 วันในโรงแรมที่ทางการจีนกำหนดไว้ให้หรือที่ศูนย์กักตัวกลาง และอีก 3 วันที่เหลือ ณ ที่บ้านหรือที่พัก) โดยผู้เดินทางที่ประสงค์เดินทางเข้าประเทศจีนเพียงแต่ต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด (แบบ PCR) เป็นลบก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางมายังจีนภายในเวลา 48 ชั่วโมง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top