Monday, 29 April 2024
กระทรวงสาธารณสุข

สาธารณะสุขไทย เจ๋ง WHO ยกเป็นต้นแบบประเทศที่ 3 มีความพร้อมรับมือภาวะฉุกเฉินโควิด

25 เม.ย. 65 ที่ โรงแรม รอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเต็ล แอนด์ ทาวเวอร์ส กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (นำร่อง) หรือ Universal Health and Preparedness Review (UHPR) Pilot โดยมี ดร.สมิลา อัสมา (Dr. Samira Asma) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก นพ.จอส ฟอนเดลาร์ (Dr.Jos Vandelaer) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวม 200 คน ร่วมงาน

นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 195 ประเทศ เป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ที่มีความพร้อมในการรับมือการระบาดของโรคมากที่สุด เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกัน มีการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทุกภาคส่วนของภาครัฐ และทุกภาคส่วนของสังคม (Whole-government and whole society response) ได้แก่ เครือข่ายภาคประชาชน อสม. ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หน่วยงานด้านสาธารณสุข ภาคเอกชน และภาคธุรกิจอื่นๆ ผ่าน ศบค. ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของระบบป้องกันควบคุมโรคในประเทศไทยในการขับเคลื่อนกฎหมายการดำเนินงานตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ประเทศไทยก้าวผ่านช่วงวิกฤติมาได้

ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus) จึงเชิญให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบประเทศที่ 3 นำร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า ในการรับมือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ข้อเสนอแนะระหว่างประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลก และไทยเป็นประเทศนำร่องที่จะได้เผยแพร่ประสบการณ์สู่สาธารณะในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก 2565 เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศสมาชิก และเกิดการพัฒนาเครื่องมือและกลไกใหม่ รองรับวิกฤติด้านสาธารณสุขสำหรับใช้งานทั่วโลกในอนาคต

ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า การทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า เป็นการทบทวนอย่างครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านสาธารณสุขและด้านอื่นๆ ซึ่งต้องใช้การตอบโต้จากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน โดยมีกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การฝึกซ้อมสถานการณ์สมมติ (Simulation Exercise) การสัมภาษณ์และประชุมกลุ่มย่อย, การพบผู้บริหารหน่วยงานระดับประเทศ และการตรวจเยี่ยมหน่วยงานระดับปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทายของประเทศไทยในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระยะที่ผ่านมา

รัฐบาล ปลื้ม เอเปค สธ.บรรลุ12 ข้อมติ ผสานมือสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมระดับสูงเอเปกว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ (The 12th APEC High-Level Meeting on Health and Economy : HLM12) ครั้งที่ 12 ที่กรุงเทพฯ หัวข้อ“เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ”  ได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งมีผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ ข้อมติ 12 ข้อ โดยไทยยังได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างดีเยี่ยม โดยข้อมติ 12 ข้อ ถือเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม ที่มุ่งสร้างสมดุลทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกของไทยในโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) 

นายอนุชา กล่าวว่า โดยสาระสำคัญของ 12 ข้อมติ ครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ และระดับภูมิภาค และความเป็นหุ้นส่วนเพื่อพัฒนาสุขภาพและความมั่งคั่งของผู้คนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การเปิดพรมแดนเพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย การแบ่งปันและถ่ายทอดเทคโนโลยีวัคซีนโควิด-19 โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านสุขภาพดิจิทัล การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบุคลากรด้านสาธารณสุข การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงวัคซีน การส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีน การรักษา และการวินิจฉัยโควิด-19 ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และราคาไม่แพง ความเท่าเทียมด้านสุขภาพและจัดการกับอุปสรรคด้านสุขภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงในภาคแรงงาน ธุรกิจ และผู้ประกอบการ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจากโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเริ่มต้นของกิจกรรมทางสังคม การเรียน และธุรกิจในเขตเศรษฐกิจเอเปกการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ครั้งต่อไปผ่านการลงทุนเรื่องระบบสุขภาพ การร่วมมือกับภาคเอกชนให้มากยิ่งขึ้น และการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และครอบคลุม

