Monday, 29 April 2024
กระทรวงสาธารณสุข

‘รัฐบาล’ ส่งเสริมการมีลูก ลุยอัปเกรด ‘ระบบการแพทย์-กม.’ จูงใจคนให้มีลูก เชิดชูเกียรติ-เสียสละเพื่อประเทศชาติ

(15 พ.ย. 66) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมการดำเนินภารกิจของกรมอนามัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญ ในการดำเนินงานส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี พร้อมมอบนโยบายให้กับผู้บริหารและบุคลากรเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำการดำเนินการ ‘ยกระดับ 30 บาทอัปเกรด’ ให้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พร้อมรับมือกับความท้าทายจากสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ภายใต้นโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 13 ประเด็น โดยเฉพาะนโยบายการส่งเสริมการมีบุตร ต้องเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม และผลักดันให้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ร่วมบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่องคลินิกส่งเสริมการมีบุตร หน่วยคัดกรองโรคหายาก และการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ให้มีโอกาสมีลูกได้ รวมถึงบูรณาการขับเคลื่อนภายใต้ประเด็นเศรษฐกิจสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการพัฒนาเมืองต้นแบบชุมชนสุขภาพดี (Healthy City Models) และขับเคลื่อนนโยบายประเด็นอื่น ๆ ด้วย

“นายสันติ มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอัตราการเกิดน้อยของประชากรน้อยลง ซึ่งกรมอนามัยเป็นผู้ที่สนับสนุน วางแผนในด้านต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมการมีบุตรและอยากให้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ และมีสิ่งจูงใจให้สุภาพสตรีมีบุตร เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการมีบุตรนั้นมีเกียรติ เสียสละ เพราะต้องยอมรับว่า สุภาพสตรีที่มีบุตรนั้นร่างกายจะทรุดโทรมค่อนข้างมาก กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ดูแลเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่นำร่องการให้เกียรติ ยกย่อง เพื่อให้เขารู้ว่าการมีบุตรเป็นสิ่งที่ช่วยประเทศชาติ” น.ส.เกณิกา กล่าว

‘สธ.’ เด้งรับเปิดผับบาร์ตีถึง 4 ลุยประสานหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดเตรียมที่พัก-บริการรถขนส่ง-ระบบการแพทย์ดูแลคนเมา

(16 ธ.ค.66) จากกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการกรมการปกครองขับเคลื่อนกฎกระทรวง ขยายเวลาให้สถานบริการ ใน 5 จังหวัด พื้นที่เปิดให้บริการได้ถึงเวลา 04.00 น. ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเริ่มเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ยกเว้น วันที่ 31 ธันวาคม เปิดบริการได้ถึง 06.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ในการดำเนินมาตรการต่างๆ รองรับเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ เช่น

จังหวัดเชียงใหม่ มีสถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายรวม 27 แห่ง ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงใหม่ 24 แห่ง อ.ฝาง อ.เชียงดาว อ.สันทราย อำเภอละ 1 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับอำเภอ ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดเตรียมที่พักคอยสำหรับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

ขณะที่ ขนส่งจังหวัดได้ประสานเครือข่ายรถสาธารณะคอยให้บริการนักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งทีมออกตรวจตรา ควบคุมสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย 

จังหวัดชลบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้นำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนจังหวัดภูเก็ต เบื้องต้นมีสถานบริการ จดทะเบียนเปิดถึงตี 4 เฉพาะที่ซอยบางลา ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการผ่านหมายเลข 1669 ได้เตรียมพร้อมดูแลตลอด 24 ชม. และยังมีคณะทำงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อสอบสวนสาเหตุพฤติกรรมเสี่ยงและจุดเสี่ยงในพื้นที่ เป็นต้น

“หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เฝ้าระวังสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ส่วนระบบการแพทย์และสาธารณสุข ทั้ง 3 จังหวัด มีความพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งจากนี้จนถึงช่วงปีใหม่ จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ไว้ด้วย เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นายแพทย์สุรโชค กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ กางผลงาน ‘พปชร.’ 3 เดือน ผ่าน 3 กระทรวงหลัก ลั่น!! ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้ ปชช. มากกว่าสร้างวาทกรรม