รัฐบาลประยุทธ์ ยกระดับ ‘บัตรทองพรีเมียม’ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 คุณภาพระบบสุขภาพอาเซียน

‘ทิพานัน’ ชี้รัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ยกระดับ ‘บัตรทองพรีเมียม’ ลดเหลื่อมล้ำ สะดวก รวดเร็วมีคุณภาพ  เพิ่มสิทธิรักษาโรคร้ายฟรี  ย้ายสิทธิก็ง่าย  เพิ่มบริการครอบคลุมทุกกลุ่ม เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ระบบสุขภาพที่มีคุณภาพ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพประชาชน และการเข้าถึงบริการภาครัฐของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขทำการพัฒนา บัตรทอง หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้เป็น ‘บัตรทองพรีเมี่ยม’ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มคุณภาพและบริการ โดยผู้ถือบัตรทองสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ในโรงพยาบาลรัฐที่เป็นโรงพยาบาลปฐมภูมิทั่วประเทศ นอนโรงพยาบาลโดยไม่ต้องมีใบส่งตัว  นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย ไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล ภายใน 72 ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤติ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล สามารถเปลี่ยนสิทธิรักษามีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน  ผ่านแอปพลิเคชันของ สปสช. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด สะดวกสบาย ประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทางไปรักษา  

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ผู้มีสิทธิบัตรทองใน ช่วง รัฐบาล พลเอกประยุทธ์  หลายท่านยังไม่ทราบว่า มีการเพิ่มสิทธิการรักษาและการดูแลด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นมาก เช่น ได้รับสิทธิในการรักษาโรคร้าย โดยผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเฉพาะทาง และรักษามะเร็งได้ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกที่ ได้รับสิทธิฟอกไตฟรี รักษาโควิดฟรี เพิ่มบริการสำหรับแม่และเด็ก เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การเพิ่มวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก คัดกรองภาวะ Down Syndrome ในหญิงตั้งครรภ์ (อายุไม่เกิน 35 ปี) ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับเด็กหูหนวก และการให้บริการแว่นตาเด็ก

‘อนุทิน’ นำคณะแพทย์รับอวัยวะจาก รพ.อุดรธานี เพื่อมอบแก่ผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ

เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ (18 ต.ค. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้นำ นพ.พัชร อ่องจริต แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และทีมแพทย์ เดินทางด้วยเครื่องบินไปยังจังหวัดอุดรธานี เพื่อรับอวัยวะจากผู้เสียชีวิตแต่อวัยวะบางส่วนยังใช้การได้อยู่ เพื่อนำไปมอบแก่ผู้ป่วยที่รอปลูกถ่ายอวัยวะต่อไป

“การไปรับอวัยวะจากผู้บริจาคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้น จะต้องออกเดินทางอย่างเร่งด่วนทันทีที่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลที่มีผู้บริจาคอวัยวะ ซึ่งวันนี้รองนายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลในช่วงเช้า จึงได้นำคณะแพทย์บินด่วนทันที เพื่อให้ทันเคสที่อยู่ระหว่างการผ่าตัดและนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลา” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน ได้ขับเครื่องบินส่วนตัวสนับสนุนทีมแพทย์ ในการรับส่งอวัยวะจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี 2557 โดยมีการเรียกชื่อภารกิจนี้ว่า “ปฏิบัติการหัวใจติดปีก”  
ซึ่งเป็นภารกิจสนับสนุนกรณีรับ-ส่งเคสเร่งด่วนที่เครื่องบินพาณิชย์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ โดยที่ผ่านมาสามารถส่งต่ออวัยวะแก่ทีมแพทย์และช่วยชีวิตผู้ป่วยได้หลายคน สำหรับภารกิจล่าสุดเป็นภารกิจครั้งที่ 40