(29 ธ.ค. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค พปชร. ที่เข้าร่วมรัฐบาลครบ 3 เดือน ได้ขับเคลื่อนนโยบายของพรรคที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลผ่าน 3 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงสาธารณสุข ได้สานต่อนโยบายเรื่องที่ทำกิน ยกระดับราคาสินค้าเกษตร บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และดูแลสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงการยกระดับสุขอนามัยขั้นพื้นฐานให้ประชาชน

พรรค พปชร.สามารถดำเนินการประสบความสำเร็จในหลายเรื่อง ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลในด้านต่างๆ ได้เป็นรูปธรรม อาทิ กำหนดให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ และนำเสนอร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่กำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดมลพิษทางอากาศในทุกมิติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะส่งกลับให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อส่งให้รัฐสภาต่อไป

นอกจากนั้น ยังร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดฝุ่นละออง จากแหล่งกำเนิด ควบคุมการเผาป่า ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และยังมีแผนรับมือปัญหาภัยแล้ง โดยเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 47 โครงการ 48 แห่ง

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ส่วนกระทรวงเกษตรฯ ได้ผลักดันนโยบายเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ขณะนี้มีเกษตรกรยื่นเจตจำนงเป็นจำนวนมาก และผลักดันการช่วยเหลือเยียวยาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 เพื่อสนับสนุนค่าบริหารจัดการและคุณภาพผลผลิต ให้เงินอุดหนุน 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน มีเกษตรกรกว่า 4.68 ล้านครัวเรือนที่ได้รับการเยียวยา นอกจากนั้นมีมาตรการปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อน ทั้งห้องเย็นด้านปศุสัตว์ 2,437 แห่ง ด้านประมง 2,062 แห่ง และใช้มาตรการกฎหมายจับกุมผู้กระทำผิดลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศจำนวนมาก ในอนาคตจะขยายผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรอื่นๆ ทั้งพืชและประมงเพิ่มเติม

ขณะที่การดำเนินงานด้านสาธารณสุข ได้ผลักดันการบริการเข้าถึงระบบสาธารณสุขระดับชุมชนทั่วประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและความแออัดในการเดินทางมาใช้บริการในเมือง ยกระดับมาตรฐาน รพ.สต.ทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยมีเทคโนโลยีเชื่อมต่อการรักษาจาก รพ.สต.ถึงโรงพยาบาลใหญ่ พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลาน อสม. หรือเด็กในชุมชน ให้ได้เรียนแพทย์ เรียนพยาบาล เพื่อกลับมาดูแลชุมชน และขยายหมอชุมชน หรือ ‘อสม.’ ให้เพียงพอกับประชาชนในพื้นที่ และผลักดันส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุให้ดำรงชีวิตประจำวัน และสามารถรับบริการด้านสาธารณสุขถึงที่บ้านได้อย่างสะดวกสบาย รวมถึงส่งเสริมสตรีมีบุตรเพื่อเพิ่มประชากรให้ทันต่อการพัฒนาประเทศ

พล.อ.ประวิตรกล่าวด้วยว่า สำหรับงานนิติบัญญัติ สส.ของพรรค ได้ผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อเสนอกฎเข้าสู่ที่ประชุมสภา และทำหน้าที่กรรมาธิการในคณะต่างๆ เพื่อนำปัญหาของประชาชนในพื้นที่เข้าสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ มีวุฒิภาวะ เน้นใช้ข้อมูล สติปัญญามากกว่าวาทกรรม