‘อนุทิน’ ชี้!! แนวโน้มผู้ป่วยโควิดทั่วโลกเพิ่มขึ้นช่วงฤดูหนาว ห่วงกลุ่ม 608 แนะเข้ารับวัคซีนกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกัน

อนุทิน ห่วงใยประชาชน หลังพบ แนวโน้มผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว แนะกลุ่ม 608 เข้ารับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน 

(21 พ.ย. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข มีความห่วงใยประชาชนจากแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศเนื่องด้วยขณะนี้เป็นฤดูหนาวที่เอื้อต่อการแพร่เชื้อไวรัส ประกอบกับทั่วโลกมีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรค ขณะที่ไทยก็ได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวซึ่งมีผู้เดินทางมาจากทั่วโลก

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การดูแลป้องกันตนเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในที่แออัด การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ตลอดจนการสร้างภูมิคุ้มกันโดยการรับวัคซีนจึงมีความจำเป็นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ต้องเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ และเข็มกระตุ้นเมื่อครบระยะเวลา เพื่อลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิต โดยประชาชนสามารถติดต่อเข้ารับวัคซีนสถานพยายาลใกล้บ้าน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขกระจายวัคซีนสำหรับประชาชนทุกกลุ่มไปยังสถานพยาบาลทั่วประเทศและเพียงพอกับความต้องการ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้สถานการณ์แพร่ระบาด หรือการมีจำนวนผู้ป่วยหนักในไทยไม่ได้อยู่ในระดับสูงหรือน่ากังวล แต่ฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ไวรัสมีการแพร่กระจายรวดเร็ว และตอนนี้หลายประเทศที่อากาศหนาวจัดก็มีผู้ป่วยมากขึ้น นายอนุทินจึงมีความห่วงใย และขอให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กระจายวัคซีนสำหรับทุกกลุ่มไปยังสถานพยาบาลพร้อมบริการให้ประชาชนทั่วประเทศ

‘อนุทิน’ ปลื้ม!! วิจัยวัคซีนโควิด รุดหน้าเฟส 3 แล้ว เชื่อ!! หากผลิตใช้เองได้ ไทยจะมั่นคงด้านวัคซีน

‘อนุทิน’ เปิดทดลองวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ของ อภ. ในคนเฟส 3 ตื้นตันจุกอก ‘อาสาสมัคร 4 พันคน’ เข้าร่วม ย้ำเป็นตัวเปลี่ยนเกม ตีไข่แตกสำเร็จทำไทยมีความมั่นคงวัคซีน ช่วยประหยัดงบประมาณ ส่งออกต่างประเทศ สร้างความร่วมมือต่างชาติขยายต่อยอด อภ.เผยเล็งวิจัยต่อในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

(23 ธ.ค. 65) ที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) นพ.ทวีศิลป์ วิศณุโยธิน รองปลัด สธ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.อภ. และ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าววิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 เพื่อประเมินความปลอดภัยและความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน HXP-GPOVac ขนาด 10 ไมโครกรัมในรูปแบบเข็มกระตุ้นเปรียบเทียบกับวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ พร้อมเยี่ยมชมการเริ่มฉีดวัคซีนในอาสาสมัคร ซึ่งเริ่มวันนี้เป็นวันแรก - 11 ม.ค. 2565

นายอนุทินกล่าวว่า วัคซีนโควิด HXP-GPOVac หนึ่งในโครงการวิจัยที่คืบหน้าที่สุดของไทย มาถึงจุดวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 3 ถือเป็นพัฒนาการอีกหนึ่งขั้นในการสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศไทย ต้องขอคารวะอาสาสมัคร 4 พันคน มีทั้งประชาชนและ อสม. ถือว่าเป็นวีรบุรุษวีรสตรี ที่เป็นผู้ที่จะทำให้การพัฒนาวิจัยวัคซีนเกิดผลสำเร็จ มีคุณูปการต่อประชาชนไทยและประเทศ แต่ไม่ต้องกังวล วัคซีนผ่านการทดสอบระยะที่ 1 และ 2 ว่าปลอดภัย ถึงนำมาทดสอบจำนวนมากในระยะที่ 3 เป็นรูปแบบเชื้อตายที่คนไทยคุ้นเคยดีว่าปลอดภัย อย่างวัคซีนไข้หวัดใหญ่

นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ไม่มีวัคซีนตัวไหนป้องกันการติดเชื้อโควิดได้ แต่ทุกตัวทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไม่มีอาการรุนแรงและไม่เสียชีวิต หากได้รับวัคซีนตามที่ สธ.กำหนดแนะนำ ทั้งนี้ ถ้าการทดสอบได้ผลน่าพอใจ ก็พร้อมจะผลิตวัคซีนตัวนี้เป็นเข็มกระตุ้นจากโรงงานผลิตยาของ อภ.ที่มีคุณภาพระดับโลก เงินทองก็จะไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงของระบบสาธารณสุขไทย

"ทราบว่าอาสาสมัครเป็น อสม. เชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รับฟังข้อมูลนี้ก็จะรู้สึกจุกอกด้วยความปลื้มใจและศรัทธาที่มีให้กับ อสม. ที่ทุ่มเทด้านสาธารณสุข ในนามรัฐบาล สธ. และบุคลากรทางการแพทย์ ขอบคุณทุกคนทุกหน่วยงาน ทั้งในและต่างประเทศที่ช่วยกันให้ไทยจะมีวัคซีนป้องกันโควิดจากฝีมือคนไทย ตอกย้ำขีดความสามารถของไทยในการดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน" นายอนุทินกล่าว

นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ช่วงโควิดระบาดเราเห็นจุดอ่อนความมั่นคงทางยาและวัคซีน รัฐบาลให้การสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ พัฒนาวิจัยวัคซีนมีหลายรูปแบบ อภ.ใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟักและแบบเชื้อตาย มีความก้าวหน้าสูงสุดทำได้ในเฟส 3 โดยจะเปรียบเทียบกับไวรัลเวกเตอร์คือแอสตร้าเซนเนกา หวังว่าจะใกล้เคียงกันเรื่องคุณภาพ จะเป็นวัคซีนของคนไทย โดยจะทดลองวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วยจะได้ใช้ในทุกกลุ่มอายุ หากมีความสำเร็จจะทำให้คนไทยมีความมั่นคง กลับไปสู่ภาวะปกติสุข มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และการพึ่งพาตนเอง

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า มีคนถามว่าทำไมต้องมาทดลองวัคซีนกับอาสาสมัครในพื้นที่ จ.นครพนม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากกทม.และ อภ. ในฐานะที่ปรึกษาโครงการและเคยมาทำงานในพื้นที่นี้ในการทำวิจัยเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงนับว่าพื้นที่นี้มีความเข้าใจและเคยสร้างฐานการร่วมมือมาก่อน ขอให้ความมั่นใจอาสาสมัครว่า เราทดลองในขั้นก่อนหน้านี้ยาวนานมาก ตั้งแต่การได้ผล ไม่มีสารปนเปื้อน ไม่มีอันตราย ทดลองในหนู กระต่าย ลิง และอาสาสมัครจำนวนน้อยในระยะที่ 1 และ 2 คือพื้นที่นี้ ผลคือไม่มีใครมีปัญหาจากการทดลอง ความปลอดภัย 100% ก็ว่าได้ จึงมั่นใจที่จะทำ ทั้งนี้ กรมฯ เข้ามาช่วยในการตรวจในขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งคุณภาพ ระดับภูมิคุ้มกัน และการติดเชื้อ ซึ่งเรามีมาตรฐานระดับโลกก็จะเป็นที่เชื่อถือ ถ้าสำเร็จจะมีวัคซีน Made in Thailand เจ้าแรก ไม่ต้องหาซื้อจากใครถือเป็นความมั่นคงทางวัคซีนของประเทศ

'อนุทิน' ย้ำ!! มาตรการดูแล นทท.ทุกชาติเท่าเทียม วอน!! อย่าตั้งป้อมกับจีน เพราะไม่เคยขัดแย้งกัน

‘อนุทิน’ ย้ำ มาตรการดูแลนักท่องเที่ยวทุกชาติเท่าเทียม ชี้ ปรับตามสถานการณ์ที่เปลี่ยน วอน อย่าตั้งป้อมรับจีน เพราะไม่เคยขัดแย้งกัน

(5 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทางเข้าประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ว่า วันนี้ข้อสรุปแต่ละมาตรการมีอยู่แล้ว และจะนำมาหารือและแจ้งให้แต่ละหน่วยงานทราบในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในไทย ที่คาดว่าในต้นปีจะมีประมาณ 4-5 หมื่นคน และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้รับทราบมาตรการรองรับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แล้วจะสอบถามกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องค่าเหยียบแผ่นดิน ที่เปรียบเหมือนการทำประกันของนักท่องเที่ยว ที่จะต้องดูนักท่องเที่ยวที่เจ็บป่วย ไม่เฉพาะโควิด-19 จะมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ จะได้มีงบประมาณดำเนินการ ขณะที่ระบบสาธารณสุขของไทย ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็มีงบประมาณก้อนหนึ่งสำหรับดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติเช่นกัน 

ผู้สื่อข่าวถามว่านักท่องเที่ยวจีนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทันทีที่ถึงสนามบินหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้กรมควบคุมโรค จะกำหนดมาตรการออกมาตามสถานการณ์ และจะมีข้อกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติ และต้องทำเต็มที่กับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เมื่อถามว่ามาตรการป้องกันกรณีที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราจะใช้มาตรการที่มีอยู่เดิมให้มากที่สุด และเรารับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะกับจีน แต่อีกทางจะต้องเน้นที่ตัวเองต้องหุ้มเกราะ คือฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยก่อน อย่างน้อย 4 เข็มเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงโดยสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะและพื้นที่แออัด ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีน เขามีการตรวจก่อนเดินทางออกนอกประเทศและเมื่อกลับเข้าประเทศ ในขณะที่สถานทูตจีน ได้ประสานกับโรงพยาบาลที่จะทำการรักษาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้นักท่องเที่ยว ที่เข้ามาสามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ ไม่ได้แบ่งว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาติไหน เพราะเราถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวทั้งหมด แต่ละคนก็มาจากประเทศที่มีการติดเชื้ออยู่ที่ว่าจะเป็นเชื้อใหม่หรือเก่า ถ้าเป็นเชื้อใหม่ มาตรการรับมือก็เปลี่ยนได้ ดังนั้นอย่านำมาตรการของไทยไปเทียบกับประเทศอื่น เพราะนี่ประเทศไทยไม่เหมือนกัน

เมื่อถามว่าทางประเทศจีน ระบุในทำนองจะมีมาตรการตอบโต้ประเทศที่ปฏิเสธรับคนจีน นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน และมีความสัมพันธ์ที่ดี ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

‘อนุทิน’ ชี้ ประเทศไหนที่ต้องตรวจโควิดก่อนกลับ ต้องซื้อประกันสุขภาพ ไม่เฉพาะแค่ประเทศจีน

‘อนุทิน’ ยันมาตรการรับ ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ รัดกุม เผยให้ซื้อประกันสุขภาพ สำหรับประเทศตีกรอบต้องตรวจRT-PCR พร้อมจับมือตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกฯ ลั่น!! อย่าตระหนก จนเสียโอกาสฟื้นเศรษฐกิจ เผยจับมือ ‘ศักดิ์สยาม-พิพัฒน์’ รับนักท่องเที่ยวไฟลท์แรกถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 12 ม.ค.นี้