‘สธ.’ กังวล!! เยาวชนป่วย ‘ซึมเศร้า’ พุ่ง เล็งพัฒนา ‘หมอพร้อม-AI’ ช่วยคัดกรอง

(16 ม.ค. 67) กระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาสุขภาพจิตคนไทย ‘เยาวชน’ มีภาวะซึมเศร้าสูง 2,200 ต่อประชากรแสนคน เผยผลสำเร็จใช้ปัญญาประดิษฐ์ DMIND เชื่อมโยงระบบ ‘หมอพร้อม’ ช่วยคัดกรองภาวะซึมเศร้าได้สะดวกรวดเร็วเกือบ 2 แสนคน พบภาวะเสี่ยงรุนแรง 8.7% เตรียมพัฒนาระบบเชื่อมข้อมูลสายด่วน 1323 เพื่อการดูแลกลุ่มวิกฤตเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ทันท่วงที 

‘สธ.’ เตือน!! ใช้ชีวิตบน ‘รถติดเครื่องยนต์กลางแจ้ง’ อันตรายถึงชีวิต เพิ่มความเสี่ยง ‘รับก๊าซพิษเข้าสู่ร่างกาย-โรคฮีทสโตรก’

(28 ก.พ.67) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า โรคลมแดด หรือ Heat Stroke เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นจากการเผชิญกับสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง เช่น การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมท่ามกลางอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ซึ่งพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้นในฤดูร้อน อาการจะเริ่มจากอุณหภูมิร่างกายค่อยๆ สูงขึ้น เมื่อเกิน 40 องศา ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้รู้สึกผิดปกติ ปวดศีรษะ หน้ามืด กระสับกระส่าย ซึม สับสน ชัก ไม่รู้สึกตัว ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ ตัวแดง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้มีอาการอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ เมื่อพบผู้ที่มีอาการจากโรคลมแดด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมแดดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน กลุ่มเสี่ยงของโรคลมแดด ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ที่ออกกำลังกายหรือใช้กำลังมากเป็นเวลานาน รวมถึงประชาชนทั่วไป และผู้ป่วยระยะพักฟื้น สำหรับการป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ หากสามารถเลี่ยงได้ ควรเลือกเวลาที่ต้องการทำกิจกรรม เช่น ช่วงเช้ามืด หรือระหว่างพระอาทิตย์ตกดิน ผู้ที่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิร้อนจัด ควรดื่มน้ำให้มากเพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน กาแฟ เหล้า เบียร์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้เสียน้ำทางปัสสาวะในปริมาณสูง หากไม่สามารถชดเชยน้ำได้มากพอ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคลมแดดได้ หากจำเป็นต้องออกไปกลางแจ้งควรปกป้องตนเองจากแสงแดด โดยอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น สวมใส่เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี หมวก ร่ม ถือเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่ควรพกติดตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

“การอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์กลางแจ้งซึ่งมีอันตรายมาก นอกจากต้องพบกับอากาศร้อนแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงของการได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษที่มีผลต่อระบบประสาท จึงควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โรคลมแดดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งผู้ที่เกิดอาการต้องได้รับความช่วยเหลือในทันที ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสมอง และอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย” นพ.ธนินทร์ กล่าว

สสป.จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เครือข่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์

วันที่ 6 มีนาคม 2567 ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มอบหมายให้ นางสาวมะลิ ไพฑูรย์เนรมิต ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและประชาสัมพันธ์ (สสป.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานเครือข่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กร ภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจในการเลือกใช้บริการระบบบริการสุขภาพที่ปลอดภัย พร้อมทั้ง มีการอภิปรายประเด็น “ทิศทางการสื่อสารและประชาสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านระบบบริการสุขภาพ” มีผู้อภิปราย ได้แก่ 

นพ.ธนวรรฒน์ โชติมา นายกสมาคมคลินิกไทย ,นางพิมพ์พันธุ์  นรากุลมงคล นายกสมาคมผู้ประกอบการสปาไทย , นายเลิศศักดิ์  รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค , นายพชรพรรษ์  ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และดร.นิตินันท์ พันทวี นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย โดยมีนางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางจินตนา ชูชาติ กรรมการบริหารสมาคมฯ เข้าร่วมการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานเครือข่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

‘ชลน่าน’ ยัน!! ไม่นอยด์ หลังมีชื่อติดโผหลุด ครม. ลั่น!! มีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่ อย่าไปคิดมาก

(18 เม.ย.67) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีชื่อถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ว่า ไม่มีอะไร ๆ ไม่ทราบเลยว่ามีสัญญาณอะไรอย่างไร เมื่อถามว่าได้มีการติดตามข่าวหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็ติดตามอยู่ตลอด

เมื่อถามว่า ข่าวที่ออกมากระทบต่อการทำงานหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “สำหรับตัวผมไม่กระทบ แต่ในส่วนข้าราชการประจำจะกระทบหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมก็พยายามสั่งการมาโดยตลอดว่าห้ามเกียร์ว่าง ทุกคนต้องทำงานเต็มที่”

เมื่อถามว่า ดูเหมือนตัวนพ.ชลน่าน ไม่สบายใจและนอยด์ ๆ หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่มี ก็ทำงานไป ไม่มีนอยด์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เรามีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่อย่าไปคิดมากครับ”

ต่อมาเวลา 09.05 น. นพ.ชลน่าน ได้เดินออกจากตึกบัญชาการ 1 ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งคาดว่าจะไปพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะออกไปไหน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มีธุระข้างนอกนิดหน่อย เมื่อถามย้ำว่า จะกลับเข้ามาประชุม ครม. หรือไม่ นพ.ชลน่าน หันมากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มว่า จะไม่ให้มาประชุมแล้วเหรอ เดี๋ยวกลับมา จากนั้นเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

ขณะที่ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิชย์ รมว.วัฒนธรรม ปฏิเสธตอบคำถามกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการสลับเก้าอี้ใน ครม. เพียงแต่ยกมือรับไหว้สื่อมวลชน พร้อมหัวเราะ

‘กรมควบคุมโรค’ ห่วง!! สถานการณ์ ‘โควิด-19’ ระบาดเพิ่มหลังสงกรานต์ สัปดาห์เดียวป่วยเข้า รพ. 1 พันราย ลุยกำชับทุกหน่วยดูแล ปชช.ให้ทั่วถึง

(22 เม.ย.67) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. มีความห่วงใยสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ แต่ยังไม่มีรายงานการระบาดรุนแรง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้สั่งการทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง

นพ.ธงชัย กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 14-20 เมษายน 2567 มีรายงานพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกรายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคเรื้อรัง (608)

“คาดสาเหตุที่ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยมีอาการเหมือนไข้หวัด ทำให้ไม่ระวัง ป้องกันตนเอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่ายังคงเป็นสายพันธุ์รุ่นลูกของเชื้อโอมิครอน โดยผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายหวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีน้ำมูก โดยยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์โอมิครอนเดิมในปีที่ผ่านมา” นพ.ธงชัยกล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวถึงโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้มีลักษณะเหมือนโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่จะมีจำนวนมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา โดยขณะนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วไป อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด เป็นต้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เตียงรองรับผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

‘ก้าวไกล’ ข้องใจ ทำไมเอาคนทิ้งพรรคอย่าง ‘สมศักดิ์’ เสียบแทน ‘หมอชลน่าน’ ชี้!! ทำหน้าที่นำทัพ อย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้ง ‘ช่วงเลือกตั้ง-ช่วงเป็นฝ่ายค้าน’

(28 เม.ย. 67) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐา 1/1ว่า ไม่ต่างจากเดิมมากนัก มีรัฐมนตรีว่าการเพียง 2 คนที่เปลี่ยนเข้ามา หากดูลึกๆ คนที่เป็นเลือดแท้พรรคเพื่อไทย ต่อสู้ฟันฝ่าในช่วงที่พรรคเพื่อไทยขาลงค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จตามหวังเท่าไหร่ ตนคิดว่าต้องไปดูว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยปรับเปลี่ยนเป็นแบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

“คนวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ ว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งช่วงจัดตั้งรัฐบาล คนที่เปลืองตัวที่สุด คนที่คิดว่าน่าจะต้องอยู่ตลอดรอดฝั่ง อย่างนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่เป็นหมอ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตรงสายที่สุด น่าจะอยู่ได้นานกว่านี้ น่าจะมีผลงานอะไรได้มากกว่านี้ กับกลายเป็นรัฐมนตรีว่าการคนแรกๆที่ถูกปรับออกในส่วนของพรรคเพื่อไทย น่าตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใดที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจอย่างนั้น ตัดสินใจให้อดีตหัวหน้าพรรคที่นำทัพช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ช่วงการเป็นฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตหลายอย่าง แต่วันนี้ตัดสินใจสับเปลี่ยนให้คนที่ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทยไป แล้วกลับเข้ามาใหม่ในวันที่พรรคเพื่อไทยเจริญรุ่งเรือง สมดังหวัง ตามที่ต้องการทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยากเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็แล้วแต่”

นายณัฐชา กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีคนเดียวหรือไม่ หรือองค์ประกอบอื่นที่กำลังบีบคั้นให้นายกรัฐมนตรีต้องปรับแบบนี้ แน่นอนที่สุดว่าจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ว่าวันนี้ รัฐบาลที่ประชาชนก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่การปรับ ครม. ก็ยังไม่เห็นว่าตอบโจทย์พี่น้องประชาชน ไม่ได้ใช้คนให้ตรงกับงาน แต่เป็นการปรับเพื่อให้ตรงกับโควตาทางการเมืองเหมือนเดิม

เมื่อถามว่าเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ตำแหน่งรัฐมนตรียุคพรรคเพื่อไทยว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ถือว่าพรรคเพื่อไทยรักษาคาแรกเตอร์ เพราะในอดีตก็พูดกันว่า 6 เดือนเปลี่ยน ก็ไม่แตกต่างกัน และเป็นสไตล์การบริหารของพรรคเพื่อไทย แต่แน่นอนว่าจะบริหารอย่างไร ต้องสอดคล้องกับงาน ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐมนตรีที่ไม่ตรงกับงานกลับได้อยู่ต่อ แต่รัฐมนตรีที่ถูกมองว่าตั้งตรงกับตำแหน่งหน้าที่กลับถูกปรับออกอันดับต้นๆ

เมื่อถามว่านายแพทย์ชลน่านควรนั่งรัฐมนตรีฯต่อหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า หากมองแบบใจเป็นกลาง คนเป็นหมอควรได้ดูกระทรวงสาธารณสุขที่สุด

“คนที่วิกฤตและลำบากที่สุดในตลอดช่วงเลือกตั้ง รวมไปถึงช่วงเป็นผู้นำฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ก็น่าจะเป็นอดีตผู้นำฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาจัดตั้งรัฐบาลหลังจากพ่ายแพ้ คนที่เหนื่อยที่สุด หนีไม่พ้นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ที่ต้องแบกรับทุกสถานการณ์ทุกอย่างเป็นต้นทุนส่วนตัวที่ต้องแบกรับ แต่เมื่อถึงเวลาจะตั้งรัฐบาลได้แล้ว สิ่งแรกที่เขาดำเนินการคือปรับท่านออก ก็ถือว่าน่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

ถามว่าเห็นใจนายแพทย์ชลน่านใช่หรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ก็ต้องตอบตรงๆ ด้วยความที่เป็นเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำงานพรรคฝ่ายค้านด้วยกันมาตลอด 4 ปี ก็เห็นความตั้งใจ แต่วันนี้พอเป็นรัฐมนตรีว่าการที่ถูกปรับออกคนแรก แบบไม่มีเพื่อนเลย มันก็น่าเห็นใจอยู่ ว่าไหนๆจะปรับ ครม.แล้ว อย่าให้อดีตหัวหน้าพรรคได้ถูกกระทำขนาดนั้น ควรมีเพื่อนที่ถูกปรับออกบ้าง อย่างน้อยจะได้อ้างได้ว่าเป็นการปรับเพื่อผลัดเปลี่ยน หากไม่นับนายกรัฐมนตรีจะถือเป็นรัฐมนตรีว่าการคนเดียวที่ถูกปรับออก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top