(5 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังประชุมเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทางเข้าประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีกระทรวงคมนาคม กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เข้าร่วม ว่า วันนี้เป็นการทำความเข้าใจเรื่องของการรับนักท่องเที่ยว ทั้งด้านการคมนาคม ท่องเที่ยว และสาธารณสุข โดยแต่ละหน่วยงาน รับทราบมาตรการและรับปฏิบัติ ขณะที่ กทม.พร้อมให้ความร่วมมืออย่างดี ยืนยันว่ามีมาตรการพร้อมรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ และสามารถปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมได้ตลอดตามความเหมาะสม โดยจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารขอให้คงมาตรฐานชาพลัส (SHA+) ผู้ให้บริการสวมหน้ากากอนามัย

นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าประเทศที่มีข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวจะต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศตัวเองนั้น จะต้องซื้อประกันสุขภาพ ทุกประเทศไม่เฉพาะแค่ประเทศจีนประเทศ โดยเงื่อนไขของประกันเป็นไปตามหลักสากลในการรักษาพยาบาล และยังครอบคลุมโควิด-19 หากตรวจพบสามารถรักษาตามปกติ ส่วนประเทศใดที่ไม่มีเงื่อนไขต้องตรวจRT PCR ขอแนะนำให้ซื้อประกันสุขภาพไว้เช่นกัน เพื่อความสะดวกด้านต่าง ๆ หากมีการติดเชื้อหรือเจ็บป่วย จะมีสถานที่รักษา สำหรับประเด็นค่าเหยียบแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงการท่องเที่ยวถือเป็นคนละเรื่องกัน และยังไม่ได้มีผลบังคับใช้

'อนุทิน' เผย อุปทูตจีน ‘หยาง ซิน’ ขอบคุณไทย หลังไม่เลือกปฏิบัติ รับนักท่องเที่ยวเท่าเทียม

อนุทิน เผย อุปทูตจีน ขอบคุณไทยไม่เลือกปฏิบัติ รับ นทท.เท่าเทียม ชี้ ซื้อประกันโควิด-19 รองรับหากติดเชื้อก่อนขึ้นเครื่องกลับ ปท.

เมื่อวานนี้ (5 ม.ค. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาประเทศ ว่า สำหรับข้อกำหนดเรื่องการซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโควิด-19 ในประเทศที่มีข้อกำหนดว่า จะต้องมีผลตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศ ก็เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาประเทศไทย เพราะหากก่อนขึ้นเครื่องแล้วผลเป็นบวก ก็ไม่สามารถเดินทางกลับได้ ดังนั้น ก็ต้องมีประกันมารองรับ ส่วนเรื่องวงเงินประกันขั้นต่ำ เป็นเรื่องที่ทุกประเทศที่มีกำหนดอยู่แล้ว เป็นปกติของการเดินทาง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวล

'อนุทิน' ระบุ ไทยมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน ย้ำ การท่องเที่ยวมีความหมายต่อเศรษฐกิจประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทางเข้าประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปว่า ไทยมีความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวโดยไม่เจาะจงว่าเป็นประเทศใดในทุกมิติซึ่งมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสม ส่วนในกรณีที่ประเทศใดมีข้อกำหนดพิเศษขึ้นมา เช่นต้องตรวจ RT-PCR ให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางกลับประเทศต้นทาง นักท่องเที่ยวต้องซื้อบัตรประกันสุขภาพก่อนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยต้องครอบคลุมการรักษาโรค โควิด-19 ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เท่าเทียม เป็นธรรมทั้งประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวและประเทศต้นทาง

นายอนุทิน กล่าวว่าขณะเดียวกันก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยต้องให้นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 อย่างน้อยสองเข็มหากมีอาการป่วยทางเดินหายใจควรเลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่ระบาด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมาตรการต่างๆจะมีการปรับเปลี่ยนและลดหลั่นได้ตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ในที่ประชุมได้มีการนำเสนอ ขอความร่วมมือ ให้โรงแรมที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจัดซุ้มอำนวยความสะดวกสำหรับตรวจ RT-PCRด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top